วีดีโอ

@@tori_th5570 MG GS น่าจะเบอร์ 215/60R17. Giti รุ่น H2 ราคาราว 3,100฿ ส่วน Dunlop รุ่น EC300+ ราคา 3,700฿ สองยี่ห้อนี้ถือว่าคุ้มค่าครับ Dunlop รุ่นนี้จะเป็นตัวมาตรฐานติดมากับรถ Toyota HR-V ครับ ข้อสำคัญคือ หมั่นเช็คลมยางทุกสองอาทิตย์ และสลับสลับยางทุก 10,000 กิโลเมตรครับ

@@tori_th5570 MG GS น่าจะเบอร์ 215/60R17. Giti รุ่น H2 ราคาราว 3,100฿ Dunlop รุ่น EC300+ ราคา 3,700฿ Dunlop รุ่นนี้เป็นยางที่ติดมากับรถ Toyota CH-R ข้อสำคัญหมั่นเช็คลมยางทุกสองสัปดาห์และสลับยางทุก 10,000 กิโลเมตร

@@peetzz4685 P10 เสียงจะเงียบกว่าS2เล็กน้อยครับ ถ้าP10 รุ่นที่มีฟองน้ำในท้องยาง จะเงียบกว่าประมาณ 2 เดซิเบล แต่ในระยะยาว หากดอกยางสึกไม่เรียบ S2 ก็จะเสียงดังกว่า ด้านการยึดเกาะบนถนนเปียก S2 ดีกว่าเล็กน้อยครับ การรีดน้ำ S2 รีดน้ำได้ดีกว่า เพราะร่องดอกยางกว้างกว่า P10จะเน้นไปทางนั่งนิ่มมากกว่า S2 แต่สปอร์ต S2 มีผู้ใช้หลายท่านที่ได้ใช้จริงแล้ว ชมว่าเป็นยางสปอร์ตที่ให้ความรู้สึกนิ่มกว่ายี่ห้ออื่นที่เคยใช้ครับ

@@rackmanager ใช้ได้ครับ รถยนต์ไฟฟ้าที่ขายบ้านเราหลายรุ่นติดยาง Giti มาให้ แต่ไม่มีฟองน้ำ วอลโว่ ถ้าจำไม่ผิด ล้อหน้า 235/50R19 ล้อหลัง 255/45R19. ซึ่งยางสองเบอร์นี้ จะเป็นรุ่น P10. ล้อหลังจะตรงกับเบอร์ของรถเทสล่า โมเดล Y เบอร์นี้นำเข้ามาจำหน่ายเป็นดอก P10 มีทั้งรุ่นธรรมดาและรุ่นที่มีฟองน้ำ ส่วนล้อหน้า 235/50R19 P10 นำเข้ามาเป็นรุ่นธรรมดาครับ รุ่นที่มีฟองน้ำยังไม่ได้นำเข้ามา ยางเบอร์นี้ตรงกับรถ Chevrolet แคปติว่า

@@rackmanager Giti P10 ปัจจุบันติดรถใหม่ป้ายแดงในรุ่น BYD M6. Zeekr X. Deepal L07 Jeacoo 6. แต่ที่ติดรถใหม่มาจะไม่เมีฟองน้ำ อนึ่ง ยาง Giti ที่ได้ติดรถยนต์ไฟฟ้า ก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นยาง EV. เพียงแต่ว่าอยู่ในสเปคผู้ผลิตรถยนต์กำหนด ส่วนคำว่ายาง EV. มันเป็นเรื่องของการตลาดที่หลายยี่ห้อฉวยโอกาสใช้คำนี้

@@mrpanason-gq8dj 5555 แบบนั้นคงต้องให้ฝ่ายเทคนิคของแต่ละยี่ห้อมาอธิบายแล้วครับ แต่ถ้าดีที่สุด ต้องไปทดสอบในสนาม ซึ่งจะมีหลายสถานีทดสอบครับ แต่ก็ยากครับเพราะค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง

@@เอกราชบุญสถิตย์ ขอบคุณครับ

@@jakkittsiripomajak463 ครับ ต่างกันไม่มากสูสีกันสำคัญที่หมั่นเช็คลมยางเป็นประจำและสลับยางทุก 10,000 กิโลเมตร รวมถึงเช็คสภาพช่วงล่างและเบรคให้สมบูรณ์ครับ

@@PhijakRongmuang เกิดจากเสียงหัวเพลาขับครับ เสียงจะดังแกร๊กๆๆ พอคืนพวงมาลัยแล้วเสียงจะหาย สาเหตุ ส่วนมากเกิดจากลูกยางกันฝุ่นเพลาขับขาดแล้วจาระบีภายในกระเด็นออกและฝุ่นละอองเข้าไปผสมส่งผลทำให้เม็ดลูกปืนเป็นรอย หากเป็นรอยเยอะ เมื่อถอนล้างเปลี่ยนจาระบีใหม่และเปลี่ยนลูกยางกันฝุ่นใหม่แล้วก็ไม่หายครับเพราะเม็ดลูกปืนเป็นรอยไปแล้ว

@@PhijakRongmuang หากกลับรถแล้วเสียงดังเอี๊ยด สาเหตุเกิดจาก - มุมล้อผิด -ล้อเลี้ยวได้มากเกินไป ทำให้ยางเสียดสีต้านกับถนนเยอะ เมื่อคืนพวงมาลัยเสียงก็จะเงียบ - หากเลี้ยวแล้วเสียงดังมากบนลานจอดรถนั่นเกิดจาก พื้นผิวของลานจอด

@@PhijakRongmuang หากไปศูนย์บริการยาง ลองเอามือกดหน้ายางเส้นใหม่ของร้านค้าแล้วหมุนยางไปมา แต่ละพื้นผิวของร้านค้าก็จะให้เสียงเอี๊ยดอ๊าดที่แตกต่างกัน แต่ยังไงก็มีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดครับ

@@bbenz7981 ร้านที่ผมยืมสถานที่ไลฟ์สด อยู่สุขสวัสดิ์ ด้านหลังวัดชมนิมิตร ส่วนตัวผมเองเป็นร้านยางอยู่จังหวัดระยอง Tyreplus ไทร์พลัส เอ็มแอนด์ที ไทร์เซ็นเตอร์ ถนนทางหลวงสาย 36 ตรงข้ามโชว์รูมฟอร์ดและ GWM. ก่อนถึงเซ็นทรัลระยอง 5 กิโลเมตร ร้านอยู่หน้าถนนทางด้านซ้ายมือ ไม่ต้องกลับรถครับ หากมาจากมอเตอร์เวย์กรุงเทพ จะอยู่ห่างจากสนามพีระเซอร์กิต 35 กิโลเมตรครับ

@@yoshimusic1964 ขอบคุณครับ

@@ปรีชาเศรษฐภาพร แต่สำหรับวงการยางรถยนต์บางยี่ห้อแพงมาก แต่ใช้สู้ยี่ห้อที่ถูกกว่าไม่ได้มีเยอะนะครับ เพียงแต่ไม่มีใครลงทุนไปทำทดสอบพร้อมพร้อมกันในสนาม แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ลมยาง ผมว่าเกินครึ่งที่มาใช้บริการที่ร้านผม คือมาเปลี่ยนยาง เรามีการเช็คลมยางก่อนทำการเปลี่ยน ปรากฏว่าลมยางอ่อนมาก หลายคันเหลืออยู่เพียง 28 ปอนด์ แบบนี้การยึดเกาะถนนก็แย่ครับ รวมถึงระบบช่วงล่างระบบเบรกและศูนย์ล้อที่ดี หลายอย่างมีผลทั้งนั้นครับ

@@ปรีชาเศรษฐภาพร โดยรวมแล้วก็อยู่ที่การหาข้อมูลของผู้บริโภคครับ

@@JackirtMaungto ร้านที่ไลฟ์สดอยู่สุขสวัสดิ์ ด้านหลังวัดชมนิมิต ส่วนร้านผมเองอยู่จังหวัดระยองครับ ถนนทางหลวงสาย 36 อยู่หน้าถนนใหญ่ ตรงข้ามฟอร์ด และ GWM. หากวิ่งจากมอเตอร์เวย์มาระยอง ร้านผมอยู่ห่างสนามพีระเซอร์กิต 35 Km เป็นร้าน Tyreplus. หน้าร้านจะมีช้าง Giti สูง 6 เมตรเป็นสัญลักษณ์ หากเปิดใน Google Maps ให้พิมพ์คำว่า โรงงานตั้งน่ำเส็งหล่อดอกยาง

@@กมมกสกกส ถ้าเป็นยาง 4 × 4 ที่แก้มยางเยอะ ก็จะเห็นรอยบุ๋มที่แก้มยางชัดมากครับ

@@SudjaiRuangvanich ขอบคุณครับ

@@วิชัยแซ่หลี-ฝ8ห มีผลทำให้แรงดันเพิ่มขึ้นมากกว่าลมที่แห้งครับ หากจะรู้ว่าเพิ่มขึ้นกี่ปอนด์ ต้องซื้อ TPMS ติดตั้งครับ แต่ถ้าลมมีความชื้นสูงก็อาจจะส่งผลทำให้เซ็นเซอร์TPMS เสียเร็วขึ้น ร้านยางหลายร้านจะไม่มีตัวแอร์ดรายเออร์ แต่เครื่องกรองลมที่สร้างไนโตรเจนก็จะมีตัวดักน้ำอยู่แล้ว แต่ถ้ามีจำนวนมากก็อาจจะดักไม่หมด สำคัญที่ร้านยางต้องปล่อยน้ำทิ้งทุกวันและจะต้องมีอุปกรณ์ดักน้ำก่อนที่จะเข้าเครื่องทำไนโตรเจน แต่ก็เคยมีคลิปวิดีโอทดสอบลมทั่วไปกับลมที่เติมตามร้านยางที่เป็นไนไตรเจนสุดท้ายแรงดันลมยางก็เพิ่มเหมือนกัน

@@วิชัยแซ่หลี-ฝ8ห ดีที่สุดคือลมที่ออกจากปั๊มลมต้องผ่านตัวแอร์ดรายเออร์ก่อน แล้วถึงจะเข้าเครื่องทำลมไนโตรเจนครับ แล้วก็ต้องดูดอากาศในท้องยางออกก่อน ถึงจะเติมลมไนโตรเจนเข้าไป แต่สุดท้ายแล้วแรงดันลมยางก็เพิ่มอยู่ดีครับ เพียงแต่อาจจะเพิ่มแค่ 1 ปอนด์ ส่วนลมทั่วไปที่แห้งจริงๆ แรงดันลมยางอาจจะเพิ่มขึ้น 2 ปอนด์ ทั้งนี้อยู่ที่ความเร็วในการขับขี่และอุณหภูมิที่ผิวถนนด้วยครับ และอยู่ที่น้ำหนักบรรทุกด้วยครับ ซึ่งอาจสามารถเพิ่มขึ้นได้ถึง 5-6 ปอนด์ครับ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดควรจะหมั่นเช็คลมเป็นประจำ และเพื่อความปลอดภัย ซื้อจุ๊บเซ็นเซอร์ TPMS ติดตั้งเลยจะดีที่สุดครับ เมื่อยางโดนตะปูจะทำให้รู้ตัวล่วงหน้าก่อนที่จะวิ่งลมอ่อนบดแก้มยางเสียครับ

@@วิชัยแซ่หลี-ฝ8ห เมื่อบรรทุกเสร็จแล้วก็ลดแรงดันลมยางลง ถูกต้องแล้วครับ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วล้อหลังจะยึดเกาะถนนไม่ดี เวลาเปลี่ยนเลนรถจะเลื้อยเหมือนงู

ถ้าเช็คแล้วยางสภาพดี ยังกลมดีอยู่ ไม่เสียรูป และเป็นล้อแม็กที่ติดมากับรถ คือไม่ได้ไปเปลี่ยนใหม่ สาเหตุที่พบบ่อย เกิดจากที่เครื่องถ่วงล้อของร้านค้าไม่เคยคาลิเบท หากเป็นเครื่องถ่วงล้อยี่ห้อ Hofmann ราคาจะสูงมาก ในระดับ 2.7-3 แสนบาท ซึ่งแตกต่างจากเครื่องถ่วงโนเนม 3-4 หมื่นบาท ซึ่งมันต่างลงซอฟต์แวร์กับตัวเซ็นเซอร์ เครื่องถ่วงล้อของจีนคุณภาพสูงก็มี เพราะปัจจุบันเครื่องถ่วงล้อยี่ห้อดังทางยุโรป ก็ผลิตที่จีนทั้งนั้น แต่ก็ยังขายในราคายุโรป ผมแนะนำให้ลองถ่วงล้อกับร้านค้าใหญ่ ที่เป็นเครื่องถ่วงล้อยี่ห้อทางยุโรป และต้องถามช่างเขาด้วยว่า ได้ทำการคาลิเบทเครื่อง ทุกปีหรือเปล่า ลองดูครับ น่าจะหาย

เครื่องถ่วงล้อร้านค้ายางให้การยอมรับ มี Hofmann และ คอร์กี้ ครับ ถ้าเจอสองยี่ห้อนี้ แล้วคาลิเบทเป็นประจำ ถ่วงล้อใหม่น่าจะหายครับ

@@เจาะยางขอบคุณมากครับ

55555

ข้อนี้ก็แล้วแต่นโยบายของเผู้ผลิตรถยนต์นั้นๆครับ เมื่อก่อนผู้ผลิตรถยนต์มีตัวเลือกไม่มาก ซึ่งต่างจากปัจจุบันครับ

ขับรถอะไรแบบไหนครับ (เก๋ง บรรทุก ทำนองนี้) แล้วยี่ห้อนั้นที่ว่าคืออะไรครับ มันมีดียังไงช่วยแชร์คัฟ อยากฟังประสบการณ์

ครับ แต่ละยี่ห้อก็มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเองครับ และเงื่อนไขการรับประกันต้องแตกต่างกันออกไป ส่วนถ้าไม่มีเงินโรงงานเป็นของตัวเอง ก็มักจะไปจ้างโรงงานของจีนที่อมตะซิตี้ผลิตให้ครับ

จะมีเซ็นเซอร์ลมหรือไม่ ตอนถอดหรือตอนใส่ยาง จากมีการวางตำแหน่งของจุ๊บก่อนเริ่มเดินเครื่องครับ

ไม่นะครับ ลองไปสังเกตรถใหม่หลายหลายยี่ห้อดูครับ

😀😀😀😀

ปัจจุบันทาง สมอ. หน่วยงานที่จด มอก. ยางที่ได้ มอก. สำหรับยางที่หน้ากว้าง ไม่เกิน 245 จะต้องมีเสียงไม่เกิน 72 เดซิเบลครับ ปัญหาที่เสียงยางดังเกิดจาก ดอกยางสึกเป็นบั้ง โดยเฉพาะล้อหลังด้านใน ซึ่ง CR-V ล้อหลังมุมแคมเบอร์จะติดลบมาก ถึง -2 องศา และล้อหลังน้ำหนักจะเบา เมื่อไม่สลับยางทุก 10,000 กิโลเมตร ก็จะส่งผลทำให้ดอกยางด้านในล้อหลัง สึกเป็นบั้ง จนทำให้เกิดเสียงดังครับ และอีกสาเหตุที่พบบ่อยก็คือ มักจะไม่เช็คลมเป็นประจำ ส่งผลทำให้ลมยางอ่อน ก็ยิ่งทำให้หน้ายางบิดตัวมาก ยิ่งทำให้สึกไม่เรียบ โดยปกติลมยางจะซึมเองตามธรรมชาติประมาณเดือนละ 1-2 ปอนด์ ส่วนเรื่องลมไนโตรเจน เป็นไปไม่ได้ครับ ไม่มีร้านค้าไหนสามารถทำได้ 100% เป็นเรื่องเข้าใจไม่หมด ดังนั้นยางแต่ละยี่ห้อ เมื่อเปลี่ยนใหม่ เมื่อขับออกจากร้าน เสียงยางก็จะเงียบครับ ส่วนเรื่องการนั่งนิ่ม กับยี่ห้อปัจจุบันใกล้เคียงกันแล้ว อีกปัญหาที่เจอบ่อย ที่ทำให้สะเทือน มักจะเกิดจากช็อกอัพ วาล์วค้าง ทำให้ไม่ยุบตัว ซึ่งเกิดกับรถเก๋งและรถ SUV รุ่นใหม่ๆ คือเมื่อขึ้นแม่แรงหรือยกรถลอย เวลาปล่อยรถลง โช้คอัพไม่ยุบตัวลงครับ

ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับงบประมาณด้วยครับ CR-V ปี2017 มีสองเบอร์ 235/65-17 เบอร์นี้ตัวเลือกน้อยมากครับ และร้านค้าจะไม่สต๊อก เนื่องจากขายยากมาก และมีเพียงรถรุ่นนี้รุ่นเดียวที่ใช้เบอร์นี้ครับ ส่วนตัวท็อปที่ขายเป็นประจำ จะเป็นเบอร์ 235/60-18 ซึ่งเบอร์นี้ แบรนด์ชั้นนำ เช่น มิชลิน ราคาสูงมากครับเกิน 7000 บาท ดันลอป โยโก ก็แพงครับ 4000 ปลายหรือ 5000 กว่าบาทกันทั้งนั้น ส่วน Giti H2 ประมาณ 4100 บาทครับ

Dunlop ดีกว่าครับ โอตานิเพิ่งหัดทำยางเล็กเมื่อเจ็ดปีที่แล้วเองครับ R&D ก็ไม่มี สนามทดสอบยางก็ไม่มี ดอกยางก็ยังก๊อปปี้บริษัทอื่นเค้าอยู่

😀😀😀

อยู่จังหวัดไหนและอำเภอไหนครับทางเราจะแนะนำตัวแทนจำหน่ายให้ครับ

⁠@@เจาะยาง อยู่ อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ครับ

ไทร์พลัส สยามการยาง ถ้าร้านเค้าไม่ได้สต๊อกไว้ก็ต้องมัดจำสั่งนะครับ

@@Tonphitak38 ไทร์พลัส สยามการยาง ถ้าร้านไม่ได้สต๊อกไว้ก็ต้องมัดจำสั่งครับ

@@Tonphitak38 maps.app.goo.gl/vNF2AS8vh1scReAV8

😀😀😀😀

ขอบคุณครับที่ติดตาม

ตั้งศูนย์ล้อเป็นการจัดมุมล้อครับ จะเป็นคนละงานกับการถ่วงล้อ การถ่วงล้อจะเป็นการแก้ปัญหาพวงมาลัยสั้น อันที่จริงจุดเหลืองหรือจุดแดงจะตรงหรือไม่ตรงกับจุ๊บ สำคัญคือต้องถ่วงให้ลงศูนย์ครับ แต่ชุดล้อจะมีความกลมมากที่สุดคือ จุดแดงต้องตรงกับจุดเหวี่ยงต่ำของล้อครับ ซึ่งล้อที่ขายตามท้องตลาดจะไม่มีจุดเวียงต่ำมาร์คไว้ให้

มันยุที่ล้อแม็คคับ จุดแดงเหลืองคือเป็นแบบนะถ้าล้อกลม นะใส่ตามจุดผมเลย แต่รถวิ่งมากระแทกแล้วใช้งานมาแล้วอั้นนี้ต้องหาใหม่คับ

ลองเล่นเล่นดู หมุนยางไปตำแหน่งอื่น แล้วขึ้นเครื่องถ่วงล้อด้วยครับ ค่าน้ำหนักตะกั่วที่ขึ้น อาจจะน้อยกว่าจุดเหลืองตรงตำแหน่งจุ๊บก็ได้ ยางมิชลิน ไม่มีจุดสีที่แก้มแล้วนะครับ

215/70R15 C เป็นยางบรรทุก ถ้าแบรนด์ดัง คุ้มสุด Dunlop LT37 ครับ ราคาไม่เกิน 2,300฿ ครับ ส่วน Giti Van600V1 ราคาราว 2,100฿ ครับ

@@เจาะยาง ขอบคุณครับ

ถ้าใช้แรงดันลมยางอ่อนเป็นประจำก็มีปัญหานี้เหมือนกันครับ

ขอบยางเป็นลอยเหมือนเอาคัตเตอร์กรีดอันตรายมั้ยครับ

@@tnchannel609 ถ้าเป็นรอยสั้นๆ แค่จุดเดียว ไม่เป็นไรครับ ถ้าเป็นหลายตำแหน่งหรือมีความยาวมากก็อันตรายครับ

@@เจาะยาง ขอบคุณมากครับ

ยางยุโรปกับยางญี่ปุ่น เมื่อก่อนไม่มีคู่แข่ง ก็ขายแพงเป็นเรื่องปกติครับ ก็เหมือนในยุคปัจจุบันที่เครื่องใช้ไฟฟ้ารวมถึงรถยนต์จากจีน ก็เป็นผลดีกับผู้บริโภคครับ

เริ่มต้นที่ได้ยางเกาหลี มาเป็นทางเลือกที่ดีในราคาที่ยุติธรรม รวมถึงยุคนี้ก็มียางจีน และยางไทยให้เลือก

😀😀😀😀😀 ขอบคุณครับ

ช่างอาจจะใส่ไว้อยู่ด้านในครับ ลองดูครับ

​@@เจาะยางขอบคุณครับ

185/65-15 = 621.5 mm 195/60-15 = 615 mm 195/65-15 = 634.5 mm 185/65-15 ย้อนหลังไป 20 ปีที่แล้วเบอร์นี้ยังใช้กันน้อยมาก อยู่ในรถนิสสันทีด้า ฮอนด้า ซีวิค ไดเมนชั่น ทำให้ร้านค้าไม่สต๊อก ร้านค้ายางมักจะจับใส่ เบอร์ 195 /60 -15 แทน ซึ่งถือเป็นเบอร์เทียบเท่ากันครับ หน้ากว้างกว่า 10mm. แต่เตี้ยกว่าเล็กน้อย ผลที่ได้ก็คือออกตัวเร็วขึ้น เพราะวงล้อเตี้ยกว่า หน้ากว้างขึ้น ก็เกาะนดีขึ้นอีกเล็กน้อย และโคลงตัวน้อยลงเนื่องจากแก้มยางบางกว่า แต่ความเร็วก็จะเพี้ยนเล็กน้อย คือความเร็วจริงจะน้อยกว่ามาตรวัด แต่ปัจจุบันจำนวนรถที่ใช้ 185/65-15 มีมากขึ้น จึงทำให้ร้านค้าสต๊อกทั้งสองเบอร์ 185 /65-15 ก็จะเน้นในเรื่องนั่งนิ่ม ประหยัดน้ำมัน

ส่วน195/ 65-15 ใหญ่เกินไปไม่แนะนำครับ ยางสูงขึ้น ถึงแก้มจะโตขึ้นก็จริง แต่ไม่ได้นั่งนิ่งกว่าเบอร์เดิม เนื่องจากน้ำหนักยางมากขึ้น ส่งผลทำให้ไม่มีแรงเตะกลับใต้สปริงเพิ่มขึ้น น้ำหนักยางมากขึ้นระยะเบรคก็ยาวขึ้น และสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น โดยเฉพาะการขับรถในกรุงเทพที่รถติด ซึ่งเดี๋ยวเร่งเดี๋ยวเบรค ยางที่โตใช้กำลังในการออกตัวมากกว่ายางเล็ก

ส่วนผสมของยาง ไม่มียี่ห้อไหนระบุรายละเอียดครับ เพราะถึงแม้ระบุสารเคมีทั้งหมดผู้บริโภคเองรวมถึงร้านยางก็ไม่รู้เรื่องครับ และอีกอย่างหนึ่งคุณภาพดีหรือเปล่าขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่างมากครับ

ใช่ครับ ราคาแพง เกิดจากยี่ห้อเหล่านั้นปิดตลาดมานาน ผมยกตัวอย่างเช่น 195/55-15 มิชลิน บริดจสโตน บ้านเราเกิน 3000 บาท แต่ที่ประเทศมาเลเซียไม่เกิน 2000 บาทครับ อย่างมากก็ 2000 นิดๆ ส่วนผสมไม่มียี่ห้อไหนระบุแน่นอนครับ ซึ่งมันไม่เหมือนของกินหรือเครื่องสำอาง ยางก็เหมือนสินค้าอย่างอื่น เมื่อมีสินค้าเกาหลีและจีนมาเป็นทางเลือก ก็ส่งผลทำให้ยางญี่ปุ่นและยางยุโรปและอเมริกาบางยี่ห้อ เน้นว่าบางยี่ห้อนะครับ ปรับราคาลงมา เช่น กู๊ดเยียร์ ดันลอป ส่วนยี่ห้อดังยี่ห้ออื่นก็ปรับลงมาแต่ไม่มาก ผู้บริโภคส่วนหนึ่งก็ยังฝังใจว่ายางญี่ปุ่นจะต้องดี ทั้งที่จริงคุณภาพใกล้เคียงกันหมดแล้ว

หากจะดูเทคโนโลยี ยี่ห้อที่ใช้ในมอเตอร์สปอร์ต ก็น่าจะเป็นข้อบ่งชี้ว่าเทคโนโลยีไม่ธรรมดา หรือได้นำไปประกอบรถยนต์ป้ายแดง เพราะนั่นหมายความว่าผู้ผลิตรถยนต์ได้นำไปทดสอบเรียบร้อยแล้ว

ทั้งหมดก็อยู่ที่รายละเอียดในคลิปนั่นแหละครับ

อันที่จริงจุดไหนก็ได้นะครับ หากสำคัญอันดับหนึ่ง เราต้องรู้จุดเหวี่ยงต่ำของล้อ แล้วเอาจุดแดงมาตรงตำแหน่งจุดเหวี่ยงต่ำของล้อ ก็จะได้ตำแหน่งที่นิ่งที่สุดครับ

แนะนำให้ดู EP 14. ครับ อันที่จริงตัวจุ๊บยาง น้ำหนักไม่เกิน 7 กรัม ส่งผลทำให้ตำแหน่งนั้นน้ำหนักเกินน้อยมากครับ จุดเหลือง เป็นตำแหน่งที่เบาที่สุด ก็ไม่จำเป็นที่ว่า ไว้ตรงตำแหน่งจุ๊บแล้ว จะให้ค่าน้ำหนักในการถ่วงล้อน้อยที่สุด หรือยางนิ่งที่สุดครับ

Vigo. ตัวเตี้ย 205/70-15 และ 215/65-16 ยางที่ติดรถมักจะเป็นยางสำหรับบรรทุกหนัก ซึ่งเนื้อยางจะแข็ง โครงสร้างจะหนา เน้นรับน้ำหนักและทนสึก ดังนั้นจะนั่งไม่นิ่ม และเกาะถนนไม่ค่อยดี ซึ่งร้านยางมักจะเรียกว่า ยาง 8ชั้น แต่ถ้าเราไม่ได้บรรทุกหนักตลอดเวลา แนะนำให้หายางโครงสร้างสี่ชั้นใส่จะดีกว่า น้ำหนักจะเบากว่าอย่างน้อย 2 กิโลกรัม ซึ่งเนื้อยางจะนิ่มกว่า เกาะถนนดีกว่า เมื่อน้ำหนักน้อยกว่า เนื้อนิ่มกว่า ระยะเบรคก็จะสั้นลงด้วยครับ แล้วก็จะประหยัดน้ำมันด้วย หากเป็นยางบรรทุก จะตบท้ายด้วยคำว่า C คือ 205/70R15 C. ดัชนี 106 8PR. ส่วนยางสี่ชั้น 205/70R15 ดัชนีราว 96 หรือ 98 ซึ่งหากเราใส่ยางแปดชั้นหรือสี่ชั้น ร้านยางก็เติมลมให้เท่ากัน คือประมาณ 32 หรือ 35 ปอนด์ หลังจากนั้นหากจะบรรทุกหนัก ก็ต้องไปเพิ่มลมกันเอาเองครับ ซึ่งยางสี่ชั้นก็ไม่ใช่ว่าจะบรรทุกไม่ได้ เพราะดัชนีสมมุติ 96 ก็รับน้ำหนักได้ถึง 700 กิโลกรัมต่อเส้น ซึ่งสี่เส้นก็เท่ากับ 2800 กิโลกรัม เหลือเฟืออยู่แล้วครับ แต่ร้านค้ามักจะสต๊อกแต่ยาง 8ชั้น สำหรับ Giti 205/70-15C รุ่น Van600 ถ้ารุ่นสี่ชั้น 205/70R15 รุ่น T20 ราคาเท่ากันครับ ประมาณ 2100 บาท 215/65R16 Giti มีแต่ยางสี่ชั้น รุ่น H2 ราคากลาง 2600 บาท สำหรับยี่ห้ออื่น ถ้ายี่ห้อคุ้นหูหน่อย ราคาไม่แพง ก็ ดันลอปครับ 205/70R15C. 8ชั้น รุ่น LT37 ราคาประมาณ 2300 บาท 205/70R15. 4ชั้น รุ่น LM705 ราคาประมาณ 2800 บาท 215/65R16C 8ชั้น รุ่น LT37 ราคาประมาณ 2900 บาท 215/65R16 4ชั้น รุ่น EC300+ ราคาประมาณ 2650 บาท

แต่ถ้าเป็น VIGO ตัวสูง มีหลายขอบครับ เช่น 255/70R15 265/70R16. หรือ 265/65R17 ทีนี้ตัวเลือกจะเยอะมากเลยครับ

หากล้อหลังไม่มีตะกั่วถ่วงล้อมา โอกาสทำให้พวงมาลัยสั้นน้อยมากๆครับ ตัวผมเองก็ยังไม่เคยเจอนะครับ ถ้าล้อหลังมีค่าที่ไม่สมดุลย์มากๆ อาจจะรับรู้ได้ที่ตัวเบาะนั่งครับ

ล้อหลังไม่เกี่ยวคับอย่างมากถ้าผิดรูปจะเหมือนยางแบน แบบหลังเต้นกระโดดหนิดๆเหมือนยางแบน