- 47
- 9 501
อกาลิโก
เข้าร่วมเมื่อ 26 ก.ค. 2020
ให้เรามีสติ รู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง
การดูจิตที่ครูบาอาจารย์สอนนั้นคือให้หมั่นดูความเป็นสังขตธรรมจนเห็นความปรุงแต่งว่ามันเป็นไตรลักษณ์อย่างไร ไม่ใช่การคิดว่าจิตเป็นอสังขตธรรมตามตำราจึงอ้างว่าไม่มีเรา ไม่มีตัวตน คน สัตว์ จึงมุ่งดูจิตให้เห็นความว่างเปล่า ไปเอาคำสอนเว่ยหล่าง ฮวงโป มาปรุงแต่ง ยึดคำบรรยายอสังขตธรรมมาเป็นจุดโฟกัสของการดูจิต ไม่ใส่ใจดูความเป็นสังขตธรรม คิดเรื่องไตรลักษณ์เพื่อหลอกตัวเองให้ปล่อยวาง นี่คือการปรุงแต่งความไม่ปรุงแต่ง ทำเป็นสักแต่ว่ารู้และเห็นอย่างปลอมๆ ไม่เห็นตัวตนที่เรียกว่า "อาเนญชาภิสังขาร" ตีความการดูจิตผิดพลาดไปอีกอย่าง คนละทางกับที่ครูบาอาจารย์ท่านสอน ดูจิตเพื่อให้เราเห็นทุกข์ของความเป็นสังขตธรรมอันไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงบีบคั้นของตัวตน เห็นจริงๆว่าตัวตนทั้งรูปธรรม นามธรรม ไม่ใช่เราอย่างไร ด้วยมีจิตแยกออกมาเป็นผู้รู้ ผู้เห็น
by ตงฟางปุ๊ป้าย บูรพาไม่แพ้ 2013
การดูจิตที่ครูบาอาจารย์สอนนั้นคือให้หมั่นดูความเป็นสังขตธรรมจนเห็นความปรุงแต่งว่ามันเป็นไตรลักษณ์อย่างไร ไม่ใช่การคิดว่าจิตเป็นอสังขตธรรมตามตำราจึงอ้างว่าไม่มีเรา ไม่มีตัวตน คน สัตว์ จึงมุ่งดูจิตให้เห็นความว่างเปล่า ไปเอาคำสอนเว่ยหล่าง ฮวงโป มาปรุงแต่ง ยึดคำบรรยายอสังขตธรรมมาเป็นจุดโฟกัสของการดูจิต ไม่ใส่ใจดูความเป็นสังขตธรรม คิดเรื่องไตรลักษณ์เพื่อหลอกตัวเองให้ปล่อยวาง นี่คือการปรุงแต่งความไม่ปรุงแต่ง ทำเป็นสักแต่ว่ารู้และเห็นอย่างปลอมๆ ไม่เห็นตัวตนที่เรียกว่า "อาเนญชาภิสังขาร" ตีความการดูจิตผิดพลาดไปอีกอย่าง คนละทางกับที่ครูบาอาจารย์ท่านสอน ดูจิตเพื่อให้เราเห็นทุกข์ของความเป็นสังขตธรรมอันไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงบีบคั้นของตัวตน เห็นจริงๆว่าตัวตนทั้งรูปธรรม นามธรรม ไม่ใช่เราอย่างไร ด้วยมีจิตแยกออกมาเป็นผู้รู้ ผู้เห็น
by ตงฟางปุ๊ป้าย บูรพาไม่แพ้ 2013
11 พ.ค. 2567 [4/4]
ธรรมะมันอยู่กับตัวเราเอง แล้วก็อยู่ทุกอย่างที่แวดล้อมเราอยู่ มันล้วนแต่แสดงธรรมะทั้งหมด แต่เรามองข้าม ไม่ค่อยสนใจมัน อย่างใบไม้ใบเดียวมันก็แสดงธรรมะให้เราดูได้ เริ่มแต่ใบเล็กๆ อ่อนๆ มันโตขึ้นมาสวยงาม ค่อยเหี่ยว แก่ลงไป ก็หลุดล่วงไป ไม่ต้องมีลมกระโชก ถึงเวลา หมดอายุ มันก็ร่วง ใบไม้ใบเดียวก็สอนไตรลักษณ์แล้วให้เราเห็น อยู่ที่เราจะมองไหม ส่วนใหญ่ก็มองไม่เห็น ก็คิดว่าธรรมะอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ต้องแสวงหายากเย็นแสนเข็ญ ที่จริงไม่ต้องดูที่อื่นหรอก ดูดีที่สุดก็ดูกายดูใจของเรา ถ้าบางคนไม่ได้ดูที่กายที่ใจตัวเอง ดูข้างนอกอย่างนี้ก็เข้าใจธรรมะได้
ฉะนั้นในสติปัฏฐาน ท่านจะพูดถึงธรรมภายในธรรมภายนอก ล้วนแต่แสดงไตรลักษณ์ทั้งนั้น ทุกอย่างที่เราเห็นมันก็แสดงไตรลักษณ์ รูปที่เราเห็นก็ไม่เที่ยง เสียงที่เราได้ยินมันก็ไม่เที่ยง กลิ่นที่เราสัมผัสก็ไม่เที่ยง รสต่างๆ ก็ไม่เที่ยง สิ่งที่มาสัมผัสร่างกายก็ไม่เที่ยง จริงๆ ธรรมะมันอยู่ภายในกายในใจของเรา แล้วก็อยู่ในทุกสิ่งที่แวดล้อมเราอยู่ ถ้าดูให้เป็น ก็ไม่ต้องไปหาธรรมะที่อื่นเลย เรียนอยู่ที่ตัวเอง
เราฟังธรรมเพื่อให้รู้วิธีปฏิบัติ เมื่อรู้วิธีปฏิบัติ มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง แล้วถ้าเราชำนาญเข้มแข็งจริง กระทั่งธรรมภายนอกมันก็แสดงธรรมะบทเดียวกับธรรมภายใน คือกายกับใจของเรานี่เอง แต่ส่วนใหญ่ครูบาอาจารย์จะบอกให้เราดูกายดูใจตัวเอง ไม่ค่อยแนะนำให้เราดูของข้างนอก แต่พระพุทธเจ้าท่านแสดงธรรมครอบคลุมทั้งหมด ธรรมภายในธรรมภายนอก ธรรมในที่ใกล้ ธรรมในที่ไกล
มีสติรักษาจิตไว้ให้ดี มีสติดูแล มีอะไรเกิดขึ้นในจิตในใจ คอยรู้คอยเห็นไปตามลำดับๆ วันไหนไม่สามารถรู้เห็นจิตได้ ไม่ต้องหา เที่ยวแสวงหาจิตก็คือตัณหาอีกล่ะ ถ้าวันไหนดูจิตไม่ออก มองจิตไม่เห็น ช่างมัน รู้สึกร่างกายไป เห็นร่างกายหายใจออก เห็นร่างกายหายใจเข้า เห็นร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน เห็นร่างกายเคลื่อนไหว เห็นร่างกายหยุดนิ่ง ดูมันไป แล้วพอจิตมันมีกำลัง มันก็จะไปเห็นจิตเอง เพราะฉะนั้นเราดูกายแล้วเราจะเห็นจิต ถ้าดูกายแล้วเห็นกาย นี่ยังไม่ตอบโจทย์ของการปฏิบัติจริง ถ้าดูกายอย่างถ่องแท้แล้วมันจะเห็นจิต
หลวงพ่อก็เคยดูกาย ไม่ใช่ไม่ดู จำไม่ได้แล้วว่ามันปีไหน ไปไหนๆ ก็ได้ยินแต่คนเขาดูกาย เราก็ดูบ้าง ดูลงไปที่ผม สมาธิมันแรง ดูปุ๊บ ผมหายไปหมดเลย เห็นหนังศีรษะ ดูหนังศีรษะ หายไปเลย เห็นหัวกะโหลก ดูหัวกะโหลก หัวขาดหายไปเลย ดูตัวลงมา เนื้อหนังหายหมด เหลือแต่กระดูก ดูกระดูก กระดูกระเบิด กลายเป็นก้อนกรวดเล็กๆ น้อยๆ กระจายๆ ดูลงไปอีก มันกลายเป็นคลื่นแสง สลายไปหมดคืนสู่โลกธาตุ กลับสู่ธรรมชาติเดิมของมัน เคยดูอย่างนี้แต่ใจไม่ชอบ ดูแล้วก็แป๊บๆ เดี๋ยวก็มาตรงนี้อีกแล้ว ไม่ชอบ รำคาญ รู้สึกน้อยไป
หลวงปู่ดูลย์ท่านเลยสอนหลวงพ่อดูจิต พอดูจิตแล้ว แหม มันมีอะไรให้เรียนให้รู้เยอะแยะไปหมดสนุกมากเลย ก็เลยขยันดู ขยันดูเพราะใส่ใจที่จะดู ใส่ใจที่จะดู คอยรู้คอยเห็นอะไร จิตมันก็พิจารณา ใคร่ครวญ รู้เหตุรู้ผลของมัน ตรงนี้เรียกว่าอิทธิบาท 4 มีฉันทะคือมีความพอใจที่จะเรียนรู้จิตใจตัวเอง พอพอใจที่จะเรียนรู้ ก็เกิดวิริยะ ขยันรู้ขยันดู ขยันเอง ไม่ต้องบังคับ เกิดจิตตะ มีความใส่ใจ มีความจดจ้อง คือมีสมาธิในการที่จะดูจิตตัวเอง มีการเจริญปัญญา ใคร่ครวญเห็นเหตุเห็นผล สภาวะอันนี้คืออะไร สภาวะอันนี้ทำหน้าที่อะไร สภาวะอันนี้เมื่อทำหน้าที่แล้วมีผลเป็นอย่างไร สภาวะอันนี้เกิดขึ้นมาได้เพราะอะไร
ฉะนั้นเวลาหลวงพ่อภาวนา เห็นสภาวะอะไรสักอย่างหนึ่ง จิตมันจะค้นคว้าใคร่ครวญอยู่อย่างนี้ ตอนนั้นไม่รู้ว่ามันคืออะไรการพิจารณาอย่างนี้ ตอนหลังภาวนารู้เรื่องแล้ว ก็ลองไปอ่านอภิธรรม องค์ 4 มีลักษณะเป็นเบื้องต้น ก็คือตัวมันมีลักษณะอย่างไร อย่างความโกรธมีลักษณะอย่างไร หรือจิตมันมีลักษณะอย่างไร จิตมันทำหน้าที่อะไร ถ้าเรื่องจิต จิตมีลักษณะรู้อารมณ์ มันทำหน้าที่อะไร ทำหน้าที่แล้วมีผลเป็นอย่างไร อะไรทำให้มันเกิดขึ้น พิจารณา 3 ตัวแรก 3 ตัวแรกพิจารณาแล้วจิตยังไม่ลง ยังไม่แจ้งสภาวะอันนี้ จนถึงตัวที่สี่ รู้ว่าสภาวะอันนี้เกิดเพราะอะไร จิตถึงจะแจ้งในสภาวะอันนั้นแล้วจะวางสภาวะอันนั้นลง พอสภาวะอันนั้นเกิด จิตไม่มีความสงสัยอีกต่อไป
หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
28 เมษายน 2567
ฉะนั้นในสติปัฏฐาน ท่านจะพูดถึงธรรมภายในธรรมภายนอก ล้วนแต่แสดงไตรลักษณ์ทั้งนั้น ทุกอย่างที่เราเห็นมันก็แสดงไตรลักษณ์ รูปที่เราเห็นก็ไม่เที่ยง เสียงที่เราได้ยินมันก็ไม่เที่ยง กลิ่นที่เราสัมผัสก็ไม่เที่ยง รสต่างๆ ก็ไม่เที่ยง สิ่งที่มาสัมผัสร่างกายก็ไม่เที่ยง จริงๆ ธรรมะมันอยู่ภายในกายในใจของเรา แล้วก็อยู่ในทุกสิ่งที่แวดล้อมเราอยู่ ถ้าดูให้เป็น ก็ไม่ต้องไปหาธรรมะที่อื่นเลย เรียนอยู่ที่ตัวเอง
เราฟังธรรมเพื่อให้รู้วิธีปฏิบัติ เมื่อรู้วิธีปฏิบัติ มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง แล้วถ้าเราชำนาญเข้มแข็งจริง กระทั่งธรรมภายนอกมันก็แสดงธรรมะบทเดียวกับธรรมภายใน คือกายกับใจของเรานี่เอง แต่ส่วนใหญ่ครูบาอาจารย์จะบอกให้เราดูกายดูใจตัวเอง ไม่ค่อยแนะนำให้เราดูของข้างนอก แต่พระพุทธเจ้าท่านแสดงธรรมครอบคลุมทั้งหมด ธรรมภายในธรรมภายนอก ธรรมในที่ใกล้ ธรรมในที่ไกล
มีสติรักษาจิตไว้ให้ดี มีสติดูแล มีอะไรเกิดขึ้นในจิตในใจ คอยรู้คอยเห็นไปตามลำดับๆ วันไหนไม่สามารถรู้เห็นจิตได้ ไม่ต้องหา เที่ยวแสวงหาจิตก็คือตัณหาอีกล่ะ ถ้าวันไหนดูจิตไม่ออก มองจิตไม่เห็น ช่างมัน รู้สึกร่างกายไป เห็นร่างกายหายใจออก เห็นร่างกายหายใจเข้า เห็นร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน เห็นร่างกายเคลื่อนไหว เห็นร่างกายหยุดนิ่ง ดูมันไป แล้วพอจิตมันมีกำลัง มันก็จะไปเห็นจิตเอง เพราะฉะนั้นเราดูกายแล้วเราจะเห็นจิต ถ้าดูกายแล้วเห็นกาย นี่ยังไม่ตอบโจทย์ของการปฏิบัติจริง ถ้าดูกายอย่างถ่องแท้แล้วมันจะเห็นจิต
หลวงพ่อก็เคยดูกาย ไม่ใช่ไม่ดู จำไม่ได้แล้วว่ามันปีไหน ไปไหนๆ ก็ได้ยินแต่คนเขาดูกาย เราก็ดูบ้าง ดูลงไปที่ผม สมาธิมันแรง ดูปุ๊บ ผมหายไปหมดเลย เห็นหนังศีรษะ ดูหนังศีรษะ หายไปเลย เห็นหัวกะโหลก ดูหัวกะโหลก หัวขาดหายไปเลย ดูตัวลงมา เนื้อหนังหายหมด เหลือแต่กระดูก ดูกระดูก กระดูกระเบิด กลายเป็นก้อนกรวดเล็กๆ น้อยๆ กระจายๆ ดูลงไปอีก มันกลายเป็นคลื่นแสง สลายไปหมดคืนสู่โลกธาตุ กลับสู่ธรรมชาติเดิมของมัน เคยดูอย่างนี้แต่ใจไม่ชอบ ดูแล้วก็แป๊บๆ เดี๋ยวก็มาตรงนี้อีกแล้ว ไม่ชอบ รำคาญ รู้สึกน้อยไป
หลวงปู่ดูลย์ท่านเลยสอนหลวงพ่อดูจิต พอดูจิตแล้ว แหม มันมีอะไรให้เรียนให้รู้เยอะแยะไปหมดสนุกมากเลย ก็เลยขยันดู ขยันดูเพราะใส่ใจที่จะดู ใส่ใจที่จะดู คอยรู้คอยเห็นอะไร จิตมันก็พิจารณา ใคร่ครวญ รู้เหตุรู้ผลของมัน ตรงนี้เรียกว่าอิทธิบาท 4 มีฉันทะคือมีความพอใจที่จะเรียนรู้จิตใจตัวเอง พอพอใจที่จะเรียนรู้ ก็เกิดวิริยะ ขยันรู้ขยันดู ขยันเอง ไม่ต้องบังคับ เกิดจิตตะ มีความใส่ใจ มีความจดจ้อง คือมีสมาธิในการที่จะดูจิตตัวเอง มีการเจริญปัญญา ใคร่ครวญเห็นเหตุเห็นผล สภาวะอันนี้คืออะไร สภาวะอันนี้ทำหน้าที่อะไร สภาวะอันนี้เมื่อทำหน้าที่แล้วมีผลเป็นอย่างไร สภาวะอันนี้เกิดขึ้นมาได้เพราะอะไร
ฉะนั้นเวลาหลวงพ่อภาวนา เห็นสภาวะอะไรสักอย่างหนึ่ง จิตมันจะค้นคว้าใคร่ครวญอยู่อย่างนี้ ตอนนั้นไม่รู้ว่ามันคืออะไรการพิจารณาอย่างนี้ ตอนหลังภาวนารู้เรื่องแล้ว ก็ลองไปอ่านอภิธรรม องค์ 4 มีลักษณะเป็นเบื้องต้น ก็คือตัวมันมีลักษณะอย่างไร อย่างความโกรธมีลักษณะอย่างไร หรือจิตมันมีลักษณะอย่างไร จิตมันทำหน้าที่อะไร ถ้าเรื่องจิต จิตมีลักษณะรู้อารมณ์ มันทำหน้าที่อะไร ทำหน้าที่แล้วมีผลเป็นอย่างไร อะไรทำให้มันเกิดขึ้น พิจารณา 3 ตัวแรก 3 ตัวแรกพิจารณาแล้วจิตยังไม่ลง ยังไม่แจ้งสภาวะอันนี้ จนถึงตัวที่สี่ รู้ว่าสภาวะอันนี้เกิดเพราะอะไร จิตถึงจะแจ้งในสภาวะอันนั้นแล้วจะวางสภาวะอันนั้นลง พอสภาวะอันนั้นเกิด จิตไม่มีความสงสัยอีกต่อไป
หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
28 เมษายน 2567
มุมมอง: 735
วีดีโอ
11 พ.ค. 2567 [3/4]
มุมมอง 24421 วันที่ผ่านมา
ธรรมะมันอยู่กับตัวเราเอง แล้วก็อยู่ทุกอย่างที่แวดล้อมเราอยู่ มันล้วนแต่แสดงธรรมะทั้งหมด แต่เรามองข้าม ไม่ค่อยสนใจมัน อย่างใบไม้ใบเดียวมันก็แสดงธรรมะให้เราดูได้ เริ่มแต่ใบเล็กๆ อ่อนๆ มันโตขึ้นมาสวยงาม ค่อยเหี่ยว แก่ลงไป ก็หลุดล่วงไป ไม่ต้องมีลมกระโชก ถึงเวลา หมดอายุ มันก็ร่วง ใบไม้ใบเดียวก็สอนไตรลักษณ์แล้วให้เราเห็น อยู่ที่เราจะมองไหม ส่วนใหญ่ก็มองไม่เห็น ก็คิดว่าธรรมะอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ต้องแสวง...
11 พ.ค. 2567 [2/4]
มุมมอง 62021 วันที่ผ่านมา
ธรรมะมันอยู่กับตัวเราเอง แล้วก็อยู่ทุกอย่างที่แวดล้อมเราอยู่ มันล้วนแต่แสดงธรรมะทั้งหมด แต่เรามองข้าม ไม่ค่อยสนใจมัน อย่างใบไม้ใบเดียวมันก็แสดงธรรมะให้เราดูได้ เริ่มแต่ใบเล็กๆ อ่อนๆ มันโตขึ้นมาสวยงาม ค่อยเหี่ยว แก่ลงไป ก็หลุดล่วงไป ไม่ต้องมีลมกระโชก ถึงเวลา หมดอายุ มันก็ร่วง ใบไม้ใบเดียวก็สอนไตรลักษณ์แล้วให้เราเห็น อยู่ที่เราจะมองไหม ส่วนใหญ่ก็มองไม่เห็น ก็คิดว่าธรรมะอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ต้องแสวง...
11 พ.ค. 2567 [1/4]
มุมมอง 22321 วันที่ผ่านมา
ธรรมะมันอยู่กับตัวเราเอง แล้วก็อยู่ทุกอย่างที่แวดล้อมเราอยู่ มันล้วนแต่แสดงธรรมะทั้งหมด แต่เรามองข้าม ไม่ค่อยสนใจมัน อย่างใบไม้ใบเดียวมันก็แสดงธรรมะให้เราดูได้ เริ่มแต่ใบเล็กๆ อ่อนๆ มันโตขึ้นมาสวยงาม ค่อยเหี่ยว แก่ลงไป ก็หลุดล่วงไป ไม่ต้องมีลมกระโชก ถึงเวลา หมดอายุ มันก็ร่วง ใบไม้ใบเดียวก็สอนไตรลักษณ์แล้วให้เราเห็น อยู่ที่เราจะมองไหม ส่วนใหญ่ก็มองไม่เห็น ก็คิดว่าธรรมะอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ต้องแสวง...
ดาบสองคม
มุมมอง 6021 วันที่ผ่านมา
ดาบสองคมอย่าได้ประมาทมัน สองด้านนั้นให้ผลเป็นสองทาง มีทั้งคุณและโทษคนละอย่าง ไม่ระวังสุดท้ายจะเสียใจ การมีตัวมีตนเป็นคนดัง มันมีทั้งด้านดีและด้านร้าย มันมีผลต่อคนไปจนตาย ไม่กลับคืนเช่นสายน้ำสายลม สิ่งที่พูดสิ่งที่พิมพ์สู่ออนไลน์ เตือนใจให้ระวังดาบสองคม บทวิพากษ์บุคคล 3 ท่านที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง พอจ. พุทธทาส ภิกขุ ท่านแสดงความรอบรู้เป็นที่ประจักษุ์ในงานเขียนและเทศนาธรรม มีทักษะของปรีชาญาณ (in...
28 เมษายน ค.ศ. 2024
มุมมอง 839หลายเดือนก่อน
เฝ้ารู้เฝ้าดูไปเรื่อยๆ มันไม่ยาก ต้องอดทน อ่านหนังสือเล่มเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก อ่านกาย อ่านใจของตัวเองซ้ำไปเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าสอนสติปัฏฐาน ท่านถึงบอกให้รู้เนืองๆ รู้เนืองๆ ไม่ใช่นานๆ รู้ทีหนึ่ง ไม่ใช่นั่งจ้อง แต่รู้เนืองๆ รู้กายในกาย กายหายใจออก กายหายใจเข้า รู้สึกไป รู้เนืองๆ ไม่ถึงขนาดนั่งจ้องนั่งเพ่งร่างกาย จ้องร่างกายหายใจออก จ้องร่างกายหายใจเข้า อันนั้นไม่ใช่ อันนั้นเครียด รู้ด้วยใจปกติ คอยรู้...
เชื่อผิดจึงตั้งคำถามผิด
มุมมอง 233หลายเดือนก่อน
ทำอย่างไรจึงจะทำลายตัวผู้รู้ได้ เป็นการตั้งคำถามที่ผิด ทำอย่างไรจึงจะทำลายตัวผู้รู้ได้ จะกี่คำตอบมันก็ผิดวันยันค่ำ การหาวิธีดับจิต ทำลายจิต เพื่อไม่ให้มันไปเกิดอีกหลังจากตาย เพราะเชื่อว่ามีตัวตนนามธรรมเที่ยงแท้ เพราะติดอยู่ในปรัชญาจิตนิยม พาให้มีมิจฉาทิฏฐิ ว่าตายแล้วเกิดเหมือนคำสอนฮินดู ทำอย่างไรจึงจะทำลายตัวผู้รู้ได้ เป็นการตั้งคำถามที่ผิด ทำอย่างไรจึงจะทำลายตัวผู้รู้ได้ จะกี่คำตอบมันก็ผิดวันย...
พระอาจารย์สมชาย กิตฺติญาโณ 5/5
มุมมอง 172หลายเดือนก่อน
เฝ้ารู้เฝ้าดูไปเรื่อยๆ มันไม่ยาก ต้องอดทน อ่านหนังสือเล่มเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก อ่านกาย อ่านใจของตัวเองซ้ำไปเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าสอนสติปัฏฐาน ท่านถึงบอกให้รู้เนืองๆ รู้เนืองๆ ไม่ใช่นานๆ รู้ทีหนึ่ง ไม่ใช่นั่งจ้อง แต่รู้เนืองๆ รู้กายในกาย กายหายใจออก กายหายใจเข้า รู้สึกไป รู้เนืองๆ ไม่ถึงขนาดนั่งจ้องนั่งเพ่งร่างกาย จ้องร่างกายหายใจออก จ้องร่างกายหายใจเข้า อันนั้นไม่ใช่ อันนั้นเครียด รู้ด้วยใจปกติ คอยรู้...
พระอาจารย์สมชาย กิตฺติญาโณ 4/5
มุมมอง 143หลายเดือนก่อน
เฝ้ารู้เฝ้าดูไปเรื่อยๆ มันไม่ยาก ต้องอดทน อ่านหนังสือเล่มเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก อ่านกาย อ่านใจของตัวเองซ้ำไปเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าสอนสติปัฏฐาน ท่านถึงบอกให้รู้เนืองๆ รู้เนืองๆ ไม่ใช่นานๆ รู้ทีหนึ่ง ไม่ใช่นั่งจ้อง แต่รู้เนืองๆ รู้กายในกาย กายหายใจออก กายหายใจเข้า รู้สึกไป รู้เนืองๆ ไม่ถึงขนาดนั่งจ้องนั่งเพ่งร่างกาย จ้องร่างกายหายใจออก จ้องร่างกายหายใจเข้า อันนั้นไม่ใช่ อันนั้นเครียด รู้ด้วยใจปกติ คอยรู้...