Apollo Go แท็กซี่ไร้คนขับอันดับหนึ่งของโลก
ฝัง
- เผยแพร่เมื่อ 16 มิ.ย. 2024
- สนับสนุนเด็ดต้องโดนง่ายๆ
- Subscribe/ Like/ Comment
- สมาชิกเด็ดต้องโดน: / @dedtongdon
เทคโนโลยีรถไร้คนขับก้าวหน้าอย่างมาก จนมีหลายบริษัทนำไปทำแท็กซี่ไร้คนขับ คลิปนี้เรามาดูกันว่า Apollo Go ของ Baidu จากจีน สามารถแซงอเมริกา ขึ้นเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของโลกให้บริการทะลุ 1 ล้านคนแล้วได้อย่างไร
0:00 Apollo Go แท็กซี่ไร้คนขับอันดับหนึ่งของโลก
0:16 รถขับเคลื่อนอัตโนมัติได้อย่างไร
1:29 แท็กซี่ไร้คนขับ Robotaxi
2:13 แท็กซี่ไร้คนขับ Apollo Go ของ Baidu
3:36 อนาคตแท็กซี่ไร้คนขับ Apollo Go
5:10 สรุป
รถขับเคลื่อนอัตโนมัติได้อย่างไร
1 ตาของรถ
จะใช้หลายเทคโนโลยีร่วมกันในการมองเห็น เช่น
เซ็นเซอร์ LIDAR หรือ Light Detection and Ranging เพื่อตรวจจับและวัดระยะห่างของวัตถุต่างๆ ด้วยการปล่อยแสงเลเซอร์ออกไปรอบๆ ซ้ำๆ เมื่อแสงกระทบกับวัตถุสิ่งของแล้ว มันจะสะท้อนกลับมา แล้วเห็นเป็นภาพ 3 มิติ และใช้ร่วมกับกล้องวิดีโอ ที่มองภาพ 2 มิติโดยรอบด้วยความละเอียดสูง
2 สมองของรถ
เมื่อคอมพิวเตอร์ในรถได้รับข้อมูลจากการมองเห็น แล้วจะทำงานร่วมกับระบบ AI ซึ่งเป็นสมองกลอัจฉริยะส่วนกลาง ผ่านเครือข่าย 5G แล้วตัดสินใจในเสี้ยววินาทีว่าจะควบคุมรถอย่างไร
แท็กซี่ไร้คนขับ Robotaxi
เนื่องจากเทคโนโลยีรถขับเคลื่อนอัตโนมัติยังมีราคาสูงและกฏหมายของประเทศต่างๆยังไม่รองรับ จึงยังไม่ถูกใช้ในรถที่ขายให้กับคนทั่วไป แต่ได้เริ่มต้นใช้ในรถแท็กซี่ หรือ Robotaxi ก่อนแทน โดยอเมริกาและจีน เป็น 2 ประเทศยักษ์ใหญ่ ที่มีแทกซี่ไร้คนขับผุดขึ้นมากมาย เช่น
Waymo
เป็นแท็กซี่ไร้คนขับเจ้าแรกๆ ของโลก พัฒนาโดย บ. Google ของอเมริกา ซึ่งเป็นเจ้าพ่อวงการ Search Engine ในการค้นหาของโลก หรืออากู๋ Google ของเรา ซึ่งพัฒนาและให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับในบางเมืองของอเมริกา เช่น ซานฟานซิสโก และฟีนิกซ์
แท็กซี่ไร้คนขับ Apollo Go ของไป่ตู้ Baidu
ทางฝั่งจีนก็ไม่น้อยหน้า Baidu เจ้าพ่อวงการ Search Engine ของจีน ได้ให้บริการ Apollo Go แท็กซี่ไร้คนขับเป็นเจ้าแรกในประเทศจีน ซึ่งเปิดตัวในปี 2020
Apollo เป็นบริษัทในเครือ Baidu ที่พัฒนาด้านเทคโนโลยีรถไร้คนขับ มาหลายรุ่นแล้ว และยังพัฒนารถไร้คนขับในรูปแบบอื่นด้วย เช่น มินิบัสไร้คนขับ และรถบัสอัตโนมัติ แถมยังเปิดให้บริการเทคโนโลยีนี้ ให้กับบริษัทรถค่ายต่างๆ อีกมากกว่า 70 ราย
และเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ประเทศจีนได้อนุญาติให้ Apollo Go เป็นแท็กซี่ที่ไม่ต้องมีคนขับได้แล้ว เริ่มที่ 2 เมืองใหญ่อย่างอู่ฮั่นและฉงชิง Chongqing และ Wuhan
แต่ยังมีเจ้าหน้าที่ สามารถช่วยให้บริการควบคุมทางไกล ในกรณีฉุกเฉิน เพื่อให้ผู้ใช้บริการรู้สึกอุ่นใจ
จนถึงวันนี้ Apollo Go กลายเป็นแท็กซี่ไร้คนขับ ที่ให้บริการไปแล้วมากกว่า 1 ล้านครั้ง กลายเป็นแท็กซี่ไร้คนขับที่มีคนใช้บริการเป็นอันดับหนึ่งของโลก
อนาคตแท็กซี่ไร้คนขับ Apollo Go
เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา Baidu ได้เปิดตัวรถยนต์ไร้คนขับเต็มรูปแบบ รุ่น Apollo RT6 ซึ่งเป็นรถไฟฟ้า 100% และสามารถเก็บพวงมาลัยได้
ทำให้มีพื้นที่ภายในเพิ่ม ช่วยให้สามารถติดตั้งที่นั่นงเสริมในแถวหน้า หรือ ติดตั้งอุปกรณ์เสริมเช่น ตู้ขายสินค้า และ เครื่องเล่นเกมส์ได้เลย
Apollo RT6 มีเซนเซอร์ 38 ตัว เรดาห์ 8 ตัว และกล้อง 12 ตัว เพื่อให้มองเห็นได้ไกลและมีความแม่นยำสูงรอบทิศ เพื่อทำงานร่วมกับระบบ AI สมองกลอัจฉริยะ ที่มีประสบการณ์ผ่านการให้บริการมาแล้วกว่าล้านเที่ยว
นอกจาก Apollo RT6 จะลายเป็นแท็กซี่ไร้คนขับที่เก่งขึ้นเยอะแล้ว Baidu ยังสามารถพัฒนาทั้งเทคโนโลยีและการผลิตให้มีต้นทุนจากคันละ 2,130,000 บาท ในรุ่นปัจจุบันให้เหลือเพียงคันละ 1,110,000 บาท ซึ่งจะช่วยให้สามารถขยายบริการไปทั่วประเทศจีนได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งจะเริ่มใช้วางตลาดในปี 2023 และตั้งเป้าจะขยายเป็น 65 เมือง ในปี 2023 และ 100 เมืองในปี 2030
เพื่อให้บริการ Taxi ที่ปลอดภัยขึ้น ด้วยราคาที่ถูกลงกว่าปัจจุบันถึงครึ่งหนึ่ง
แถม Apollo RT6 จะเป็นรถไร้คนขับรุ่นที่จะเปิดขายให้กับคนทั่วไปด้วย
สรุป
การมาของเทคโนโลยีแท็กซี่ไร้คนขับของจีน ซึ่งผ่านการให้บริการไปแล้วมากกว่า 1 ล้านเที่ยว ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลก กับรถไร้คนขับแบบเต็มรูปแบบรุ่นใหม่อย่าง Apollo RT6 ซึ่งจะเริ่มวางตลาดจริงเร็วๆนี้ในปี 2023 น่าจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้าและการเดินทางด้วยรถไร้คนขับของโลกและไทยเราได้เลย
เป็นเพื่อนเด็ดต้องโดนที่:
🌍 เว็บเด็ดต้องโดน - dedtongdon.com
💙 Facebook - / dedtongdon
💌 TikTok - / dedtongdon - วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
![[spin9] มันเกิดขึ้นแล้ว ลองนั่ง Taxi ไร้คนขับ บนถนนจริงครั้งแรก](/img/n.gif)
สุดยอดอนาคต
ที่จีนพัฒนาแบบก้าวกระโดด เป็นเพราะระบบการศึกษาของจีนเขา จีนให้เด็กเรียนวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ ตั้งแต่ยังอยู่ประถม. หันมาดูไทย ยังท่องสูตรคูณ รำวงอยู่เลย
😁😁
เก่งจริงๆมนุษย์
👍😁😁
ข้อมูลเยี่ยมครับ ขอแชร์เรื่องการออกเสียงนะครับ "ไป่ตู้"ครับ
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ 👍😀😀
จีนมีสถานีทดลองอวกาศของตัวเอง ย้ำของตัวเอง(ประเทศอื่นๆยังใช้รวมกัน) จีนส่งยานอวกาศไปลงดวงจันทน์ด้านมืด(ฝั่งตรงข้ามโลก) จีนส่งยานอวกาศไปดาวอังคาร แล้ว (อเมริกาส่งไปก่อนแล้ว ลงสำรวจแล้ว)..…...จีนพัฒนาไปเร็วมาก
จีนเค้าพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดดจริงๆครับ 👍😀😀
แต่ลองจีนเล็กมากเมื่อเทียบกับ iss ส่วนสถานี iss ใกล้จะหมดอายุแล้ว เมกาคงทำสถานีตัวเองแล้ว รัสเซียน่าจะไปขอจีนอยู่ด้วย ที่นี้เหมือนแยกกันเลยมีสถานีทั้งสองขั้ว
@@DedTongDon พูดว่าก้าวกระโดนก็ไม่เชิงนะ ความรู้ด้านนี้จีนได้รับมาตลอดเวลาแต่ไม่เปิดเผยแค่นั้น เพราะจีนก็ทำมาหลายสิบปีแล้ว ส่วนเทคด้านอื่นยุคเริ่มต้นของจีนก็ก๊อปปี้คนอื่น ไม่ยอมซื้อลิขสิทธ์ จนทำให้บริษัทต่างๆลุมฟ้อง บ.ในจีนข่าวดังช่วงนึง จีนถึงมีทุกวันนี้ได้ไม่ใช่เพราะ r&d เองแต่เป็นการก๊อปเทคโนโลยีคนอื่นมา ยุคต่อไปคงทำเองแล้ว เพราะ know พร้อมแล้ว
@@xiaonai9447 ขอบคุณสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นสู่กันฟังครับ 👍😀
@@xiaonai9447 r&d ไม่ทันกิน copy เอา 5555
สรุปแล้ว2023ไม่ต้องชื่้อรถโอเคครับ
ผมนี่อยากซื้อรุ่นนี้มาลองเลยครับ👍😁😁
เสียงเจ๊แบ๊วจังเลย
นี่เป็นเหตุให้ เมกันห้ามส่งออกชิพไฮสปีดประมวลผลสูงของ Nvidea รุ่นสุดยอด 2 รุ่น ให้จีน เพราะกลัวเอาไปพัฒนา AI ล้ำหน้าอเมริกา อิๆ
ผมว่าจีนก็ไม่ยอมหยุดพัฒนาง่ายๆแน่นอนครับ 👍😁😁
😮😮😮
ประเทศไทยเราเมื่อไหร่จะได้เห็นเช่นนี้บ้างครับ
ผมก็อยากให้มีคนนำเข้าเหมือนกันครับ 👍😁😁
ทางให้เรียบก่อนเห่อะ
สมมุติ ถ้าระบบเซ็นเซอร์มันเสียล่ะครับ มันจะบอกยังไง จะชนคันอื่นไหม?
มันน่าจะมีระบบสำรองในตัวครับ 👍😀
กูว่ามึงมันสมองพิการนะเนี่ย เค้าก็บอกอยู่ว่า มีเซนเซอร์ทั้งหมด38ตัว มึงลองคำนวนดูซิว่า เซนเซอร์ที่ใช้รองรับระบบขับเคลื่อนรถยนต์ ควรที่จะติดตั้งที่จุดไหนของตัวถังรถเพื่อรับข้อมูลที่จำเป็น มาประมวลผลเพื่อใช้ในการควบคุมการขับเคลื่อนนะ กูวิเคราห์ได้7จุดได้แก่1.ถังถังด้านซ้ายรถจำนวน5ตัว 2.ตัวถังด้านขวา5ตัว 3.ตัวถังด้านหน้า5ตัว 4.ตัวถังด้านหลัง5ตัว 5.หลังคารถ2ตัว บริเวณจุดสูงสุดของรถ 6.ใต้ท้องรถ 2ตัว และ7. ได้แก่7.1.พวงมาลัยบังคับเลี้ยว2ตัวและ7.2.อุปกรณ์ควบคุมการเร่งเครื่องยนต์หรือเซนเซอร์ควบคุมการจ่ายไฟฟ้า(ถ้าเป็นรถยนต์ทั่วๆไปก็ต้องเป็นเกียร์+คันเร่ง)2ตัว 7.3.การหยุดรถหรือเบรค2ตัวอุปกรณ์7.4.เซนเซอร์น้ำหนักรถอีก2ตัว สงสัยละสิว่าทำไมต้องมีเซนเซอร์ตรวจสอบน้ำหนักก็เพราะน้ำหนักรถมันมีผลต่อระยะทางไงละ มทีผลต่อการออกคำสั่งเร่งเครื่องมีผลต่อการคำนวนแรงเบรค ระยะทางที่ใช้เพื่อเบรค(เพราะแรงเฉื่อยจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณของมวล)และด้วยรถมันไม่มีระบบเกียร์ การถอนคันเร่งรถจึงไม่เกิดการฉุดเพื่ออัตรารอบเครื่องยนต์เหมือนรถยนต์ทั่วๆไปแรงเฉื่อยรถตอนถอนคันเร่งมาเต็มเลยเบรคต้องงานหนักกว่ารถยนต์สันดาปภายในทั่วๆไป นี่ละผู้ผลิตรถจึงต้องพยายามผลิตรถให้มีน้ำหนักตัวถังรถน้อยที่สุดเพื่อให้สำพันธ์กันกับกำลังเบรคและแรงเฉื่อย
สวัสดีครับ DedTongDon
สวัสดีครับ คุณ Loveter city 👍😁😁
ยอมรับเลยว่าจีนพัฒนาไปข้างหน้าจริงๆไม่เหมือนไทย👍
👍😁😁
อนาคต จะไม่เกิดอุบัติเหตุแน่นอน555
แต่ประเทศไทยยังคงใช้ไม่ได้ ตราบใดที่คนในบ้านเรายังขาดวินัยและความรับผิดชอบต่อสังคม
จริงๆส่วนตัวแล้ว ผมว่าวัฒนธรรมจีนกับเราในเรื่องการใช้ถนนน่าจะคล้ายๆกัน ทำให้ยิ่งน่าลองระบบไร้คนขับของจีนเค้าเลยครับ 😀
วินัย ผมว่าคนประเทศจีนนี้มากกว่าคนไทยนะครับ เรื่องวินัย เเต่จีนพัฒนาบ้านเมืองไวจริงๆ
จีนมาแบบไม่กักไม่ห่วงเทคโนโลยี่ ราคาจับต้องได้ พวกยุโรป เมกา ญีปุ่น กลัวสู้ญเสีย แต่ปัจจุบัน กำลังเสียศูนย์
เรื่องเทคโนโลยีรถไฟฟ้านี่พี่จีนเค้ามาแรงจริงๆครับ 👍😁😁
แต่ไม่ทนครับ แนะนำเพจ อวยMG
ผมว่าไทยพัฒนารถไร้คนขับยาก ดูจากถนนเส้นถนนขาดๆเกิน จากนิสัยการขับรถของคนไทย ไม่ใช่จะด้อยค่าแต่แม่งหมดหวังแต่ยังหวังนิดๆ
เชื่อมั่นถ้าอุปกรณ์ไม่เสียเก่งกว่าคน
😁👍
เจ๋งมาก พี่จีน แต่ผมชอบ ของอเมริกา มากกว่า
ต่างคนต่างเจ๋งเลยครับ บ้านเราพัฒนาไม่เป็น ต้องรอลุ้นว่าจะนำเข้ามาให้บริการเมื่อไหร่ครับ👍😁😁
ไทยเป็นเมืองขึ้นของจีนไปแล้ว30%
ยังก็แทนคนขับจริงๆ ไม่ได้ วิจัยได้แต่ใช้แทนทั้งหมดไม่ได่
เทคโนโลยีนี้มันมาแล้วจริงๆนะครับ 👍😀😀
@@DedTongDon มันมาก็จริงแต่คนที่จะใช้บริการแบบนี้ก็ไม่ง่ายนะ
Baidu ให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับในจีนมา 2 ปีแล้ว
ได้ยินว่าจีนผมว่าไม่มีมาตรฐาน
จีนสมัยนี้ พัฒนาขึ้นมากนะครับ 👍😁
ผมว่ามาตรฐานของจีนสูงกว่าตะวันตก เพราะในโลกนี้มีเพียงจีนเท่านั้นที่สร้างสถานีอวกาศได้สำเร็จโดยอิสระ
คิดดีๆน่ะ สินค้าจีน มักจะเหลวในภายหลัง
แต่เท่าที่ใช้มาก็ไม่มีปัญหาอะไรนะ เช่นมือถือและทีวี
ส่วนไทย..ต้องกลับไปใช้เตาถ่าน และวิทยุทรานซิสเตอร์ ตามนโยบาย ประยุท
😁😁
ผมมีเงินผมไม่ชื้อของจีน