11 พ.ค. 2567 [2/4]

แชร์
ฝัง
  • เผยแพร่เมื่อ 9 พ.ค. 2024
  • ธรรมะมันอยู่กับตัวเราเอง แล้วก็อยู่ทุกอย่างที่แวดล้อมเราอยู่ มันล้วนแต่แสดงธรรมะทั้งหมด แต่เรามองข้าม ไม่ค่อยสนใจมัน อย่างใบไม้ใบเดียวมันก็แสดงธรรมะให้เราดูได้ เริ่มแต่ใบเล็กๆ อ่อนๆ มันโตขึ้นมาสวยงาม ค่อยเหี่ยว แก่ลงไป ก็หลุดล่วงไป ไม่ต้องมีลมกระโชก ถึงเวลา หมดอายุ มันก็ร่วง ใบไม้ใบเดียวก็สอนไตรลักษณ์แล้วให้เราเห็น อยู่ที่เราจะมองไหม ส่วนใหญ่ก็มองไม่เห็น ก็คิดว่าธรรมะอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ต้องแสวงหายากเย็นแสนเข็ญ ที่จริงไม่ต้องดูที่อื่นหรอก ดูดีที่สุดก็ดูกายดูใจของเรา ถ้าบางคนไม่ได้ดูที่กายที่ใจตัวเอง ดูข้างนอกอย่างนี้ก็เข้าใจธรรมะได้
    ฉะนั้นในสติปัฏฐาน ท่านจะพูดถึงธรรมภายในธรรมภายนอก ล้วนแต่แสดงไตรลักษณ์ทั้งนั้น ทุกอย่างที่เราเห็นมันก็แสดงไตรลักษณ์ รูปที่เราเห็นก็ไม่เที่ยง เสียงที่เราได้ยินมันก็ไม่เที่ยง กลิ่นที่เราสัมผัสก็ไม่เที่ยง รสต่างๆ ก็ไม่เที่ยง สิ่งที่มาสัมผัสร่างกายก็ไม่เที่ยง จริงๆ ธรรมะมันอยู่ภายในกายในใจของเรา แล้วก็อยู่ในทุกสิ่งที่แวดล้อมเราอยู่ ถ้าดูให้เป็น ก็ไม่ต้องไปหาธรรมะที่อื่นเลย เรียนอยู่ที่ตัวเอง
    เราฟังธรรมเพื่อให้รู้วิธีปฏิบัติ เมื่อรู้วิธีปฏิบัติ มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง แล้วถ้าเราชำนาญเข้มแข็งจริง กระทั่งธรรมภายนอกมันก็แสดงธรรมะบทเดียวกับธรรมภายใน คือกายกับใจของเรานี่เอง แต่ส่วนใหญ่ครูบาอาจารย์จะบอกให้เราดูกายดูใจตัวเอง ไม่ค่อยแนะนำให้เราดูของข้างนอก แต่พระพุทธเจ้าท่านแสดงธรรมครอบคลุมทั้งหมด ธรรมภายในธรรมภายนอก ธรรมในที่ใกล้ ธรรมในที่ไกล
    มีสติรักษาจิตไว้ให้ดี มีสติดูแล มีอะไรเกิดขึ้นในจิตในใจ คอยรู้คอยเห็นไปตามลำดับๆ วันไหนไม่สามารถรู้เห็นจิตได้ ไม่ต้องหา เที่ยวแสวงหาจิตก็คือตัณหาอีกล่ะ ถ้าวันไหนดูจิตไม่ออก มองจิตไม่เห็น ช่างมัน รู้สึกร่างกายไป เห็นร่างกายหายใจออก เห็นร่างกายหายใจเข้า เห็นร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน เห็นร่างกายเคลื่อนไหว เห็นร่างกายหยุดนิ่ง ดูมันไป แล้วพอจิตมันมีกำลัง มันก็จะไปเห็นจิตเอง เพราะฉะนั้นเราดูกายแล้วเราจะเห็นจิต ถ้าดูกายแล้วเห็นกาย นี่ยังไม่ตอบโจทย์ของการปฏิบัติจริง ถ้าดูกายอย่างถ่องแท้แล้วมันจะเห็นจิต
    หลวงพ่อก็เคยดูกาย ไม่ใช่ไม่ดู จำไม่ได้แล้วว่ามันปีไหน ไปไหนๆ ก็ได้ยินแต่คนเขาดูกาย เราก็ดูบ้าง ดูลงไปที่ผม สมาธิมันแรง ดูปุ๊บ ผมหายไปหมดเลย เห็นหนังศีรษะ ดูหนังศีรษะ หายไปเลย เห็นหัวกะโหลก ดูหัวกะโหลก หัวขาดหายไปเลย ดูตัวลงมา เนื้อหนังหายหมด เหลือแต่กระดูก ดูกระดูก กระดูกระเบิด กลายเป็นก้อนกรวดเล็กๆ น้อยๆ กระจายๆ ดูลงไปอีก มันกลายเป็นคลื่นแสง สลายไปหมดคืนสู่โลกธาตุ กลับสู่ธรรมชาติเดิมของมัน เคยดูอย่างนี้แต่ใจไม่ชอบ ดูแล้วก็แป๊บๆ เดี๋ยวก็มาตรงนี้อีกแล้ว ไม่ชอบ รำคาญ รู้สึกน้อยไป
    หลวงปู่ดูลย์ท่านเลยสอนหลวงพ่อดูจิต พอดูจิตแล้ว แหม มันมีอะไรให้เรียนให้รู้เยอะแยะไปหมดสนุกมากเลย ก็เลยขยันดู ขยันดูเพราะใส่ใจที่จะดู ใส่ใจที่จะดู คอยรู้คอยเห็นอะไร จิตมันก็พิจารณา ใคร่ครวญ รู้เหตุรู้ผลของมัน ตรงนี้เรียกว่าอิทธิบาท 4 มีฉันทะคือมีความพอใจที่จะเรียนรู้จิตใจตัวเอง พอพอใจที่จะเรียนรู้ ก็เกิดวิริยะ ขยันรู้ขยันดู ขยันเอง ไม่ต้องบังคับ เกิดจิตตะ มีความใส่ใจ มีความจดจ้อง คือมีสมาธิในการที่จะดูจิตตัวเอง มีการเจริญปัญญา ใคร่ครวญเห็นเหตุเห็นผล สภาวะอันนี้คืออะไร สภาวะอันนี้ทำหน้าที่อะไร สภาวะอันนี้เมื่อทำหน้าที่แล้วมีผลเป็นอย่างไร สภาวะอันนี้เกิดขึ้นมาได้เพราะอะไร
    ฉะนั้นเวลาหลวงพ่อภาวนา เห็นสภาวะอะไรสักอย่างหนึ่ง จิตมันจะค้นคว้าใคร่ครวญอยู่อย่างนี้ ตอนนั้นไม่รู้ว่ามันคืออะไรการพิจารณาอย่างนี้ ตอนหลังภาวนารู้เรื่องแล้ว ก็ลองไปอ่านอภิธรรม องค์ 4 มีลักษณะเป็นเบื้องต้น ก็คือตัวมันมีลักษณะอย่างไร อย่างความโกรธมีลักษณะอย่างไร หรือจิตมันมีลักษณะอย่างไร จิตมันทำหน้าที่อะไร ถ้าเรื่องจิต จิตมีลักษณะรู้อารมณ์ มันทำหน้าที่อะไร ทำหน้าที่แล้วมีผลเป็นอย่างไร อะไรทำให้มันเกิดขึ้น พิจารณา 3 ตัวแรก 3 ตัวแรกพิจารณาแล้วจิตยังไม่ลง ยังไม่แจ้งสภาวะอันนี้ จนถึงตัวที่สี่ รู้ว่าสภาวะอันนี้เกิดเพราะอะไร จิตถึงจะแจ้งในสภาวะอันนั้นแล้วจะวางสภาวะอันนั้นลง พอสภาวะอันนั้นเกิด จิตไม่มีความสงสัยอีกต่อไป
    หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
    วัดสวนสันติธรรม
    28 เมษายน 2567

ความคิดเห็น •