ใครปฏิเสธพุทธวจน
ฝัง
- เผยแพร่เมื่อ 22 พ.ค. 2024
- 00:00 ผู้อ้างเป็นพุทธวจนแต่อธิบายผิดและผู้หลงเชื่อพระเกจิ คือ ผู้ปฏิเสธพุทธวจน ปฏิเสธพระพุทธเจ้า
02:41 หลงศพเหลืองว่าต้องบรรลุ พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไม่ใช่สาวกพยากรณ์ ทำตนเป็นพระพุทธเจ้า
04:52 ให้รู้ลมระลึกพุทโธไม่ใช่คำสอนพระพุทธเจ้า เกจิอาจารย์สอนผิด ปฏิเสธพุทธวจน
07:43 เอาจิตอยู่กับลมเอาจิตอยู่กับกาย คำแต่งใหม่ไม่ใช่พุทธวจน ไม่ใช่อานาปานสติ
09:47 ไม่ใช่อานาปานสติเพราะสอนเพิ่มกิเลสทำแล้วค้าขายดี พุทธวจนเป็นเรื่องละ
11:37 เป็นพระโสดาบันง่ายแค่รักษาศีลห้าศรัทธาพระรัตนตรัย : ความเข้าใจผิดเอาผลมาเป็นเหตุ
13:23 จะละนันทิ ความติดข้อง แต่อยากเป็นพระโสดาบันทำทางผิด ถูกนันทิหลอกก็ไม่รู้
16:06 ยกพุทธวจนแต่อธิบายผิดและเข้าใจผิดไม่ตรงกับพุทธวจนอื่น : ผู้ปฏิเสธพุทธวจน
17:39 พระเกจิให้สวดคาถาเงินล้าน สร้างพระเครื่อง มอมเมาเพิ่มกิเลส ไม่ใช่คำสอนพระพุทธเจ้า
18:54 ไม่เอาปริยัติทิ้งตำราปฏิบัติเลยก็คือทิ้งพระพุทธเจ้า
21:40 ไม่เอาปริยัติไม่เอาตำรา เป็นมหาโจรในโลก
23:29 นั่งสมาธิไม่มีปัญญารู้อะไร ไม่ใช่ความสงบ นิ่งไม่ใช่ความสงบ
24:28 หนทางถูกเป็นอย่างไร ผู้ยกพุทธวจนแล้วอธิบายถูกสอดคล้องกับพุทธวจนอื่นมีธรรมเป็นอนัตตาเป็นทางถูก
![[UNCUT] ฝันรักห้วงนิทรา | EP.3 (1/4)](http://i.ytimg.com/vi/zVXAFD1OLZg/mqdefault.jpg)
พุทธวจนไม่ผิดแต่ยกพุทธวจนมาอธิบายผิด เป็นสาวกภาษิตปฏิเสธพุทธวจนและปฏิเสธพระพุทธเจ้า
ยกพุทธวจน มาแต่ขัดแย้งกับพุทธวจนอื่นๆ เช่น ศพสีเหลืองพยากรณ์เองเลยว่าศพนั้นศพนี้บรรลุ แท้ที่จริงไม่ใช่ฐานะของสาวกแต่เป็นฐานะของพระพุทธเจ้าที่จะพยากรณ์ว่าใครบรรลุในผัคคุณสูตรแต่เรื่องศพสีเหลืองตนเองกับพยากรณ์เองว่าศพนี้บรรลุเพราะศพสีเหลือง เพราะไม่ได้มีพระญาณหยั่งรู้เหมือนพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ฐานะของสาวกจะไปพยากรณ์ใครบรรลุ ดังนั้นอย่าได้เป็นผู้ชอบประมาณในบุคคล [มิคสาลาสูตร] เทียบตนเป็นพระพุทธเจ้าพยากรณ์ศพคนอื่นว่าบรรลุ ส่วนสัตว์โลกผู้ไม่รู้ รักญาติพี่น้องพ่อแม่ อยากให้เขาไปดี มีโลภะกิเลสหลอกก็ไม่รู้ตัว จึงหาวิธีง่ายๆเปิดธรรมให้ฟังก่อนตาย พอศพสีเหลืองก็เลยสรุปเองเลยว่าไปดีแล้ว ไม่มีพระญาณรู้วาระจิตเหมือนพระพุทธเจ้า จึงเอาคำพุทธวจนมาอธิบายผิด ทำให้คนเห็นผิดนั่นเอง จึงเป็นสาวกภาษิตคำอัญญเดียรถีย์ไม่ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า ครับ
อธิบายอานาปานสติที่ผิด ไม่ใช่สติและไม่ใช่อานาปานสติ
ที่สำคัญอธิบายยกอานาปานสติแต่อธิบายผิด จึงไม่ใช่อานาปานสติ เพราะขัดแย้งกับพุทธวจนอื่น คือ อนัตตา (ควรเทียบหลักมหาปเทส๔)ก็เป็นการเข้าใจผิด ในธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่เข้าใจตั้งแต่ตรงนี้ ก็จะทำสติ จะเลือกอารมณ์ ไม่เข้าใจว่ามีแต่ธรรมตั้งแต่ต้น เป็นอนัตตา บังคับสติ ไม่ได้ และคำว่า เอาจิตอยู่กับลมเอาจิตอยู่กับกาย ก็เป็นคำแต่งใหม่ ไม่มีในพุทธวจน นี่ก็คือ ยกพุทธวจนแต่อธิบายผิด ดังนั้น หากจะเอาพุทธวจน คำอื่นคำอรรถกถาเป็นสาวกภาษิต ปฏิเสธอรรถกถา คำที่ใครก็ตามกล่าวยกพุทธวจน แล้วมาอธิบายเพิ่มเช่น เอาจิตอยู่กับลมอยู่กับกาย ก็ชื่อว่า เป็นคำแต่งใหม่ เพราะห้ามอธิบาย ห้ามมีคำอื่นที่นอกเหนือจากเล่มนี้หน้านี้ ข้อนี้นั่นเองครับ ดังนั้นการอธิบายเพิ่มเติมที่สอดคล้อง ถูกต้องก็คือ คำพระพุทธเจ้านั่นเอง แต่อธิบายผิดขัดหลักธรรมเป็นอนัตตา พยากรณ์เองเรื่องศพเหลืองคนนั้นคนนี้บรรลุ ก็เป็นคำแต่งใหม่ เป็นตะโพน กลอง ที่เป็นสาวกภาษิตนั่นเองครับ (อาณิสูตร)
เนื้อหาควรฟังและแชร์ดังนี้
00:00 ผู้อ้างเป็นพุทธวจนแต่อธิบายผิดและผู้หลงเชื่อพระเกจิ คือ ผู้ปฏิเสธพุทธวจน
02:41 หลงศพเหลืองว่าต้องบรรลุ พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไม่ใช่สาวกพยากรณ์ ทำตนเป็นพระพุทธเจ้า
04:52 ให้รู้ลมระลึกพุทโธไม่ใช่คำสอนพระพุทธเจ้า เกจิอาจารย์สอนผิด ปฏิเสธพุทธวจน
07:43 เอาจิตอยู่กับลมเอาจิตอยู่กับกาย คำแต่งใหม่ไม่ใช่พุทธวจน ไม่ใช่อานาปานสติ
09:47 ไม่ใช่อานาปานสติเพราะสอนเพิ่มกิเลสทำแล้วค้าขายดี พุทธวจนเป็นเรื่องละ
11:37 เป็นพระโสดาบันง่ายแค่รักษาศีลห้าศรัทธาพระรัตนตรัย : ความเข้าใจผิดเอาผลมาเป็นเหตุ
13:23 จะละนันทิ ความติดข้อง แต่อยากเป็นพระโสดาบันทำทางผิด ถูกนันทิหลอกก็ไม่รู้
16:06 ยกพุทธวจนแต่อธิบายผิดและเข้าใจผิดไม่ตรงกับพุทธวจนอื่น : ผู้ปฏิเสธพุทธวจน
17:39 พระเกจิให้สวดคาถาเงินล้าน สร้างพระเครื่อง มอมเมาเพิ่มกิเลส ไม่ใช่คำสอนพระพุทธเจ้า
18:54 ไม่เอาปริยัติทิ้งตำราปฏิบัติเลยก็คือทิ้งพระพุทธเจ้า
21:40 ไม่เอาปริยัติไม่เอาตำรา เป็นมหาโจรในโลก
23:29 นั่งสมาธิไม่มีปัญญารู้อะไร ไม่ใช่ความสงบ นิ่งไม่ใช่ความสงบ
24:28 หนทางถูกเป็นอย่างไร ผู้ยกพุทธวจนแล้วอธิบายถูกสอดคล้องกับพุทธวจนอื่นมีธรรมเป็นอนัตตาเป็นทางถูก
พระสูตรอ้างอิงในคลิปนี้ ปฐมตถาคตสูตร ทุติยปหานสูตร มหาปรินิพพานสูตร ปหีนสูตร สังขิตตสูตร ทุติยสารีปุตตสูตร สติปัฏฐานสูตร
ขออนุโมทนา
กราบอนุโมทนากุศลวิริยะอาจารย์ผเดิมที่มาให้ความรู้ถูก ที่นี่อยู่เสมอๆ สาธุค่ะ
อนัตตาจริงแท้แน่นอนค่ะ ขอบคุณค่ะ
อนุโมทนาสาธุคะ
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ
ขอน้อมกราบสาธุในพระธรรมค่ะ
🙏🙏🙏
กราบบูชาพระรัตนตรัย
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ผเดิม ยี่สมบุญผู้ให้ความรู้พระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง
กราบบูชาคุณท่านอาจารย์เผดิมอย่างสูง กราบอนุโมทนาบุญค่ะ
อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ สาธุ
อนุโมทนาสาธุครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
อนุโมทนาสาธุในพระธรรมค่ะ
ขอบพระคุณอาจารย์เผดิมเป็นอย่างสูงที่ช่วยอธิบาย ช่วยให้เกิดความเข้าใจถูกในประเด็นต่าง ๆ ค่ะ เป็นประโยชน์อย่างมากจริง ๆ ค่ะที่ได้ฟังและเกิดความเข้าใจถูก ขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์และทุกท่านค่ะ 🙇🏻♀️🙏🏻
กราบอนุโมทนาครับ
ขอบคุณครับ ที่นำธรรมแท้มาแจ้งให้เข้าใจครับ ตรงประเด็น อย่างแท้จริง พระสงฆ์ทุกวันนี้หาลาภสักการะมากเกินไป อวดอ้างตน อีกทั้งฆราวาสบางกลุ่มก็หากินกับพระ กับศาสนา
อนุโมทนาค่ะ..
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ 🙏🌹
ปัญญาย่อมเกิดกับผู้เดินตามพระศาสดา พึ่งตนพึ่งธรรม อนุโมทนาบุญ สาธุครับ
ปัญหาคือเชื่อผิดในบุคคลที่อ้างเป็นพุทธวจนแต่อธิบายตรงข้ามพระศาสดานั่นเองครับ แต่คิดเองว่าเดินตามพระศาสดา ครับ
พุทธวจนไม่ผิดแต่ยกพุทธวจนมาอธิบายผิด เป็นสาวกภาษิตปฏิเสธพุทธวจนและปฏิเสธพระพุทธเจ้า
ยกพุทธวจน มาแต่ขัดแย้งกับพุทธวจนอื่นๆ เช่น ศพสีเหลืองพยากรณ์เองเลยว่าศพนั้นศพนี้บรรลุ แท้ที่จริงไม่ใช่ฐานะของสาวกแต่เป็นฐานะของพระพุทธเจ้าที่จะพยากรณ์ว่าใครบรรลุในผัคคุณสูตรแต่เรื่องศพสีเหลืองตนเองกับพยากรณ์เองว่าศพนี้บรรลุเพราะศพสีเหลือง เพราะไม่ได้มีพระญาณหยั่งรู้เหมือนพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ฐานะของสาวกจะไปพยากรณ์ใครบรรลุ ดังนั้นอย่าได้เป็นผู้ชอบประมาณในบุคคล [มิคสาลาสูตร] เทียบตนเป็นพระพุทธเจ้าพยากรณ์ศพคนอื่นว่าบรรลุ ส่วนสัตว์โลกผู้ไม่รู้ รักญาติพี่น้องพ่อแม่ อยากให้เขาไปดี มีโลภะกิเลสหลอกก็ไม่รู้ตัว จึงหาวิธีง่ายๆเปิดธรรมให้ฟังก่อนตาย พอศพสีเหลืองก็เลยสรุปเองเลยว่าไปดีแล้ว ไม่มีพระญาณรู้วาระจิตเหมือนพระพุทธเจ้า จึงเอาคำพุทธวจนมาอธิบายผิด ทำให้คนเห็นผิดนั่นเอง จึงเป็นสาวกภาษิตคำอัญญเดียรถีย์ไม่ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า ครับ
อธิบายอานาปานสติที่ผิด ไม่ใช่สติและไม่ใช่อานาปานสติ
ที่สำคัญอธิบายยกอานาปานสติแต่อธิบายผิด จึงไม่ใช่อานาปานสติ เพราะขัดแย้งกับพุทธวจนอื่น คือ อนัตตา (ควรเทียบหลักมหาปเทส๔)ก็เป็นการเข้าใจผิด ในธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่เข้าใจตั้งแต่ตรงนี้ ก็จะทำสติ จะเลือกอารมณ์ ไม่เข้าใจว่ามีแต่ธรรมตั้งแต่ต้น เป็นอนัตตา บังคับสติ ไม่ได้ และคำว่า เอาจิตอยู่กับลมเอาจิตอยู่กับกาย ก็เป็นคำแต่งใหม่ ไม่มีในพุทธวจน นี่ก็คือ ยกพุทธวจนแต่อธิบายผิด ดังนั้น หากจะเอาพุทธวจน คำอื่นคำอรรถกถาเป็นสาวกภาษิต ปฏิเสธอรรถกถา คำที่ใครก็ตามกล่าวยกพุทธวจน แล้วมาอธิบายเพิ่มเช่น เอาจิตอยู่กับลมอยู่กับกาย ก็ชื่อว่า เป็นคำแต่งใหม่ เพราะห้ามอธิบาย ห้ามมีคำอื่นที่นอกเหนือจากเล่มนี้หน้านี้ ข้อนี้นั่นเองครับ ดังนั้นการอธิบายเพิ่มเติมที่สอดคล้อง ถูกต้องก็คือ คำพระพุทธเจ้านั่นเอง แต่อธิบายผิดขัดหลักธรรมเป็นอนัตตา พยากรณ์เองเรื่องศพเหลืองคนนั้นคนนี้บรรลุ ก็เป็นคำแต่งใหม่ เป็นตะโพน กลอง ที่เป็นสาวกภาษิตนั่นเองครับ (อาณิสูตร)
@@paderm ใช่ครับ เห็นด้วยครับ สาธุครับ
🙏🙏🙏 กราบอนุโมทนาในกุศลจิตที่ดีงามค่ะ
ชื่นชมท่านครับที่นำชาวพุทธไปสู่พระไตรปิฏก ไม่มานั่งมโนเองหรือเชื่อฟังคำครูอาจารย์ต่างๆ ซึ่งเป็นสาวก ถกกันบ่อยๆจะได้ข้อสรุปที่แท้จริงครับ เพราะขนาดพุทธวจน ยังถกกันว่าใครอธิบายถูกหรือผิด อยากได้ธรรมมะแท้ๆครับ
อนุโมทนา สาธุๆ ค่ะ
กราบอนุโมทนา ผู้สะสมความเห็นผิดมามาก แม้ได้ยินพระพุทธพจน์ ก็ไม่เข้าใจ เพราะมีความเห็นผิดนำไปในกิจทั้งปวง
กราบอนุโมทนาบุญด้วยค่ะท่านอาจารย์ กราบสวัสดี ด้วยความเคารพ สาธุสาธุค่ะ
เสียใจที่ล่วงเกินพระธรรม ขอบคุณ ที่พูดคววามจริงให้ได้แก้ไขครับ
อนุโมทนาบุญ
🙏อนุโมทนาค่ะ
มาฟังก่อนนอนอีกค่ะ🌿🌿🌿🌾🌾🌾🌾
น้อมกราบสาธุในธรรมเจ้าข้า สาธุ สาธุ สาธุ
สาธุค่า...
ขออนุโมทนาสาธุ
ขอบพระคุณค่ะอาจารย์
เชื่อคําสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า-คือพระธรรมนั้นแหละของจริง-คนพากย์พูดถูกทุกอย่างค่ะ-ขอให้สุขกายสุขใจน่ะค่ะ
🎉 ขอ,นอบ"น้อม" กราบบูชา"คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์" เจ้าค่ะ.และ"น้อม" กราบ อนุโมทนาในกุศลจิตที่ดีงามค่ะ."ท่านอาจารย์ Paderm Yeesomb" ด้วยความเคารพรักยิ่ง.ค่ะ.("น้อม"ฟังพระธรรม"คำจริงของ"พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า" เพื่อมีปัญญาความเห็นถูก เป็นหนทางละกิเลส ละทุกข์ ได้รู้ความจริงยิ่งขั้นปัญญา 3 ทาง)ค่ะ.
"น้อม" กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เมตตายิ่ง ค่ะ.❤
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ
กราบอนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ
อนุโมทนาค่ะ
คิปนี้ถูกด้วยสติค่ะ สาธุๆๆ
ขอนอบน้อมแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบอนุโมทนาสาธุกับบุคคลผู้เห็นถูกเห็นตรงครับ
สาธุคะ❤❤❤🙏🏻
กราบบูชาคุณท่านอาจารย์ผเดิมที่เคารพอย่างสูงกราบอนุโมทนาสาธุ...🙏🙏🙏🪷🪷🪷👍👍👍...อาจารย์กล่าวคำจริงตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า...กราบอนุโมทนาสาธุจากนราธิวาสครับผม...🙏🪷👍
สาธุครับ🙏🙏🙏
สาธุค่ะ
กราบในคุณอาจารย์ครับ
ขอน้อมกรายสาธุในพระธรรม
ค่ะ
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ผเดิม ด้วยความเคารพยิ่ง ในความเมตตากรุณาของท่านอาจารย์ ธรรมะของพระพุทธองค์ ฟังแล้วไม่สงสัยสิ่งใดเลย ท่านอาจารย์ กล่าวได้สอดคล้อง ตรงตามความเป็นจริง คำจริงประเสริฐยิ่งนัก ประโยชน์อย่างยิ่งเจ้าค่ะสาธุสาธุเจ้าค่ะ
กราบอนุโมทนา
พุทธวจน พุทโธ อาจารย์
เอามาพูดรวมกัน
เข้าใจสร้างความสับสน
เรากล่าวว่าเจตนา
นั้นเป็นกรรม
ผลแห่งกรรมยุติธรรม
ที่สุด นะครับ
หลักมหาประเทศ 4
@@user-nh1yz3sb4l คนที่สับสน คือคนไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเพราะความไม่รู้ แม้เท่านั้นก็มีเจตนาแล้ว แล้วยังเห็นผิดจนกล่าวติเตียนผู้กล่าวคำจริง กรรมนั้นก็ยิ่งมีผลมาก ที่เห็นว่าพูดหลายพวกรวมกัน เพราะยึดถือหมู่คณะ ว่าแตกต่าง เพราะไม่เข้าใจว่า ความเห็นผิดเป็นความเห็นผิดจำพวกเดียวกันโดยลักษณะ
@@sabbe.dhamma.anatta กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ คุยกับท่านนี้เขาหน่อย สิคะ เขากำลังสับสนอยู่ ไม่รู้สับสนอะไร ใครกล่าวถูก หนูฟังก็ไม่เห็นสับสนเลย คนกล่าวผิด หนูฟังก็ไม่เห็นสับสนเลย ถูกก็คือถูกผิดก็คือผิด อวิชชามันเยอะ ผิดหรือถูกแยกแยะไม่ออกหรือ มันจะสับสนอะไรนักหนา ฟังไม่เข้าใจมากกว่า สะสมความไม่รู้ มา เยอะ แล้วก็มาเที่ยว โทษคนอื่น ทั้งที่ตัวฟังไม่เข้าใจเอง เจตนาเป็นผลของกรรม ก็มีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว มันก็มีผลอยู่แล้ว ก็รู้ด้วยตัวเอง ใครจะมารู้ด้วย จริงไหม
@@user-iv9bu8wg8i เขายึดความเป็นสัตว์บุคคลกลุ่มคณะ จึงไม่เข้าใจเจตนาของอาจารย์ผเดิมที่ชี้โทษไปที่มิจฉาทิฏฐิอย่างเดียวกันคือความเห็นว่าปัญญาจะเจริญขึ้นด้วยการกระทำที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาได้
♥️🙏สาธุ♥️🙏ส่ธุ❤🙏สาธุ♥️🙏สาธุ♥️
ดีครับ
ศพผิวผ่อง เป็นการทดลองเพื่อพิสูจน์ ผัคคุณสูตร ไม่มีการพยากรณ์ว่า ผู้ตายสิ้นอาสวะ เป็นการทวนพระสูตร โดยกล่าว 2 ส่วนหลัก คือ 1 การที่พระผัคคุณะผ่องใสเพราะสิ้นอาสวะ กับ 2 อานิสงส์ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร ๖ ประการ ซึ่งกล่าวถึงการสิ้นอาสวะ ในแต่ละประการโดยไม่ตัดต่อ
ผู้ที่เสพคบพุทธวจน จะได้ฟัง ผัคคุณสูตร เต็มๆ ทุกครั้ง ที่ได้ยินเรื่องศพผิวผ่อง ถ้าสงสัยว่า เป็นการพยากรณ์ หรือกล่าวคำตถาคต ควรฟังซ้ำเพื่อให้เกิดความเห็นถูก
มีคลิปวีดีโอ ที่พยากรณ์ชัดเจน ครับ ค้นหาในกูเกิลหรือยูทูปได้เลยครับ พิมพ์ว่า ฟังธรรมก่อนตาย ผิวกายผ่องใส จะมีวีดีโอขึ้นมา จะยกศพต่างๆ และ จะมีนาทีที่ ๑๗ พยากรณ์ชัดเจนครับว่า โดยพยากรณ์ใช้คำว่า ...เพราะเขาคือผู้ละสังโยชน์ห้าได้.. นี่ก็คือคำพูดพยากรณ์คนอื่นว่า สิ้นกิเลสเป็นพระอนาคามีนั่นเอง ซึ่งไม่ใช่ฐานะของสาวกเลยครับ ที่จะไปพยากรณ์ใครบรรลุแบบนี้ ดังนั้นการที่ท่านผู้เขียนจะกล่าวปกป้องอาจารย์หรือใคร ต้องมีหลักฐานค้นคว้าให้ดี ไม่เช่นนั้นก็เป็นการปกป้องสาวกนอกภาษิต กล่าวตู่พระพุทธเจ้า ไม่เคารพพุทธวจน นั่นเองครับ ดังนั้นการไปพยากรณ์คนอื่น นั่นผิด ครับ และที่น่าพิจาราเพิ่มเติมอีกคือ การให้ฟังธรรม ฟังสิ่งที่ผิดหรือถูก เพราะถ้าอธิบายพุทธวจนก็คือคำสาวกนอกภาษิต นั่นเองครับ ดังคลิปนี้ คลิกฟังครับ th-cam.com/video/28JVp8946r0/w-d-xo.htmlsi=yeQ94gmsonl14A3z ขออนุโมทนา
@@padermคลิปนี้ ผมก็ฟังมาแล้ว ถึงย้ำ ว่าควรฟังซ้ำ ให้เกิดความเห็นถูก การกระโดดไปนาทีที่ 17 จะกล่าวหาเขา ว่าผิดอะไรก็ได้ ดังนั้น ท้าให้ทุกท่านไปฟังเอง แล้วลองเทียบ ระหว่าง "ฟังตั้งแต่ต้น" กับกระโดดไปนาที 17 จะเห็นเอง ว่าเข้าใจต่างกันขนาดไหน ส่วนใครอยากให้คนตัดสิน โดยไม่พิสูจน์ความจริง ก็รอดูว่าเขาจะมาแบบไหน
จะฟังนาทีไหนก็ตาม แต่มีการพยากรณ์ชัดเจนว่า คนนั้นสิ้นสังโยชน์ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ไม่ได้พยากรณ์ เพราะท่านผู้เขียน เขียนเองว่า ไม่มีการพยากรณ์ นั่นก็ไม่ถูกต้องแล้วนั่นเองครับ เพราะคลิปหลักที่ผมทำยูทูปนี้ คือ เป็นผู้พยากรณ์คนอื่นว่าบรรลุ นั่นไม่ใช่ฐานะของสาวก เมื่อมีการพยากรณ์ นั่นก็ผิดนั่นเองครับ
สาธุครับ
ขออนุโมทนา สาธุค่ะ
ปริยัติ สำคัญแบบนี้แล
ผู้ติดข้องเมื่อได้ยินได้ฟังก็เกิดโทสะ เพราะสะสมความไม่รู้มานานแสนนาน ผู้ฟังโดยไตร่ตรองย่อมสะสมความรู้ยิ่งอันเป็นสัมมาทิฏฐิ
🙏🙏🙏
อาจารย์ครับ ทำงานไป เปิดฟังธรรมมะไปนี่มีประโยชน์รึเปล่าครับ เหมือนไม่ตั้งใจฟังดีๆรึเปล่าครับ
ประโยชน์คือขณะที่เข้าใจครับ ดังนั้นขณะใดที่เข้าใจ แม้เล็กน้อยนั่นก็เป็นประโยชน์แล้วครับ ขออนุโมทนา
ปรกติทำโน่นทำนี่ก็ฟัง แล้วฟังซ้ำก่อนนอน กราบอนุโมทนา
กระผมกราบขออนุญาตครับ ท่านอาจารย์ครับ พระอัฐิธาตุที่มีหลักฐานทางโบราณคดีรับรองจะมีสัณฐานคล้ายกระดูกมนุษย์ครับแต่ทื่เป็นคล้ายอัญมณีหรือแก้วใสหมายถึงอย่างไรครับผม กราบขอบพระคุณครับ
จริงก็กราบไหว้ ไม่จริงก็สมมติเอา พระประธานก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้าก็กราบได้ รูปธรรมทั้งหลายเกิดแล้วก็ดับแล้ว หาสาระอะไรได้ หากไม่รู้จักพระพุทธคุณ จะกราบอะไรก็หาประโยชน์ไม่ได้
ตอนแรกๆผมก็เข้าใจอาจารย์ผิดอยู่แต่ตอนผมก็เข้าใจอาจารย์แล้วฟังมาโดยตลอดขออภัยด้วยนะครับ❤❤❤
สาธุอนุโมทนาในความเห็นถูกด้วยครับ
สาธุสาธุสาธุในธรรมและคำสั่งสอนค่ะอาจารย์🙏🙏🙏
ขออนุโมทนาสาธุๆบุญคะขอบพระคุณท่านอาจารย์คะ🙏🙏🙏
ขอสอบถามหน่อยตนเองก็ศึกษามาป็นหลักปีก็ศึกษาไตร่ตรองดูแล้วสรุปเราควรรู้ลมหายใจไหมอะงงๆ เพราะการรู้ลมเป็นกายอันหนึ่งๆในกายทั้งหลาย พอทราบมาแบบนี้ เราศรัทธาพระพุทธเจ้ามากๆพยายามจะศึกษาตลอด แต่ทุกวันนี้มีผู้รู้มากมาย มาบอกว่า อันนี้ ปบบนี้ อันนั้น แยบนั้น จนเราเอง ผู้ใหม่งงไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่า เราเข้าใจและตีความถูกหรือไม่ 😢
ฟังคลิปนี้ครับ th-cam.com/video/28JVp8946r0/w-d-xo.htmlsi=wb_IxkfMURkyfJDD
เลือกรู้ลม(ไม่ใช่สติด้วย)ลืมอนัตตา(ขัดแย้งพุทธวจนอื่น) บังคับไม่ได้ ไม่ใช่เราเลือก สติปัญญาเลือกรู้เอง
หากได้อ่านประวัติพระสาวกมากมาย ไม่มีรูปแบบเจาะจงให้พระภิกษุทุกรูปทำอานาปานสติ บางรูปก็ให้ให้เจริญธรรมอื่น สติปัฏฐานจึงมีสี่ ไม่ใช่แค่กาย มีเวทนา จิต ธรรม การเลือกจะทำ นั่นคือบังคับสติ(ขัดกับอนัตตา บังคับไม่ได้) และที่สำคัญไม่ใช่สติด้วย และที่สำคัญที่สุด เพราะชาวพุทธไม่มีพื้นฐานตั้งแต่ต้นว่า ธรรมคืออะไร ธรรมเป็นอนัตตาบังคับไม่ได้ เข้าใจคำว่าสติผิด จึงจะทำสติ จะทำอานาปานสติ เพราะอยากได้ผลอานิสงส์ เริ่มต้นผิดที่ความอยาก เริ่มต้นผิดที่จะทำ จึงมีคำถามให้ตอบว่า หากทำได้ ตอนนี้ ทำให้โกรธเกิดขึ้นได้ไหม ทำเลยให้เกิดเลยได้ไหม ครับ นี่แสดงถึงความเป็นเหตุปัจจัยของธรรม ไม่ใช่จะทำได้ พระองค์ถึงทรงแสดงพระธรรมที่ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้นั่นเอง ดังนั้นถ้าไม่เริ่มจากการฟังให้เข้าใจเป็นเบื้องต้น ก็กล่าวว่า พระศาสดาให้ทำ อะไรทำ(ธรรมทำหน้าที่ไม่ใช่เรา) แต่ไม่มีความเข้าใจในธรรมเป็นเบื้องต้นคืออะไร ไม่เข้าใจอนัตตา ก็ทำผิด และคิดว่าเป็นสติ ก็เป็นมิจฉาสติ เป็นโลภะต้องการจดจ้องลมหายใจ แต่ขณะนั้น ไม่ได้รู้ความจริงว่าเป็นธรรม เพราะการไถ่ถอนละกิเลส คือ ละความยึดถือว่าเป็นเรา ครับ
จะละนันทิแต่เพิ่มกิเลสโลภะนันทิเพราะอยากในคำว่า ผลอานิสงส์มากและง่าย
ต้องการผล อยากจะจะจดจ้อง เลือกอารมณ์(ลมหายใจ) คือ โลภะ ทางมาของกิเลส
เพราะไม่รู้จักกิเลส จึงสำคัญว่าความอยากเป็นสิ่งที่ดี ก่อนศึกษาธรรมก็อยากพอใจในรูปเสียงกลิ่นรส และไม่รู้ตัวด้วยว่ากำลังมีความอยากขณะนี้ กำลังมีกิเลสก็ไม่รู้ พอศึกษาธรรมแล้ว ได้ฟังอ่าน ผลอานิสงส์อานาปานสติ ก็อยากได้ผล อยากพ้นจากกิเลส นั่นก็คือความอยาก แต่เปลี่ยนเป็นอยากดี อยากละกิเลส พระธรรมจึงเป็นเรื่องตรง อยากเป็นอยาก โลภะเป็นโลภะ เหมือนสมณพราหมณ์ผู้เห็นผิด อยากละสิ่งไม่ดี แต่หนทางที่ดำเนินนั้นผิด เพราะ ไม่มีความเข้าใจธรรมเป็นเบื้องต้นในความเป็นธรรม อนัตตา บังคับไม่ได้ จะทำสติ จะจดจ้องลมหายใจ ลืมว่า สติเป็นอนัตตา และสิ่งที่จะทำก็ไม่ใช่สติและปัญญาด้วย เพราะไม่มีปัญญารู้อะไร ได้แค่เพียงหายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ แล้วรู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราหรือไม่เ พราะถ้าไม่รู้แบบนี้ ก็ละกิเลส คือ ความยึดถือว่าเป็นเรา ความเห็นผิดที่พระโสดาบันต้องละก่อนไม่ได้ เพราะไม่มีปัญญาตั้งแต่ต้น ครับ
ขอเรียนถามอาจารย์ค่ะ พระสงฆ์หลายรูปทำไมสำเร็จพระอรหันต์โดยการนั่งสมาธิค่ะ
ฟังตามเขามาว่าสำเร็จพระอรหันต์ ถ้ายังไม่รู้จักหนทาง ไม่รู้ว่าสมาธิคืออะไร และไม่ฟังคลิปอธิบายว่าสมาธิคืออะไร ก็เชื่อตามๆเขาไปครับ
🌿🌿🌿🌾🌾⚘️
ขอถามว่า.เทวดา
มีจริงหรือไม่?คะ.
ทำไมมีแต่คนพูดถึง
แต่พิสูจน์ไม่ได้ว่า
มีจริงหรือไม่?
อยากทราบมากที่สุดเลยค่ะ.ขอรบกวนอาจารย์ให้ความรู้โดยชัดเจนด้วยค่ะ.
ดูแล้วเห็นมีแต่ท่าน
อ.ผะเดิมคนเดียวเท่านั้นที่พอจะให้ความรู้แก่ปชช.ทั่วไปได้.กราบขอบคุณมากค่ะ.จะรอฟังนะคะ...🙏🙏🙏🙏🙏
ก็ต้องคุยกันก่อนครับ ที่ท่านเขียนกล่าวว่า ..ทำไมมีแต่คนพูดถึงแต่พิสูจน์ไม่ได้ว่ามีจริงหรือไม่?... จะพิสูจน์แบบไหนครับ พิสูจน์โดยการให้เห็นเทวดาจริงๆ จึงเชื่อว่ามีเทวดาหรือเปล่าครับ ถ้าแบบนี้ ตัดสินโดยให้เห็นเทวดาจึงเชื่อว่ามี คงพิสูจน์ไม่ได้แน่นอนเพราะต้องรู้ครับว่า เราอยู่ในฐานะที่เทวดาจะให้เห็นไหม จะมาหาไหม มีคุณธรรมพอหรือเปล่า หรือในกาลสมบัติที่เทวดาจะมาฟังธรรมหรือเปล่า ดังสมัยพุทธกาลที่เป็นกาลสมบัติอันสมควรมที่เทวดาเขามาเฝ้าเพื่อฟังธรรมพระพุทธเจ้า เมื่อไม่อยู่ในกาลที่สมควร ใครจะมีอำนาจมาให้พิสูจน์แบบนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากศึกษาพระธรรมที่ถูกต้องเข้าใจจริงๆ ย่อมเชื่อโดยเหตุผลได้ แม้ไม่ได้พบเทวดา สำหรับผู้มีปัญญาพิจารณาเหตุผลเข้าใจนะครับ เพราะพระองค์ทรงแสดง กรรมมีผลของกรรมมี ในโลกมนุษย์ มีคนรวยไหมครับ รวยมาก รวยน้อย คนจนมาก จนน้อย คนลำบาก คนสบาย ทำไมต่างกันหละ ทำไมไม่เกิดมาครอบครัวรวยๆ ทำไมบางคนเกิดมาในครอบครัวกษัตรย์ ก็เพราะมีเหตุ กรรมดีมี ผลกรรมดี มี และกรรมที่ประณีตกว่าสูงกว่า ก็ทำให้มีภพภูมิที่ประณีตกว่า มีเทวดา เป็นต้น คนที่เป็นกษัตรย์ในโลกนี้ก็เห็นอยู่ มีความประณีตกว่าคนทั่วไป เขาถึงเรียกว่า สมมติเทพ ครับ เหมือนเทวดา นี่คือการให้เห็นถึงความต่างกันของกรรม ที่ชัดเจน ดังนั้นสิ่งที่ไม่เห็น ไม่ใช่จะมีหรือไม่มี แต่ กรรมเป็นเครื่องตัดสินแม้ในโลกนี้ ก็เป็นที่ประจักษ์กับตนเองถึงความแตกต่างนั่นเอง ครับ ขออนุโมทนา
เอาใกล้ ๆ พิสูจน์ได้ไหมว่าคนที่เจออยู่ตรงหน้าทุกวันมีจริง วิทยาศาสตร์ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ ทุกวันนี้ยังเถียงกันไม่จบว่าจักรวาลอยู่ในระบบจำลอง simulation หรือเปล่า ตอบไม่ได้ สัตว์มีชีวิตมี freewill คือมีสภาวะที่ควบคุมความคิดตนเองได้จริงหรือเปล่า ก็ตอบไม่ได้ สภาพรู้คืออะไร วิทยาศาสตร์มีนิยามหนือเปล่า ก็ไม่มี ความรู้ทั้งหมดของวิทยาศาสตร์ติดแหง็กอยู่ที่ทฤษฎีบทความไม่บริบูรณ์ของเกอเดิล มาไกลได้แค่นั้นและจะไม่ไปไกลกว่านั้น
แล้วสรรพสิ่งมาจากไหน ก็มาจากกรรม เมื่อสะสมความเห็นผิดมามาก ก็ไม่มีเหตุปัจจัยให้ได้พบสิ่งที่จะชักชวนให้เห็นถูก ยุคนี้คนสะสมความเห็นว่าตายแล้วขาดสูญมามาก เหตุปัจจัยที่จะทำให้ได้ระลึกถึงว่าเจตนานั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัยเป็นกรรมให้มีสภาพรู้เกิดขึ้นในอนาคต ก็ไม่ปรากฏ
ผัคคุณะสูตร อานิสงค์6ประการผู้ได้ยินได้ฟังคำ ตถาคตก่อนตาย พุทธเจ้าตรัสไว้กับพระอานนท์ อานิสงค์6ประการใช่ไหมครับที่อินทรีย์ผ่องใส แสดงว่า อินทรีย์ผ่องใสต้องเข้า1ใน6ข้อที่พุทธเจ้าตรัสไว้กับพระอานนท์ใช่ไหมครับ...โอกาสหน้าเอาพระสูตรเต็มมาอธิบายหน่อยนะครับ อยากรู้จริงๆเผื่อมีประโยชน์กับตัวเองและญาติมิตรครับ ขอบคุณครับ🙏
อย่าหลงประเด็นครับ อ่านประเด็นและฟังให้ดีครับ อานิสงส์ฟังธรรมมี แต่ในคลิปอธิบายว่าที่ผิดคือ ไปพยากรณ์ศพเหลืองเอง ไม่ใช่ฐานะของสาวกที่จะไปพยากรณ์ใครว่าบรรลุ และอานิสงส์ของการฟังธรรมที่ถูกต้องคืออะไร ไม่ใช่ศพเหลือง แต่ที่คุณยกพระสูตรมาคือฟังพระธรรมเข้าใจสิ้นกิเลส ดังนั้นยกพุทธวจนอธิบายผิด ก็จะเป็นโทษและทำตนเทียบพระพุทธเจ้าไปพยากรณ์คนอื่นบรรลุ ครับ ดังนั้น ถ้ามีอานิสงส์ของการฟังธรรมคือการเป็นศพสีเหลือง ช่วยยกมาด้วยครับ
ศพสีเหลืองพยากรณ์เองเลยว่าศพนั้นศพนี้บรรลุ แท้ที่จริงไม่ใช่ฐานะของสาวกแต่เป็นฐานะของพระพุทธเจ้าที่จะพยากรณ์ว่าใครบรรลุในผัคคุณสูตร(มีคลิปที่ผู้เห็นผิดได้บรรยายกล่าวว่าพระพุทธเจ้าเท่านั้นพยากรณ์ว่าใครบรรลุไม่ใช่สาวกพยากรณ์เอง) แต่ตนกับพยากรณ์เองว่าศพนี้บรรลุเพราะศพสีเหลือง ดังนั้นอย่าได้เป็นผู้ชอบประมาณในบุคคล [มิคสาลาสูตร] เทียบตนเป็นพระพุทธเจ้าพยากรณ์ศพคนอื่นว่าบรรลุ
มิคสาลาสูตร ใครเล่าจะพึงรู้เหตุนั้นได้นอกจากตถาคต ดูกรอานนท์ เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายอย่าประมาณในบุคคล และอย่าได้ถือประมาณในบุคคลเพราะผู้ถือประมาณในบุคคล ย่อมทำลายคุณวิเศษของตน เราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้ ฯ
ที่ยกผัคคุณสูตรมา อานิสงส์การฟังธรรมคือสิ้นกิเลส สิ้นสังโยชน์ ที่เป็นผล ครับ ไม่ใช่เพราะศพเหลืองตามที่ยกพุทธวจนแต่อธิบายผิดครับ ต้องอ่านใคร่ครวญให้ดีครับ และที่สำคัญการไปพยากรณ์ศพเหลืองตามที่กล่าวมา ก็ไม่ใช่ฐานะของสาวก เรียนถามประเด็นสองข้อดังต่อไปนี้ครับ
ถามข้อแรก การจะรู้ว่าใครมีปัญญา บรรลุ รู้ได้ทางตา สีที่ปรากฎ หรือ รู้ได้ทางใจ รู้วาระจิตของคนที่บรรลุ แต่ในมิคสาลาสูตร พระพุทธเจ้าทรงทราบ แม้พระอานนท์เห็นอินทรีย์ผ่องใสท่านพระผัคคุณะ ท่านพระอานนท์ไม่รู้ แต่พระพุทธเจ้าพยากรณ์รู้ เพราะท่านรู้วาระจิตของสาวก นั่นเอง จึงถามซ้ำ ครับว่า ปัญญา การบรรลุธรรม รู้ด้วยการเห็นสีเหลือง หรือ รู้ด้วยปัญญาที่ทราบวาระจิต
คำถามที่สอง เรา ผม คนยุคนี้ มี อินทริยปโรปริยัตตญาณ หรือ มี ญาณที่รู้วาระจิตของคนอื่นไหม หากญาติท่าน เพื่อนท่านกำลังนั่งฟังธรรมด้วยกัน ท่านทราบไหมว่า เพื่อนท่านเข้าใจแค่ไหน อินทรีย์แก่กล้าหรือยัง ปัญญากำลังบรรลุไปขั้นแล้วในขณะนั้น ถ้าไม่ทราบ ก็อย่าพยากรณ์คนอื่น อย่าถือประมาณในบุคคลอื่น เพราะไม่มีอินทริยปโรปริยัตตญาณ นี่คือการเชื่อมโยง มิคสาลสูตร กับ ผัคคุณสูตร โดยใจความคือ อย่าถือประมาณบุคคลอื่นเพราะอินทริยปโรปริยัตตญาณ มีหรือไม่ครับ จึงถามว่า หากญาติท่าน เพื่อนท่านกำลังนั่งฟังธรรมด้วยกัน ท่านทราบไหมว่า เพื่อนท่านเข้าใจแค่ไหน อินทรีย์แก่กล้าหรือยัง
@@paderm อธิบายเสียยาวเลย แค่อยากรู้ว่า อินทรีผ่องใสเกี่ยวกับอานิสงค์6ประการที่ตรัสกับพระอานนท์ไหม...ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับอาจารย์🙏
ขอให้คุณเผดิมช่วยแนะนำพระสงฆ์ในปัจจุบัน สัก 2 รูป ตอนนี้ผมสนใจอยากศึกษาธรรมะมากครับ
พระธรรมไม่ได้ฝากอยู่ที่ภิกษุบริษัท บริษัทมีสี่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ฟังธรรมจากใครก็ได้ที่ทำให้เกิดปัญญาความเข้าใจ ไม่เช่นนั้นจะติดและไม่เข้าใจว่า ธรรมคือคำพระพุทธเจ้า มีพระธรรมเป็นศาสดาแทนพระองค์ ไม่ใช่ภิกษุเป็นศาสดาแทนพระองค์ ครับ
[๑๔๑] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่าดูก่อนอานนท์ บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมก็ดี วินัยก็ดีอันใดอันเราแสดงแล้ว ได้บัญญัติไว้แล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาแห่งพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
1.ผัคคุณสูตร ก็บอกไว้นะครับว่าพระผัคคุณะ ยังละสังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ไม่ได้ (ก็เหมือนปถุชนคนธรรมดา) พอได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสธรรมให้ฟัง จึงละสังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ได้
2. พระพุทธเจ้าตรัสว่าช่วง มรณะกาเล คนจะมี อินทรีย์แก่กล้า ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
3. ทำไมศพที่ได้ฟังคำสอนพระพุทธเจ้า ที่เจอๆกัน ผิวเหลือง เปล่งปลั่ง ไม่แข็ง ไม่ขึ้นอืด ไม่มีกลิ่น 4-5 วันก็ยังเหมือนคนนอนหลับ แม่เพื่อน 7 วัน ก็ยังเหมือนคนนอนหลับ ขนาดจะเผาละ ยังต้องปรึกษากันว่า เอายังไงดี เหมือนแม่นอนหลับอยู่ เผาไม่ลง
4. ปกติ คนตาย ศพแข็งภายใน 3-4 ชม. ผิวหมองคล่ำ ผ่านไป 24-48 ชม. เริ่มขึ้นอืด ส่งกลิ่น
รบกวนขอความรู้หน่อยครับ และ ท่านกำลังบอกว่า อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ไม่มีสินะครับ
ศพสีเหลืองพยากรณ์เองเลยว่าศพนั้นศพนี้บรรลุ แท้ที่จริงไม่ใช่ฐานะของสาวกแต่เป็นฐานะของพระพุทธเจ้าที่จะพยากรณ์ว่าใครบรรลุในผัคคุณสูตร(มีคลิปที่ผู้เห็นผิดได้บรรยายกล่าวว่าพระพุทธเจ้าเท่านั้นพยากรณ์ว่าใครบรรลุไม่ใช่สาวกพยากรณ์เอง) แต่ตนกับพยากรณ์เองว่าศพนี้บรรลุเพราะศพสีเหลือง ดังนั้นอย่าได้เป็นผู้ชอบประมาณในบุคคล [มิคสาลาสูตร] เทียบตนเป็นพระพุทธเจ้าพยากรณ์ศพคนอื่นว่าบรรลุ
มิคสาลาสูตร ใครเล่าจะพึงรู้เหตุนั้นได้นอกจากตถาคต ดูกรอานนท์ เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายอย่าประมาณในบุคคล และอย่าได้ถือประมาณในบุคคลเพราะผู้ถือประมาณในบุคคล ย่อมทำลายคุณวิเศษของตน เราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้ ฯ
ถามข้อแรก การจะรู้ว่าใครมีปัญญา บรรลุ รู้ได้ทางตา สีที่ปรากฎ หรือ รู้ได้ทางใจ รู้วาระจิตของคนที่บรรลุ แต่ในมิคสาลาสูตร พระพุทธเจ้าทรงทราบ แม้พระอานนท์เห็นอินทรีย์ผ่องใสท่านพระผัคคุณะ ท่านพระอานนท์ไม่รู้ แต่พระพุทธเจ้าพยากรณ์รู้ เพราะท่านรู้วาระจิตของสาวก นั่นเอง จึงถามซ้ำ ครับว่า ปัญญา การบรรลุธรรม รู้ด้วยการเห็นสีเหลือง หรือ รู้ด้วยปัญญาที่ทราบวาระจิต
คำถามที่สอง เรา ผม คนยุคนี้ มี อินทริยปโรปริยัตตญาณ หรือ มี ญาณที่รู้วาระจิตของคนอื่นไหม หากญาติท่าน เพื่อนท่านกำลังนั่งฟังธรรมด้วยกัน ท่านทราบไหมว่า เพื่อนท่านเข้าใจแค่ไหน อินทรีย์แก่กล้าหรือยัง ปัญญากำลังบรรลุไปขั้นแล้วในขณะนั้น ถ้าไม่ทราบ ก็อย่าพยากรณ์คนอื่น อย่าถือประมาณในบุคคลอื่น เพราะไม่มีอินทริยปโรปริยัตตญาณ นี่คือการเชื่อมโยง มิคสาลสูตร กับ ผัคคุณสูตร โดยใจความคือ อย่าถือประมาณบุคคลอื่นเพราะอินทริยปโรปริยัตตญาณ มีหรือไม่ครับ จึงถามว่า หากญาติท่าน เพื่อนท่านกำลังนั่งฟังธรรมด้วยกัน ท่านทราบไหมว่า เพื่อนท่านเข้าใจแค่ไหน อินทรีย์แก่กล้าหรือยัง
เพิ่มเติมนะครับ อนุสาสนีปาฏิหารย์ ตามพุทธวจน พระพุทธเจ้าไม่ได้แสดงเลยครับว่า ศพเหลืองคือ อนุสาสนีปาฏิหารย์ แต่ทรงแสดงถึงพระธรรมเป็นปาฏหิารย์ ที่ให้ละกิเลส ดังนั้นนี่คือตัวอย่างของการอ่านพุทธวจน แต่คิดเองและอธิบายผิดและทำให้เข้าใจผิดเรื่อง อนุสาสนีปาฏิหารย์ และคนติดข้องไม่รู้ตัว พอเขาสอนผิดเรื่อง อนุสาสนีปาฏิหารย์ ก็อยากให้ญาติไปดี พ่อแม่คนรักไปดี ถูกกิเลสหลอกก็ไม่รู้ตัว จะละนันทิ แต่ถูกกิเลสหลอกเรื่องนี้ ก็เพิ่มนันทิ ก็เลยเข้าใจอนุสาสนีปาฏิหารย์ผิด ดังนั้น หากมีข้อความในพระไตรปิฎกว่า ศพเหลืองคืออนุสาสนีปาฏิหารย์ช่วยยกมาด้วยครับ
เกวัฏฏสูตร
[๓๔๑] ดูกรเกวัฏฏ์ ก็อนุสาสนีปาฏิหาริย์เป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพร่ำสอนอย่างนี้ว่า ท่านจงตรึกอย่างนี้ อย่าตรึกอย่างนั้น จงทำในใจอย่างนี้ อย่าทำในใจอย่างนั้นจงละสิ่งนี้ จงเข้าถึงสิ่งนี้อยู่เถิด นี้เรียกอนุสาสนีปาฏิหาริย์.
[๓๔๒] ดูกรเกวัฏฏ์ อีกข้อหนึ่ง พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้วเป็นผู้จำแนกพระธรรม พระองค์นั้นทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัด
ด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้ว ได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว สำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษา
อยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ.
@@paderm ท่านคิดว่า คนที่กำลังจะตาย แล้วมีคนเปิดพุทธวจน ให้เขาฟัง เขาจะไม่ตรึกตรองธรรม เขาจะไม่เข้าถึงธรรมเหรอครับ
ท่านคิดว่า แต่ละคน เกิดมาคนละ กี่แสน กี่ล้านรอบแล้วครับ ท่านคิดว่า เราๆท่านๆ ไม่เคยฟังธรรมของพระพุทธเจ้ามาก่อนเลยเหรอครับ
พุทธบริษัทสี่ด้วยธรรม(มรรค8)
ส่วนใหญ่ใข้คำพุทธวจน มรรคแปด แต่ไม่เข้าใจว่า มรรคแปดคืออะไร มรรคแปดที่ถูกต้องคืออะไร ก็คือการบ่นเพ้อธรรม เพราะใช้คำพุทธวจนแต่ไม่เข้าใจถูกต้องนั่นเองครับ ดังนั้นการคิดเองไม่ฟังสิ่งที่ถูกก็เป็นอันตรายอย่างยิ่งครับ ถ้าจะเข้าใจฟังคลิปนี้ครับ th-cam.com/video/LcrWhTFwqMk/w-d-xo.htmlsi=j2xnBj8I8nVUMgwO
ถ้าผมเลือกปฎิบัติเอาแค่ มรรค8 ผมมาถูกทางมั้ยครับ
ก็ต้องถามก่อนครับว่า มรรค8 ที่คุณเลือก ปฏิบัติยังไงครับ จะได้รู้ว่าถูกหรือผิดครับ เรียนถามครับ
มีผมไปเลือก ก็ผิดแล้ว ถูกทางรู้ รู้ไม่ถามทาง
ศีล สมาธิ ปัญญา การทำสมาธิเพื่ออบรมปัญญาครับ
ไม่เข้าใจสมาธิตั้งแต่ต้นว่าคืออะไร ทำมิจฉาสมาธิก็ไม่รู้ จึงไม่ใช่เหตุเกิดปัญญาแต่เกิดความเห็นผิดโดยไม่รู้ตัว ครับ คลิกฟังคลิปนี้จะเข้าใจสมาธิขึ้นครับ th-cam.com/video/LcrWhTFwqMk/w-d-xo.htmlsi=j2xnBj8I8nVUMgwO
@@padermจึงให้รักษาศีลก่อน แล้วจะเข้าใจ สัมมาสมาธิได้
@@sirotesookprem7943 ผลจากความเข้าใจผิดจึงคิดทำศีลเพราะมีปัญญาก็มีทั้งศีลสมาธิปัญญานั่นเองครับ
@@paderm 👏คนที่รักษาศีล คือคนที่เข้าใจผิด 🦴
@@sirotesookprem7943 คนที่คดิผิดว่าต้องมีศีลก่อนจึงจะทำสมาธืปัญญาได้ คือคนเข้าใจผิดครับ
ความเห็นของผมนะจริตและความถนัดไม่เหมือนกันสำหรับผมต้องได้ฝึกสมาธิก่อนถึงจะได้สติที่เป็นฐานแข็งแรงแล้วเอามาใช้ทำอะไรได้มากมายและมีประสิทธิภาพ เช่นฝึกรู้ลมประจำแล้วความสงบเกิด_สติก็เข็มแข็งมาก พอมาฟังพระธรรมก็จะดีกว่าผู้ที่ไม่สงบ/ผู้ที่สติน้อย ที่เขาเรียกันว่าสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวฟังเสียงที่อาจารย์เผดิมพูดมาทันบ้างไม่ทันบ้างรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างเพราะว่าฐานสติไม่ดี_ไม่เยอะ นะครับ
ความเห็นตนเอง จึงเป็นความเห็นผิด เพราะไม่ตรงกับคำสอนพระพุทธเจ้า คิดว่าสมาธิฝึกแล้วมีประโยชน์เป็นปัจจัยแก่ปัญญาได้ เพราะไม่รู้ว่าปัญญาจะเจริญขึ้น จะต้องเป็นสัมมาสมาธิเท่านั้น ดังนั้นที่ทำจึงเป็นการฝึกมิจฉาสมาธิ อะไรคือประธานมิจฉาสมาธิ มิจฉาทิฏฐิคือประธาน เมื่อมิจฉาทิฏฐิเป็นประธานก็เป็นปัจจัยแก่ความเสื่อมของปัญญาเท่านั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาปฏิบัติเป็นไฉน? คือ 👉ความเห็นชอบ ฯลฯ ความตั้งใจมั่นชอบ👈 นี้เรียกว่า สัมมาปฏิบัติ.
@@sabbe.dhamma.anatta ขออนุโมทนาในความเห็นถูกที่เกื้อกูลผู้ที่ยังเข้าใจผิดในเรื่องการยกพุทธวจนแต่เข้าใจอานาปานสติที่เพียงแต่จำชื่อแต่เข้าใจผิดขัดแย้งพุทธวจนอื่นมีอนัตตา เป็นต้น จึงเป็นการยกพุทธวจน แต่เป็นสัญญาที่เกิดกับความเห็นผิดนั่นเอง ครับ สาธุ
คำสั่งสอนที่ท่านทั้งหลายกล่าวล้วนเป็นกุดสโลบายทั้งสิ้น ไม่มีผิดไม่มีถูกแล้วแต่จะตรงกับจริตของผู้ใดเลือกมาปฎิบัติคือดีงามหมดสาธุๆๆ❤❤❤
ไม่มีผิดถูกแล้วจะมีพระพุทธเจ้าตรัสรู้แสดงธรรมจำแนกผิดถูกทำไม กุศโลบายต้องเป็นกุศล เป็นปัญญาที่รู้ว่ากุศโลบายนั้นจะให้ผลดี ไม่ใช่ให้เริ่มต้นด้วยความไม่รู้ เพราะการกระทำด้วยความไม่รู้ย่อมไม่สามารถจะให้ผลดีได้ ก็เป็นคำแนะนำเป็นอกุศโลบายของผู้ไม่รู้เห็นผิด ก็มีแต่นำไปในทางเสื่อมของปัญญา
ธรรมะ คือ เข้าใจธรรมชาติ นั้นละครับ
ธรรมะ คือความเป็นจริง สิ่งที่มีจริง ธรรมะมีทั้งที่รู้อะไรและไม่รู้อะไร มีทั้งเข้าใจถูกเข้าใจผิดและไม่เข้าใจ
อ.เป็นอริยบุคคลรึยังครับ
อริยะบุคคลจะรู้ตัวเองรึเปล่าครับ
ไม่ได้เป็นพระน่าจะตอบได้ครับ
อริยบุคคลรู้ คือรู้ว่าตนประหารกิเลสบางส่วนเป็นสมุจเฉท และเมื่อยังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็รู้ตามความจริงว่ายังประหารไม่หมด
ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนาและปัญญานั้นแลพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่เล็กน้อย มนสิการจึงจะรู้ ไม่มนสิการหารู้ไม่ คนมีปัญญาจึงจะรู้ คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่ ฯ
พอถามแบบนี้ ก็เพราะไม่ศึกษาพระธรรม ก็ถามไปเรื่อยเปื่อย เป็นผู้พูดที่หาประโยชน์ไม่ได้
อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศดับได้ไวดุจกระพริบตา
ถ้าของจริงเชื่อไหมทนไม่ไหวหรอก
ดับสว่างดังวุบรู้ตื่นเบิกบานทันที
หรือเห็นความสว่างกระจายออกเป็นรัศมีแทนที่อย่างฉับพลัน
รู้แจ้งเป็นอรหันตผลในปัจจุบัน😇
อย่ากล่าวคำที่คิดเองเลยครับ จะมีโทษกับตัวเราโดยไม่รู้ตัวเพราะกล่าวด้วยความไม่รู้ ไม่ศึกษาคำพระพุทธเจ้าและไม่ตรงตามพุทธวจน ค่อยๆฟังพระธรรมใหม่นะครับ จะได้ประโยชน์จากพระธรรมที่แท้จริง ที่มีโอกาสได้เจอพระพุทธศาสนาและได้เกิดเป็นมนุษย์เพราะสัตว์โลกผู้คิดเองย่อมเป็นโทษและเป็นผู้ว่างเปล่าจากสาระนั่นเองครับ ค่อยๆฟังพระธรรมใหม่ครับ ด้วยความหวังดี ขออนุโมทนาครับ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีการฉันท์อาหารวันละหนึ่งหน แม้นี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง ศีลในปาฏิโมกข์ ภิกษุส่วนใหญ่ไม่ทำตามวินัยที่ตถาคตบัญญัติไว้ แถมยังรับซึ่งทองเงิน ผิดศีลในปาฏิโมกข์ นิสคีปาจิตตี เงินทองเป็นนิสคี ต้องสละทิ้งท่ามกลางสงฆ์ วินัยภิกษุไม่ปฏิบัติตามนี่แค่ปาฏิโมกข์ แต่พระวินัยที่บัญญัติก่อนปาฏิโมกข์ คือ สัมปนสีลา หรือ ศีลสมบูรณ์ของภิกษุ ( อริยะสาวกทั้งหลายจะไม่กล้าระเมิด ) มีตั้ง 363 ข้อแต่ภิกษุส่วนมากทั้งอดีตและปัจจุบันไม่ค่อยปฏิบัติตามวินัยที่พระศาสดาบัญญัติ ก็เห็นทำกันอย่างเปิดเผย เช่น ทำน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ปลุกเสก สักยันต์ สายสิญจน์ ดูหมอ ดูฤกษ์ยาม พิธีกรรมต่างๆ พระตถาคต บัญญัติว่ามันเป็นเดรัจฉานวิชา เป็นวิชาที่ขวางมรรคผลนิพพานที่พระตถาคตไม่ได้บัญญัติ ไม่ได้ประพฤติมา แล้วเอาชื่อพระศาสดาไปแอบอ้างว่าพระศาสดาบัญญัติไว้ ประพฤติมา เช่นน้ำพุทธมนต์ พุทธาภิเษก
นั่นชัดเจนดูง่ายครับ แต่ที่อันตรายที่สุดคือ อ้างพุทธวจนแต่อธิบายพุทธวจนผิด และคนหลงผิดว่าเป็นพุทธวจน ครับ
พุทธวจนไม่ผิดแต่ยกพุทธวจนมาอธิบายผิด เป็นสาวกภาษิตปฏิเสธพุทธวจนและปฏิเสธพระพุทธเจ้า
ยกพุทธวจน มาแต่ขัดแย้งกับพุทธวจนอื่นๆ เช่น ศพสีเหลืองพยากรณ์เองเลยว่าศพนั้นศพนี้บรรลุ แท้ที่จริงไม่ใช่ฐานะของสาวกแต่เป็นฐานะของพระพุทธเจ้าที่จะพยากรณ์ว่าใครบรรลุในผัคคุณสูตรแต่เรื่องศพสีเหลืองตนเองกับพยากรณ์เองว่าศพนี้บรรลุเพราะศพสีเหลือง เพราะไม่ได้มีพระญาณหยั่งรู้เหมือนพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ฐานะของสาวกจะไปพยากรณ์ใครบรรลุ ดังนั้นอย่าได้เป็นผู้ชอบประมาณในบุคคล [มิคสาลาสูตร] เทียบตนเป็นพระพุทธเจ้าพยากรณ์ศพคนอื่นว่าบรรลุ ส่วนสัตว์โลกผู้ไม่รู้ รักญาติพี่น้องพ่อแม่ อยากให้เขาไปดี มีโลภะกิเลสหลอกก็ไม่รู้ตัว จึงหาวิธีง่ายๆเปิดธรรมให้ฟังก่อนตาย พอศพสีเหลืองก็เลยสรุปเองเลยว่าไปดีแล้ว ไม่มีพระญาณรู้วาระจิตเหมือนพระพุทธเจ้า จึงเอาคำพุทธวจนมาอธิบายผิด ทำให้คนเห็นผิดนั่นเอง จึงเป็นสาวกภาษิตคำอัญญเดียรถีย์ไม่ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า ครับ
อธิบายอานาปานสติที่ผิด ไม่ใช่สติและไม่ใช่อานาปานสติ
ที่สำคัญอธิบายยกอานาปานสติแต่อธิบายผิด จึงไม่ใช่อานาปานสติ เพราะขัดแย้งกับพุทธวจนอื่น คือ อนัตตา (ควรเทียบหลักมหาปเทส๔)ก็เป็นการเข้าใจผิด ในธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่เข้าใจตั้งแต่ตรงนี้ ก็จะทำสติ จะเลือกอารมณ์ ไม่เข้าใจว่ามีแต่ธรรมตั้งแต่ต้น เป็นอนัตตา บังคับสติ ไม่ได้ และคำว่า เอาจิตอยู่กับลมเอาจิตอยู่กับกาย ก็เป็นคำแต่งใหม่ ไม่มีในพุทธวจน นี่ก็คือ ยกพุทธวจนแต่อธิบายผิด ดังนั้น หากจะเอาพุทธวจน คำอื่นคำอรรถกถาเป็นสาวกภาษิต ปฏิเสธอรรถกถา คำที่ใครก็ตามกล่าวยกพุทธวจน แล้วมาอธิบายเพิ่มเช่น เอาจิตอยู่กับลมอยู่กับกาย ก็ชื่อว่า เป็นคำแต่งใหม่ เพราะห้ามอธิบาย ห้ามมีคำอื่นที่นอกเหนือจากเล่มนี้หน้านี้ ข้อนี้นั่นเองครับ ดังนั้นการอธิบายเพิ่มเติมที่สอดคล้อง ถูกต้องก็คือ คำพระพุทธเจ้านั่นเอง แต่อธิบายผิดขัดหลักธรรมเป็นอนัตตา พยากรณ์เองเรื่องศพเหลืองคนนั้นคนนี้บรรลุ ก็เป็นคำแต่งใหม่ เป็นตะโพน กลอง ที่เป็นสาวกภาษิตนั่นเองครับ (อาณิสูตร)
ิอันตรายกว่าอาบัติตกนรก ก็มิจฉาทิฏฐินี่ล่ะ ฟังพระพุทธพจน์ด้วยความเห็นผิด ก็ตรึกผิด ก็ไปหลงทำสิ่งที่ทำให้ความเห็นผิดเจริญยิ่งขึ้น ก็พาหลงไปจากทางสายกลางมีแต่ได้ตกนรกซ้ำซาก
อยากทราบว่าเราควรสวดมนต์บทไหนบ้างและควรเริ่มตั้งแต่บทอะไร
สวดบทอะไรดี แนะนำสิ่งนี้
ประเพณีที่ถูกต้องตามคำพระพุทธเจ้าไม่ใช่การสวดมนต์
พระพุทธเจ้าไม่ได้สวดมนต์ พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม พระสาวก ไม่ได้สวดมนต์ แต่พระสาวกแสดงพระธรรมและฟังพระธรรม อุบาสก อุบาสิกา มาพระวิหารเชตวันตอนเย็น ไม่ได้มาสวดมนต์ แต่มาฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าและภิกษุสาวก เพราะ จุดประสงค์เพื่อเกิดปัญญาความเข้าใจถูก ละกิเลส แต่ไม่ใช่สวดมนต์ท่องคำไม่รู้จัก เพิ่มความไม่รู้(กิเลส) เพิ่มความต้องการ โลภะ(กิเลส) ที่อยากได้บุญ อยากได้อานิสงส์ อยากได้มงคล แต่ไม่เป็นมงคลเพราะเป็นกิเลส กลับมาสู่ประเพณีที่ถูกต้องตามคำพระพุทธเจ้า ไม่ตามผู้ไม่รู้ สมกับมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่มีความคิดตนเองเป็นที่พึ่ง สมกับกล่าวว่าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง แต่เชื่อตนเองก็ชื่อว่าไม่มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
แทนที่จะสวดมนต์ก็ฟังธรรมเกิดปัญญาละกิเลสบุญสูงสุด ฟังธรรมทางยูทูปมีหลายเรื่องดีๆ ลิงก์นี้ครับ th-cam.com/channels/JtUqNb3kapXxq2W6Rl3KVg.html
การฟังคำพระพุทธเจ้าต้องหมายถึงฟังพระสุรเสียงของพระพุทธเจ้าด้วยหูของเราเอง แต่ถ้าฟังมาจากอาจารย์ของพวกคุณๆก็เป็นการฟังคำจากสาวกเช่นกัน
ฟังคำพระพุทธเจ้า เมื่อฟังแล้วเกิดความเข้าใจนั่นคือฟังจากพระพุทธเจ้า เพราะผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นก็เห็นพระตถาคต
@@sabbe.dhamma.anatta ไพเราะสาธุครับ
ด้วยคำนั้น พระเถระ(พระอานนท์)ชื่อว่าปลอบโยนคนผู้รันทด เพราะไม่ได้เห็นพระศาสดาว่า ปาพจน์ (ธรรมและวินัย) นี้ ชื่อว่ามีศาสดาล่วงไปแล้วหามิได้ พระธรรมวินัยนี้ เป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่าดูก่อนอานนท์ บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมก็ดี วินัยก็ดีอันใดอันเราแสดงแล้ว ได้บัญญัติไว้แล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาแห่งพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
”ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ“…ความพอดี จริงจะเกิดปัญญา
พอดี คือไม่ตกไปในความเห็นผิดใด ๆ เพราะมีปัญญารู้ในเบื้องต้น ศีลจึงพอดีด้วยปัญญาได้ เพราะศีลพอดีด้วยปัญญาในเบื้องต้น สมาธิอันประกอบด้วยปัญญาจึงพอดีได้ เพราะสมาธิอันประกอบด้วยปัญญาพอดีในเบื้องต้น ปัญญาจึงเจริญขึ้นด้วยบารมีที่เกิดแล้วในเบื้องต้นได้ เพราะพระธรรมวินัยนี้ลาดลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ มีปัญญานำไปในกิจทั้งปวง
@@sabbe.dhamma.anatta เรียนรู้และปฏิบัติ จึงจะเห็นได้…“วาทะกรรม” ไม่อาจพาตนให้พ้นทุกข์
@@pundharickcchokwattanachai7594 แล้วพระพุทธเจ้าจะทรงแสดงธรรมด้วยภาษาพูดทำไม วาทกรรม เมื่อประกอบด้วยปัญญาก็เป็นสัมมาวาจา ย่อมนำสู่ความพ้นทุกข์ ที่พูดมาจึงไม่ใช่คำสอนในพระพุทธศาสนา
@@sabbe.dhamma.anatta พระพุทธเจ้า เป็นผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
พระองค์จึงเป็นศาสดา เป็นครูคนแรก ที่“ตรัสสั่งสอน” แสดงความรู้ที่พระองค์รู้มา.
@@pundharickcchokwattanachai7594 พระอริยเจ้าทั้งหลายก็แสดงธรรม พระโพธิสัตว์ทั้งหลายบำเพ็ญพระบารมีก็แสดงธรรม เรียนรู้ ไม่ใช่ไม่รู้ไม่เข้าใจ พระพุทธเจ้าสอนอะไรก็ไม่เข้าใจ แล้วปฏิบัติอะไร ฟังแล้วทำตาม หรือเข้าใจแล้วจึงทำตาม ตามเกสปุตตสูตร ควรศึกษาให้เข้าใจว่าอะไรคือสุตมยญาณจะได้ไม่เห็นผิดปฏิบัติผิด
ภาวนาพุทโธก็เป็นพระอรหันต์ได้ไม่ใช่เหรอครับ
ไม่มีในคำสอนพระพุทธเจ้าแล้วก็แต่งตั้งกันเองว่าเป็นพระอรหันต์ ถ้าไม่มีในคำสอนพระพุทธเจ้า ทางผิด ก็ไม่มีทางถึงความเป็นพระอรหันต์ครับ ขออนุโมทนา
ฟังเพิ่มเติมคลิปนี้อธิบายเรื่อง พุทโธไว้ครับ th-cam.com/video/ua2yrqfvb7E/w-d-xo.htmlsi=ixIXPVy7dhZCwZV5
@@paderm พระพุทธเจ้าสอนธรรมแก่พระสาวก และชาวบ้าน ท่านสอนให้ต่างกัน คนละบท คนละรูปแบบ ทั้งสอนธรรม ทั้งยกตัวอย่าง ใช้ไม้อ่อน ไม้แข็ง เพราะสติปัญญาคนฟังต่างกัน ฉนั้น การภาวนาพุทโธ ก็เป็นกุศโลบายให้คนที่ปฏิบัติสมาธิยากๆ เข้าถึงฌาณได้ง่ายขึ้น
พุทธพาณิชย์เยอะครับยุคนี้
โดยเฉพาะอันตรายที่สุดที่อ้างพุทธวจนแต่อธิบายผิด โทษหนักมากที่สุดครับ
เอาจิตอยู่กับลม เอาจิตอยู่กับกาย คำแต่งใหม่ไม่มีในพุทธวจนและอธิบายอานาปานสติผิดจึงเป็นสาวกภาษิตนอกคำสอน
ปฏิเสธอรรกถาเป็นคำแต่งใหม่ คำที่ตนเองยกพุทธวจนแล้วอธิบายเพิ่มก็คือคำแต่งใหม่เช่นกัน
ถ้าจะอ้างว่าเอาแต่พุทธวจนทั้งหมด คำอรรถกถาอธิบาย ไม่ใช่พุทธวจน เป็นคำแต่งใหม่ เช่นนั้นแล้ว คำของตนเองที่ยกพุทธวจนแล้วอธิบายออกมา เช่น ยก สติปัฏฐานสูตร หน้านั้น เล่มนี้ ฉบับนี้ แล้วตนเองก็อธิบายเป็นภาษาไทย ให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ คำที่ตนเองอธิบาย นั่นก็คือ ไม่ใช่พุทธวจน เป็นอรรถกถาจารย์เช่นกัน เพราะเป็นคำที่ไม่มีในพระไตรปิฎก เล่มนั้นเล่มนี้ ถ้าจะให้ถูกตามที่ไม่เอาอรรถกถาจารย์ ก็คือ ห้ามพูดต่ออะไรเลย ยกพุทธวจนล้วนๆ นั่นแหละครับ ไม่มีการอธิบายเพิ่มเติม ดังนั้นตนเองก็อธิบายเพิ่มเติม หลังจากยกพุทธวจน ที่ไม่ตรงเป๊ะตามพระไตรปิฎกเช่นกัน นี่คือการเปรียบเทียบให้เห็นว่าแท้จริงแล้ว คำใดก็ตาม ที่อธิบายโดยภาษาไหน อย่างไร แต่อธิบายความหมายได้ตรงตามคำพระพุทธเจ้า นั่นก็ชื่อว่าคำพระพุทธเจ้า ดังเช่น ในอรณวิภังคสูตร บางประเทศ คำว่า ภาวขนะ ใช้คำนี้ บางประเทศ ภาชนะใช้คำนี้ แต่ภาษาใด คำใดก็ตาม ที่อธิบายให้เข้าใจถึงความจริงของธรรม นั่นเป็นคำพระพุทธเจ้าครับ แต่เอาจิตอยู่กับลมเป็นการเลือกลืมอนัตตา ไม่มีปัญญารู้ความจริง จึงเป็นการยกคำแต่งใหม่และอธิบายผิดด้วย(เป็นสาวกภาษิต) ตรงกันข้ามกับ อรรถกถาจารย์ฺที่อธิบายเพิ่มขยายความในพุทธวจน โดยสอดคล้องกับอนัตตา จึงเป็นคำพระพุทธเจ้า ไม่ใช่สาวกภาษิตนั่นเองครับ
อรณวิภังคสูตร
[๖๖๒] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ไม่พึงปรักปรำภาษาชนบท ไม่พึงล่วงเลยคำพูดสามัญเสีย นั่น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรเล่า เป็นการปรักปรำภาษาชนบท และเป็นการล่วงเลยคำพูดสามัญ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภาชนะนั่นแลในโลกนี้ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปาตี ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่าปัตตะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปิฏฐะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า สราวะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า หโลสะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า โปณะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า หนะ ในบางชนบทเขาหมายรู้ว่า ปิปิละ ภิกษุพูดปรักปรำโดยประการที่ชนทั้งหลายหมายรู้เรื่องภาชนะนั้นกันดังนี้ ในชนบทนั้นๆ ตามกำลังและความแน่ใจว่า นี้เท่านั้นจริง อื่นเปล่าอย่างนี้แล ชื่อว่าเป็นการปรักปรำภาษาชนบท และเป็นการล่วงเลยคำพูดสามัญ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรเล่า เป็นการไม่ปรักปรำภาษาชนบท และเป็นการไม่ล่วงเลยคำพูดสามัญ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภาชนะนั่นแลในโลกนี้ ในบางชนบทเขาหมายรู้ว่า ปาตี ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปัตตะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปิฏฐะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า สราวะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า หโลสะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า โปณะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า
หนะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปิปิละ ภิกษุพูดโดยประการที่ชนทั้งหลายหมายรู้เรื่องภาชนะกันดังนี้ ในชนบทนั้นๆ อย่างไม่ใช่ความแน่ใจว่า เป็นอันท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พูดแก่ข้าพเจ้าหมายถึงภาชนะนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ชื่อว่าเป็นการไม่ปรักปรำภาษาชนบท และเป็นการไม่ล่วงเลยคำพูดสามัญข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ไม่พึงปรักปรำภาษาชนบท ไม่พึงล่วงเลยคำพูดสามัญ นั่นเราอาศัยเนื้อความดังนี้ กล่าวแล้ว ฯ
ค่ะ
เอาจิตอยู่กับลมบ่อยๆ ประจำ ก็ ทำให้เป็นอุปนิสัย ได้ ในทางกุศลด้วย ชีวิตเจริญรุ่งเรือง ก็ เป็นผลพลอยได้ตามเหตุตามปัจจัย เหมือนคั้นเมล็ดงา ย่อมได้น้ำมัน ถึงไม่อยากได้ก็ต้องได้
จิตอยู่กับลมเป็นกุศลอะไร โลภะติดข้องลมอยู่จะเป็นกุศลอะไร มิจฉาทิฏฐิเห็นว่าจะทำให้ปัญญาเจริญขึ้น เป็นสีลัพพตปรามาส เป็นมิจฉามรรค เป็นอกุศลเป็นบาป แล้วจะมาเป็นกุศลอะไร
ก็เรียนรู้สิ่งที่ถูกด้วยฟังด้วยมีสุตตะ แทงตลอดอย่างดีด้วยความเห็น ขณะเดียวกันก็ดำเนินชีวิตไปจนตายด้วยธาตุรู้ รู้ลม ลมคือกายอันหนึ่งในกายทั้งหลาย สติปัฏฐานสี่คือกองกุศลอย่างยิ่ง รู้สี รู้กลิ่น รู้รส กระทบสัมผัส ตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา ไม่รู้ไม่ได้ ติดข้องยังไงคะ
@@sabbe.dhamma.anatta
@@chutimatumthamarong4148 ก็ที่แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐินั่นคือปัญญา อันเป็นกุศลธรรมที่เกิดแล้วในเบื้องต้น เมื่อไม่ใช่ปัญญา ก็คือความไม่รู้เห็นผิดไปแทงตลอด จึงเป็นความติดข้องอยู่ในความเห็นผิด ผิดตั้งแต่เอาจิตไปอยู่กับลม ใครเอาจิตไปอยู่กับลม ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาหาผู้บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วใครเอาจิตไปอยู่กับลม ก็คือความเห็นผิด เพราะไม่ใช่ปัญญารู้ลักษณะ ก็ไม่เกิดปฏิบัติ ก็ปฏิบัติผิด มิจฉามรรคมีองค์แปด
@@sutheero1194 ใครเก่ง พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้ แล้วใครเก่ง ก็มีแต่คนอวดเก่งที่ไม่ฟังคำพระพุทธเจ้า ที่เพียรผิด ขยันผิด ไม่รู้จักความเพียรชอบ หลงคิดว่ามิจฉาวายามะคือความเพียรชอบ ก็อยู่เป็นทุกข์
ไม่ได้เพียร มันเป็นธรรมชาติ รู้ลม รุ้นั่ง รู้เดิน รู้นอน ก็ เป็นไปในชีวิตประจำวัน มันเป็นเอง เกิดเองไม่ได้ไปนั่งรู้ลม ผิดด้วยเหรอ ฉันทะ ไม่ใช่ตัณหา@@sabbe.dhamma.anatta
พาหลง พาทะเลาะ ใครเป็น อ. คุณ
พาหลงอย่างไรต้องอธิบายได้ตามพระไตรปิฎกยกอรรถกถามาอ้างอิงเหมือนอย่างเขา จึงจะได้ชื่อว่ามีพระพุทธเจ้าเป็นอาจารย์ หากยกมาไม่ได้ก็ชื่อว่ามีอัญเดียรถีย์เป็นอาจารย์
อภิธรรมเพิ่งเกิดหลังจากพุทธปรินิพพาน 1600ปี โดยพระอนุรุทธะเป็นคนแต่ง จึงเป็นอรรถกถา ยึดเป็นพุทธแท้ไม่ได้ ต้องยึดพุทธวจนไว้ก่อน เก่าแก่ที่สุด ตรงตามหลักศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราช ใครปฏิเสธพุทธวจนะไม่ใช่ชาวพุทธ
แสดงอภิธรรม ในพระสูตร พุทธวจน โดยตรงดังนี้
มหาโคสิงคสาลสูตร
[๓๗๔] เมื่อท่านพระมหากัสสปะกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวกะท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า ท่านโมคคัลลานะ ปฏิภาณตามที่เป็นของตน ท่านมหากัสสปะพยากรณ์แล้ว บัดนี้ เราจะขอถามท่านมหาโมคคัลลานะในข้อนั้นว่า ป่าโคสิงคสาลวัน เป็นสถานน่ารื่นรมย์ ราตรีแจ่มกระจ่าง ไม้สาละมีดอกบานสะพรั่งทั้งต้น กลิ่นคล้ายทิพย์ ย่อมฟุ้งไป ท่านโมคคัลลานะ ป่าโคสิงคสาลวัน จะพึงงามด้วยภิกษุเช่นไร.
ท่านพระมหาโมคคัลสานะตอบว่า ท่านสารีบุตร ภิกษุ ๒ รูป ในพระศาสนานี้ กล่าวอภิธรรมกถา เธอทั้ง ๒ นั้น ถามกันและกัน ถามปัญหากันแล้ว ย่อมแก้กันเอง ไม่หยุดพักด้วย และธรรมกถาของเธอทั้ง ๒ นั้น ย่อมเป็นไปด้วย ท่านสารีบุตร ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.
ปฏิเสธอรรกถาเป็นคำแต่งใหม่ คำที่ตนเองยกพุทธวจนแล้วอธิบายเพิ่มก็คือคำแต่งใหม่เช่นกัน
ถ้าจะอ้างว่าเอาแต่พุทธวจนทั้งหมด คำอรรถกถาอธิบาย ไม่ใช่พุทธวจน เป็นคำแต่งใหม่ เช่นนั้นแล้ว คำของตนเองที่ยกพุทธวจนแล้วอธิบายออกมา เช่น ยก สติปัฏฐานสูตร หน้านั้น เล่มนี้ ฉบับนี้ แล้วตนเองก็อธิบายเป็นภาษาไทย ให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ คำที่ตนเองอธิบาย นั่นก็คือ ไม่ใช่พุทธวจน เป็นอรรถกถาจารย์เช่นกัน เพราะเป็นคำที่ไม่มีในพระไตรปิฎก เล่มนั้นเล่มนี้ ถ้าจะให้ถูกตามที่ไม่เอาอรรถกถาจารย์ ก็คือ ห้ามพูดต่ออะไรเลย ยกพุทธวจนล้วนๆ นั่นแหละครับ ไม่มีการอธิบายเพิ่มเติม ดังนั้นตนเองก็อธิบายเพิ่มเติม หลังจากยกพุทธวจน ที่ไม่ตรงเป๊ะตามพระไตรปิฎกเช่นกัน นี่คือการเปรียบเทียบให้เห็นว่าแท้จรองแล้ว คำใดก็ตาม ที่อธิบายโดยภาษาไหน อย่างไร แต่อธิบายความหมายได้ตรงตามคำพระพุทธเจ้า นั่นก็ชื่อว่าคำพระพุทธเจ้า ดังเช่น ในอรณวิภังคสูตร บางประเทศ คำว่า ภาวขนะ ใช้คำนี้ บางประเทศ ภาชนะใช้คำนี้ แต่ภาษาใด คำใดก็ตาม ที่อธิบายให้เข้าใจถึงความจริงของธรรม นั่นเป็นคำพระพุทธเจ้าครับ
อรณวิภังคสูตร
[๖๖๒] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ไม่พึงปรักปรำภาษาชนบท ไม่พึงล่วงเลยคำพูดสามัญเสีย นั่น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรเล่า เป็นการปรักปรำภาษาชนบท และเป็นการล่วงเลยคำพูดสามัญ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภาชนะนั่นแลในโลกนี้ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปาตี ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่าปัตตะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปิฏฐะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า สราวะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า หโลสะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า โปณะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า หนะ ในบางชนบทเขาหมายรู้ว่า ปิปิละ ภิกษุพูดปรักปรำโดยประการที่ชนทั้งหลายหมายรู้เรื่องภาชนะนั้นกันดังนี้ ในชนบทนั้นๆ ตามกำลังและความแน่ใจว่า นี้เท่านั้นจริง อื่นเปล่าอย่างนี้แล ชื่อว่าเป็นการปรักปรำภาษาชนบท และเป็นการล่วงเลยคำพูดสามัญ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรเล่า เป็นการไม่ปรักปรำภาษาชนบท และเป็นการไม่ล่วงเลยคำพูดสามัญ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภาชนะนั่นแลในโลกนี้ ในบางชนบทเขาหมายรู้ว่า ปาตี ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปัตตะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปิฏฐะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า สราวะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า หโลสะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า โปณะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า
หนะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปิปิละ ภิกษุพูดโดยประการที่ชนทั้งหลายหมายรู้เรื่องภาชนะกันดังนี้ ในชนบทนั้นๆ อย่างไม่ใช่ความแน่ใจว่า เป็นอันท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พูดแก่ข้าพเจ้าหมายถึงภาชนะนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ชื่อว่าเป็นการไม่ปรักปรำภาษาชนบท และเป็นการไม่ล่วงเลยคำพูดสามัญข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ไม่พึงปรักปรำภาษาชนบท ไม่พึงล่วงเลยคำพูดสามัญ นั่นเราอาศัยเนื้อความดังนี้ กล่าวแล้ว ฯ
@@paderm พุทธวจนะมีอรรถที่ลึกซึ้ง ถ้าไม่อธิบายใครจะเข้าใจละครับ
ขนาดอธิบายแล้วนับสิบๆเที่ยว คนก็ยังไม่เข้าใจ
จะเอาสติปัญญาของเราไปวัดกับคนที่ร่ำเรียนมาน้อยไม่ได้
ก็นั่นแหละครับ จึงมีที่มา ของการที่พระอรรถกถาจารย์รุ่นหลังอธิบายให้เข้าใจ เพราะพุทธวจนลึกซึ้งแต่ไปปฏิเสธอรรถกถาจารย์รุ่นหลังเสียเอง ว่าเป็นคำแต่งใหม่ ไม่ควรฟัง นี่จึงเป็นการยกพุทธวจน แต่อธิบายผิดนั่นเองครับ อ่านอีกครั้งครับ
ปฏิเสธอรรกถาเป็นคำแต่งใหม่ คำที่ตนเองยกพุทธวจนแล้วอธิบายเพิ่มก็คือคำแต่งใหม่เช่นกัน
ถ้าจะอ้างว่าเอาแต่พุทธวจนทั้งหมด คำอรรถกถาอธิบาย ไม่ใช่พุทธวจน เป็นคำแต่งใหม่ เช่นนั้นแล้ว คำของตนเองที่ยกพุทธวจนแล้วอธิบายออกมา เช่น ยก สติปัฏฐานสูตร หน้านั้น เล่มนี้ ฉบับนี้ แล้วตนเองก็อธิบายเป็นภาษาไทย ให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ คำที่ตนเองอธิบาย นั่นก็คือ ไม่ใช่พุทธวจน เป็นอรรถกถาจารย์เช่นกัน เพราะเป็นคำที่ไม่มีในพระไตรปิฎก เล่มนั้นเล่มนี้ ถ้าจะให้ถูกตามที่ไม่เอาอรรถกถาจารย์ ก็คือ ห้ามพูดต่ออะไรเลย ยกพุทธวจนล้วนๆ นั่นแหละครับ ไม่มีการอธิบายเพิ่มเติม ดังนั้นตนเองก็อธิบายเพิ่มเติม หลังจากยกพุทธวจน ที่ไม่ตรงเป๊ะตามพระไตรปิฎกเช่นกัน นี่คือการเปรียบเทียบให้เห็นว่าแท้จรองแล้ว คำใดก็ตาม ที่อธิบายโดยภาษาไหน อย่างไร แต่อธิบายความหมายได้ตรงตามคำพระพุทธเจ้า นั่นก็ชื่อว่าคำพระพุทธเจ้า ดังเช่น ในอรณวิภังคสูตร บางประเทศ คำว่า ภาวขนะ ใช้คำนี้ บางประเทศ ภาชนะใช้คำนี้ แต่ภาษาใด คำใดก็ตาม ที่อธิบายให้เข้าใจถึงความจริงของธรรม นั่นเป็นคำพระพุทธเจ้าครับ
อรณวิภังคสูตร
[๖๖๒] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ไม่พึงปรักปรำภาษาชนบท ไม่พึงล่วงเลยคำพูดสามัญเสีย นั่น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรเล่า เป็นการปรักปรำภาษาชนบท และเป็นการล่วงเลยคำพูดสามัญ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภาชนะนั่นแลในโลกนี้ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปาตี ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่าปัตตะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปิฏฐะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า สราวะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า หโลสะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า โปณะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า หนะ ในบางชนบทเขาหมายรู้ว่า ปิปิละ ภิกษุพูดปรักปรำโดยประการที่ชนทั้งหลายหมายรู้เรื่องภาชนะนั้นกันดังนี้ ในชนบทนั้นๆ ตามกำลังและความแน่ใจว่า นี้เท่านั้นจริง อื่นเปล่าอย่างนี้แล ชื่อว่าเป็นการปรักปรำภาษาชนบท และเป็นการล่วงเลยคำพูดสามัญ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรเล่า เป็นการไม่ปรักปรำภาษาชนบท และเป็นการไม่ล่วงเลยคำพูดสามัญ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภาชนะนั่นแลในโลกนี้ ในบางชนบทเขาหมายรู้ว่า ปาตี ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปัตตะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปิฏฐะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า สราวะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า หโลสะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า โปณะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า
หนะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปิปิละ ภิกษุพูดโดยประการที่ชนทั้งหลายหมายรู้เรื่องภาชนะกันดังนี้ ในชนบทนั้นๆ อย่างไม่ใช่ความแน่ใจว่า เป็นอันท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พูดแก่ข้าพเจ้าหมายถึงภาชนะนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ชื่อว่าเป็นการไม่ปรักปรำภาษาชนบท และเป็นการไม่ล่วงเลยคำพูดสามัญข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ไม่พึงปรักปรำภาษาชนบท ไม่พึงล่วงเลยคำพูดสามัญ นั่นเราอาศัยเนื้อความดังนี้ กล่าวแล้ว ฯ
ผิดครับ ที่คิดว่า อรรถกถาจารย์ต้องผิด เพราะ คำใดก็ตามที่อธิบายให้เข้าใจ สอดคล้องกับพระธรรมวินัย สอดคล้องกับพุทธวจน ก็ชื่อว่าเป็นคำพระพุทธเจ้าเช่นกันครับ ดังข้อความในพระไตรปิฎก ดังนี้ครับ
คำใดก็ตาม ที่อธิบายโดยภาษาไหน อย่างไร แต่อธิบายความหมายได้ตรงตามคำพระพุทธเจ้า นั่นก็ชื่อว่าคำพระพุทธเจ้า ดังเช่น ในอรณวิภังคสูตร บางประเทศ คำว่า ภาวขนะ ใช้คำนี้ บางประเทศ ภาชนะใช้คำนี้ แต่ภาษาใด คำใดก็ตาม ที่อธิบายให้เข้าใจถึงความจริงของธรรม นั่นเป็นคำพระพุทธเจ้าครับ
อรณวิภังคสูตร
[๖๖๒] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ไม่พึงปรักปรำภาษาชนบท ไม่พึงล่วงเลยคำพูดสามัญเสีย นั่น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรเล่า เป็นการปรักปรำภาษาชนบท และเป็นการล่วงเลยคำพูดสามัญ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภาชนะนั่นแลในโลกนี้ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปาตี ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่าปัตตะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปิฏฐะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า สราวะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า หโลสะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า โปณะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า หนะ ในบางชนบทเขาหมายรู้ว่า ปิปิละ ภิกษุพูดปรักปรำโดยประการที่ชนทั้งหลายหมายรู้เรื่องภาชนะนั้นกันดังนี้ ในชนบทนั้นๆ ตามกำลังและความแน่ใจว่า นี้เท่านั้นจริง อื่นเปล่าอย่างนี้แล ชื่อว่าเป็นการปรักปรำภาษาชนบท และเป็นการล่วงเลยคำพูดสามัญ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรเล่า เป็นการไม่ปรักปรำภาษาชนบท และเป็นการไม่ล่วงเลยคำพูดสามัญ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภาชนะนั่นแลในโลกนี้ ในบางชนบทเขาหมายรู้ว่า ปาตี ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปัตตะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปิฏฐะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า สราวะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า หโลสะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า โปณะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า
หนะ ในบางชนบท เขาหมายรู้ว่า ปิปิละ ภิกษุพูดโดยประการที่ชนทั้งหลายหมายรู้เรื่องภาชนะกันดังนี้ ในชนบทนั้นๆ อย่างไม่ใช่ความแน่ใจว่า เป็นอันท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พูดแก่ข้าพเจ้าหมายถึงภาชนะนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ชื่อว่าเป็นการไม่ปรักปรำภาษาชนบท และเป็นการไม่ล่วงเลยคำพูดสามัญข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ไม่พึงปรักปรำภาษาชนบท ไม่พึงล่วงเลยคำพูดสามัญ นั่นเราอาศัยเนื้อความดังนี้ กล่าวแล้ว ฯ
กราบอนุโมทนาค่ะ
อนุโมทนาสาธุครับ
กราบอนุโมทนาครับ
สาธุค่ะ
อาจารย์อธิบายเรื่องยากๆให้เข้าใจง่ายๆแยกชัดเจนเป็นขั้นเป็นตอนใด้ดี❤ขอบคุณค่ะ❤สาธุค่ะ
แล้วเชื่อชาวบ้านที่ไม่ได้บวชมีศีลหรือเปล่าก็ไม่รู้ปฏิบัคิถูกหรือเปล่าไม่รู้ดีแล้วหรือ
เขาให้เชื่อหรือให้ฟังให้เข้าใจ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้เชื่อหรือให้เข้าใจ ชาวบ้านไม่ได้บวชแล้วไม่มีศีลหรือ บวชแล้วต้องมีศีลหรือ
อย่าพึงถึงซึ่งการสันนิษฐานโดยส่วนเดียวว่าอย่างนี้เท่านั้นจริงอย่างอื่นเปล่า
สิ่งใดถูกก็ถูก สิ่งใดผิดก็ผิด ทรงแสดงธรรมตามความเป็นจริง นั่นคือจะถูกก็จริงว่าถูก จะผิดก็จริงว่าผิด ไม่ใช่สิ่งนี้จริงสิ่งอื่นเปล่า เพราะไม่เข้าใจพระธรรมคำสอนก็ยกมาอ้างผิด ๆ