รถยนต์ไฟฟ้า น่าใช้หรือยัง มาหาคำตอบ ในการทดลองขับขี่ MG4 Electric Standard Range D ราคา 709,000

แชร์
ฝัง
  • เผยแพร่เมื่อ 6 พ.ค. 2024
  • รถยนต์ไฟฟ้า น่าใช้หรือยัง มาหาคำตอบ ในการทดลองขับขี่ MG4 Electric Standard Range (D) ราคา 709,000 บาท
    MG4 หรือชื่อเต็ม NEW MG4 ELECTRIC เป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นล่าสุดที่ถูกพัฒนาบนแพลตฟอร์ม NEBULA PURE ELECTRIC PLATFORM นวัตกรรมที่ออกแบบมาเพื่อเป็นรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ สามารถปรับใช้ร่วมกับรถยนต์ไฟฟ้าได้ครอบคลุมหลากหลายเซกเมนต์ หลายขนาด ตั้งแต่รถแฮทช์แบ็ค ซีดานไปจนถึงรถกระบะ รองรับการใช้แบตเตอรี่ได้หลากหลายความจุ
    โดยในปี 2024 นี้ ทาง MG ประเทศไทย เปิดตัวออกมาทั้งหมด 4 รุ่นด้วยกัน โดยแบ่งเป็นเวอร์ชั่นประกอบในประเทศไทย 3 รุ่น ได้แก่ MG 4 รุ่น D, X, V และนำเข้าจากประเทศจีน 1 รุ่น ได้แก่ MG 4 XPower
    MG4 Electric รถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหลัง หนึ่งเดียวในพิกัดราคา 1 ล้านบาท เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกวิจัยและพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าตั้งแต่ต้น มิได้เป็นการพัฒนาต่อยอดจากรถยนต์สันดาปแต่อย่างใด ส่งผลให้ตัวรถ ฉีกกฎเกณฑ์เดิมๆ ในการพัฒนารถยนต์รูปแบบเก่าๆ
    มีการปรับปรุง ปรับตำแหน่ง อุปกรณ์ต่างๆ ของตัวรถใหม่ ให้เหมาะสมกับการใช้พื้นที่ตามสไตล์รถยนต์ไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของฐานล้อ ที่ถูกยืดยาวมากเป็นพิเศษถึง 2,705 มม. และมีฐานล้อที่กว้างมากถึง 1,562 มม. เทียบเท่ากับรถยนต์ระดับ C-Segment เลยทีเดียว ทว่า MG นำเสนอ MG4 ออกมาบนพิกัดของตัวถังรถยนต์ B-Segment เท่านั้น
    นอกจากนี้ ยังพัฒนาให้ชุดแบตเตอรี่ของรถ ถูกเก็บไว้ในโครงสร้างของตัวรถเลย ส่งผลให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำมากและลดปัญหาเรื่อง "แบตห้อย" ไปได้เลย เพราะจุดที่ต่ำที่สุดของรถไม่ใช่แบตเตอรี่อีกต่อไป แต่เป็นชุดช่วงล่าง ซึ่งก็เหมือนกับรถยนต์ปกติทั่วไปแล้ว
    ไฮไลท์สำคัญของ MG4 คันนี้คือ "ช่วงล่าง" MG4 ใช้ช่วงล่างด้านหน้าแบบ อิสระแมคเฟอร์สันสตรัท ส่วนด้านหลัง ใช้แบบอิสระ 5 ลิงก์ ผสานเข้ากับโครงสร้างตัวถังใหม่ที่เกิดมาเพื่อเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ประกอบกับยางติดรถจากโรงงานที่มีประสิทธิภาพสูง ส่งผลให้รถคันนี้มีประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนที่สูงมาก
    ซึ่งจากประสบการทดสอบรถยนต์ กล้าตอบว่า "มันให้ประสบการณ์ขับขี่ที่เหนือกว่ารถยนต์ทุกรุ่นในประเทศไทย ในพิกัดราคานี้แน่นอน" เพราะมันเหนือกว่าทั้งด้านการยึดเกาะ และความนุ่มนวลเลย
    ขุมพลังของตัวรถ ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 125 kW มอบกำลังสูงสุด 170 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหลัง แม้ตัวเลขอาจดูไม่หวือหวามาก แต่ด้วยความเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้แรงม้าและแรงบิดของมันทำงานทันทีที่กดคันเร่งจมมิด ประสบการณ์หลังติดเบาะ หาได้จากรถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่น แต่ประสบการ "โดนถีบออกไป" หาได้จากรถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหลังเท่านั้น
    MG4 รุ่น X ใช้ไฟหน้า LED Galaxy technology matrix ดีไซน์สปอร์ต เน้นความเฉียบคม มาพร้อมกับระบบเปิด/ปิดไฟสูงอัตโนมัติ
    กระจังหน้าแบบปิดทึบ ตามสไตล์ของรถยนต์ไฟฟ้า โดยดีไซน์โดยรวมของ MG4 จะเน้นไปที่ความสปอร์ต โฉบเฉี่ยว
    มาพร้อมไฟเลี้ยว LED ติดอยู่บริเวณด้านข้าง วางเป็นแนวตั้ง ส่วนช่องด้านล่าง เป็นส่วนของช่องรับอากาศไปยังระบบระบายความร้อนต่างๆ ของตัวรถ อาทิ ชุดเครื่องปรับอากาศ, ชุดระบายความร้อนมอเตอร์ และแบตเตอรี่
    มองจากด้านข้างตัวรถ จะเห็นแนวหลังคาที่ยกตัวสูงขึ้นด้านหน้า และค่อยๆ ลาดลงไปด้านหลัง จะไม่ได้ลาดลงเยอะไปซะทีเดียว แม้ตัวรถดูมีมิติที่เหมือนจะเล็ก ทว่าขนาดจริงของมันใกล้เคียงกับ Honda HR-V 2023 เลยทีเดียว
    อีกจุดเด่นนั่นคือฐานล้อของตัวรถที่ยาวมากๆ โดยมันมีฐานล้อยาวมากถึง 2,705 มม. ซึ่งสังเกตุได้อย่างชัดเจนว่าระยะห่างของล้อจากกันชนหน้า-หลัง สั้นมากๆ ทำให้มันเป็นรถที่เลี้ยวได้ง่ายมากๆ
    ล้อติดรถของ MG4 ใช้ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว พร้อมฝาครอบ Aero Cover รัดยาง Continental Max Contract MC6 ขนาด 215/50 R17
    ดีไซน์ด้านหลัง MG4 รุ่น X ถือเป็นไฮไลท์สำคัญของรถคันนี้เลย โดดเด่นด้วยไฟท้าย LED แบบ 3 มิติ ที่ลากยาวมาบรรจบที่โลโก้ MG ตรงกลาง และมาพร้อมกับสปอยเลอร์ท้ายบริเวณหลังคารถ ซึ่งออปชั่น 2 ชิ้นนี้ มีเฉพาะรุ่นท็อปเท่านั้น โดยส่วนตัวผู้เขียนมองว่า 2 ชิ้นนี้แหละ ที่ช่วยทำให้ดีไซน์ของ MG4 ดูดีมากเป็นพิเศษ
    ส่วนประตูห้องเก็บสัมภาระตอนท้าย เป็นระบบเปิด/ปิดด้วยมือ
    บริเวณด้านล่างของส่วนท้ายรถ MG4 ถูกออกแบบให้ปิดทึบ เพื่อเน้นด้านอากาศพลศาสตร์โดยเฉพาะ ลดลมหวนที่จะเกิดขึ้นบริเวณท้ายรถ มาพร้อมกับเซ็นเซอร์เตือนการถอยชน
    MG4 ภายใน
    ภายในห้องโดยสารของ MG4 ถูกออกแบบโดยเน้นความมินิมอล ลดปุ่มกดที่ไม่ได้ใช้งานบ่อยๆ เอาไปไว้ในหน้าจอแทน โดดเด่นด้วยหน้าจอมัลติมีเดียขนาด 10.25 นิ้ว ที่ทำหน้าที่ควบคุมการตั้งค่าต่างๆ ของตัวรถไว้อย่างครบครัน ทั้งระบบความบันเทิง, ระบบปรับอากาศ และการควบคุมการขับขี่
    เรือนไมล์ ใช้หน้าจอขนาด 7 นิ้ว บอกข้อมูลการขับขี่พื้นฐานครบครัน
    พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นขนาดใหญ่แบบ 2 ก้าน ปรับได้ 4 ทิศทาง
    แป้นเกียร์ไฟฟ้าแบบหมุน ตามสไตล์ของรถยนต์ไฟฟ้าจาก MG
    MG4 รุ่น X ให้เบาะนั่งแบบทูโทน สีขาวสลับดำ ตัดด้วยสีส้ม
    เบาะนั่งด้านหลัง สามารถพับเรียบได้แบบ 60:40 เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระ
    ความแตกต่าง MG 4 ทุกรุ่น
    ความแตกต่างของ MG 4 ในแต่ละรุ่นคือ รุ่น D จะไม่มี
    ไฟท้าย LED แบบลากยาว
    ไม่มีสปอยเลอร์หลัง
    กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ
    กระจกบังลมอัตโนมัติเฉพาะฝั่งคนขับ
    แท่นชาร์จมือถือไร้สาย
    ระบบ Pilot Assist
    กล้อง 360 (มีแค่กล้องมองหลัง)
    ระบบ i-Smart
    #mg #NEWMG4ELECTRIC #MGThailand #MGCarsTH #passiondrives
  • ยานยนต์และพาหนะ

ความคิดเห็น • 1

  • @IOT-AI
    @IOT-AI 20 วันที่ผ่านมา

    ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ พูดเก่งมาก :)