17. จิตกับเจตสิกต่างกันยังไง
ฝัง
- เผยแพร่เมื่อ 19 ก.ย. 2024
- กด Subscribe 👉🏻 bit.ly/3l0wxah เพื่อเป็นกำลังใจและสนับสนุนคลิปใหม่ๆ
🔔 กดกระดิ่งแจ้งเตือน คลิปใหม่ๆ ส่งตรงถึงคุณให้ได้รับชมก่อนใคร
ติดตาม ครูเงาะ รสสุคนธ์ กองเกตุ ในโซเชียลอื่นๆ ได้ตามนี้เลยครับ
📌Facebook Page : / krungor
📌Facebook Page : / wisdomme
📌Instagram : / krungor
📌Instagram : / wisdomme
📌Instagram : / innerpower
สนใจสอบถามคลาสสัมมนา หรือ คอร์สเรียนออนไลน์
📌Line @krungorofficial : lin.ee/PfT8pHC
📌Line @kru-ngor : lin.ee/oThln0a
📌Line @wisdomme : lin.ee/oUnLT6z
📌Line @innerpower : lin.ee/pfxicLC
🔺 Website : bit.ly/3i8vlQA
🔺 Blockdit : bit.ly/2WfeeDV
📞 ติดต่อโฆษณาหรือสปอนเซอร์ได้ที่
E-mail : innerpower.krungor@gmail.com
หรือ คุณดาว (Line:krungor.manager)⠀
ความเห็นที่2) อาจารย์ยังไม่เข้าใจเรื้องจิตเลยครับ ผมจะอธิบายให้ฟังดังนี้ครับ
ธรรมอันเป็นปรมัตินั้น หรือ”ปรมัติธรรม”นั้นมีอยู่4 เหตุที่เรียกปรมัติธรรมนั้น เพราะมีสภาวะและลักษณะให้รู้ได้ มีอยู่4นั้นก็คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เว้นนิพพานเสียที่เหลืออยู่3คือ จิต เจตสิก รูป รวมกันเข้าก็เป็นขันธ์5ครับ
รูปขันธ์นั้นเห็นง่ายอยู่แล้ว เวทนาขันธ์นั้นคือเจตสิก สัญญาขันธ์นั้นคือเจตสิก สังขารขันธ์นั้นก็คือเจตสิกอีก50ดวง(ซึ่งมีสติและปัญญาเป็นต้น) และวิญญาณขันธ์(ซึ่งประกอบด้วยจิต89ดวง ถ้านับโดยพิศดารเป็น121ดวง)
พระพุทธเจ้าทรงแยกเอา เวทนาเจตสิกและสัญญาเจตสิกออกมาไว้ต่างหากเพราะว่าเจตสิกทั้ง2ดวงนี้ทำหน้าที่แรง เกิดดับพร้อมกันกับจิตทุกๆดวง ต้องมีจิตเกิดขึ้น เจตสิกจึงเกิดตามได้ ถ้าไม่มีจิตเกิดขึ้น เวทนา สัญญา สังขารย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า จิตเป็นประธาน(คือเป็นหัวหน้าของเจตสิก)
จิตมีสามัญลักษณะคือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
จิตมีลักษณะพิเศษคือ โน้มไปรู้อารมณ์ เป็นประธาน เกิดดับสืบต่อกันไม่ขาดสาย(จุติจิตเกิดปฏิสนธิจิตเกิดตามโดยไม่มีระหว่างคั่น) และจิตมีนามรูปเป็นเหตุใกล้
ชั่วลัดนิ้วมือเดียว จิตเกิดดับแสนโกฏิขณะ จิตจึงเห็นจิต(อารมณ์)ได้
เมื่อท่านอาจารย์ปฏิบัติไปถึงแค่ขั้น”อุทยัพพยญาณ”อย่างอ่อน(คือขั้นเห็นการเกิดดับที่เป็นปัจจุบัน) ก็จะเห็นการเกิดดับของจิตได้ครับ
ฝากครูเงาะ ส่งให้ท่านอาจารย์อ่านหน่อยครับ
ผมว่า 80% ที่ฟังจะงง หรือเข้าใจแบบ งงๆ, ในพุทธวจณ จิต คือ ธาตุรู้ จิตไปเกาะกับอะไรเราก็จะรู้เเจ้งสิ่งนั้น เช่น จิตมาเกาะที่ลมหานใจเข้าออกเราก็จะรู้ว่ามีลมหายใจเข้าออกอยู่, ส่วน เจตสิก คือ อาการของจิตที่เกิดขึ้นจากการไปเกาะ เช่น เมื่อจิตไปเกาะอยู่ที่ลมหายใจ แล้ว เกิดความสงบ หรือ จิตไปเกาะสัญญาเก่าๆเช่นการไปทะเลาะกับคนอื่นความทุกข์อันนี้ก็จะเกิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง อาการที่เกิดกับจิตนี่แหละเรียกว่าเจตสิกความหมายมีแค่นี้
จิตมี 1 เจตสิกมี 52 เจตสิกมีลักษณะอาศัยจิตเกิด เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต มีอารมณ์เดียวกันกับจิต มีที่อาศัยเดียวกันกับจิต เพราะมีเจตสิกไปปรุงแต่งจิตจิตจึงมีอาการต่างๆเรียกต่างๆไป 89ลักษณะโดยย่อหรือ 121 โดยพิศดาร นี้คือสิ่งที่พุทธองค์ทรงแสดงไว้ในอภิธรรมถ้าท่านไม่รู้บอกไม่รู้ไม่ได้เรียนมาไม่เสียฟอร์มแต่การกล่าวตู่ธรรมที่พระพุทธเจ้าได้แสดงไว้ดีแล้วบัญญัติไว้แล้วต้องรับวิบากจากสังสารวัฏอีกมากไม่ควรเลยแค่ท่านกล่าวว่าไม่รู้นั่นล่ะท่านได้ละมานะออกจากจิตท่านและยังได้วจีสุจริตอีก ทั้งนี้อภิธรรมมีการเรียนการสอนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายมีในวัดหลวงและวัดจังหวัดต่างๆมากมาย ท่านเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าควรเรียนว่าพระพุทธเจ้าค้นพบอะไรสอนอะไรแสดงอะไรไว้บ้างอย่างถูกต้องไม่ใช่คิดเอาเองสัพพัญญูตญาณทรงบำเบ็ญเพื่อเวนัยสัตว์ 4อสังไขยยิ่งด้วยแสนกัปป์ ท่านไม่อยากรู้เหรอว่าศาสดาท่านสอนอะไรที่ใหนอะไรบ้างปฏิบัติอย่างไรให้เดินถูกทางตามที่พุทธองค์ทรงวางไว้อย่างดีให้อนุชนรุ่นหลังเดินอย่างสบายและถูกต้องแล้วท่านจะไปเดินตามหลวงตาหลวงปู่อะไรทำใมถ้าหลวงตาหลวงปู่ท่านเก่งกว่าองค์พระศาสดาก็ไม่ต้องบวชเข้ามาโดยใช้พระวินัยของพระพุทธเจ้าที่วางไว้
ขอฝากคุณครูเงาะให้ช่วยบอก พระอาจารย์ต้นด้วยนะครับ ถ้าพระอาจารย์ต้น ท่านเป็นบัณฑิต ท่านจะรับฟังเเละจะยอมเเก้ไข
ฝากกราบเรียนถามพระอาจารย์นะครับ ครูเงาะ
หากเราไม่บำรุงธาตุน้ำด้วยการดื่มน้ำ ไม่บำรุงธาตุดินด้วยการกินสารอาหาร ร่างกายย่อมดำรงค์ต่อไม่ได้ เราจะสูญเสียกาย เช่นนั้นแล้ว กรณีที่เราไม่บำรุงจิต โดยการตัดการมีอยู่ของ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ใน ขันธ์4(เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ) ได้สำเร็จ จิตจะสูญเสียองค์ประกอบ และสลายไป
นั่นคือ สภาวะ นิพพาน หรอครับ
สิ่งที่ท่านพระอาจารย์พูดมา เป็นความเห็นของอาจารย์ล้วนๆเลยครับ มันบ่งบอกว่า พระอาจารย์ไม่มีความรู้ความเข้าใจในด้าน อภิธรรม เลย เเม้เเต่ความรู้ ทางด้านบาลีพื้นฐาน ก็ยังมีไม่พอ ไม่เข้าใจ เรื่อง การใช้คำ ไวพจน์ ตามหลักภาษาบาลี ผมอยากจะให้พระอาจารย์ ศึกษาให้ดีก่อน เพราะตอนนี้ ท่านเป็นครูบาอาจารย์สอนคน การสอนนั้น เป็นเรื่องดีครับ เเต่ถ้า สอนผิด ก็มีโทษมากเหมือนกัน ยิ่งได้เป็นระดับครูบาอาจารย์เเล้วมักจะมี มานะ หาคนบอกคนเตือนได้ยากครับ
ครูเงาะ - ฝากถามคำถามอาจารย์ต้นด้วยคะ แล้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีความสืบต่อเนื่องในการเห็นขันธ์ 5 ปัจจุบันนั้นอย่างไร
ก็ในเมื่ออริยสัจ 4 ( ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ) ในอริยมรรคมีองค์ 8 พระโสดาบัน ก็ยังไม่เห็นทุกข์ในอริสัจ 4 เลย ด้วยเพียงความเห็นผิดในตัวตน เชื่อเรื่องของกรรม จึงไม่อาศัยการประพฤติในศีลพตร ความลังเลสงสัยในคำสอนพระพุทธเจ้าย่อมหายไป - จึงเกิดสัมมาทิฐิ
สาธุ
ความเห็นที่4) เวทนาขันธ์ครับคือสิ่งที่เสวยอารมณ์ แล้วจิตรับรู้อีกทีครับ จึงเรียกว่า”เห็นจิตในจิต”ครับ ขอย้ำว่า จิตเป็นผู้รู้อารมณ์เท่านั้นครับ จิตนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขหรือเฉยๆไม่เป็นครับ เป็นหน้าที่ของเวทนา แล้วจิตมารับรู้อีกทีครับ
ฝากเรียนท่านอาจารย์ครับ อารมณ์นั้นเกิดดับพร้อมกับจิตครับ อารมณ์นั้นคือเจตสิกซึ่งเกิดดับพร้อมกันกับจิต ฉะนั้นเมื่อเห็น”จิตในจิต”คืออารมณ์เกิดดับ ก็ย่อมเห็นการเกิดดับของจิตแล้วครับ อาจารย์ลองคิดใคร่ครวญดูครับ แล้วจะเห็นตามนั้นนั่นแหละครับ
ความเห็นที่3) ขันธ์5 เรียกว่า รูปนาม หรือ กายกับจิต ก็อย่างที่อธิบายไปแล้วว่า เจตสิกเกิดดับพร้อมกันกับจิต ก็เลยเรียกรวมกันเลยว่าจิต เพราะเจตสิกเกิดอยู่ภายในจิต “จิตในจิต”
จิตนั้นมีชื่อเรียกต่างๆดังนี้คือ จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์และมโนวิญญาณธาตุ ครับ
ความเห็นที่5) ท่านอาจารย์บอกว่า “เจตสิกคือสิ่งที่มาปรุงแต่งรูป” มันผิดไปไกลเลยครับ ฟังท่านอาจารย์พูดแล้ว ขอแนะนำให้ท่านจงไปศึกษาใหม่ เอาแค่ ขันธ์5 ให้มันถูกต้อง ท่านมาสอนธรรมได้ยังไงกัน?
เมื่อตายไป เจตสิก จะไปไหน จะสูญสิ้นหรือ ไปเกาะเกิดกับชีวิตใหม่ หรือ ไปอยู่ร่วมกับหลายๆชีวิต?
ต่อให้ใครจิตรโคตรเเข็งเจอผีตัวเป็นๆก็จิตรหลุดเหมือนกันล้าน%
งง