ชัวร์ก่อนแชร์ น้ำตาลเป็นพิษอย่างเลวร้าย จริงหรือ ?
ฝัง
- เผยแพร่เมื่อ 15 ก.พ. 2022
- 8 ก.พ. 65 - บนโซเชียลแชร์บทความเตือนว่า
“น้ำตาล เป็นพิษอย่างเลวร้ายสำหรับมนุษย์...”
เป็นความหิวโหยของเซลล์มะเร็ง
เป็นสาเหตุของไข้หวัดทั้งปวง
🎯 ตรวจสอบกับ ผศ.ดร.ปรัญรัชต์ ธนวิยุทธ์ภัคดี
อาจารย์หลักสูตรพิษวิทยาและโภชนาการเพื่ออาหารปลอดภัย
สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
สัมภาษณ์เมื่อ 18 มกราคม 2565
🔎 ตรวจสอบข้อเท็จจริง โดย พีรพล อนุตรโสตถิ์
-----------------------------------------------------
📌 สรุป : ✅ แชร์ได้ อธิบายเพิ่ม ✅
Q : บทความเรื่องน้ำตาลที่แชร์กันนี้จริงเหรอ ?
A : ในหลายประเด็น น้ำตาลเกี่ยวข้องก็มีส่วนจริง
ปัญหาของน้ำตาลต่อสุขภาพ นั่นก็คือ มันมากเกินไป
Q : น้ำตาลมีหลายชนิด แต่สิ่งที่บทความนี้น่าจะเน้นคือ น้ำตาลซูโครส ?
A : ที่มีการแชร์กันเยอะ ๆ จะหมายถึง น้ำตาลทราย
ที่มีชื่อภาษาอังกฤษว่า น้ำตาลซูโครส
Q : เขาบอกว่า น้ำตาลเป็นพิษอย่างเลวร้าย จริงเหรอ ?
A : อาจจะบอกได้ว่าน้ำตาลก็เป็นจุดเริ่มต้นหลายอย่าง
ของความเสื่อมของร่างกาย แล้วก็ทำให้เกิดความรุนแรงอย่างต่อเนื่องได้
การที่รับประทานอาหารแล้วมีน้ำตาลเยอะ
อย่างเช่นพวกขนม น้ำหวาน ต่าง ๆ พวกนี้
จะมีการใช้น้ำตาลทรายในปริมาณที่เยอะ
พอเราได้น้ำตาลเยอะ อันแรกเลย นั่นก็คือ
มันจะทำให้เราได้พลังงานส่วนเกิน เยอะขึ้น
พอพลังงานส่วนเกินมันเยอะ มันก็จะเหลือ
น้ำตาลก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมัน
แล้วก็เก็บสะสมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
พอสะสมไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ น้ำหนักเราก็จะเพิ่มขึ้น ๆ
จนกระทั่งเกิดภาวะโรคอ้วนขึ้น คือจุดเริ่มต้นเลย
Q : ส่วนที่สำคัญ อาจไม่ใช่ที่ตัวน้ำตาลเอง แต่เป็นพฤติกรรมของเรา ?
A : ถ้าเราพูดถึงน้ำตาล เรื่องของพฤติกรรมของผู้บริโภคมีความสำคัญมาก
พออ้วน เกิดอะไรขึ้น โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ต่อจากโรคอ้วน ก็คือโรคเบาหวาน
ร่างกายไม่สามารถดูดซึมน้ำตาลไปใช้ได้ จะทำให้น้ำตาลอยู่ในกระแสเลือด
ก็จะไปเกาะกับโครงสร้างของเซลล์ มันจะเกิดปฏิกิริยา “ไกลเคชั่น”
ทำให้เกิดสารชนิดหนึ่ง เรียกว่า Advanced glycation end products (AGEs)
ก็จะทำให้เซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย เกิดความเสื่อมเกิดขึ้น
Q : เขาบอกว่า “น้ำตาล คือ อาหารของมะเร็ง” ?
A : ในกรณีของผู้ป่วยมะเร็ง ถ้าเขาลดน้ำตาลได้ การพัฒนาของโรคมันก็จะช้า
แล้วก็ภาวะการเจ็บป่วยจากมะเร็งของเขาก็จะดีขึ้น
ก็คือไม่รุนแรง ไม่ทุกข์ทรมานมาก
Q : แล้วจริง ๆ น้ำตาล กับ มะเร็ง เกี่ยวข้องกันไหม ?
A : จะบอกว่ามันไม่เกี่ยวเลยก็ไม่ได้
แต่มันเกี่ยวแบบลำดับขั้นของการเปลี่ยนแปลง
ของการส่งเสริมของการเกิดมะเร็ง
Q : เขาบอกว่า น้ำตาลเป็นสาเหตุของ ไข้หวัดทั้งปวง ?
A : อาจจะไม่ชัดเจนขนาดนั้น สาเหตุของไข้หวัดคือ
การที่เราได้รับเชื้อไวรัส อินฟลูเอนซา เข้ามา
แต่เราต้องมองในลักษณะว่า ก็มีข้อมูลระบุว่า
น้ำตาลจะไปทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะเจาะจงลดลง
อาจจะมีส่วนทำให้ติดหรือว่าเป็นหวัดง่ายขึ้น
Q : เขาบอกว่า การกินน้ำตาลหนึ่งช้อน จะลดภูมิคุ้มกันของร่างกายลง 50% ?
A : น้ำตาล 1 ช้อน คือ น้ำตาล 5 กรัม ไม่พบข้อมูลตรงนี้นะคะ
ว่าลดระบบภูมิคุ้มกันไป 50% แต่น้ำตาลสามารถทำให้ระบบภูมิคุ้มกัน
เกิดการเปลี่ยนแปลง หรือว่าทำงานได้ไม่ดี อันนี้มีข้อมูล
Q : เขาบอกว่า น้ำตาลทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ จริงเหรอ ?
A : อันนี้มีข้อมูลชัดเจน เอกสารอ้างอิง น้ำตาลมีส่วนเกี่ยวข้อง
กับการเกิดความเสื่อม รวมไปถึงอัลไซเมอร์ด้วย
ถ้าเราได้รับน้ำตาลมากเกินไป แน่นอน
ถ้ามีพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูง
โอกาสที่จะทำให้เกิดความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย
รวมไปถึงเซลล์สมองด้วย ก็มีมากขึ้น
Q : เขายังบอกว่า น้ำตาลเป็นสาเหตุของ
โรคหัวใจ ความอ้วน การกักเก็บไขมัน ?
A : ทุกโรคน่าจะเกี่ยวข้องกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
จุดเริ่มต้นนั่นก็คือ น้ำตาลเกินก่อน พอน้ำตาลเกิน
ก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมัน พฤติกรรมนี้ยังคงอยู่อย่างต่อเนื่อง
น้ำตาลก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันเรื่อย ๆ เก็บสะสม
พอกพูนตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
Q : แต่อาจารย์เน้นด้วยว่า น้ำตาล ก็ไม่ใช่สิ่งเดียวที่พึงตระหนัก ?
A : ใช่ น้ำตาลเป็นจุดเริ่มต้น ตัวอื่น ๆ ก็เกี่ยวข้องด้วย
ถ้าเรากินอาหารที่มีไขมันเยอะด้วย
น้ำมันเองก็มีข้อแนะนำไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวันเช่นกัน แบบเดียวกับน้ำตาลเลย
Q : สรุปแล้ว บทความเรื่องน้ำตาลเป็นพิษอย่างเลวร้ายนี่เป็นอย่างไร ?
A : หลายส่วนสามารถแชร์ต่อได้ แต่อาจจะตัดข้อความโจมตีภาคีใดภาคีหนึ่ง
อยากให้เน้นพฤติกรรมของผู้บริโภคมากกว่า
น้ำตาลเท่าไหร่ถึงจะเกินความต้องการของร่างกาย
นั่นก็คือต่อวันกินน้ำตาลได้ แต่อย่าให้เกิน 6 ช้อนชา ต่อวัน
👉 การเข้าใจข้อเท็จจริง จะช่วยให้เราไม่มุ่งเน้นผิดจุด
จนพลาดเป้าหมายที่แท้จริง
#ชัวร์ก่อนแชร์ #sureandshare
-----------------------------------------------------
🎯 หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ "ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์" 🎯
LINE | @SureAndShare หรือคลิก line.me/ti/p/%40sureandshare
FB | / sureandshare
Twitter | / sureandshare
IG | / sureandshare
Website | www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok | / sureandshare
ข่าวค่ำ | สำนักข่าวไทย อสมท | ช่อง 9 MCOT HD เลข 30 | www.tnamcot.com - บันเทิง
แล้วแต่ร่างกายแต่ละคน แม่ผมกินกาแฟ โอเลี้ยง ตั้งแต่เด็กๆ ตอนนี้ 82 ยังสุขภาพดีอยู่ เดินตลาดได้ 3-4 ชั่วโมง
ผมเป็นภูมิแพ้ ฝุ่นอากาศ กินยาแก้แพ้มาตลอดครับ 1 อาทิตย์จะมี 1-5 วันได้ที่ต้องกิน พอผมมากินคีโต ก็ต้องตัดน้ำตาล ภูมิแพ้ผมหายสนิท ไม่ต้องกินยาแก้แพ้เลย พอกลับมากินขนมน้ำตาล หลังจากกินสักพักก็จะเริ่มมีอาการ คันคอ คันในหู คันตา มีน้ำมูก อาการมากหรือน้อยก็ตามปริมาณที่กินครับ ล่าสุดลองกินมันฝรั่งทอดซาวครีมยี่ห้อนึง ภูมิแพ้ขึ้นแรงมากๆ
กลายเป็นว่า เป็นที่อาหารต่างๆ ไปกระตุ้นหรือลด ระบบภูมิคุ้มกันของผม
อาการอีกอย่างก็คือ เมาน้ำตาลกับปวดหัว ถ้ากินอย่างเค้กสักชิ้นครับ
ไม่ควรหยุดกินครับแต่กินให้พอดีกับร่างกาย ส่วนตัวผมทดลองกับตัวเองมาทุกขั่นตอนหยุดทานน้ำตาลมา 4 ปี ทานแต่น้ำตาลที่ได้จากข้าวที่เขาว่าเพียงพอ ผลคือร่างกายไม่มีแรงทั้งที่กินคาร์โบไฮเดรดเพียงพอ แต่พลังงานที่นำไปเลี้ยงส่วนอื่นๆในร่างกายไม่พอทำให้เส้นติดเส้นยึดข้อต่อกล้ามเนื้อมีปัญหาและมีผลต่อสมอง อารมณ์ ความคิด จนถึงขั่นมีปัญหาทางจิตได้ แต่ผลจะค่อยๆแสดงทีละน้อยจาก จนปีที่ 3 พีค จนเริ่มทานผักเสริมมากขึ้นแต่ช่วยไม่ได้เท่าไรเพราะยังไงร่างกายก็ต้องทานน้ำตาลร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพียงแต่หาจุดที่ร่างกายแต่ละคนต้องการให้ได้ ถ้ามากไปน้ำตาลจะเป็นกรดในเลือด ทำให้ไปเกาะตามจุดต่างๆทำให้มีโอกาสเกิดโรคได้แต่มันค่อนข้างเก่าสำหรับการรักษาแบบนี้ อย่าลืมระบบแต่ละคนไม่เหมือนกัน ซึ่งผมได้ทดลองกับตัวเองมาแล้วเก็บงานวิจัยมาแล้วลงทุนกับร่างกายตัวเองมาแล้ว ณ ตอนนี้ผมกลับมาทานน้ำตาลให้พอดี แต่จะเน้นน้ำผึ้งเป็นหลัก หรือความหวานจากน้ำตาลแต่ต้องเป็นน้ำตาลธรรมชาติไม่ใช่น้ำตาลสีขาว ร่างกายเริ่มกลับมาดีขึ้นแต่ต้องใช้เวลา ซึ่งมันเห็นผลชัดเจนว่าน้ำตาลสำคัญแค่ไหน เพียงแต่ต้องดื่มน้ำทดแทนได้พอ
ผมอยากรู้เราจะหาสมดุลมันได้ยังไง คิดยังไงก็คิดไม่ออกพอแนะนำได้ไหมครับ
น้ำตาลมีอยู่ในอาหารทุกชนิด ซึ่งที่เรียกว่าในรูปของคาร์โบไฮเดรต เมื่อเรากินเข้าไป มันก็จะกลายเป็นน้ำตาลกลูโคส
หากกินเยอะมันก็จะเก็บเป็นไขมัน
เพราะฉะนั้นถึงไม่กินน้ำตาลร่างกายเราก็ผลิตน้ำตาลขึ้นมาใช้อยู่ดี มันจะหล่อเลี้ยงร่างกายอยู่ประมาณ4กรัม ซึ่งเราก็สามารถใช้พลังงานนี้ได้ทั้งวัน
ส่วนน้ำผึ้ง มันเป็นน้ำตาลฟรุ๊กโตส น้ำตาลชนิดนี้ร่างกายใช้ไม่ได้ แต่ที่ได้คือแค่วิตามินในนั้น เมื่อเรากินเข้าไป ภาระที่กำจัดน้ำตาลชนิดนี้คือตับที่เดียว
น้ำตาลที่เราคุ้นเคยคือน้ำตาลโมเลกุลคู่
ซึ่งจะมีทั้งกลูโคสและฟลุ๊กโตส
เป็นทั้งตัวให้พลังงานและ ตัวทำลาย
น้ำตาลที่เหมาะกับคนคือ กลูโคส
@@teamu5676 ร่างกายคนเราต้องการน้ำตาลกลูโคสแค่4กรัม ในกรณี ไม่ใช้แรงใดๆ ใน1วัน
และหากไม่กินอะไรเลยในวันนั้น ร่างกายจะเผาไขมันเรามาใช้เป็นน้ำตาลเองอัตโนมัติ เราจึงไม่ต้องกลัวว่าจะขาดน้ำตาล และจะสามารถใช้ชีวิตได้ไม่ต่ำกว่า1เดือนแม้ไม่กินอาหาร แต่ไม่ขาดน้ำ
ค่าน้ำตาลในเลือดร่างกายก็จะคงสภาพไว่ไม่ต่ำกว่า60mg
นี่คือมหัศจรรย์ของร่างกายคน
ผมไม่เชื่อหมอหรอกครับ.
(หมายเหตุ)คือไม่เชื่อแบบ.100%
ร่างกายคนเราไม่เหมือนกันบางคน
กินหวานหน่อยมีเเรงทำงานทำการ
บางกินกินผักสดเเล้วรู้สึกกระปรี้กระเป่า
บางคนกินผักสดเเล้วรู้สึกท้องอืดธาตุ
ของคนไม่เหมือนกันครับผมเชื่อพระพุทธเจ้า
คือเดินสายกลางกินอะไรก็ให้กินพอดี
จะรักใครชอบใครก็ให้เเบบพอดีมีสติ
ทุกอย่างมีทั้งประโยชน์และโทษถ้าเกินพอดี
หลุดจัดตั่งใจเรียนบ้างก็ดีนะครับ
มันมีเเรงอยู่เเล้วครับเพราะให้พลังงานลองฟังดีๆในครีปเค้าบอกว่าไร
ผิดทั้งหมดไม่ว่า ดร. หรือ อาจารย์ที่ไหนบอกคนที่มีการทำงานหนักมากก็ต้องใช้พลังมากแล้วพลังโดยมากมาจากไหนหากไม่ใช่ไขมันและน้ำตาลเดี๋ยวนี้หากส้วมอยู่นอกบ้านก็ไม่เดินแล้วล่ะครับกินหรูอยู่สบายนั่นคือสาเหตุบางคนเหงื่อไม่ออกสักเม็ดในแต่ละวันเรื่องนี้ มันอยู่ที่ไลด์สไตล์ด้วยครับเสร็จจากงานดื่มแอลกอฮอล์พอได้เวลากลับมานอนถึงเวลาก็ไปทำงานแล้วร่างกายจะเอาภูมิคุ้มกันมาจากไหนผมว่าพฤติกรรมของมนุษย์นี่แหละที่สร้างปัญหาให้กับตัวเองในหลายๆด้านของร่างกายมากกว่าครับ
ลด ละเลิก
อาหารหวานๆ มาสี่ปี
สุขภาพดีขึ้น จริง
ขอบคุณครับผม
ขอบคุณมากค่ะ
การศึกษาวิทยาศาสตร์ก็สำคัญมากครับ
ขอบพระคุณค่ะ
น้ำตาลเป็นพิษ ก็ไม่แปลก
ขนาด รัก ยังเป็น พิษ ได้เลย
“อยากจะถอน พิษ ที่คลั่งฝังใจ”
“พิษรักที่คุณฝากไว้… ช่างแสนร้ายกาจ”
ไปศึกษา เรื่องสาร A G E ก่อนแล้วค่อยเชื่อคลิปนี้ จะได้รู้ว่าน้ำตาลมีผลกับร่างกายอย่างไร หมอญี่ปุ่นสามารถสกัดสาร age หรือน้ำตาลที่ถูกใช้แล้วออกจากร่างกายได้ด้วย
อะไรที่มากไป น้อยไป = ป่วยทุกคน ……
อย่างผม ชอบกินปลาหมึก มาก จนตอนอายุ 28 เป็นคอเรสตอรอลสูง ต้องทานยา แต่ผม เลือกปรับการกิน สุดท้ายก็ไม่ต้องกินยา
พึ่งสังเกตครับ น้ำตาลทรายขาวปัจจุบัน มดมันไม่ขึ้นเหมือนสมัยก่อน ขนาดเปิดถุงไว้นะ แต่น้ำตาลทรายแดงออกานิค มดกัดซองเจาะจนทะลุเข้าไปกิน ก็พอบอกได้ว่าคนควรจะกินแบบไหน
ก็เกือบทุกอย่างแหละ อะไรที่มันมากเกินไปหรือน้อยเกินไปก็ไม่ดีอยู่แล้ว มันต้องพอดีๆจึงจะดี อย่างกรณีนี้น้ำตาลมากเกินไปก็จะป่วยตาย/น้อยเกินไปก็จะป่วยตายเช่นกัน ต้องพอดีๆเท่านั้น😅
ที่หมอพุดมานี้ถุกตอ้งทุกอย่างค่ะ
เบาหวานด้วย สารพัด
ตอนนี้ลดการกินน้ำตาลไปเยอะเลยค่ะ เพราะเมื่อก่อนติดน้ำอัดลมมากกินแทนน้ำเลยค่ะ
ทานน้ำอ้อนแทนค่ะไม่มีสารพิษสารเคมีเป็นโมเลกุลเชิงเดี่ยวค่ะ
อ้อยก็เป็นน้ำตาลชนิดนึง ถ้าคนป่วยเบาหวานก็ไม่ควรกินนะคะ
เบาหวานไม่ทานน้ำตาชเลนก้อตายค่ะ
ช่วยแนะนำความรู้ของ น้ำตาลกรวด ได้ไหมค่ะ🍀🙏🍀
น้ำตาลเทียมที่ใช้ทำน้ำดื่ม มีความ หวานกว่าน้ำตาลแท้600เท่า
เรื่องหวัด สำหรับตัวผมนี่จริง แม้จะวิ่งทุกเช้า 6-10 กิโลทุกวัน ก็ยังเป็น พอหยุดนำ้ตาลทุกชนิด หวัดหายเลย หลายปีแล้ว ผลไม้หวานน้อยได้ แต่ไม่มาก ใครอยากหาย หวัด ภูมิแพ้ ลองดูได้ ซักอาทิตย์ ก็รู้แล้ว
ขอบคุณมากครับ
Hadir teman ikut nyimak❤❤❤❤👍🙏
กินอยู่แต่พอดี ไม่มีโรค
สารAGE จากการผสมของน้ำตาลและไขมันหรือโปรตีน มีความเหนียว เกาะตามหลอดเลือดและเป็นต้นเหตุของโรคต่างๆเช่น ไขมันพอก โรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน สารพัด...การปรุงอาหารด้วยวิธีลวก-ต้ม(อุณหภูมิไม่เกิน 100-110องศาเซลเซียส ลดการเกิดสารAGEลง10-14เท่า เทียบกับการทอด (เช่นไข่เจียวไข่ดาว เทียบกับไข่ต้ม) และการใช้น้ำมัน(ไขมัน)ในการทอด
ใครไม่เชื่อว่าน้ำตาลอันตรายกินเข้าไปเยอะๆ เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน กินทุกวันแล้วสุขภาพจะแข็งแรงแบบน้ำตาลๆ
กินอะไนมากเกินเป็นพิษต่อร่ายกายทั้งนั้น
จริง
น้ำตาล ถ้า ทานมากเกินไปก็พิษ จบ... แต่ คนเราขาดน้ำตาลไม่ตาย... รู้แค่นี้พอละ
ถ้าอ้วนมากๆ if เลย อด สามวัน ดื่มแต่น้ำเปล่า (ต้องมีคนเชี่ยวชาญดูแล,)
ความดัน
👍
อันตรายเพราะการแปรรูป
น้ำตาล 6 ช้อนชาปสมน้ำปลา 3 ช้อนชา ปฏิกิริยาทางเคมีจะเปลี่ยนแปลงไจากเดิมหรือไม่
ทุกอย่างมีที่เราเป็นคือกรรม
ผมจะยกเว้นสีขาวครับ
บริโภคน้ำพึ่งทุกวันจะไห้โทษอะไรไหมครับ วันละ 2 ช้อนโต๊ะ
แชร์มาในไลน์ครอบครัว คนแชร์ชอบแนวนี้อยู่แล้ว คือต้องมีว่าคนอื่นแบบโจมตีเขา
มากเกิน..เบาหวาน
ขาดหวานเป็นลม
กินวันละกี่ช้อนชา ไม่รู้ แต่ถ้า น้ำตาลในเลือดเกิน 120 เมื่อไหร่ เตรียมเป็นเบาหวาน ได้เลยครับ
น้ำตาลเหมือนเป็นสิ่งเสพติด แต่ต้องกินหรือใช้ไห้พอดีกับการต้องการของร่างกายคะ
คนติดโควิด ไม่ควรบริโภคของหวาน และ เครื่องดื่ม จริงไหมครับ
น้ำตาลทรายแดง...น้ำตาลไม่ฟอกสี...จะดีกว่า.
น้ำตาล 6 ช้อนชาที่กินเข้าร่างกายมันจะไปอยู่ที่ไหน
ถ้ากินน้ำตาลน้อย ( รวมคาร์โบไฮเดรตอื่นด้วยนะคะ ไม่มากเกินไป ) ร่างกายจะนำมาใช้เป็นพลังงาน เผาผลาญหมดค่ะ
กินต่อวันได้อย่ามากและออกกำลังกายสม่ำเสมอ
น้ำตาลคือตัวปัญหาเพราะมีพลังงานสูงและสมองชอบต้องกินไม่ให้เกินปริมานที่ร่างกายต้องการดีที่สุดคนเราเป็นโรคเกิดจากหลายสาเหตุอย่าโทษแต่น้ำตาลครับอย่างไขมันก็เหมือนกันหากกินในปริมานที่มากจนร่างกายจัดการไม่ทันก็ทำให้เกิดโรคได้เหมือนกันครับใช้สติก่อนบริโภคครับผม😁😁😁
น้ำตาลมะพร้าวดีทีสุด
กินพอเหมาะ
น้ำตาลจะเป็นอะไรก็ช่างเถอะ แต่ถ้าขาดน้ำตาลเหมือนจะไม่มีแรง ใครเป็นบ้าง
เราเป็นค่ะ
เป็นเพราะว่าร่างกายคนส่วนใหญ่เคยชินกับการใช้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลเป็นหลักค่ะ
น้ำตาลดูดซึมได้เร็ว ร่างกายนำไปใช้ได้เร็ว เลยรู้สึกสดชื่น แต่ก็เป็นระยะเวลาสั้นๆ ค่ะ
แต่สมัยนี้มีคนจำนวนไม่น้อยที่พยายามฝึกร่างกายให้หันไปใช้พลังงานจากไขมันกันได้เยอะ คือต้องงดน้ำตาลและลดคาร์โบไฮเดรตลง ช่วงแรกๆ อาจจะไม่สดชื่นนัก แต่พอผ่านพ้นช่วงแรกๆ ไป ร่างกายปรับตัวใช้พลังงานจากไขมันได้ อาการอ่อนเพลียก็จะลด
ลง จะกระปรี้กระเปร่าขึ้นค่ะ และรูปร่าง และผิวพรรณก็ดีขึ้นด้วย
เราก็ยังไม่ถึงจุดนั้น แต่ก็พยายามงดการเติมน้ำตาล และลดคาร์โบไฮเดรตลงค่ะ
นั่นเป็นเพราะว่าร่างกายได้รับพลังงานมากเกินจำเป็น
ในระยะเวลาอันสั้นไปครั้งหนึ่ง แล้วพลังงานที่เหลือก็ถูกแปลงไปเป็น
ไขมันเก็บสะสมไว้ตามส่วนต่างๆของร่างกาย เมื่อพลังงานชุดแรกหมดลง
ก็จะทำให้ร่างกายโหยหาน้ำตาล ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าเราดื่มน้ำอัดลมเข้าไป พลังงานที่ได้รับจะเป็นน้ำตาลที่อยู่ในนั้น
สมมุติว่าได้พลังงานสัก 200 Kcal. ซึ่งร่างกายสามารถย่อย ดูดซึม
และเอาไปใช้ได้ภายในเวลาไม่ถึง 15 นาที ทำให้เรารู้สึกมีแรงขึ้นมา
ได้อย่างรวดเร็วหลังจากดืมมัน แต่ถ้าภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากนั้น
เราใช้พลังงานไปเพียง 80 Kcal. จาก 200 Kcal. ที่กินเข้าไป
ส่วนที่เหลือ 120 Kcal. จะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันไปเก็บตามส่วนต่างๆ
ซึ่งไขมัน 120 Kcal. นั้นกว่าจะย่อยกลับมา ใช้ได้อีกจะเสียเวลา
นานมากๆ ทำให้เรารู้สึกอยากกินของหวานอีกครั้งเพื่อให้ร่างกาย
ได้รับพลังงานเข้ามาไวๆ นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเราถึงรู้สึกหมดแรง
แล้วอยากกินของหวาน
คุณแม่กินหวานทุกอย่างทั้งกับข้าวทั้งขนม 80กว่าไม่เคยเป็นเบาหวาน แต่ลูกสาวไม่กินขนมหวานแต่กินเหล้ากับโค้ก ตอนนี้ฉีดอินซูลินอย่างเดียว ต้องดูแลตัวเองแต่ละคนไม่เหมือนกัน
แต่เวลากินกล้วย เวลาแลบท้องก็หายแสบ เชื่อประสบการณ์ดีกว่าเชื่อหมอ
สรุปน้ำตาลไม่ดีต่อสุขภาพถ้ารับประทานน้ำตาลมากเกินไป
ผมกินอาหารใส่น้ำตาลไม่ได้เลย มันไม่อร่อยลิ้น มันจะอ๊วก
ระบบร่างกายคนเรามีการเผาผลาญไม่เหมือนกัน ขอแค่ให้รู้จักตัวเอง ว่าระบบเผาผลาญของเราอยู่ระดับไหน กินอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลให้เหมาะสม อย่าให้เกินกว่าที่ร่างกายต้องการ ก็จะดี ถ้าเกินก็มีโทษ คนทำงานหนัก ทานแป้งและน้ำตาลเยอะหน่อย มันก็อาจจะช่วยในเรื่องของแรงในการทำงาน คนทำงานเบา ทำงานสำนักงาน นั่งหน้าคอมฯ ทานแป้งน้ำตาลมาก ก็เสี่ยงพลังงานเกิน ดังนั้นเลยมองว่า ควรพิจารณาเรื่องระบบเผาผลาญส่วนตัวและการทำงานของเรา ควบคู่กัน จะทำให้ทานอาหาร แป้ง และน้ำตาลได้อย่างเหมาะสม
ตอนนี้ผมทานอาหารแบบลดแป้งและน้ำตาล หรือแบบโลคาร์ป น้ำหนักจาก 71 เหลือทรงๆ ที่ 63-64 พุงยุบ คางยุบ เบาตัว แต่ก็ยังมีแรงทำงานปกติ
ตอบเหมือน ไม่ตอบ ทุก ep ตอบครึ่งๆๆ กลางๆๆๆ
ไม่น้าเลย นำ้ตาล ขนมอร่อยมาก
สุดยอดจริงๆครับสำหรับข้อมูลขอบคุณครับติดตามตลอดครับ
ตกลงน้ำตาลมีข้อดีมั้ยครับ
6ช้อนชาต่อวัน หมายถึงพลังงานที่ร่างกายต้องการ
หรือเป็นปริมาณที่รองรับความอยากกินรสหวานในแต่ละวันครับ
เหมือนน้ำตาลเป็นสิ่งที่ไม่ดี100%เลย
อยากจเให้พูดถึงข้อดีของน้ำตาลบางครับ(ถ้ามีนะครับ)
ข้อดีคือให้พลังงานได้ไว เนื่องจากดูดซึมไว แต่คาร์โบรไฮเดรตมันย่อยง่ายทำให้หิวบ่อย เมื่อหิวบ่อยคนเลยกินบ่อย ทำให้ได้พลังงานเยอะเกินความจำเป็นจึงไปสะสมเป็นไขมัน และหลังอินซูลินมากเกินความจำเป็นเป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน ความดัน หัวใจ มะเร็งตามมาครับ ถึงไม่กินน้ำตาลเลยในเนื้อสัตว์ นม พืชผักผลไม้ก้มีน้ำตาลอยู่แล้วครับ
นํ้าตาล=เบาหวาน
เบาหวาน=มะเร็ง
มะเร็ง=ตาย
ถ้าไม่ทำกับข้าวเอง กินของทั่วๆไป เกินอยู่แล้ว นี่ยังไม่นับรวมขนม น้ำหวานนะ
ບາງຄົນຟັງແລ້ວກ່ຽວກັບການກິນນ້ຳຕານ ຄິດຢ້ານກົວຢ່າງແຮງ, ຂພຈ ກິນທຸກວັນກັບກາເຟຕອນເຊົ້າແຕ່ອາຍຸຍັງໜຸ່ມ ດຽວນີ້ອາຍຸ 68 ປີແລ້ວຖືວ່າທຳມະດາບໍ່ມີຫຍັງຜິດປົກກະຕິ(ກວດສຸຂະພາບນ້ຳຕານປົກກະຕິ) ສິ່ງທີ່ບໍ່ຢາກໃຫ້ໃກ້ຄືນ້ຳຕານຟູໂຕສ. ສະນັ້ນ ຈຶ່ງສະຫລຸບວ່າກິນນ້ຳຕານບໍ່ດີຕໍ່ສຸຂະພາບນັ້ນມັນຂຶ້ນກັບສະພາບຮ່າງກາຍຂອງບຸກຄົນ
เป็นสิ กระสอบตั้ง50โล ปวดหลังมาก
นานๆกินทีกินเยอะๆไปเลยดีกว่ากินทุกวัน
ปัญหาคือหาประโยชน์ไม่เจอนอกจากอร่อย
นั่นก็ไม่ดี นี่ก็กินไม่ได้ สรุปกินน้ำค้างบนยอดหญ้า ปลอดภัยที่สุด
#น้ำตาลคือสารพิษ
น้ำตาลมะพร้าวดีทีสุดลองไปหาซื้อเอง
👍🙏💖💕
ถ้ามันมีโทษขนาดนั้นให้ผลิตออกมาทำไม
ฉีดยาฆ่าหญ้าในป่าอ้อยสารพิษต้องตกค้างอยู่แล้ว
เป็นไปไม่ได้ที่จะงดน้ำตาลเลย
เป็นไปได้นะคะมีคนทำได้เยอะ ลองค้นคำว่า "คีโต" " โลว์คาร์บ"
"อาหารคลีน" ดู ทั้ง 3 อย่างวิถีอาจต่างกัน แต่ทั้ง 3 เส้นทาง งดการเติมน้ำตาลค่ะ แต่ถ้ายังติดรสหวาน เขาก็จะหันไปใช้น้ำตาลเทียมแบบที่ไม่กระตุ้นอินซูลินกัน อย่างพวก น้ำตาลหญ้าหวาน น้ำตาลหล่อฮั่งก้วย น้ำตาลอีรีทฯ
enter at your own risk
ของหวานมันอร่อยแต่มันไม่ดีต่อสุขภาพ
ใช้เเต่ถ้าไม่กินนํ้าตาลเลยก็ไม่ดีต่อสุขภาพเหมือนกัน
นำ้ตาลทำให้แก่เร็วใช้หรือไม่
ใช่ครับถ้าทานมากเกินไป
น่าจะมีส่วนค่ะ เพราะเห็นคนตัดน้ำตาลได้ รูปร่างเล็กลง และสุขภาพดี ผิวพรรณดีค่ะ
ควรจะบอกด้วยว่าน้ำตาล6ชช.นั้นคือแค่ไหน? ยกตย.ในน้ำอัดลม1กป.ก็มีนต.=6ชช.แล้ว
ถ้ามีรูปเทียบปริมานน้ำตาล คนจะเข้าใจมากขึ้น พูดแค่นี้คนมองภาพไม่ออก แม้แต่ในน้ำปลาก็มีน้ำตาล ซอสมะเขือเทศ น้ำจิ้มต่างๆก็มีน้ำตาล /วันนึงไม่ได้ตักน้ำตาลเลย แต่กินชาใข่มุก น้ำผลไม้ น้ำหวานต่างๆ น้ำตาลเพียบๆๆๆเลย
*พูดเพิ่มหน่อยนะคะ ไม่งั้นที่สอนไปก็เท่านั้น คนไม่Get ว่าแค่ไหนคือ6ชช. ก็กินแบบเดิม โรคเยอะขึ้นทุกวันแล้วค่ะ
*ขอให้เก็บภาษี น้ำหวานตามเปอร์เซ็นต์น้ำตาลเลยค่ะ มีผลแน่นอน
น้ำตาลไม่ดีจริงๆครับ ต้องสังเกตและวิจัยด้วยตัวท่านเองครับ เริ่มสังเกตจากเรื่องส่งผลเล็กๆน้อยๆไปก่อน อย่าเพิ่งไปเปรียบกับโรคร้ายอื่นๆ ระหว่างกินน้ำตาลกับไม่กินน้ำตาลส่งผลอย่างไร เช่นยกตัวอย่างประสบการณ์ผมทุกวันนี้กินน้ำตาลสิวจะขึ้นเยอะขึ้นมาก แต่ถ้างดน้ำตาลสิวจะไม่ขึ้นถึงขึ้นก็น้อยที่สุด
ควรเลิกผลิตน้ำตาลไปเลยค่ะ
ต้องเลิกกินข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง ฯลฯ เพราะร่างกายย่อยแล้วเป็นน้ำตาลซึมเข้ากระแสเลือดไปเลี้ยงให้พลังงานเซลต่างๆ ด้วยนะ
ต้องพิจารณาให้ดีก่อนจะตัดสินใจว่าน้ำตาลเป็นพิษหรือไม่นะครับ เกลือก็เป็นพิษ วิตามินก็เป็นพิษ เนื้อสัตว์ก็เป็นพิษ ถ้าเรากินมากเกินไป
คุณกินข้าว, ก๋วยเตี๋ยว, ขนมปังมั้ย? เมื่อกินเข้าไปร่างกายก็ย่อยเป็นน้ำตาลซึมเข้ากระแสเลือด ไปเลี้ยงเซลกล้ามเนื้อและเซลสมองให้พลังงานสามารถขยับเคลื่อนไหวหรือคิดอะไรได้ สมองเป็นอวัยวะที่ใช้พลังงานมาก ร่างกายจะโหยหาความหวานโดยที่เราไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเมื่อเราทำงานหนักหรือใช้ความคิดมากๆ น้ำตาลเป็นพิษ??? เราคงต้องบอกว่าเกลือ-วิตามิน-เนื้อสัตว์-นม-ทุกอย่างแม้กระทั่งน้ำก็เป็นพิษ ถ้าเรากืนมากเกินไป
สรุปว่าจริง ทุกอย่าง 555
ซูโครส เป็นโมเลกุลคู่(ไดแซคาไร) ไม่มีในธรรมชาติ
อ้อยเป็นพืชที่สร้างน้ำตาลซูโครส เอาน้ำอ้อยมากกรองแล้วตกผลึกก็จะได้น้ำตาลทราย
ไม่เชื่อลองดู
หมอไม่เคยรู้เหรอครับ ว่ามีนักวิจัยแจ้งว่า สมองใช้น้ำตาลเป็นพลังงาน
จริงๆ มนุษย์เราแปลงคาร์โบไฮเดรต จากพืชผักผลไม้ พอย่อยแล้วก็ดูดซึมเป็นน้ำตาลได้อยู่แล้วนะคะ ซึ่งบางทีเราไม่รู้สึกหวาน แต่มันมีน้ำตาลในธรรมชาติค่ะ
อย่าง ใน ข้าว เผือก มัน ข้าวโพด ถั่วต่างๆ และยังพวกแป้ง และผลไม้อีก สังเกตง่ายๆ ค่ะ เวลาเราเคี้ยวข้าว แป้ง หรือพวกข้างบนช้า หรืออมไว้ จะรู้สึกหวาน
แต่พวกข้างบน รวมถึงข้าวกล้อง ( ยกเว้นข้าวขาว และแป้งขาว ) ยังดี ที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน จะย่อยช้า อยู่ท้องนาน ดูดซึมได้ทีละนิดๆ ทำให้น้ำตาลในเลือดไม่แกว่งค่ะ
หมอเขารู้อยู่แล้วครับ แต่ในคลิปนี้เขาชี้ว่าอย่าบริโภคน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน ส่วนที่เกินจะเปลี่ยนเป็นไขมัน ก่อให้เกิดการอักเสบ และทำให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังตามมา
นมก็เช่นกัน มีน้ำตาลที่ชื่อว่าแลคโตส
ดังนั้นส่วนใหญ่อาหารในชีวิตประจำวันเราก็มีน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรต ( ที่จะแปลงเป็นน้ำตาลอยู่พอสมควรแล้ว )
ดังนั้นจึงควรจำกัดการเติมเพิ่มค่ะ ถ้าคุมได้ก็จะดีต่อสุขภาพค่ะ
และสมัยนี้ มีคนกลุ่มนึงที่ลดความอ้วนและรักสุขภาพ พยายามคุมคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลให้น้อยที่สุด จะเรียกการกินแบบนี้ว่า คีโต
ซึ่งเห็นผล มีกลุ่มคนหลากหลายวิชาชีพที่ใช้สมอง แม้แต่หมอค่ะ
ลองค้นคำว่า คีโต หรือ โลว์คาร์บดูค่ะ ในยูทูบก็มีเยอะ
เป็นรายการที่ค่อนข้างแปลก อะไรที่คนส่วนใหญ่เชื่อถือ ภูมิปัญญาไทยบอกว่าดี มันจะบอกว่าไม่ช่าย อะไรที่น่าจะมีปัญหาไม่น่าจะจริง คนพึงพอใจ มันจะรีบสวนทางบอกว่าไม่จริง..นี่ละรายการของช่องนี้
เขาเอาความรู้คนที่มีความรู้เฉพาะทางจริงๆ มาให้ความรู้ไม่ดีเหรอ บางอย่างมันก็เป็นความเชื่อผิดๆ ที่เชื่อกันไปเอง พอเขาเบรคบอกความจริง ก็ว่าเขาแปลก
รายการนี้เขาสร้างมาเพื่อให้ข้อมูลที่ถูก คนที่ค้านเขามากกว่าที่แปลก
วิทยาศาสตร์ทำให้คนมีความรู้ คิดอย่างมีเหตุผล มีหลักฐาน และพิสูจน์ได้ บางกรณีมันอาจจะค้านกับสิ่งที่เชื่อหรือเล่าสืบต่อกันมา เหมือนคนโบราณที่บอกว่าโลกแบนซึ่งไม่จริง แต่ความรู้บางอย่างก็มีส่วนจริง และถือเป็นภูมิปัญญา เช่นฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสบางชนิดและต้านการอักเสบได้
ถ้าให้สรุป...น้ำตาลก็ไม่ได้สิ่งเลวร้ายอะไรถ้ากินในปริมาณที่พอดี...มันอยู่ที่พฤติกรรมการกินของเรามากกว่า...อะไรที่มันมากเกินไปมีโทษทั้งนั้น
ขอบคุณนะคะเป็นประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพในระยะยาวมากๆด้วยความรู้ที่ถูกต้อง