- 48
- 24 761
Forex Signals By robots EA MT5
Thailand
เข้าร่วมเมื่อ 5 ส.ค. 2015
Please support us by opening a trading account through the link below. ( one.exness-track.com/intl/th/a/t0u7u0u7 ( Partner ID t0u7u0u7))
, Contact us @ LINE 0984031233 & thanasan99970@gmail.com
, Contact us @ LINE 0984031233 & thanasan99970@gmail.com
EP.1 พระพุทธพจน์ -ทาน(การให้)อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
โปรดช่วยกัน กดติดตาม กดไลค์ กดแชร์ เพื่อสืบต่ออายุของพระพุทธศาสนา ดังคำกล่าวของพระศาสดาที่ว่า "อานนท์ ความขาดสูญแห่งกัลยาวัตนี้ มีในยุคแห่งบุรุษใด บุรุษนั้นได้ชื่อว่าเป็นบุรุษคนสุดท้ายแห่งบุรุษทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงอย่าเป็นบุรุษคนสุดท้ายของเราเลย"
มุมมอง: 43
วีดีโอ
EP.8 พระพุทธพจน์ ภพภูมิ : เทวดา เป็นอย่างไร , การวางจิตเมื่อให้ทาน อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
มุมมอง 166ปีที่แล้ว
ฝรั่งจริงจังคนหนึ่ง ได้เขียนสรุปคำสอน 20 อย่าง ของ ศาสนาพุทธ ลองฟังดูครับ ( ที่มา ได้จากกลุ่ม line ) ดังนี้ครับ "ศาสนาพุทธ" เท่านั้นที่มีคำสอน ทั้ง 20 อย่างนี้ ที่ไม่สามารถพบจาก "ศาสนาอื่น" ได้ 1. พระพุทธศาสนา เชื่อว่าโลกนี้ประกอบขึ้นจาก เหตุธาตุทั้ง 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ประกอบกันขึ้นมา (ไม่มีผู้ใดสร้างโลก) 2. พระพุทธศาสนา ไม่ใช่ระบบความเชื่อ ที่จะใช้คำว่า Religion เพราะศัพท์นี้ ...
EP.7 พระพุทธพจน์ ภพภูมิ : การเกิดสังคมมนุษย์ , เครื่องผูกพันสัตว์ อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
มุมมอง 188ปีที่แล้ว
ฝรั่งจริงจังคนหนึ่ง ได้เขียนสรุปคำสอน 20 อย่าง ของ ศาสนาพุทธ ลองฟังดูครับ ( ที่มา ได้จากกลุ่ม line ) ดังนี้ครับ "ศาสนาพุทธ" เท่านั้นที่มีคำสอน ทั้ง 20 อย่างนี้ ที่ไม่สามารถพบจาก "ศาสนาอื่น" ได้ 1. พระพุทธศาสนา เชื่อว่าโลกนี้ประกอบขึ้นจาก เหตุธาตุทั้ง 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ประกอบกันขึ้นมา (ไม่มีผู้ใดสร้างโลก) 2. พระพุทธศาสนา ไม่ใช่ระบบความเชื่อ ที่จะใช้คำว่า Religion เพราะศัพท์นี้ ...
EP.6 พระพุทธพจน์ ภพภูมิ : มนุษย์ เป็นอย่างไร , เหตุให้มนุษย์เกิดมาแตกต่างกัน อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพ
มุมมอง 84ปีที่แล้ว
ฝรั่งจริงจังคนหนึ่ง ได้เขียนสรุปคำสอน 20 อย่าง ของ ศาสนาพุทธ ลองฟังดูครับ ( ที่มา ได้จากกลุ่ม line ) ดังนี้ครับ "ศาสนาพุทธ" เท่านั้นที่มีคำสอน ทั้ง 20 อย่างนี้ ที่ไม่สามารถพบจาก "ศาสนาอื่น" ได้ 1. พระพุทธศาสนา เชื่อว่าโลกนี้ประกอบขึ้นจาก เหตุธาตุทั้ง 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ประกอบกันขึ้นมา (ไม่มีผู้ใดสร้างโลก) 2. พระพุทธศาสนา ไม่ใช่ระบบความเชื่อ ที่จะใช้คำว่า Religion เพราะศัพท์นี้ ...
EP.5 พระพุทธพจน์ ภพภูมิ : เปรตวิสัย , ภพภูมิที่บริโภคทานได้ อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
มุมมอง 65ปีที่แล้ว
ฝรั่งจริงจังคนหนึ่ง ได้เขียนสรุปคำสอน 20 อย่าง ของ ศาสนาพุทธ ลองฟังดูครับ ( ที่มา ได้จากกลุ่ม line ) ดังนี้ครับ "ศาสนาพุทธ" เท่านั้นที่มีคำสอน ทั้ง 20 อย่างนี้ ที่ไม่สามารถพบจาก "ศาสนาอื่น" ได้ 1. พระพุทธศาสนา เชื่อว่าโลกนี้ประกอบขึ้นจาก เหตุธาตุทั้ง 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ประกอบกันขึ้นมา (ไม่มีผู้ใดสร้างโลก) 2. พระพุทธศาสนา ไม่ใช่ระบบความเชื่อ ที่จะใช้คำว่า Religion เพราะศัพท์นี้ ...
EP.4 พระพุทธพจน์ ภพภูมิ กำเนิดเดรัจฉาน อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
มุมมอง 69ปีที่แล้ว
ปฏิจจสมุปบาท ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีของกายนั้น อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว ย่อมทำไว้ในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่ง ปฏิจจสมุปบาท นั่นเทียว ดังนี้ว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จ...
EP.3 พระพุทธพจน์ ภพภูมิ : นรก เป็นอย่างไร อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
มุมมอง 160ปีที่แล้ว
ฝรั่งจริงจังคนหนึ่ง ได้เขียนสรุปคำสอน 20 อย่าง ของ ศาสนาพุทธ ลองฟังดูครับ ( ที่มา ได้จากกลุ่ม line ) ดังนี้ครับ "ศาสนาพุทธ" เท่านั้นที่มีคำสอน ทั้ง 20 อย่างนี้ ที่ไม่สามารถพบจาก "ศาสนาอื่น" ได้ 1. พระพุทธศาสนา เชื่อว่าโลกนี้ประกอบขึ้นจาก เหตุธาตุทั้ง 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ประกอบกันขึ้นมา (ไม่มีผู้ใดสร้างโลก) 2. พระพุทธศาสนา ไม่ใช่ระบบความเชื่อ ที่จะใช้คำว่า Religion เพราะศัพท์นี้ ...
EP.2 พระพุทธพจน์ ภพภูมิ : สัตว์ เป็นอย่างไร อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
มุมมอง 127ปีที่แล้ว
ฝรั่งจริงจังคนหนึ่ง ได้เขียนสรุปคำสอน 20 อย่าง ของ ศาสนาพุทธ ลองฟังดูครับ ( ที่มา ได้จากกลุ่ม line ) ดังนี้ครับ "ศาสนาพุทธ" เท่านั้นที่มีคำสอน ทั้ง 20 อย่างนี้ ที่ไม่สามารถพบจาก "ศาสนาอื่น" ได้ 1. พระพุทธศาสนา เชื่อว่าโลกนี้ประกอบขึ้นจาก เหตุธาตุทั้ง 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ประกอบกันขึ้นมา (ไม่มีผู้ใดสร้างโลก) 2. พระพุทธศาสนา ไม่ใช่ระบบความเชื่อ ที่จะใช้คำว่า Religion เพราะศัพท์นี้ ...
EP.1 พระพุทธพจน์ ภพภูมิ : ภพ เป็นอย่างไร อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
มุมมอง 424ปีที่แล้ว
ฝรั่งจริงจังคนหนึ่ง ได้เขียนสรุป คำสอน 20 อย่าง ของ ศาสนาพุทธ ลองฟังดูครับ (ที่มา ได้จากกลุ่ม line) ดังนี้ครับ "ศาสนาพุทธ" เท่านั้นที่มีคำสอน ทั้ง 20 อย่างนี้ ที่ไม่สามารถพบจาก "ศาสนาอื่น" ได้ 1. พระพุทธศาสนา เชื่อว่าโลกนี้ประกอบขึ้นจาก เหตุธาตุทั้ง 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ประกอบกันขึ้นมา (ไม่มีผู้ใดสร้างโลก) 2. พระพุทธศาสนา ไม่ใช่ระบบความเชื่อ ที่จะใช้คำว่า Religion เพราะศัพท์นี้ ห...
EP.1 Những lời dạy của Đức Phật về Nghiệp
มุมมอง 212 ปีที่แล้ว
Một người đàn ông nghiêm túc đã viết một bản tóm tắt về "20 lời dạy của Phật giáo" đến từ nhóm dòng. Bạn hãy thử đọc và xem xét và gật đầu lia lịa từng mục như sau: “Đạo Phật” chỉ có 20 điều dạy này mà không có. Có thể được tìm thấy từ "các tôn giáo khác" 1. Phật giáo tin rằng thế giới được tạo thành từ 4 yếu tố, đó là yếu tố đất, yếu tố nước, yếu tố lửa và yếu tố gió. (Không ai tạo ra thế giới...
EP.1 ការបង្រៀនរបស់ព្រះពុទ្ធអំពីកម្ម
มุมมอง 462 ปีที่แล้ว
បុរសធ្ងន់ធ្ងរម្នាក់បានសរសេរសេចក្តីសង្ខេបនៃ "20 ប្រៀនប្រដៅរបស់ព្រះពុទ្ធសាសនា" ដែលបានមកពីក្រុមបន្ទាត់។ សាកអាន ពិចារណា ហើយងក់ក្បាល សឹងតែរអ៊ូរទាំ គ្រប់ចំណុចដូចតទៅ "ព្រះពុទ្ធសាសនា" មានតែពាក្យប្រៀនប្រដៅទាំង២០នេះទេ ដែលមិនមាន។ អាចរកបានពី "សាសនាផ្សេងៗ" 1. ពុទ្ធសាសនា ជឿថាលោកិយមានធាតុ ៤ គឺ ធាតុដី ធាតុទឹក ធាតុភ្លើង និងធាតុខ្យល់។ (គ្មាននរណាម្នាក់បង្កើតពិភពលោក) ២.ព្រះពុទ្ធសាសនាមិនមែនជាប្រព័ន្ធជំនឿទេ។ ប្រើពាក...
EP.1 Buddha's teachings about Karma
มุมมอง 152 ปีที่แล้ว
One serious man wrote a summary of "20 teachings of Buddhism" that came from the line group. Try to read and consider and nod your head, almost grumpy at every item as follows: "Buddhism" only has these 20 teachings that are not. Can be found from "other religions" 1. Buddhism believes that the world is made up of 4 elements, namely the earth element, the water element, the fire element, and th...
กฐิน ให้เงิน ตกนรก ทั้งพระทั้งโยม ,อลัชชี ไม่ใช่สงฆ์ กวาดล้างได้
มุมมอง 2592 ปีที่แล้ว
ฝรั่งจริงจังคนหนึ่ง ได้เขียนสรุป คำสอน 20 อย่าง ของ ศาสนาพุทธ ลองฟังดูครับ ที่มา ได้จากกลุ่ม line ดังนี้ครับ "ศาสนาพุทธ" เท่านั้นที่มีคำสอน ทั้ง 20 อย่างนี้ ที่ไม่สามารถพบจาก "ศาสนาอื่น" ได้ 1. พระพุทธศาสนา เชื่อว่าโลกนี้ประกอบขึ้นจาก เหตุธาตุทั้ง 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ประกอบกันขึ้นมา (ไม่มีผู้ใดสร้างโลก) 2. พระพุทธศาสนา ไม่ใช่ระบบความเชื่อ ที่จะใช้คำว่า Religion เพราะศัพท์นี้ หมา...
EP.1 佛陀關於因果報應的教義
มุมมอง 182 ปีที่แล้ว
一位認真的人寫下了來自線組的“佛教二十教義”的摘要。試著閱讀、思考並點頭,幾乎對以下每一項都發脾氣:“佛教”只有這20個教義,沒有。可以從“其他宗教”中查到 1.佛教認為世界是由四種元素組成的,即地界、水界、火界、風界。 (沒有人創造世界) 2. 佛教不是一種信仰體系。使用宗教這個詞,因為這個詞的意思是對創造世界的上帝有信心 3. 佛教的目標是消除所有的煩惱,擺脫輪迴或輪迴,而不僅僅是出生. 在天堂。動物必須自助。擺脫煩惱和輪迴。不代表神和奴僕 6. 佛陀從不讓他的弟子用沒有“智慧”的“信”來尊重他。相反,他教導在相信之前使用“智慧”來考慮教義。並為自己和佛陀的弟子看到了真相,必須將教義付諸實踐和實踐。為了自我毀滅,沒有人幫助擺脫生死輪迴,除了只是推薦,只有指出正確的方向。 7. 佛陀的教法是存在和存在的世界的“真理”。佛陀只是發現者,他不是創造教義的人。 8.佛教中的“地獄”。它不...
EP.12 พระพุทธพจน์ เดรัจฉานวิชา#12จบ ที่พึ่งผิด ที่พึ่งถูก,ปลงบาปในอริยวินัย,อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
มุมมอง 1092 ปีที่แล้ว
EP.12 พระพุทธพจน์ เดรัจฉานวิชา#12จบ ที่พึ่งผิด ที่พึ่งถูก,ปลงบาปในอริยวินัย,อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
EP.11 พระพุทธพจน์ เดรัจฉานวิชา#11เทวดาไหว้ใคร,ฤกษ์ดี ยามดี,ฯล อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
มุมมอง 302 ปีที่แล้ว
EP.11 พระพุทธพจน์ เดรัจฉานวิชา#11เทวดาไหว้ใคร,ฤกษ์ดี ยามดี,ฯล อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
EP.10 พระพุทธพจน์ เดรัจฉานวิชา#10 สังคมเลว เพราะคนดีอ่อนแอ, อุบาสกจัณฑาล,ฯล อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
มุมมอง 1032 ปีที่แล้ว
EP.10 พระพุทธพจน์ เดรัจฉานวิชา#10 สังคมเลว เพราะคนดีอ่อนแอ, อุบาสกจัณฑาล,ฯล อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
EP.9 พระพุทธพจน์ เดรัจฉานวิชา#9 ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เสียงอ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
มุมมอง 892 ปีที่แล้ว
EP.9 พระพุทธพจน์ เดรัจฉานวิชา#9 ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เสียงอ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
EP.8 พระพุทธพจน์ เดรัจฉานวิชา#8มูลเหตุแห่งการวิวาท และฯล อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
มุมมอง 702 ปีที่แล้ว
EP.8 พระพุทธพจน์ เดรัจฉานวิชา#8มูลเหตุแห่งการวิวาท และฯล อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
EP.7 พระพุทธพจน์ เดรัจฉานวิชา#7หลักปฏิบัติต่อคำสอน ของศาสดาและคำแต่งใหม่ อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
มุมมอง 352 ปีที่แล้ว
EP.7 พระพุทธพจน์ เดรัจฉานวิชา#7หลักปฏิบัติต่อคำสอน ของศาสดาและคำแต่งใหม่ อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
EP.6 พระพุทธพจน์ เดรัจฉานวิชา#6 อริยบุคคล,ศีลที่เป็นอกุศล ,เครื่องเศร้าหมอง อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
มุมมอง 502 ปีที่แล้ว
EP.6 พระพุทธพจน์ เดรัจฉานวิชา#6 อริยบุคคล,ศีลที่เป็นอกุศล ,เครื่องเศร้าหมอง อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
EP.5 พระพุทธพจน์ เดรัจฉานวิชา#5ความเข้าใจผิดเรื่องกรรม 3 แบบ ,ลักษณะแห่งศรัทธา อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพ
มุมมอง 5652 ปีที่แล้ว
EP.5 พระพุทธพจน์ เดรัจฉานวิชา#5ความเข้าใจผิดเรื่องกรรม 3 แบบ ,ลักษณะแห่งศรัทธา อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพ
EP.4 พระพุทธพจน์ เดรัจฉานวิชา#4 อริยบุคคลไม่ทำเดรัจฉานวิชา ,ฐานะของโสดาบัน อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
มุมมอง 3142 ปีที่แล้ว
EP.4 พระพุทธพจน์ เดรัจฉานวิชา#4 อริยบุคคลไม่ทำเดรัจฉานวิชา ,ฐานะของโสดาบัน อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
EP.3 พระพุทธพจน์ เดรัจฉานวิชา#3 เดรัจฉานวิชา ไม่ใช่อิทธิปาฏิหาริย์ เสียงอ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
มุมมอง 7692 ปีที่แล้ว
EP.3 พระพุทธพจน์ เดรัจฉานวิชา#3 เดรัจฉานวิชา ไม่ใช่อิทธิปาฏิหาริย์ เสียงอ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
EP.2 พระพุทธพจน์ เดรัจฉานวิชา#2 ภิกษุเว้นขาดจากเดรัจฉานวิชา,อะไรคือเดรัจฉานกถา อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพ
มุมมอง 3442 ปีที่แล้ว
EP.2 พระพุทธพจน์ เดรัจฉานวิชา#2 ภิกษุเว้นขาดจากเดรัจฉานวิชา,อะไรคือเดรัจฉานกถา อ่านโดย ศันสนีย์ นาคพ
EP.1 พระพุทธพจน์ เดรัจฉานวิชา#1เดรัจฉานวิชา คืออะไร เสียงอ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
มุมมอง 2.5K2 ปีที่แล้ว
EP.1 พระพุทธพจน์ เดรัจฉานวิชา#1เดรัจฉานวิชา คืออะไร เสียงอ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
EP.16 พระพุทธพจน์ กรรม_จบ: ทุกข์, สัตว์,ภพ,ปฏิจจสมุปบาท เสียงอ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
มุมมอง 4892 ปีที่แล้ว
EP.16 พระพุทธพจน์ กรรม_จบ: ทุกข์, สัตว์,ภพ,ปฏิจจสมุปบาท เสียงอ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
EP.15 พระพุทธพจน์ กรรม อาชีพที่ไม่ควรกระทำ,สิ้นตัณหาก็สิ้นกรรม, เสียงอ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
มุมมอง 3342 ปีที่แล้ว
EP.15 พระพุทธพจน์ กรรม อาชีพที่ไม่ควรกระทำ,สิ้นตัณหาก็สิ้นกรรม, เสียงอ่านโดย ศันสนีย์ นาคพงศ์
❤สาธุๆ🙏
ปฏิจจสมุปบาทหรือปัจจยาการ 12 แจงออกเป็น2อริยสัจคือ ทุกข์และสมุทัย ดังนี้ (1)ทุกข์ ได้แก่ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ภพ ชาติ ชรามรณะ (2)สมุทัยประกอบด้วยกิเลสและกรรม ได้แก่ อวิชชา(กิเลส-ความไม่รู้อริยสัจ4) สังขาร(กรรม) ตัณหา(กิเลสและกรรม) อุปาทาน(กรรม) ส่วน"วิญญาณ"คือ ปฏิสนธิวิญญาณลงสู่ครรภ์ **ทุกข์และสมุทัยทำงานหมุนวนเป็นวัฏฏะ3คือ "กิเลส กรรม(เจตนา) วิบาก(ขันธ์=ทุกข์)"ต้องละด้วยไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา โดยที่*กรรมละด้วยศีล+สมาธิแต่ละได้ไม่ขาด "กิเลสและกรรม"ละขาดด้วย"ปัญญา"
น่าสนใจครับยิ่งฟังยิ่งทำให้เข้าใจหลักธรรมมากยิ่งๆขึ้นไปนี้สัจธรรมแห่งความเป็นจริงของพระผู้มีพระภาคเจ้า
อนุโมทนาบุญด้วยค่ะสาธุ สาธุๆ🙏
เยี่ยมครับ
ความสำเร็จแห่งบุคคลย่อมสำเร็จได้เพราะจิตบริสุทธิ์
มาเถิดเพื่อนทั้งหลาย มาเป็นอริยสาวก มาเป็นบัวพ้นน้ำ มาเป็นบัณฑิตในธรรมวินัย
กดติดตามจะเป็นบุญเป็นกุศลของคุณและของผม
ปฏิปทาของปัญญาฟาร์มย่อมนำไปสู่ของคนที่มีปัญญาทราม
ปฏิปทาเพื่อคนมีปัญญามาก ย่อมไปสู่คนมีปัญญามาก
มนุษย์ทุกคนต่างดิ้นรนแสวงหาในสิ่งที่ตนเองไม่มี ในที่สุดพวกเขาก็จะได้ในสิ่งเดียวกัน คือความไม่มีอะไรเลย
ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวซึ่งเจตนาว่าเป็นกรรม ภิกษุทั้งหลาย เหตุเกิดของกรรมทั้งหลายย่อมมีเพราะความเกิดของผัสสะ
ภิกษุทั้งหลาย ความดับแห่งกรรมย่อมมี เพราะความดับแห่งผัสสะ ภิกษุทั้งหลาย มรรคมีองค์แปดนี้เอง เป็นกัมมนิโรธคามินนีปฏิปทา
ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ย่อมทำ ความปรุงแต่งทางกาย อันเป็นไปกับด้วยความเบียดเบียน, ย่อมทำความปรุงแต่งทางวาจา อันเป็นไปกับด้วยความ เบียดเบียน, ย่อมทำความปรุงแต่งทางใจ อันเป็นไปกับด้วยความเบียดเบียน.ครั้นเขาทำความปรุงแต่ง (ทั้งสาม) ดังนี้แล้ว ย่อมเข้าถึงโลก อันเป็นไปกับด้วยความเบียดเบียน; ผัสสะทั้งหลายอันเป็นไปกับด้วยความเบียดเบียน ย่อมถูกต้อง เขาซึ่งเป็นผู้เข้าถึงโลกอันเป็นไปด้วยความเบียดเบียน; เขาอันผัสสะที่เป็นไปกับด้วยความเบียดเบียนถูกต้องแล้ว ย่อมเสวยเวทนาที่เป็นไปด้วยความเบียดเบียน อันเป็นทุกข์ โดยส่วนเดียว, ดังเช่นพวกสัตว์นรก.ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า กรรมดำ มีวิบากดำ.
“ราหุล ! กรรมทั้งหลาย ก็เป็นสิ่งที่บุคคลควรสอดส่อง พิจารณาดูแล้วดูเล่าเสียก่อน จึงทำลงไป ทางกาย, ทางวาจา หรือ ทางใจ ฉันเดียวกับกระจกเงานั้นเหมือนกัน”.
ปฏิจจสมุปบาท ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีของกายนั้น อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว ย่อมทำไว้ในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่ง ปฏิจจสมุปบาท นั่นเทียว ดังนี้ว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่ง อวิชชานั้น นั่นเทียว จึงมีความดับแห่งสังขาร เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ เพราะมีความดับแห่งวิญญาณจึงมีความดับแห่งนามรูป เพราะมีความดับแห่งนามรูปจึงมีความดับแห่งสฬายตนะ เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะจึงมีความดับแห่งผัสสะ เพราะมีความดับแห่งผัสสะจึงมีความดับแห่งมีเวทนา เพราะมีความดับแห่งเวทนาจึงมีความดับแห่งมีตัณหา เพราะมีความดับแห่งตัณหาจึงมีความดับแห่งอุปาทาน เพราะมีความดับแห่งอุปาทานจึงมีความดับแห่งภพ เพราะมีความดับแห่งภพจึงมีความดับแห่งชาติ เพราะมีความดับแห่งชาติ นั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้
ปฏิจจสมุปบาท ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีของกายนั้น อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว ย่อมทำไว้ในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่ง ปฏิจจสมุปบาท นั่นเทียว ดังนี้ว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่ง อวิชชานั้น นั่นเทียว จึงมีความดับแห่งสังขาร เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ เพราะมีความดับแห่งวิญญาณจึงมีความดับแห่งนามรูป เพราะมีความดับแห่งนามรูปจึงมีความดับแห่งสฬายตนะ เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะจึงมีความดับแห่งผัสสะ เพราะมีความดับแห่งผัสสะจึงมีความดับแห่งมีเวทนา เพราะมีความดับแห่งเวทนาจึงมีความดับแห่งมีตัณหา เพราะมีความดับแห่งตัณหาจึงมีความดับแห่งอุปาทาน เพราะมีความดับแห่งอุปาทานจึงมีความดับแห่งภพ เพราะมีความดับแห่งภพจึงมีความดับแห่งชาติ เพราะมีความดับแห่งชาติ นั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้
ปฏิจจสมุปบาท ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีของกายนั้น อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว ย่อมทำไว้ในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่ง ปฏิจจสมุปบาท นั่นเทียว ดังนี้ว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่ง อวิชชานั้น นั่นเทียว จึงมีความดับแห่งสังขาร เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ เพราะมีความดับแห่งวิญญาณจึงมีความดับแห่งนามรูป เพราะมีความดับแห่งนามรูปจึงมีความดับแห่งสฬายตนะ เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะจึงมีความดับแห่งผัสสะ เพราะมีความดับแห่งผัสสะจึงมีความดับแห่งมีเวทนา เพราะมีความดับแห่งเวทนาจึงมีความดับแห่งมีตัณหา เพราะมีความดับแห่งตัณหาจึงมีความดับแห่งอุปาทาน เพราะมีความดับแห่งอุปาทานจึงมีความดับแห่งภพ เพราะมีความดับแห่งภพจึงมีความดับแห่งชาติ เพราะมีความดับแห่งชาติ นั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้
ปฏิจจสมุปบาท ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีของกายนั้น อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว ย่อมทำไว้ในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่ง ปฏิจจสมุปบาท นั่นเทียว ดังนี้ว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่ง อวิชชานั้น นั่นเทียว จึงมีความดับแห่งสังขาร เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ เพราะมีความดับแห่งวิญญาณจึงมีความดับแห่งนามรูป เพราะมีความดับแห่งนามรูปจึงมีความดับแห่งสฬายตนะ เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะจึงมีความดับแห่งผัสสะ เพราะมีความดับแห่งผัสสะจึงมีความดับแห่งมีเวทนา เพราะมีความดับแห่งเวทนาจึงมีความดับแห่งมีตัณหา เพราะมีความดับแห่งตัณหาจึงมีความดับแห่งอุปาทาน เพราะมีความดับแห่งอุปาทานจึงมีความดับแห่งภพ เพราะมีความดับแห่งภพจึงมีความดับแห่งชาติ เพราะมีความดับแห่งชาติ นั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้
ปฏิจจสมุปบาท ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีของกายนั้น อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว ย่อมทำไว้ในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่ง ปฏิจจสมุปบาท นั่นเทียว ดังนี้ว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่ง อวิชชานั้น นั่นเทียว จึงมีความดับแห่งสังขาร เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ เพราะมีความดับแห่งวิญญาณจึงมีความดับแห่งนามรูป เพราะมีความดับแห่งนามรูปจึงมีความดับแห่งสฬายตนะ เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะจึงมีความดับแห่งผัสสะ เพราะมีความดับแห่งผัสสะจึงมีความดับแห่งมีเวทนา เพราะมีความดับแห่งเวทนาจึงมีความดับแห่งมีตัณหา เพราะมีความดับแห่งตัณหาจึงมีความดับแห่งอุปาทาน เพราะมีความดับแห่งอุปาทานจึงมีความดับแห่งภพ เพราะมีความดับแห่งภพจึงมีความดับแห่งชาติ เพราะมีความดับแห่งชาติ นั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้
ปฏิจจสมุปบาท ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีของกายนั้น อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว ย่อมทำไว้ในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่ง ปฏิจจสมุปบาท นั่นเทียว ดังนี้ว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่ง อวิชชานั้น นั่นเทียว จึงมีความดับแห่งสังขาร เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ เพราะมีความดับแห่งวิญญาณจึงมีความดับแห่งนามรูป เพราะมีความดับแห่งนามรูปจึงมีความดับแห่งสฬายตนะ เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะจึงมีความดับแห่งผัสสะ เพราะมีความดับแห่งผัสสะจึงมีความดับแห่งมีเวทนา เพราะมีความดับแห่งเวทนาจึงมีความดับแห่งมีตัณหา เพราะมีความดับแห่งตัณหาจึงมีความดับแห่งอุปาทาน เพราะมีความดับแห่งอุปาทานจึงมีความดับแห่งภพ เพราะมีความดับแห่งภพจึงมีความดับแห่งชาติ เพราะมีความดับแห่งชาติ นั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้
ปฏิจจสมุปบาท ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีของกายนั้น อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว ย่อมทำไว้ในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่ง ปฏิจจสมุปบาท นั่นเทียว ดังนี้ว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่ง อวิชชานั้น นั่นเทียว จึงมีความดับแห่งสังขาร เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ เพราะมีความดับแห่งวิญญาณจึงมีความดับแห่งนามรูป เพราะมีความดับแห่งนามรูปจึงมีความดับแห่งสฬายตนะ เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะจึงมีความดับแห่งผัสสะ เพราะมีความดับแห่งผัสสะจึงมีความดับแห่งมีเวทนา เพราะมีความดับแห่งเวทนาจึงมีความดับแห่งมีตัณหา เพราะมีความดับแห่งตัณหาจึงมีความดับแห่งอุปาทาน เพราะมีความดับแห่งอุปาทานจึงมีความดับแห่งภพ เพราะมีความดับแห่งภพจึงมีความดับแห่งชาติ เพราะมีความดับแห่งชาติ นั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้
ปฏิจจสมุปบาท ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีของกายนั้น อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว ย่อมทำไว้ในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่ง ปฏิจจสมุปบาท นั่นเทียว ดังนี้ว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่ง อวิชชานั้น นั่นเทียว จึงมีความดับแห่งสังขาร เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ เพราะมีความดับแห่งวิญญาณจึงมีความดับแห่งนามรูป เพราะมีความดับแห่งนามรูปจึงมีความดับแห่งสฬายตนะ เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะจึงมีความดับแห่งผัสสะ เพราะมีความดับแห่งผัสสะจึงมีความดับแห่งมีเวทนา เพราะมีความดับแห่งเวทนาจึงมีความดับแห่งมีตัณหา เพราะมีความดับแห่งตัณหาจึงมีความดับแห่งอุปาทาน เพราะมีความดับแห่งอุปาทานจึงมีความดับแห่งภพ เพราะมีความดับแห่งภพจึงมีความดับแห่งชาติ เพราะมีความดับแห่งชาติ นั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้
𝓹𝓻𝓸𝓶𝓸𝓼𝓶 👍
สาธุ ในธรรมะที่เผยแผ่
Tất cả con người đang phấn đấu cho những gì họ không có. Cuối cùng họ sẽ nhận được điều tương tự. không có gì
Các nhà sư Chúng ta nói rằng ý định là nghiệp. Các nhà sư Nguồn gốc của tất cả nghiệp chướng là do tiếp xúc mà sinh ra.
Các nhà sư Sẽ có sự chấm dứt của nghiệp. bởi vì sự ngừng liên lạc Các nhà sư Có con đường bát chánh này. Đó là Kamnirodha Kaminni Patipada.
Các nhà sư! Một số người trong trường hợp này sẽ thực hiện các thao tác cơ thể. đi kèm với sự ngược đãi, sẽ cải thiện bằng lời nói đi kèm với sự bức hại, sẽ tạo nên tâm trí đi kèm với sự ngược đãi. Khi anh ta thực hiện (ba) thao tác này, anh ta bước vào thế giới. đi cùng với cuộc bức hại; Mọi sự đụng chạm đi kèm với sự áp bức đều đúng; ai bước vào thế giới với sự áp bức; Những chiếc sừng gợi cảm đi kèm với cuộc bức hại là chính xác. Một người phải chịu cảm giác phiền não và đau khổ hoàn toàn, giống như những chúng sinh ở cõi âm, này các Tỳ kheo! Đây gọi là nghiệp đen, có nghiệp đen.
“Rahul! Tất cả nghiệp chướng đều là thứ mà người ta nên tìm kiếm. Nhìn vào nó và nhìn nó và sau đó làm điều đó, thể chất, lời nói hoặc tinh thần, như một tấm gương. ”
Paticasamupbat, các nhà sư. Trong trường hợp của cơ thể, người đệ tử cao quý đã nghe Anh ta làm điều đó trong tâm trí của mình một cách rất cẩn thận, đó là những gì anh ta làm, do đó: bởi vì cái này tồn tại, cái này tồn tại, bởi vì cái này sinh ra. Vì vậy, điều này đã xảy ra bởi vì điều này không có do đó không có bởi vì sự chấm dứt của điều này Vì vậy, điều này diễn ra. bởi vì có sự thiếu hiểu biết là một yếu tố Do đó, có tất cả các sankharas. Bởi vì thân là yếu tố, có tinh thần, bởi vì có thức, có tên và sắc, bởi vì có tên và sắc, do đó có salaytana, bởi vì có xúc, bởi vì có xúc, có cảm giác. cảm giác, có tham ái, bởi vì có tham ái, có sự bám víu, bởi vì có sự bám víu, có sự tồn tại, bởi vì có sự tồn tại, có sự sinh ra, bởi vì có sinh, lão và tử, sokaparideva do đó xảy ra hoàn toàn Sự đồng tình của toàn bộ khối đau khổ này phát sinh với những triệu chứng như vậy. Bởi vì sự tan biến mà không có phần còn lại của vô minh đó, có sự chấm dứt của sankhara. bởi vì có sự chấm dứt của sankhara do đó có sự chấm dứt của linh hồn Vì có sự diệt vong của các linh hồn, nên có sự diệt vong của danh và sắc. Bởi vì có sự dừng lại của danh và sắc, nên có sự chấm dứt của salattana. Bởi vì có sự chấm dứt của sự phai mờ, có sự ngừng của sự tiếp xúc. Bởi vì có sự ngừng tiếp xúc, có sự chấm dứt của cảm giác. Bởi vì có sự chấm dứt đau khổ, có sự chấm dứt của tham ái. Bởi vì có sự chấm dứt của tham ái, có sự chấm dứt của sự bám víu. bởi vì có sự chấm dứt của sự bám víu, có sự chấm dứt của sự tồn tại Bởi vì có sự ngừng lại của thế giới, có sự ngừng lại của quốc gia. Bởi vì có quốc gia diệt vong, rồi già và chết, sokaparideva, tất cả ma lực dukkha và sự bám víu đều bị tiêu diệt.
ฉันเนื้อกับไม่ฉันเนื้อรับเงินกับไม่รับเงินช่างเขาเถิดไม่รู้จักให้ก็ไม่ต้องไปห่วงเงินชาวบ้านเขาปล่อยไปตามกาลอันควรของแต่ละบุคคล
មនុស្សលោកទាំងអស់ខំប្រឹងធ្វើអ្វីដែលខ្លួនមិនមាន។ នៅទីបំផុតពួកគេនឹងទទួលបានដូចគ្នា។ គឺគ្មានអ្វីសោះ
ព្រះសង្ឃ យើងនិយាយថាចេតនាជាកម្មផល។ ព្រះសង្ឃ ដើមកំណើតនៃកម្មផលទាំងអស់គឺដោយសារតែកំណើតនៃទំនាក់ទំនង។
ព្រះសង្ឃ នឹងមានការរលត់ទៅនៃកម្មផល។ ដោយសារតែការបញ្ឈប់ការប៉ះ ព្រះសង្ឃ ម្នាលភិក្ខុទាំងឡាយ អរហន្តសម្មាសម្ពុទ្ធនេះឯង។ វាគឺជា Kamnirodha Kaminni Patipada ។
ព្រះសង្ឃ! មនុស្សមួយចំនួនក្នុងករណីនេះនឹងធ្វើឧបាយកលរាងកាយ។ ដែលអមដោយការបៀតបៀននឹងធ្វើអោយប្រសើរឡើងនូវពាក្យសំដី ដែលអមដោយការបៀតបៀន នឹងបង្កើតចិត្ត ដែលអមដោយការបៀតបៀន កាលណាធ្វើឧបាទានក្ខន្ធ ៣ យ៉ាងនេះ ចូលក្នុងលោក។ ដែលទៅជាមួយការបៀតបៀន; គ្រប់ការប៉ះពាល់ដោយការសង្កត់សង្កិន គឺត្រូវហើយ អ្នកដែលចូលទៅក្នុងពិភពលោកដោយការសង្កត់សង្កិន។ ស្នែងត្រេកត្រអាលទៅជាមួយនឹងការបៀតបៀនត្រូវ។ បុគ្គលទទួលនូវសេចក្តីទុក្ខ និងទុក្ខទាំងស្រុង ដូចសត្វលោកក្នុងលោកនេះ ម្នាលភិក្ខុទាំងឡាយ ! នេះហៅថាកម្មខ្មៅ មានកម្មជាខ្មៅ។
«រ៉ាហ៊ុល! កម្មផលទាំងអស់គឺជារបស់ដែលគេគួរប្រយ័ត្ន។ មើលហើយក្រឡេកមើលវាហើយធ្វើវាដោយកាយវាចាឬផ្លូវចិត្តដូចជាកញ្ចក់»។
Paticasamupbat, ព្រះសង្ឃ។ ម្នាលអាវុសោ ភិក្ខុដែលបានឮ ព្រះអង្គធ្វើក្នុងចិត្តដោយប្រពៃ នូវសេចក្តីដែលខ្លួនធ្វើយ៉ាងនេះថា ម្នាលអាវុសោ របស់នេះមានហើយ របស់នេះកើតឡើង ព្រោះហេតុនោះ ។ ដូច្នេះរឿងនេះបានកើតឡើង ដោយសារតែនេះមិនមាន ដូច្នេះមិនមានទេ។ ដោយសារតែការបញ្ឈប់នេះ។ ដូច្នេះវារលត់។ ព្រោះមានអវិជ្ជាជាកត្តា ដូច្នេះហើយ សង្ខារទាំងឡាយ។ ព្រោះកាយជាបច្ច័យ មានវិញ្ញាណ ព្រោះមានមនសិការ មានឈ្មោះនិងរូប ព្រោះមានឈ្មោះហើយ រូបហេតុនោះមានសារីបុត្ត ព្រោះមានទំនាក់ទំនង ព្រោះមានទំនាក់ទំនង មានអារម្មណ៍ ព្រោះមាន អារម្មណ៍មានតណ្ហា ព្រោះមានតណ្ហា មានការតោង ព្រោះមានការជាប់នៅ មានព្រោះមាន មានកើត ព្រោះមានកំណើត មានជរា និងមរណៈ សុគធៈ។ ដូច្នេះកើតឡើងទាំងស្រុង ការកើតឡើងនៃទុក្ខទាំងមូលនេះ កើតឡើងដោយអាការយ៉ាងនេះ។ ព្រោះការរលត់ទៅដោយមិនសេសសល់នៃអវិជ្ជានោះ ទើបការរលត់នៃសង្ខារ។ ព្រោះមានការរលត់នៃសង្ខារ ដូច្នេះហើយ មានការរលត់ទៅវិញនៃព្រលឹង ព្រោះការរលត់នៃវិញ្ញាណ មានការរលត់នៃឈ្មោះ និងរូប។ ព្រោះមានការរលត់នៃឈ្មោះ និងរូប ទើបមានការរលត់នៃសរណៈ។ ព្រោះមានការរលត់ រលត់ទៅ មានការរលត់នៃទំនាក់ទំនង។ ព្រោះមានការរលត់នៃទំនាក់ទំនង មានការរលត់នៃអារម្មណ៍។ ព្រោះការរលត់នៃទុក្ខ មានការរលត់នៃតណ្ហា។ ព្រោះការរលត់នៃតណ្ហា មានការរលត់នៃការប្រកាន់។ ព្រោះការរលត់នៃការរលត់នៃការរលត់ទៅ ព្រោះមានការរលត់ទៅនៃលោក មានការរលត់ជាតិ។ ម្នាលអាវុសោទាំងឡាយ ព្រោះការរលត់ទៅនៃជាតិ ជរា រលត់ទៅ ម្នាលអាវុសោទាំងឡាយ ឧបេក្ខា និងឧបាទានក្ខន្ធ រលត់ទៅ ការរលត់ទៅនៃទុក្ខទាំងពួងនេះ កើតឡើងដោយសភាពយ៉ាងនេះឯង។
All human beings are striving for what they do not have. They will eventually get the same thing. is nothing
monks We say that the intention is karma. monks The origin of all karma is because of the birth of contact.
monks There will be the cessation of karma. because of the cessation of touch monks There is this eightfold path. It is Kamnirodha Kaminni Patipada.
Monks! Some people in this case would make bodily manipulations. which is accompanied by persecution, will make verbal improvements which is accompanied by persecution, will make up the mind which is accompanied by persecution. When he makes these (three) manipulations, he enters the world. which goes with the persecution; All the touches that go with oppression are right; he who enters the world with oppression; The sensuous horns that go with the persecution were correct. One suffers the feeling of affliction and suffering in its entirety, just like the beings of the underworld, monks! This is called black karma, having black karma.
"Rahul! All karma is something that one should look out for. Look at it and look at it and then do it, physically, verbally or mentally, like a mirror.”
Paticasamupbat, monks. In the case of the body, the noble disciple who had heard He does it in his mind very carefully, which is what he does, thus: because this exists, this exists, because of the arising of this. So this happened because this doesn't have therefore there is no because of the cessation of this So this goes off. because there is ignorance as a factor Therefore, there are all sankharas. Because body is the factor, there is spirit, because there is consciousness, there is name and form, because there is name and form, therefore there is salaytana, because there is contact, because there is contact, there is feeling. Because there is feeling, there is craving, because there is craving, there is clinging, because there is clinging, there is existence, because there is existence, there is birth, because there is birth, aging and death, sokaparideva therefore occur completely The concurrence of this whole mass of suffering arises with such symptoms. Because of the fading away without the remainder of that ignorance, there is the cessation of sankhara. because there is the cessation of sankhara therefore there is the cessation of the soul Because there is the cessation of spirits, there is the cessation of name and form. Because there is the cessation of name and form, there is the cessation of salattana. Because there is the cessation of fading away, there is the cessation of contact. Because there is the cessation of contact, there is the cessation of feeling. Because there is the cessation of suffering, there is the cessation of craving. Because there is the cessation of craving, there is the cessation of clinging. Because there is the cessation of clinging, there is the cessation of existence. Because there is the cessation of the world, there is a national cessation. Because there is a national cessation, then aging and death, sokaparideva, all dukkha manas and clingings are extinguished. This cessation of this whole mass of suffering arises with such a condition:
สุสิมะ ! แต่เพราะเธอเห็นโทษโดยความเป็นโทษ แล้วทำคืนตามธรรม เราจึงรับโทษนั้นของเธอ ผู้ใดเห็นโทษ โดยความเป็นโทษแล้วทำคืนตามธรรม ถึงความสำรวมระวัง ต่อไป ข้อนี้เป็นความเจริญในอริยวินัยของผู้นั้น ดังนี้.
(๔) อนึ่ง สมณพราหมณ์พวกหนึ่งเลี้ยงชีวิตโดย มิจฉาชีพ ไม่งดเว้นจากมิจฉาชีพ นี้เป็นเครื่องเศร้าหมอง ของสมณพราหมณ์ข้อที่สี่ ซึ่งเป็นเหตุให้สมณพราหมณ์ พวกหนึ่งเศร้าหมอง ไม่มีสง่า ไม่รุ่งเรือง ไม่ไพโรจน์.
ข้อที่ บุคคลเห็นโทษโดยความเป็นโทษแล้วทำคืนตามธรรม ถึง ความสำรวมระวังต่อไป นี้เป็นความเจริญในอริยวินัยของ ผู้นั้น.
ภิกษุทั้งหลาย! ความงด ความเว้น เจตนางดเว้นจาก มิจฉาอาชีวะของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก มีจิตหาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่ นี้แล สัมมาอาชีวะ ของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค.
ภิกษุทั้งหลาย ! บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฏฐิ ย่อมเป็นธรรมนำหน้า ก็สัมมาทิฏฐิย่อมเป็นธรรมนำหน้า เป็นอย่างไร คือ ภิกษุรู้จักมิจฉาอาชีวะว่ามิจฉาอาชีวะ รู้จัก สัมมาอาชีวะว่าสัมมาอาชีวะ ความรู้ของเธอนั้นเป็นสัมมาทิฏฐิ.
การกระทำของเธอ นั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือไม่ทำให้ผู้ ที่เคยเลื่อมใสแล้วให้เลื่อมใสยิ่งขึ้นไป โดยที่แท้ ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของผู้ที่ยังไม่เลื่อมใส และ ทำผู้ที่เคยเลื่อมใสแล้ว ให้เปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นเท่านั้น.