ขนาดวิดีโอ: 1280 X 720853 X 480640 X 360
แสดงแผงควบคุมโปรแกรมเล่น
เล่นอัตโนมัติ
เล่นใหม่
พยายามฟังแล้วแต่ฟังไม่จบ จากใจคนที่โดนเพื่อนที่เรา(เข้าใจว่า)สนิทที่สุดทำแบบนี้มันเจ็บมากนะคะ ไม่เข้าใจการตัดสินใจที่จะถอยห่างเพื่อเซฟความรู้สึก คือเซฟใคร?ถ้าจะเซฟแค่ตัวคุณ โดยที่ไม่อธิบายอะไรเลยแล้วเอาแต่คิดอยู่คนเดียว&เอาปัญหาของคนสองคนไปเล่าให้คนอื่นรอบตัวฟังแต่ไม่มาเคลียร์กับเจ้าตัวเอง ก็ไม่จำเป็นต้องพูดเหมือนเพราะอีกฝ่ายไม่เข้าใจก็ได้ค่ะ คุณไม่รู้หรอกว่ามันรู้สึกแย่แค่ไหนกับการที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำผิดอะไร ส่วนตัวเราappreciate เพื่อนที่คอยเตือนเราตรงๆมากกว่า และทุกวันนี้ก็ยังคบกับเพื่อนที่กล้าเตือนกล้าบอกเราอยู่ และเราก็รู้สึกขอบคุณเพื่อนมากๆที่กล้าพูดตรงๆให้เราปรับตัวยังไงก็ขอบคุณที่แชร์มุมมองของตัวเองนะคะ ทำให้เราเข้าใจอดีตเพื่อนสนิทเราขึ้นเยอะเลย สุดท้ายเราก็ตัดสินใจถอยห่างมาเหมือนกัน คิดซะว่าเขาเป็นcoworker ไป เคยคิดมากจนร้องไห้ไปหลายเดือน แต่สุดท้ายก็เข้าใจแล้วค่ะว่าเราแค่ไม่แมชกันเฉยๆ ไม่ต้องเสียดายอะไร อย่างน้อยๆเราก็เคยมีช่วงเวลาดีๆร่วมกัน
เราเหมือนคุณเลยค่ะ จริงๆ แล้วการถอยห่างไม่ช่วยให้รักษาความสัมพันธ์ต่อไปได้เพราะคนเราร้อยทั้งร้อย พอถอยแล้วถอยเลย และเราถือหลักว่าคนเราจะเป็นเพื่อนกันมันต้องตักเตือนหรือคุยกันได้ว่าชอบไม่ชอบอะไรแบบยังเข้าอกเข้าใจกัน เพื่อที่ทั้งเราและเขาจะได้ไม่ทำพฤติกรรมที่ทำให้ลำบากใจ การถอยโดยไม่บอกอะไรเลยมันทิ้งความค้างคาใจอยู่ในคนนึงได้นานมากนะคะ ทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกแย่แม้จะผ่านไปหลายปีแล้วพอถึงวันนึงที่เราเป็นฝ่ายจะถอยห่างบ้างก็ต่อเมื่อปรับความเข้าใจกันแล้วแต่ไม่เป็นผลเท่านั้นค่ะ
ฟังได้ครึ่งทาง ฟังต่อไม่ไหวเลยค่ะ ส่วนตัวเรามองว่าประเด็นนี้เป็นเรื่องที่หลายคนรีเล็ทนะ แต่มายเซ็ทที่เลือกการตีตัวออกห่างโดยไม่จับเข่าคุยกันก่อน มันใจร้ายมากๆ คุณบอกว่าแคร์เพื่อนจนไม่กล้าบอกและคิดว่าถอยออกมาเซฟที่สุด คำถามคือเซฟใคร? มันเซฟแค่ตัวคุณเองเท่านั้นหรือเปล่า? บางครั้งคนเราไม่รู้ตัวหรอกค่ะว่าเผลอทำอะไรให้คนอื่นรู้สึกแย่ เค้าอาจรักและหวังดีกับคุณมากๆ แต่แสดงออกในแบบของเค้า ถ้าคุณรักเค้าเหมือนกันก็พูดกันตรงๆ ค่ะ ไม่สบายใจตรงไหนบอกกันดีๆ แบบนี้ดีกับทั้งสองฝ่าย ถ้าสุดท้ายคุยแล้วยังไม่เข้าใจกันอีก มันยังเป็นแบบเดิมๆ คุณคอยเริ่มถอยก็ได้
สองคนนี้ที่พูดเอาตัวเองเป็นที่ตั้งค่ะ แล้วมองออกไป พูดแต่ตัวเองจะ judge คนอื่นยังไง การตัดสินของตัวเองดีเลิศ ไม่ต้องฟังหรอกค่ะ เท่าที่ฟังมา สองคนนี้เค้าเหมาะจะคบกันสองคน
ฟังไปห้านาทีแรก ช็อคมากเพราะตรงกับความรู้สึกภายในเราทุกอย่างเลยค่ะ เคยเล่าออกมาให้เพื่อน(อีกคน) ฟังแล้วคือตามนี้เป๊ะ ๆ เลย อุ่นใจว่าอย่างน้อยเราไม่ได้เผชิญสถานการณ์แบบนี้คนเดียว😭😭😭😭
ของเรานี่ เคยเป็นฝ่ายโดนเพื่อนทิ้งมาก่อน แล้ววันนึงอยู่ดีๆก็กลับมา แต่ไม่ได้กลับมาเพราะรู้สึกผิด แต่กลับมา เพราะต้องการให้สมัครงาน วันต่อมาบอกว่าต้องการให้ไปหาที่โรงพยาบาล มันเลยทำให้รู้สึกว่า คนที่เราเคยเรียกว่าเพื่อน มันไม่เหมือนเดิม มันเปลลี่ยนไปเพราะแบบนี้มันทำให้เราไม่กล้ามีเพื่อนไม่กล้าเข้าสังคมเลย
กำลังรู้สึกแบบนี้กับเพื่อนสนิทที่คบมาตั้งแต่มหาลัยคนนึงค่ะ เค้าเป็นคนรักครอบครัว รักเพื่อนมาก มากจนเราอึดอัด (เราเป็นคนโลกส่วนตัวสูง) ความรู้สึกเราตอนนี้คือ มันอึดอัดทุกครั้งที่เจอกัน รู้สึกตัวเองโดนล้ำเส้นบ่อยมากๆจากข้ออ้างของเค้าที่ว่าเค้ารักเรา เค้าสนิทกับเรา เค้าชอบมาบงการเจ้ากี้เจ้าการคิดแทนเราในทุกๆเรื่องไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ไม่เคารพเวลา ไม่เคารพชีวิตเรา อยากคุยกับเค้าแบบตรงไปตรงมาแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงดีอ่ะค่ะ....
คุยไปเลย บอกต่อหน้า ให้เค้ารู้ เค้าจะเลิกคบไม่เลิกคบกับคุณก็เป็นเรื่องของเขา
เราเคยเจอความสัมพันธ์นั้นๆ มาหมดแล้วที่ podcast พูด ในช่วงวัยเลข 1-2 ก็ไม่เป็นไรหรอก เรายังเป็นวัยที่ต้องเรียนรู้คน และเรียนรู้ความสัมพันธ์ ตอนนี้อายุเลขสามแล้ว มีเพื่อนที่เรียกว่าเพื่อน นับนิ้วได้เลย แต่เราว่ามันก็เป็นสิทธิ์ของเขาและเรา บางคน เขาอาจจะคาดหวังจากเรามากกว่าที่เราให้เขา หรือ บางคน เราคาดหวังเขามากกว่าที่เขาให้เรา ... ตอนนี้เอาความสุขและสบายใจของเราเป็นที่ตั้ง (แต่ไม่ทำร้ายหรือเดือดร้อนใครนะ) หากความสัมพันธ์ไหนที่ toxic หรือ หมดพลัง ไม่ผิดที่เราจะเลือกเดินถอยออกมา
อย่าล้ำเส้นซึ่งกันและกัน🎉
เราเพิ่งได้มาฟังเรื่องนี้ รู้สึกเหมือนปลดล็อกเลย คงเพราะมันทำให้เราจินตนาการเข้าข้างตัวเองได้มั้ง ว่าคนที่ตั้งกำแพงใส่เราเขารู้สึกอย่างไร บางคนที่ดูเหมือนรำคาญเราเขาอาจจะคิดอย่างไรได้บ้างกับความสัมพันธ์แบบเพื่อนร่วมงาน นี่ก็คงเป็นวิธีที่ดูเซฟและสวยงามที่สุดทั้งสองฝ่ายล่ะมั้ง
จริงค่ะเขาไม่ได้ทำไรผิดเลยแค่เราไม่โอเคในสิ่งที่เขาบ้างเล็กๆน้อยๆเขาอาจจะคิดแค่นี้เองแค่นี้ของเรากับเขามันต่างกันจริงค่ะในวันที่นอยเขามีคิดมากนิดนึ๋งแต่ก็เลิกคิดละเพราะมัวแต่คิดว่าก็ปกติของเขาแหละ พรุ่งนี้คงไม่เป็นแบบเดิมหรอก จนมันสะสมมาเยอะม้ากกกจากที่เราไม่เคยทำไม่ดีกับเขาเราดันทำกับเขาเลย สรุปห่างกันแล้วน่าจะเข้าใจเราผิดแล้วด้วย แต่ความจริงคือเราแค่ไม่พู๊ดเพราะกลัวเขาเสียใจสรุปตัวเองมาเสียใจเองฮรืออ คลิปนี้คือปลดล็อคความรู้สึกตัวเองจริงค่ะ🥲
ตรงกับที่เราเจอเลยค่ะ ตอนแรกรู้สึกว่าเราผิดที่รู้สึกแบบนี้ ขอบคุณที่มาแชร์นะคะ
พูดง่ายๆก็คือคุณค้นพบตัวเอง ว่าคุณเองไม่ชอบเขา บอกเขาแค่นั้นจบ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามเถอะ ถ้าคุณยังครบเขาต่อ คุณนั้นล่ะ ไม่จริงใจ น่าสงสารเขาคนนั้น
เจอเพื่อนที่ แบบต้องเอาใจตลอดเวลาแล้ว เราเจอเพื่อนใหม่ นางก็ ไม่เดิน กับเราและเพื่อนใหม่ งงมากๆๆเลย ไม่ให้เกียรติเพื่อน ใหม่
เค้าโลกส่วนตัวสูงป่าว
ตรงใจทุกอย่างเราทิ้งเพื่อนเพราะความรู้สึกแบบนี้แหล่ะ อึดอัดมาก กับอะไรหลายๆอย่าง สุดท้ายเราก็ถอยออกมา จากความสัมพันธ์ สุดท้ายเพื่อนบลอคเราไป ดีใจที่ได้มาฟังคลิปนี้
ธรรมชาติของโจรจะภูมิใจถ้าไม่มีจับผิดได้ แต่จะตรงข้ามถ้าเขาจับได้ไล่ทันก็โกรธ😅และต่วต่อไปก็จะ....ทุกอย่างมีเหตุและผลในตัวของมันเสมอครับ ❤😅😊
โอ้ย!!! นี่คืออยากไปแชร์ด้วยมาก เป็นหัวข้อที่ดีงามสุด ๆ
เรานี่เจอเพื่อนร่วมงานที่โลกหมุนรอบ คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของบริษัท รักษาผลประโยชน์จน over แต่เจ้าของไม่เคยรู้ มา control และแนะนำสั่งสอน ตำหนิคนอื่นเพื่อตัวเองดูดีมีคุณค่า แบบนี้ก้อมี ขนาดทำงานด้วยยังอึดอัด ชอบเอาชีวิตตัวเองมาทำให้คนอื่นยอมรับเผื่อแผ่เรื่องของตัวเองให้คนอื่นรู้หมดทั้งที่คนอื่นไม่ได้อยากรู้? มองว่าการหวังดีเกินไปจน toxic กับชีวิตคนอื่น ทุกอย่างต้องกลางๆ ไม่ล้ำเส้นคนอื่น
ชอบคำว่าไม่ลำเส้นคนอื่นมากค่ะ บางคนไม่รู้ตัวเลย พูดก็ไม่ได้
ขอบคุณค่ะ เป้นกำลังใจให้ทำ podcast ดีๆต่อไปค่ะ เหมือนเพื่อนสาวพี่สาวมาคุยกัน อบอุ่นดี นี่กำลังสับสนพอดี random มาเจอคลิปนี้ เรารู้สึกไม่ได้มีความสุขไปสุดๆแต่ไม่ทุกข์ จนพบว่าเราไม่ belong กับสภาพแวดล้อมค่ะ จะลองนำเนื้อหาไปปรับใช้ดูค่ะ และอยากให้เพิ่มเติมจังว่าถ้าประสบภาวะยังไม่ belong ควรทำยังไง เพราะมีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ตรงนี้ไปก่อน+ต้องใช้เวลาค่อยๆไปสู่ belonging ใน step ถัดไปค่ะ ❤❤
ถ้าคุณยังอยากอ่านเรื่องนี้อยู่นะเราเพิ่งได้ฟังอีพีนี้ แล้วคิดกลับกันนะ เพราะเราเป็นฝ่ายโดนตั้งกำแพงใส่ให้ไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มได้มากกว่านี้ จากปสก ส่วนตัวกับสิ่งที่ฟังเราก็เลยคิดสรุปเอาว่า หลักๆ ก็คือเซฟใจตัวเองให้มากที่สุดนั่นแหละ เออออ อ้อล้อไปเท่าที่ทำได้ เพราะใครก็ไม่ชอบคนขัดคอขัดใจ ถ้าเขาไม่อยากมีเราในวงนั้นก็เงียบๆ นิ่งๆ ไว้ แค่โฟกัสว่าเรามาอยู่ที่นี่้เพื่อทำอะไร เป็นเพื่อนเรียน เพื่อนทำงาน หรือมารวมญาติเฉยๆ สิ่งที่สำคัญคืออย่าสูญเสียความเชื่อในตัวเอง ความรักในตัวเองไป ความสุขความสบายใจเราไปหาในที่เซฟโซนเราดีกว่า
@@bokkydoggy6397 ขอบคุณที่แชร์ค่ะ เราคิดว่าปสก. ที่ผ่านมาจะทำให้เติบโตและรู้จักตัวเองมากขึ้น และเห็นด้วยกับหลักการที่สำคัญว่าเราควรยึดใจเรา ความสบายใจ ความสุข ความเชื่อมั่นของตัวเองไว้ด้วยในขณะที่ไม่ฝืน ไม่เดือดร้อนตัวเองและคนอื่น สุดท้ายแต่ละคนก็ไม่สามารถเข้าได้กับทุกอย่างทุกคนได้ 100% มันละเอียดอ่อนกว่านั้นว่าไปได้ระดับไหน แบบไหนอีกด้วยค่ะ 🙂
จากใจของคนที่เครียดเรื่องเพื่อนมาแทบจะทั้งชีวิต เรามีทั้งคนที่คุยตรงๆได้แต่มีคนที่ไม่คุยจะดีกว่า ในช่วงอายุนึงเราคิดได้ว่าแต่ละคนมี value มีอีโก้ที่ยึดเอาไว้ไม่เหมือนกันใครสะดวกแบบไหนก็ทำไป คนที่คุยได้มันต้องเปิดใจทั้งคู่แต่ถ้าใครสักคนไม่พร้อมที่จะเปิดพูดแล้วพังแต่มันได้ความชัดเจน ส่วนความลำบากของคนไม่พูดต้องแยกแยะให้ออกว่าอันไหนความจริงอันไหนคิดไปเอง ไม่ว่าจะเลือกทำแบบไหนก็มองตามความเป็นจริงแล้วยอมรับมันให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่ยังอยู่หรือคนที่เดินออกมาแค่จำเอาไว้ว่าชีวิตเป็นของเราเองเรามีสิทธิ์ที่จะเลือกเสมอ ขอโอบกอดทุกคนที่มี trust issue เรื่องเพื่อนทุกคนค่ะ
“ไม่มีอะไรสูญเปล่า มันทำให้เราเป็นเราทุกวันนี้”
เราไม่ได้คิดแบบเพื่อนเป็นฟังก์ชันหัวข้อที่ต้องคุยเท่าไรอะ ส่วนตัวคิดว่าจะคุยหลายๆเรื่องกับเพื่อนตามสถานการณ์ความรู้สึกตอนนี้หรือรับฟังเขาในทุกเรื่องที่เขาอยากเล่าอาจจะไม่ได้ถี่หรือเจอกันบ่อยถ้าวัยทำงานแล้ว ถ้าคิดแบบฟังก์ชันคนนั้นคือคน/พี่/น้องที่รู้จักมากกว่าเราแลกเปลี่ยนหัวข้อนี้ได้แต่เราไม่เปิดเผยเรื่องเราและเราไม่ได้อยากรู้เรื่องเขาขนาดนั้นเหมือนเพื่อน
วัยเรียนกับวัยมหาลัยพอเข้าใจได้เรื่องเฟดออกเพราะไม่รู้จะสื่อสารความต้องการของตัวเองออกมายังไง เพื่อนก็คิดว่าอีกฝ่ายสำคัญอีกฝ่ายรับตัวเองได้ที่ทำพฤติกรรมแบบนี้เลยทำซ้ำๆยิ่งทำให้คุณหมดพลังงาน ถ้าทั้งสองฝ่ายคิดว่าอีกฝ่ายสำคัญสื่อสารออกไปยังไงก็ปรับถ้ามันทำให้เพื่อนรู้สึกไม่ดี การเฟดบางทีมันยากที่จะรู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไร หรือบางเรื่องแค่เปลี่ยนหัวข้อคุย หรือไม่ต้องทำหรือพูดอะไรที่ไม่อยากพูด เพื่อนก็รับรู้ได้ แล้วการปฏิบัติแบบไหนที่โอเคก็ทำต่อ เพื่อนก็พอจะรู้ว่าเราไม่โอเคเฉพาะเรื่องนี้แต่ไม่ได้ไม่โอเคกับเขาเหมือนการเฟดไปเลย
นึกถึงหนังเรื่อง The Banshees of Inisherin ขึ้นมาเลย555
พยายามฟังแล้วแต่ฟังไม่จบ จากใจคนที่โดนเพื่อนที่เรา(เข้าใจว่า)สนิทที่สุดทำแบบนี้มันเจ็บมากนะคะ ไม่เข้าใจการตัดสินใจที่จะถอยห่างเพื่อเซฟความรู้สึก คือเซฟใคร?ถ้าจะเซฟแค่ตัวคุณ โดยที่ไม่อธิบายอะไรเลยแล้วเอาแต่คิดอยู่คนเดียว&เอาปัญหาของคนสองคนไปเล่าให้คนอื่นรอบตัวฟังแต่ไม่มาเคลียร์กับเจ้าตัวเอง ก็ไม่จำเป็นต้องพูดเหมือนเพราะอีกฝ่ายไม่เข้าใจก็ได้ค่ะ คุณไม่รู้หรอกว่ามันรู้สึกแย่แค่ไหนกับการที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำผิดอะไร
ส่วนตัวเราappreciate เพื่อนที่คอยเตือนเราตรงๆมากกว่า และทุกวันนี้ก็ยังคบกับเพื่อนที่กล้าเตือนกล้าบอกเราอยู่ และเราก็รู้สึกขอบคุณเพื่อนมากๆที่กล้าพูดตรงๆให้เราปรับตัว
ยังไงก็ขอบคุณที่แชร์มุมมองของตัวเองนะคะ ทำให้เราเข้าใจอดีตเพื่อนสนิทเราขึ้นเยอะเลย สุดท้ายเราก็ตัดสินใจถอยห่างมาเหมือนกัน คิดซะว่าเขาเป็นcoworker ไป เคยคิดมากจนร้องไห้ไปหลายเดือน แต่สุดท้ายก็เข้าใจแล้วค่ะว่าเราแค่ไม่แมชกันเฉยๆ ไม่ต้องเสียดายอะไร อย่างน้อยๆเราก็เคยมีช่วงเวลาดีๆร่วมกัน
เราเหมือนคุณเลยค่ะ จริงๆ แล้วการถอยห่างไม่ช่วยให้รักษาความสัมพันธ์ต่อไปได้เพราะคนเราร้อยทั้งร้อย พอถอยแล้วถอยเลย และเราถือหลักว่าคนเราจะเป็นเพื่อนกันมันต้องตักเตือนหรือคุยกันได้ว่าชอบไม่ชอบอะไรแบบยังเข้าอกเข้าใจกัน เพื่อที่ทั้งเราและเขาจะได้ไม่ทำพฤติกรรมที่ทำให้ลำบากใจ การถอยโดยไม่บอกอะไรเลยมันทิ้งความค้างคาใจอยู่ในคนนึงได้นานมากนะคะ ทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกแย่แม้จะผ่านไปหลายปีแล้ว
พอถึงวันนึงที่เราเป็นฝ่ายจะถอยห่างบ้างก็ต่อเมื่อปรับความเข้าใจกันแล้วแต่ไม่เป็นผลเท่านั้นค่ะ
ฟังได้ครึ่งทาง ฟังต่อไม่ไหวเลยค่ะ ส่วนตัวเรามองว่าประเด็นนี้เป็นเรื่องที่หลายคนรีเล็ทนะ แต่มายเซ็ทที่เลือกการตีตัวออกห่างโดยไม่จับเข่าคุยกันก่อน มันใจร้ายมากๆ คุณบอกว่าแคร์เพื่อนจนไม่กล้าบอกและคิดว่าถอยออกมาเซฟที่สุด คำถามคือเซฟใคร? มันเซฟแค่ตัวคุณเองเท่านั้นหรือเปล่า?
บางครั้งคนเราไม่รู้ตัวหรอกค่ะว่าเผลอทำอะไรให้คนอื่นรู้สึกแย่ เค้าอาจรักและหวังดีกับคุณมากๆ แต่แสดงออกในแบบของเค้า ถ้าคุณรักเค้าเหมือนกันก็พูดกันตรงๆ ค่ะ ไม่สบายใจตรงไหนบอกกันดีๆ แบบนี้ดีกับทั้งสองฝ่าย ถ้าสุดท้ายคุยแล้วยังไม่เข้าใจกันอีก มันยังเป็นแบบเดิมๆ คุณคอยเริ่มถอยก็ได้
สองคนนี้ที่พูดเอาตัวเองเป็นที่ตั้งค่ะ แล้วมองออกไป พูดแต่ตัวเองจะ judge คนอื่นยังไง การตัดสินของตัวเองดีเลิศ ไม่ต้องฟังหรอกค่ะ เท่าที่ฟังมา สองคนนี้เค้าเหมาะจะคบกันสองคน
ฟังไปห้านาทีแรก ช็อคมากเพราะตรงกับความรู้สึกภายในเราทุกอย่างเลยค่ะ เคยเล่าออกมาให้เพื่อน(อีกคน) ฟังแล้วคือตามนี้เป๊ะ ๆ เลย อุ่นใจว่าอย่างน้อยเราไม่ได้เผชิญสถานการณ์แบบนี้คนเดียว😭😭😭😭
ของเรานี่ เคยเป็นฝ่ายโดนเพื่อนทิ้งมาก่อน แล้ววันนึงอยู่ดีๆก็กลับมา แต่ไม่ได้กลับมาเพราะรู้สึกผิด แต่กลับมา เพราะต้องการให้สมัครงาน วันต่อมาบอกว่าต้องการให้ไปหาที่โรงพยาบาล มันเลยทำให้รู้สึกว่า คนที่เราเคยเรียกว่าเพื่อน มันไม่เหมือนเดิม มันเปลลี่ยนไป
เพราะแบบนี้มันทำให้เราไม่กล้ามีเพื่อนไม่กล้าเข้าสังคมเลย
กำลังรู้สึกแบบนี้กับเพื่อนสนิทที่คบมาตั้งแต่มหาลัยคนนึงค่ะ เค้าเป็นคนรักครอบครัว รักเพื่อนมาก มากจนเราอึดอัด (เราเป็นคนโลกส่วนตัวสูง) ความรู้สึกเราตอนนี้คือ มันอึดอัดทุกครั้งที่เจอกัน รู้สึกตัวเองโดนล้ำเส้นบ่อยมากๆจากข้ออ้างของเค้าที่ว่าเค้ารักเรา เค้าสนิทกับเรา เค้าชอบมาบงการเจ้ากี้เจ้าการคิดแทนเราในทุกๆเรื่องไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ไม่เคารพเวลา ไม่เคารพชีวิตเรา อยากคุยกับเค้าแบบตรงไปตรงมาแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงดีอ่ะค่ะ....
คุยไปเลย บอกต่อหน้า ให้เค้ารู้ เค้าจะเลิกคบไม่เลิกคบกับคุณก็เป็นเรื่องของเขา
เราเคยเจอความสัมพันธ์นั้นๆ มาหมดแล้วที่ podcast พูด ในช่วงวัยเลข 1-2 ก็ไม่เป็นไรหรอก เรายังเป็นวัยที่ต้องเรียนรู้คน และเรียนรู้ความสัมพันธ์ ตอนนี้อายุเลขสามแล้ว มีเพื่อนที่เรียกว่าเพื่อน นับนิ้วได้เลย แต่เราว่ามันก็เป็นสิทธิ์ของเขาและเรา บางคน เขาอาจจะคาดหวังจากเรามากกว่าที่เราให้เขา หรือ บางคน เราคาดหวังเขามากกว่าที่เขาให้เรา ... ตอนนี้เอาความสุขและสบายใจของเราเป็นที่ตั้ง (แต่ไม่ทำร้ายหรือเดือดร้อนใครนะ) หากความสัมพันธ์ไหนที่ toxic หรือ หมดพลัง ไม่ผิดที่เราจะเลือกเดินถอยออกมา
อย่าล้ำเส้นซึ่งกันและกัน🎉
เราเพิ่งได้มาฟังเรื่องนี้ รู้สึกเหมือนปลดล็อกเลย คงเพราะมันทำให้เราจินตนาการเข้าข้างตัวเองได้มั้ง ว่าคนที่ตั้งกำแพงใส่เราเขารู้สึกอย่างไร บางคนที่ดูเหมือนรำคาญเราเขาอาจจะคิดอย่างไรได้บ้าง
กับความสัมพันธ์แบบเพื่อนร่วมงาน นี่ก็คงเป็นวิธีที่ดูเซฟและสวยงามที่สุดทั้งสองฝ่ายล่ะมั้ง
จริงค่ะเขาไม่ได้ทำไรผิดเลยแค่เราไม่โอเคในสิ่งที่เขาบ้างเล็กๆน้อยๆเขาอาจจะคิดแค่นี้เองแค่นี้ของเรากับเขามันต่างกันจริงค่ะในวันที่นอยเขามีคิดมากนิดนึ๋งแต่ก็เลิกคิดละเพราะมัวแต่คิดว่าก็ปกติของเขาแหละ พรุ่งนี้คงไม่เป็นแบบเดิมหรอก จนมันสะสมมาเยอะม้ากกกจากที่เราไม่เคยทำไม่ดีกับเขาเราดันทำกับเขาเลย สรุปห่างกันแล้วน่าจะเข้าใจเราผิดแล้วด้วย แต่ความจริงคือเราแค่ไม่พู๊ดเพราะกลัวเขาเสียใจสรุปตัวเองมาเสียใจเองฮรืออ คลิปนี้คือปลดล็อคความรู้สึกตัวเองจริงค่ะ🥲
ตรงกับที่เราเจอเลยค่ะ ตอนแรกรู้สึกว่าเราผิดที่รู้สึกแบบนี้ ขอบคุณที่มาแชร์นะคะ
พูดง่ายๆก็คือคุณค้นพบตัวเอง ว่าคุณเองไม่ชอบเขา บอกเขาแค่นั้นจบ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามเถอะ ถ้าคุณยังครบเขาต่อ คุณนั้นล่ะ ไม่จริงใจ น่าสงสารเขาคนนั้น
เจอเพื่อนที่ แบบต้องเอาใจตลอดเวลาแล้ว เราเจอเพื่อนใหม่ นางก็ ไม่เดิน กับเราและเพื่อนใหม่ งงมากๆๆเลย ไม่ให้เกียรติเพื่อน ใหม่
เค้าโลกส่วนตัวสูงป่าว
ตรงใจทุกอย่างเราทิ้งเพื่อนเพราะความรู้สึกแบบนี้แหล่ะ อึดอัดมาก กับอะไรหลายๆอย่าง สุดท้ายเราก็ถอยออกมา จากความสัมพันธ์ สุดท้ายเพื่อนบลอคเราไป ดีใจที่ได้มาฟังคลิปนี้
ธรรมชาติของโจรจะภูมิใจถ้าไม่มีจับผิดได้ แต่จะตรงข้ามถ้าเขาจับได้ไล่ทันก็โกรธ😅และต่วต่อไปก็จะ....ทุกอย่างมีเหตุและผลในตัวของมันเสมอครับ ❤😅😊
โอ้ย!!! นี่คืออยากไปแชร์ด้วยมาก เป็นหัวข้อที่ดีงามสุด ๆ
เรานี่เจอเพื่อนร่วมงานที่โลกหมุนรอบ คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของบริษัท รักษาผลประโยชน์จน over แต่เจ้าของไม่เคยรู้ มา control และแนะนำสั่งสอน ตำหนิคนอื่นเพื่อตัวเองดูดีมีคุณค่า แบบนี้ก้อมี ขนาดทำงานด้วยยังอึดอัด ชอบเอาชีวิตตัวเองมาทำให้คนอื่นยอมรับเผื่อแผ่เรื่องของตัวเองให้คนอื่นรู้หมดทั้งที่คนอื่นไม่ได้อยากรู้? มองว่าการหวังดีเกินไปจน toxic กับชีวิตคนอื่น ทุกอย่างต้องกลางๆ ไม่ล้ำเส้นคนอื่น
ชอบคำว่าไม่ลำเส้นคนอื่นมากค่ะ บางคนไม่รู้ตัวเลย พูดก็ไม่ได้
ขอบคุณค่ะ เป้นกำลังใจให้ทำ podcast ดีๆต่อไปค่ะ เหมือนเพื่อนสาวพี่สาวมาคุยกัน อบอุ่นดี นี่กำลังสับสนพอดี random มาเจอคลิปนี้ เรารู้สึกไม่ได้มีความสุขไปสุดๆแต่ไม่ทุกข์ จนพบว่าเราไม่ belong กับสภาพแวดล้อมค่ะ จะลองนำเนื้อหาไปปรับใช้ดูค่ะ และอยากให้เพิ่มเติมจังว่าถ้าประสบภาวะยังไม่ belong ควรทำยังไง เพราะมีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ตรงนี้ไปก่อน+ต้องใช้เวลาค่อยๆไปสู่ belonging ใน step ถัดไปค่ะ ❤❤
ถ้าคุณยังอยากอ่านเรื่องนี้อยู่นะ
เราเพิ่งได้ฟังอีพีนี้ แล้วคิดกลับกันนะ เพราะเราเป็นฝ่ายโดนตั้งกำแพงใส่ให้ไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มได้มากกว่านี้ จากปสก ส่วนตัวกับสิ่งที่ฟังเราก็เลยคิดสรุปเอาว่า หลักๆ ก็คือเซฟใจตัวเองให้มากที่สุดนั่นแหละ เออออ อ้อล้อไปเท่าที่ทำได้ เพราะใครก็ไม่ชอบคนขัดคอขัดใจ ถ้าเขาไม่อยากมีเราในวงนั้นก็เงียบๆ นิ่งๆ ไว้ แค่โฟกัสว่าเรามาอยู่ที่นี่้เพื่อทำอะไร เป็นเพื่อนเรียน เพื่อนทำงาน หรือมารวมญาติเฉยๆ สิ่งที่สำคัญคืออย่าสูญเสียความเชื่อในตัวเอง ความรักในตัวเองไป ความสุขความสบายใจเราไปหาในที่เซฟโซนเราดีกว่า
@@bokkydoggy6397 ขอบคุณที่แชร์ค่ะ เราคิดว่าปสก. ที่ผ่านมาจะทำให้เติบโตและรู้จักตัวเองมากขึ้น และเห็นด้วยกับหลักการที่สำคัญว่าเราควรยึดใจเรา ความสบายใจ ความสุข ความเชื่อมั่นของตัวเองไว้ด้วยในขณะที่ไม่ฝืน ไม่เดือดร้อนตัวเองและคนอื่น สุดท้ายแต่ละคนก็ไม่สามารถเข้าได้กับทุกอย่างทุกคนได้ 100% มันละเอียดอ่อนกว่านั้นว่าไปได้ระดับไหน แบบไหนอีกด้วยค่ะ 🙂
จากใจของคนที่เครียดเรื่องเพื่อนมาแทบจะทั้งชีวิต เรามีทั้งคนที่คุยตรงๆได้แต่มีคนที่ไม่คุยจะดีกว่า ในช่วงอายุนึงเราคิดได้ว่าแต่ละคนมี value มีอีโก้ที่ยึดเอาไว้ไม่เหมือนกันใครสะดวกแบบไหนก็ทำไป คนที่คุยได้มันต้องเปิดใจทั้งคู่แต่ถ้าใครสักคนไม่พร้อมที่จะเปิดพูดแล้วพังแต่มันได้ความชัดเจน ส่วนความลำบากของคนไม่พูดต้องแยกแยะให้ออกว่าอันไหนความจริงอันไหนคิดไปเอง ไม่ว่าจะเลือกทำแบบไหนก็มองตามความเป็นจริงแล้วยอมรับมันให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่ยังอยู่หรือคนที่เดินออกมาแค่จำเอาไว้ว่าชีวิตเป็นของเราเองเรามีสิทธิ์ที่จะเลือกเสมอ
ขอโอบกอดทุกคนที่มี trust issue เรื่องเพื่อนทุกคนค่ะ
“ไม่มีอะไรสูญเปล่า มันทำให้เราเป็นเราทุกวันนี้”
เราไม่ได้คิดแบบเพื่อนเป็นฟังก์ชันหัวข้อที่ต้องคุยเท่าไรอะ ส่วนตัวคิดว่าจะคุยหลายๆเรื่องกับเพื่อนตามสถานการณ์ความรู้สึกตอนนี้หรือรับฟังเขาในทุกเรื่องที่เขาอยากเล่าอาจจะไม่ได้ถี่หรือเจอกันบ่อยถ้าวัยทำงานแล้ว ถ้าคิดแบบฟังก์ชันคนนั้นคือคน/พี่/น้องที่รู้จักมากกว่าเราแลกเปลี่ยนหัวข้อนี้ได้แต่เราไม่เปิดเผยเรื่องเราและเราไม่ได้อยากรู้เรื่องเขาขนาดนั้นเหมือนเพื่อน
วัยเรียนกับวัยมหาลัยพอเข้าใจได้เรื่องเฟดออกเพราะไม่รู้จะสื่อสารความต้องการของตัวเองออกมายังไง เพื่อนก็คิดว่าอีกฝ่ายสำคัญอีกฝ่ายรับตัวเองได้ที่ทำพฤติกรรมแบบนี้เลยทำซ้ำๆยิ่งทำให้คุณหมดพลังงาน ถ้าทั้งสองฝ่ายคิดว่าอีกฝ่ายสำคัญสื่อสารออกไปยังไงก็ปรับถ้ามันทำให้เพื่อนรู้สึกไม่ดี การเฟดบางทีมันยากที่จะรู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไร หรือบางเรื่องแค่เปลี่ยนหัวข้อคุย หรือไม่ต้องทำหรือพูดอะไรที่ไม่อยากพูด เพื่อนก็รับรู้ได้ แล้วการปฏิบัติแบบไหนที่โอเคก็ทำต่อ เพื่อนก็พอจะรู้ว่าเราไม่โอเคเฉพาะเรื่องนี้แต่ไม่ได้ไม่โอเคกับเขาเหมือนการเฟดไปเลย
นึกถึงหนังเรื่อง The Banshees of Inisherin ขึ้นมาเลย555