พื้นที่ชีวิต : ตามรอยโพธิธรรม (2) เส้าหลินแห่งซงซาน (31 พ.ค. 61)
ฝัง
- เผยแพร่เมื่อ 30 พ.ค. 2018
- หลังจากที่ท่านโพธิธรรมหรือที่คนจีนเรียกว่าตั๊กม้อ ได้รับมอบภารกิจจากอาจารย์ของท่านคือภิกษุณีปรัชญาธารา ให้ไปเผยแผ่ธรรมะแบบจิตสู่จิตยังแผ่นดินจีนแล้ว ท่านน่าจะลงเรือจากเมืองท่าขนาดใหญ่ในสมัยนั้นคือมหาบาลีปุรัม ผ่านอ่าวเบงกอล ช่องแคบมะละกา เพื่อไปยังแผ่นดินจีน
วิธีปฏิบัติธรรมแบบเซนที่ท่านโพธิธรรมนำมานั้นแตกต่างจากของเดิมในจีนโดยสิ้นเชิง ช่วงที่ท่านโพธิธรรมมาถึงประเทศจีนนั้นพุทธศาสนาในจีนเจริญรุ่งเรืองและแพร่หลายมากอยู่แล้ว ช่วงนั้นพุทธศาสนาในจีนมีหลายนิกาย แต่ละนิกายต่างก็มีพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงอยู่หลายท่าน มีการแปลคัมภีร์สำคัญ ๆ ออกมามากมาย แต่เมื่อท่านโพธิธรรมเดินทางมาถึง วิธีการปฏิบัติธรรมแบบเซนที่ท่านนำมาจากอินเดียถือเป็นการปฏิวัติเลยทีเดียว เพราะมันแตกต่างจากความเข้าใจพุทธศาสนาของคนจีนที่มีมาตั้งแต่สมัยฮั่นโดยสิ้นเชิง
ติดตามชมรายการพื้นที่ชีวิต วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม 2561 เวลา 22.00 - 22.55 น. ทางไทยพีบีเอส หรือรับชมผ่านทีวีออนไลน์ทาง www.thaipbs.or.th/Live
-------------------------------------------------------
กด Subscribe
ติดตามรายการดีๆของช่อง ได้ที่ : goo.gl/hdy2ye
และ ติดตามไทยพีบีเอสออนไลน์ ได้ที่
Website : www.thaipbs.or.th
Facebook : www. ThaiPBSFan
Twitter : / thaipbs
Instagram : / thaipbs
Google Plus : www.thaipbs.or.th/GooglePlus
LINE : bit.ly/2GtS44i
TH-cam : / thaipbs - บันเทิง
สาธุ....ขอบคุณคณะทีมงามจัดทำสารคดีเกี่ยวกับพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่งได้ติดตามโดยตลอด..
ชอบดนตรีขึ้นของพื้นที่ชีวิต ตั้งแต่เวอร์ชั่นเก่ายันของปัจจุบันอยากรู้ว่าคือเพลงอะไรครับ
ข้อดีของโควิดคือได้ดูคลิปมีประโยชน์สาระที่ไม่เคยได้ดู ขอบคุณค่ะ
ชุดตามรอยโพธิธรรมนี้ดีมากค่ะ ชอบมากค่ะ สนุกมากค่ะ สาธุๆๆๆ
"ธรรมะแบบจิตสู่จิต" สาธุ ๆๆๆๆ
ชอบรายการนี้ ให้แง่คิดที่ดี เรียนรู้เรื่องราวอดีตมาปรับปรุงชีวิตปัจจุบันเพื่อก้าวไปสู่อนาคต
Amazing 😊❤
การเคลื่อนไหวไปตามเพลงท่าอย่างมีสติ เป็นพื้นฐานที่ดีที่จะต่อยอดไปสู่การปฏิบัติขั้นวิปัสสนาหรือการรู้แจ้งแบบเซ็น
ได้เห็นโลกกว้างใหญ่ขึ้นเลยคะ เข้าใจแต่ว่า เส้าหลินมาจากจีนอย่างเดียว.
24:00 "จิตสู่จิต" ก็คือ การรู้ใจ / รู้จุดประสงค์ที่แท้จริง ของผู้ถ่ายทอดนั่นเอง
เช่น ข้อความคำสอนหนึ่ง แต่ละคนอาจตีความได้ต่างกันออกไป, แต่อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่จะตีความได้ตรงกับใจ / จุดประสงค์ของผู้สร้างคำสอนนั้นๆ
มันเป็นวิธีเดียวกับการที่จะชมงาน "ศิลปะ"
ชอบคะ ขอบคุณนะคะ
ดีมากๆค่ะ
สรุปได้ยอดเยี่ยม
น่าไปฝึกวิชาการต่อสู้จังเลยครับ
มีประวัติว่าท่านแวะเผยแผ่พระธรรมในอาณาจักรจามปาในเขตเวียตนาม ก่อนที่ท่านจะไปจีน
สาธุ สาธุ สาธุ
ชอบดุมากคะ
เด็ดต้นอ้อมาสานมารวมกันให้พอพยุงตัวท่านแล้วใช้ไม้ค้ำเพื่อข้ามแม่น้ำชาวจีนสมัยนั้นคงคิดไม่ถึงว่าเพียงต้นอ้อจะทำเป็นแพได้ครับ
love this
Can you put English subtitles please
ขอบคุณค่ะ
กำลังสงสัยว่าวัดอะไร ที่ท่าน ตั๊กม้อ ไปละสังขารที่นั่น แล้วปัจจุบันวัดนั้นเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างไร?
ถ้าลดไตเติ้ลลงอีกสักหน่อยจะดีมาก
คำสรุปตอนจบ แสดงให้เห็นว่าคุณนิ้วกลม บรรลุเซ็นละ.
ทำไมไตเติ้ลยาวจัง
*/เอ่กส่าร/โพธิ{ใบ่กร่ะท่อม} 1 ใบเบิ้ล*
____________________________________
*/เค่ว/โพธิ{ต้นไม้,ใบ่กร่ะท่อม}*..
พระโพธิธรรมอาจเคยแวะ บริเวณชายฝั่งทะเลภาคใต้ของไทยในปัจจุบัน?🤔
39:05 ฮ่าาาาาาาาาาาาาาาาาา
แค่เรียก ..กังฟู ก้อพลาดแระนะ ทำการบ้านๆหน่อย
😂😂😂😂
สังเกตว่า ประเทศที่รับเอาเซ็นไว้ อย่างจีน และญี่ปุ่น , ทุกวันนี้กลายเป็นรัฐโลกาวิสัย, และมีความเจริญทางวัตถุ
ถ้าประเทศไทยรับพุทธแบบเซ็น ทุกวันนี้เราอาจจะเจริญทางวัตถุเหมือนกัน
ศาสนามีไว้เพื่อขัดเกลาจิตใจ ไม่ได้มีไว้เพื่อตักตวงจะเอาอะไร
ในทางทฤษฏีก็น่าจะเป็นอย่างนั้นครับ แต่ในทางปฏิบัติที่เห็นอยู่เสมอคือ มันกลับกลายเป็นการ เอา "ความไม่เอา"
ยกตัวอย่างเช่น
- ไหว้พระ ก็เพื่อจะเอาพร เอาบุญ เอาความสบายใจ
- ปฏิบัติธรรม ก็จะเอาความสุข เอาความหลุดพ้น
- หรือแม้กระทั่งบอกว่า สละทุกอย่างแล้ว แต่เบื้องหลังในจิตใจก็มีต้องการแฝง เช่น อยากเป็น "ผู้สละแล้ว", อยาก "ว่าง", อยากเป็น "อริยบุคคล" ขั้นต่างๆ, อยากเป็น "โพธิสัตว์" เป็นต้น
ก็ของจริงมันไม่ต้องเอาไง แค่เปลี่ยนจากเอาเป็้นไม่เอา ให้ก็แค่ให้ เพื่อให้ ทำอะไรก็แค่ทำ ไม่มีเอาต่อท้าย แล้วก็แล้วไป ทำไรแล้วก็ทิ้งไม่ว่าดีไม่ดี ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง ผ่านไปทุกอย่างอยู่แล้ว เสี้ยววินาทีก็ยึดไม่ได้อยู่แล้ว คือคำตอบก็อยู่ในคำพูดของคุณเลยอ่ะ แค่เปลี่ยนเอาเป็นไม่เอา คือไม่ต้องตั้งแบบไหนอีก สู่ธรรรมชาติที่มันไม่อะไรอยู่แล้ว ไม่ยึดไม่ติดอยู่แล้ว คือจิตไม่ต้องตั้งที่จะยึดจะติดที่จะเอาเข้าตัวเองอะไรอีก มันก็มีบ้างแหละ ที่จะมีเจตนาอะไรซ้อนไปบ้างตอนการให้มันยังไม่บริสุทธิ์อ่ะ แ่ตถ้าให้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ลงเป็นนิสัยไปเอง เหมือน บิณ หรือเอกชัย บันลือฤทธิ์ ประมาณนั้น
การ " เอา"ความไม่เอาอะไร" " นี่มันเป็นกิเลสละเอียดนะครับ ผมเคยติดอยู่ กว่าจะรู้ตัวเองก็ใช้เวลาหลายปีเลย
อาการ ก็เช่น ต้องคอยฟังเทศน์ทุกวันเพื่อจะเอาธรรมะหรือเปล่า? อยู่วัดเพื่อกินข้าวฟรีไหม? ต้องคอยไปหาครูบาอาจารย์เพื่อจะเอาธรรมะจากท่านไหม? อยากจะหมดกรรมหรือเปล่า? เป็นต้น
เปลี่ยนคำนี้แล้วกัน ไม่ใช่ตรงที่เอาหรือไม่เอา ตัดสองอย่าง ไม่ติดไม่หลุดไม่เกิดไม่ดับ ฟังง่ายกว่ามั๊๊ยอ่ะ
แล้วกันพูดแบบเดียวกันกับพระธุดงค์ที่ไปปักกลดไกล้กับบริเวณผมสอนเด็กเปี๊ยบเลย
แล้วแบบไหนเข้าถึงได้ล่ะถ้าไม่อาศัยหนังสือและตำราคนมีปัญญาก็ดีไปคนด้อยปัญญาเขาหาครูบาอาจารบ์ที่ไหนถ้าไม่ได้อ่านหนังสือ