หอบพระไตรปิฏกไปเถียงพระผู้ใหญ่แล้วเกิดอะไรขึ้น
ฝัง
- เผยแพร่เมื่อ 21 เม.ย. 2024
- คลิปธรรมะตัดสลับภาพหลายมุมมอง!
คุณภาพระดับ FHD 2K และ 4K จากช่องยูทูป "พระสิ้นคิด"
สมัครเป็นสมาชิกของช่องนี้เพื่อเข้าถึงสิทธิพิเศษต่างๆ
/ @prasinkid
เลขบัญชีสำหรับทำบุญและทานกับท่านหลวงตาสินทรัพย์ จรณธัมโม
ธ.กรุงไทย 660-7-29192-9 พระสินทรัพย์ สีรัง
วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์ ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร จ. อุบลราชธานี
(ถ้ายังลังเลสงสัยอย่าเพิ่งทำ ถ้าพร้อมจะสละเพื่อจาคะแล้วค่อยทำ)
ติดต่อแอดมิน 083-929-1932 หรือ Facebook : น็อต เด็กวัดป่าละะเมาะ
![[TH] 2024 PMSL SEA W2D2 | Summer | โหดจัด ซัดไม่เลี้ยง](http://i.ytimg.com/vi/TJa9d7tpSP4/mqdefault.jpg)
อนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุๆๆ
อนุโมทนาสาธุ🙏🙏🙏
สาธุอนุโมทนาบุญกับท่านด้วยค่ะ
ครูบาเทศดีมากๆครับสาธุๆ
อนุโมทนาสาธุค่ะ
อนุโมทนาสาธุๆๆ❤
อนุโมทนาสาธุ
กราบครูบาสาธุๆ🙏🙏
🙏🙏🙏❤❤❤🙏🙏🙏
กราบสาธุการครูบาเจ้าค่ะสาธุ
🙏🙏🙏
กราบสาธุค่ะ
สมเด็จโตมีเงินเยอะก็บรรลุธรรมระดับเจโตวิมุติเงินไม่น่าเป็ญปัญหานะถ้าปัญญาระดับที่4(อภิญญา)
น้อมกราบสาธุธรรมครับ
กราบบูชาพ่อแม่ครูอาจารย์เหนือเศียรเกล้า สาธุ สาธุ สาธุ🙏🙏🙏
สาธุขออนุโมทนาด้วยจร้า😊
กราบพระครูบาทุยที่สอนธรรมให้รู้สึกสติในการใช้ชีวิตในธรรมะสาธุสาธุสาธุเจ้าค่ะ
ได้เงินมากะเอามาเล่นหวยคนขายหวยชอบเข้าวัดพระเล่นหวยเกือบทุกวัด
ท่านทั้งหลายธรรมใดก็ตามเมื่อจิตเข้าไปเห็นความจริงในธรรมชาติทั้งปวงแล้วจะมีความรู้ทางตำราหรือไม่มีความรู้ทางตำราย่อมไม่ส่งผลถึงผู้ฝึกจิตและผู้ปฎิบัติธรรมคำสอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด84000พระธรรมขันร์รวมไว้ในธรรมชาติพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะชี้ทางสว่างให้จิตนี้เห็นความจริงในธรรมชาติทั้งหลายเพื่อจิตนี้จะได้ยอมรับและถอนความยึดมั่นว่ามีเรามีตัวตนของเราออกไปเพื่อความสงบสุขแห่งจิตนี้จะเกิดขึ้นและหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงดังนี้แล😊😊😊ผู้ที่อ่านตำรามามากย่อมเข้าถึงแสงสว่างแห่งพระธรรมได้ยากเพราะยังมีทิฎิมานะมากไม่ยอมฟังความจริงจากใครนี่คือความหลงคิดว่าตนนั่นพูดธรรมได้มากและจดจำธรรมได้มากแต่จิตนี้ยังไม่เคยถึงความสงบเลยไม่รู้อานาปานสติฝึกแบบใดด้วยซ้ำไปและยังไม่เคยเข้าไปสัมผัสในสภาวะธรรมต่างๆที่เกิดขึ้นมาในความรู้สึกข้างในนี้และยังไม่เข้าใจในอารมณ์ต่างๆที่ได้เข้ามาเห็นเลยว่าอารมณ์นั้นมีความซับซ้อนเพียงใดถ้าอารมณ์ไม่ซับซ้อนท่านทั้งหลายคงจะละอารมณ์ที่เกิดขึ้นมารุนแรงกันได้แล้วโลกนี้คงจะไม่มีสงครามและการทำร้ายกันธรรมแท้ทั้งหลายให้เฝ้าดูที่ความรู้สึกและอารมณ์ที่จะกิดขึ้นมามากน้อยขนาดไหนนี่คือการปฎิบัติธรรมตามทางขององค์พุทธะดังนี้แลเมื่อท่านทั้งหลายยังไม่เข้าใจความรู้สึกต่างๆและอารมณ์ต่างๆในกายนี้อย่าไปเที่ยวสอนธรรมผู้ใดเลยเพราะจะสร้างกรรมเพิ่มให้แก่ตัวเราเอง😊😊😊การปลง การละและการปล่อยวางอยู่ที่จิตภายในไม่ใช่อายะตะนะภายนอกกายดังนี้แล😊😊😊ผู้ไม่ได้ฝึกจิตมาจริงย่อมกล่าวเนื้อธรรมวกไปวนมาจนตนนั้นสับสนเองดังนี้😊
ตำหนิ ตถาคตภาษิต อีกคนแล้ว พระพุทธเจ้าท่านบอกสอนไว้ให้รู้ตามว่า อย่า ตัด อย่า เติม ในคำสอนของท่าน เพราะว่า ตถาคตภาษิต บริสุทธิ์ บริบูรณ์ ดีแล้วโดยสิ้นเชิง ตถาคตภาษิต เป็น สัมมาทิฏฐิ คือ เป็น เส้นทางปัญญาวิมุตติ คือ ตถาคตภาษิต ที่มีอยู่ในหนังสือนั่นเองคะ ตถาคตภาษิต มีกฏอิทัปปัจจยตา มีปฏิจจสมุปบาท มีสังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ ตถาคตภาษิต เป็น สัมมาทิฏฐิ เป็นเส้นทางปัญญาวิมุตติ ถ้าไม่เข้าไป ฟัง อ่าน จด ท่องจำ ตถาคตภาษิต /ตถาคตภาษิต ก็จะไม่เป็น สัมมาสังกัปปะ แค่นั้นเองคะ/พระพุทธเจ้าท่านก็ได้บอกสอนไว้ให้รู้ตามว่า ต้องเป็นผู้ที่ได้สดับใน ตถาคตภาษิต เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้น และ ธรรมที่เกิดแต่เหตุ คือ เป็นผู้ที่มีความเป็น อริยะ คือ เป็นผู้ที่ฟังด้วยดี/เป็นผู้ที่ฟังด้วยดี เป็น ธรรมที่เกิดแต่เหตุ เมื่อเปลี่ยนมาเป็น ธรรมที่เป็นเหตุ/เป็นผู้ที่ฟังด้วยดี เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้น และ ธรรมที่เกิดแต่เหตุ คือ มีศรัทธาใน ตถาคตภาษิต คือ การเกิดปรากฏขึ้นของ อริยมรรคมีองค์แปด นั่นเองคะ/ในส่วนของคำสอนที่มีอยู่ในหนังสือ ที่ไม่มีกฏอิทัปปัจจยตา ไม่มีปฏิจจสมุปบาท ไม่มีสังขตธรรม จึงไม่เป็น สัมมาทิฏฐิ เป็น สาวกภาษิต นั่นเองคะ สาวกภาษิต จะมีความขัดแย้งกับ ตถาคตภาษิต นั่นเองคะ เพราะ เมื่อมีศรัทธาใน สาวกภาษิต อริยมรรคมีองค์แปด ไม่เกิดปรากฏขึ้น เป็นการเกิดปรากฏขึ้นของ สังโยชน์ ทั้งสิบ นั่นเองคะ พิจารณาธรรมก็จะเห็นได้ชัดเจนนั่นเองคะว่าเป็น สาวกภาษิต
การนำ ตถาคตภาษิต มาบอกต่อ ก็จะบอกตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้บอกสอนไว้ให้รู้ตามนั่นเองคะ เพราะว่า ตถาคตภาษิต เป็น สัมมาทิฏฐิ เป็น สัจจะความจริงที่เป็น อกาลิโก ตรงจริงไม่จำกัดด้วยกาลเวลา ถ้าไป ตัด หรือ ไป เติม คำสอนของพระพุทธเจ้า ก็จะกลายเป็น สาวกภาษิต เพราะ ไม่มีกฏอิทัปปัจจยตา ไม่มีปฏิจจสมุปบาท ไม่มีสังขตธรรม จึงไม่เป็น สัมมาทิฏฐิ นั่นเองคะ พระพุทธเจ้าท่านพูดออกมา คำสอนของท่าน จะมีกฏอิทัปปัจจยตา มีปฏิจจสมุปบาท มีสังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ คำสอนของท่าน ตถาคตภาษิต จะเป็นแบบนี้เหมือนกันทั้งหมดเลยนั่นเองคะ ทำให้ ตถาคตภาษิต เข้ากันได้รวมกันได้ไม่มีขัดแย้งกันนั่นเองคะ เพราะเหตุนี้ พระพุทธเจ้าท่านจึงถูกขนานนามว่า ตถาคต นั่นเองคะ
ตถาคตภาษิต มีกฏอิทัปปัจจยตา มีปฏิจจสมุปบาท มีสังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ ยกตัวอย่าง ตถาคตภาษิต ที่มีอยู่ในหนังสือ อินทรีย์5 พละ5 ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เป็น ตถาคตภาษิต เพราะ มีกฏอิทัปปัจจยตา มีปฏิจจสมุปบาท มีสังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ เมื่อมีศรัทธาใน ตถาคตภาษิต อริยมรรคมีองค์แปด จึงเกิดปรากฏขึ้นนั่นเองคะ/พระพุทธเจ้าท่านได้บอกสอนไว้ให้รู้ตามว่า มีอยู่นะ สังขตธรรม คุณสมบัติ เกิดปรากฏ เสื่อมปรากฏ เมื่อตั้งอยู่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ (เกิด-เสื่อม-ดับ-อนัตตา-เนตังมะมะ เนโสหมัสสมิ นะเมโสอัตตา)กฏอิทัปปัจจยตา เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี เพราะการเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น( เมื่อเกิดมี เสื่อมย่อมมี) เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี เพราะการดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป (เมื่อเกิดไม่มี เสื่อมย่อมไม่มี) ปฏิจจสมุปปันนธรรม คือ ธรรมที่อาศัยกันและกันในการเกิดปรากฏขึ้น ที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท นั่นเองคะ มีธรรมที่เป็นเหตุ และ มีธรรมที่เกิดแต่เหตุ เรียงร้อยกันและกันในการเกิดปรากฏขึ้น เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท (เกิด-เสื่อม)(เสื่อม-ดับ)(ดับ-อนัตตา)(อนัตตา-เนตังมะมะ เนโสหมัสสมิ นะเมโสอัตตา) ธรรมที่เป็นเหตุที่ต้องเกิดปรากฏขึ้นมาก่อน คือ มีกัลยาณมิตร เป็นเหตุ ให้ได้ฟังธรรม คือ เป็นผู้ที่ได้สดับใน ตถาคตภาษิต นั่นเองคะ
@@user-tl5ws1fe7e เราถามท่านนะว่าคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้านำมาสอนให้แก่สัตว์โลกทั้งหลายเป็นเพียงใบไม้ที่อยู่ในกำมือแต่ใบไม้ที่มีอยู่ทั้งป่านั้นพระองค์ไม่ออกนำมาสอนเพราะเหตุว่าผู้ที่ปฎิบัติธรรมจนจิตนั้นเกิดญาณขึ้นมาย่อมรู้เห็นได้เองเหมือนคำสอนพระองค์จัพูดจะกล่าวหรือจะเขียนอย่างไรก็ได้ในความรู้สึกข้างในเมื่อสิ่งนั้นเป็นธรรมชาติอย่างเดียวกันคือธาตุทั้ง4ที่จิตได้เห็นแจ้งแล้วว่าไม่มีสิ่งใดมีตัวตนอยู่เลยเป็นเพียงสมมุติว่าว่างในสิ่งที่มีเฉยๆคือมีสังสารวัฏและโลกภพภูมิต่างๆสิ่งเหล่านี้ก็ว่างและจนถึงที่สุดเทวาทวยเทพและพรหมก็ไม่มีว่างจากตัวตนท่านจะยึดสิ่งนั้นสิ่งนี้จึงมีอยู่ในจิตท่านจงปล่อยวางออกเถิดแล้วจิตท่านจะพบความสงบสุขอันนิรันดร์😊😊😊ผู้ใดจะกล่าวในพระธรรมบทใดก็ตามถ้ายึดในคำสอนนั่นย่อมเป็นผู้ห่างไกลจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตำราทั้งหลายเป็นเพียงเคื่องบอกทางอย่ายึดเอาไว้อีกเลยเมื่อเมื่อจิตนี้พบแสงสว่างนั่นคืออมตะธรรมท่านจะกล่าวธรรมอย่างไรก็ได้เมื่อสิ่งนั้นไม่มีตัวไม่มีตนมีแต่สมมุติขึ้นมาว่าสิ่งนั้นเรียกแบบนี้สิ่งนี้เรียกอย่างนั้นทุกๆอย่างคือภาพมายาทั้งหลายในสังสาวัฏนี้ติยลวงจิตนี้ให้ยึดมั่นไว้ว่ามีตัวตนอยู่จริงเพราะมีตาและมีหูมีการสัมผัสจึงเข้าใจผิดว่าทั้งหมดนี้มีตัวตนดังนี้แล😊😊😊
ความคิดเห็นที่เป็น ศรัทธาใน ตถาคตภาษิต ก็จะนำ ตถาคตภาษิต มาบอกต่อ นั่นเองคะ ซึ่งก็จะมีความชัดเจนว่า ตถาคตภาษิต มีกฏอิทัปปัจจยตา มีปฏิจจสมุปบาท มีสังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ นั่นเองคะ /ในส่วนของความคิดเห็น ที่เป็น สาวกภาษิต คือ มีศรัทธาใน สาวกภาษิต นั่นเองคะ ความคิดเห็น ก็จะไม่มีกฏอิทัปปัจจยตา ไม่มีปฏิจจสมุปบาท ไม่มีสังขตธรรม จึงไม่เป็น สัมมาทิฏฐิ ก็จะมีความชัดเจนว่า เป็น สาวกภาษิต นั่นเองคะ สาวกภาษิต ก็จะมีความขัดแย้งกับ ตถาคตภาษิต ที่เห็นได้แบบชัดเจนนั่นเองคะ เพราะ เมื่อมีศรัทธาใน สาวกภาษิต อริยมรรคมีองค์แปด ไม่เกิดปรากฏขึ้นมานั่นเองคะ เป็นการเกิดปรากฏขึ้นของ สังโยชน์ ทั้งสิบ นั่นเองคะ ที่เห็นได้แบบชัดเจนเลยก็คือ สังโยชน์ มานะ นั่นเองคะ สภาวะจิต มีจิตที่แข็งกระด้าง แข่งดีฟังธรรม สำคัญตนว่ารู้ในสิ่งที่ไม่รู้นั่นเองคะ คือ สังโยชน์ มานะ เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้น และ ธรรมที่เกิดแต่เหตุ คือ อุจธัจจะ นั่นเองคะ
เมื่อนำ ตถาคตภาษิต ที่มีอยู่ในหนังสือไปบอกต่อจะไม่มีใครคัดง้างได้นั่นเองคะ ไม่มีใครติเตียน ตถาคตภาษิต ได้เลยนั่นเองคะ เพราะ ตถาคตภาษิต เป็น สัจจะความจริงที่เป็น อกาลิโก ตรงจริงไม่จำกัดด้วยกาลเวลา ยกตัวอย่าง ตถาคตภาษิต ที่มีอยู่ในหนังสือ อริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็น ตถาคตภาษิต เพราะ มีกฏอิทัปปัจจยตา มีปฏิจจสมุปบาท มีสังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ เมื่อมีศรัทธาใน ตถาคตภาษิต อริยมรรคมีองค์แปด จึงเกิดปรากฏขึ้น ตถาคตภาษิต เป็น สัมมาทิฏฐิ นั่นเองคะ คือเป็นเส้นทางปัญญาวิมุตตินั่นเองคะ ตถาคตภาษิต เป็น สัมมาสังกัปปะ คือ ความดำริถูก ดำริออกจาก กาม พยาบาท เบียดเบียน คือเป็นเส้นทางเจโตวิมุตตินั่นเองคะ ก็มีพระเทวทัตที่ คัดง้าง และ ติเตียน ตถาคตภาษิต ที่เป็น สัมมาทิฏฐิ เป็น สัมมาสังกัปปะ ก็คือ การเกิดปรากฏขึ้นของ กองอกุศลมูลส่งผล ทำให้อกุศลธรรมเกิดต่อเนื่อง เป็นการเกิดปรากฏขึ้นของ อนันตริยกรรม การทำสงฆ์ให้แตกแยก นั่นเองคะ การนำ สาวกภาษิต มาบอกต่อ คือ การมีศรัทธาใน สาวกภาษิต คือการเกิดปรากฏขึ้นของ สังโยชน์ ทั้งสิบ เป็นการกระทำกรรมดำทาง วาจา4 เป็นการพูดโกหก เป็นการพูดยุยงให้เขาแตกกัน เป็นการพูดคำหยาบ เป็นการพูดเพ้อเจ้อ นั่นเองคะ
😂 ท่องไป
@@pundharickcchokwattanachai7594 ตถาคตภาษิต เป็น คำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านพูดออกมา คำสอนของท่าน จะมี กฏอิทัปปัจจยตา มี ปฏิจจสมุปบาท มี สังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ คำสอนของท่าน ตถาคตภาษิต จะเป็นแบบนี้เหมือนกันทั้งหมดเลยนั่นเองคะ ทำให้ ตถาคตภาษิต เข้ากันได้รวมกันได้ไม่มีขัดแย้งกันนั่นเองคะ เพราะเหตุนี้ พระพุทธเจ้าท่านจึงถูกขนานนามว่า ตถาคต นั่นเองคะ ตถาคตภาษิต ที่มีอยู่ในหนังสือ และ มีพระอริยสงฆ์สาวกท่านได้นำ ตถาคตภาษิต มาบอกต่อ ตถาคตภาษิต จะมี กฏอิทัปปัจจยตา มี ปฏิจจสมุปบาท มี สังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ เมื่อมีศรัทธาใน ตถาคตภาษิต อริยมรรคมีองค์แปด จึงเกิดปรากฏขึ้น เป็นการเกิดปรากฏขึ้นของเส้นทาง ปัญญาวิมุตติ และ เป็นการเกิดปรากฏขึ้นของเส้นทาง เจโตวิมุตติ นั่นเองคะ คือ สัมมาทิฏฐิ เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้น และ ธรรมที่เกิดแต่เหตุ คือ สัมมาสังกัปปะ/สัมมาสังกัปปะ เป็น ธรรมที่เกิดแต่เหตุ เมื่อเปลี่ยนมาเป็น ธรรมที่เป็นเหตุ /สัมมาสังกัปปะ เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้น คือ ความดำริถูก ดำริออกจาก กาม พยาบาท เบียดเบียน นั่นเองคะ และ ธรรมที่เกิดแต่เหตุ คือ สัมมาวาจา นั่นเองคะ
@@user-tl5ws1fe7e ท่องไปเรื่อยๆ
@@pundharickcchokwattanachai7594 ในส่วนของคำสอนที่มีอยู่ในหนังสือ และ มีผู้ที่นำคำสอนมาบอกต่อ ที่ไม่มี กฏอิทัปปัจจยตา ไม่มี ปฏิจจสมุปบาท ไม่มี สังขตธรรม จึงไม่เป็น สัมมาทิฏฐิ เป็น สาวกภาษิต นั่นเองคะ ไม่ใช่ ตถาคตภาษิต นั่นเองคะ สาวกภาษิต จะมีความขัดแย้งกับ ตถาคตภาษิต นั่นเองคะ เพราะ เมื่อมี ศรัทธา ใน สาวกภาษิต อริยมรรคมีองค์แปด ไม่เกิดปรากฏขึ้นมานั่นเองคะ คือ เส้นทาง ปัญญาวิมุตติ และ เส้นทาง เจโตวิมุตติ ไม่เกิดปรากฏขึ้นมานั่นเองคะ เป็นการเกิดปรากฏขึ้นของ สังโยชน์ ทั้งสิบ นั่นเองคะ สังโยชน์ สักกายทิฏฐิ เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้น และ ธรรมที่เกิดแต่เหตุ คือ สังโยชน์ วิจิกิจฉา/สังโยชน์ วิจิกิจฉา เป็น ธรรมที่เกิดแต่เหตุ เมื่อเปลี่ยนมาเป็น ธรรมที่เป็นเหตุ /สังโยชน์ วิจิกิจฉา เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้น คือ ความคิดเห็นที่ด้อยค่าคำสอนของพระพุทธเจ้าที่มีอยู่ในหนังสือนั่นเองคะ เป็นการ ตำหนิ ตถาคตภาษิต นั่นเองคะ และ ธรรมที่เกิดแต่เหตุ คือ สีลลัพพตปรามาส นั่นเองคะ /สีลลัพพตปรามาส เป็น ธรรมที่เกิดแต่เหตุ เมื่อเปลี่ยนมาเป็น ธรรมที่เป็นเหตุ คือ ก็จะไม่สนใจในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่มีอยู่ในหนังสือ ก็จะเที่ยวพูดจาด้อยค่าคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเองคะ และ ธรรมที่เกิดแต่เหตุ คือ กามฉันทะ นั่นเองคะ ก็จะมี ธรรมที่เป็นเหตุ และ มีธรรมที่เกิดแต่เหตุ เรียงร้อยกันและกันในการเกิดปรากฏขึ้น ที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท นั่นเองคะ พระพุทธเจ้าท่านได้บอกสอนไว้ให้รู้ตามนั่นเองคะ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ท่านเป็นเพียงผู้บอกทาง ท่านบอก สัจธรรม ไว้ให้รู้ตามนั่นเองคะ
@@pundharickcchokwattanachai7594 พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า อย่า ตัด อย่า เติม ตถาคตภาษิต เพราะ ตถาคตภาษิต มีกฏอิทัปปัจจยตา มีปฏิจจสมุปบาท มีสังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ เมื่อมีศรัทธาใน ตถาคตภาษิต คือ การเกิดปรากฏขึ้นของ อริยมรรคมีองค์แปด คือ ตถาคตภาษิต เป็น สัมมาสังกัปปะ คือ ความดำริถูก ดำริออกจาก กาม พยาบาท เบียดเบียน ตถาคตภาษิต บริสุทธิ์ บริบูรณ์ ดีแล้วโดยสิ้นเชิงนั่นเองคะ การนำ ตถาคตภาษิต มาบอกต่อ คือ การกระทำทาง วาจา เป็น ศีล นั่นเองคะ คือ สัมมาวาจา เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ ได้เกิดปรากฏขึ้นมาแล้วนั่นเองคะ(ศีล เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้น และ ธรรมที่เกิดแต่เหตุ คือ สมาธิ/สมาธิ เป็น ธรรมที่เกิดแต่เหตุ เมื่อเปลี่ยนมาเป็น ธรรมที่เป็นเหตุ/สมาธิ เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้น และ ธรรมที่เกิดแต่เหตุ คือ ปัญญา)ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านได้บอกสอนไว้ให้รู้ตามว่า อริยมรรคมีองค์แปด สองข้อแรกเป็นปัญญา สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ นั่นเองคะ ตถาคตภาษิต คือ อริยทรัพย์ที่ควรค่าที่จะเข้ามา ฟัง อ่าน จด ท่องจำ นั่นเองคะ
ตถาคตภาษิต คือ คำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านพูดออกมา คำสอนของท่านจะมี กฏอิทัปปัจจยตา มีปฏิจจสมุปบาท มีสังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ คำสอนของท่าน ตถาคตภาษิต จะเป็นแบบนี้เหมือนกันทั้งหมดเลยนั่นเองคะ ทำให้ ตถาคตภาษิต เข้ากันได้รวมกันได้ไม่มีขัดแย้งกันนั่นเองคะ เพราะเหตุนี้ พระพุทธเจ้าท่านจึงถูกขนานนามว่า ตถาคต นั่นเองคะ ตถาคตภาษิต ที่มีอยู่ในหนังสือ และ มีผู้ที่นำมาบอกต่อ จะมีกฏอิทัปปัจจยตา มีปฏิจจสมุปบาท มีสังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ เมื่อมีศรัทธาใน ตถาคตภาษิต อริยมรรคมีองค์แปด จึงเกิดปรากฏขึ้นนั่นเองคะ ในส่วนของคำสอนที่มีอยู่ในหนังสือ และ มีผู้นำคำสอนมาบอกต่อ ที่คำสอนนั้น ไม่มีกฏอิทัปปัจจยตา ไม่มีปฏิจจสมุปบาท ไม่มีสังขตธรรม จึงไม่เป็น สัมมาทิฏฐิ เป็น สาวกภาษิต นั่นเองคะ สาวกภาษิต จะมีความขัดแย้งกับ ตถาคตภาษิต เพราะ เมื่อมีศรัทธาใน สาวกภาษิต อริยมรรคมีองค์แปด จึงไม่เกิดปรากฏขึ้นนั่นเองคะ เป็นการเกิดปรากฏขึ้นของ สังโยชน์ ทั้งสิบ นั่นเองคะ
ตถาคตภาษิต ที่มีอยู่ในหนังสือ มีกฏอิทัปปัจจยตา มีปฏิจจสมุปบาท มีสังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ ยกตัวอย่าง อินทรีย์5 พละ5 ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เป็น ตถาคตภาษิต เพราะ มีกฏอิทัปปัจจยตา มีปฏิจจสมุปบาท มีสังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ เมื่อมีศรัทธาใน ตถาคตภาษิต อริยมรรคมีองค์แปด จึงเกิดปรากฏขึ้นมานั่นเองคะ อินทรีย์5พละ5 เป็น สังขตธรรม เพราะมีคุณสมบัติ เกิดปรากฏ เสื่อมปรากฏ เมื่อตั้งอยู่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ การเกิดปรากฏขึ้นของ อินทรีย์5 พละ5 ศรัทธา เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้น และ ธรรมที่เกิดแต่เหตุ คือ วิริยะ/การเกิดปรากฏขึ้นของ ศรัทธา เป็น ศรัทธาใน ตถาคตภาษิต หรือว่า เป็น ศรัทธาใน สาวกภาษิต ก็จะได้รู้ความจริงตรงการเกิดปรากฏขึ้นของ ศรัทธา นั่นเองคะ ไม่สามารถโกหกได้นั่นเองคะ เป็นศรัทธาใน ตถาคตภาษิต อริยมรรคมีองค์แปด เกิดปรากฏขึ้น/เป็น ศรัทธาใน สาวกภาษิต อริยมรรคมีองค์แปด ไม่เกิดปรากฏขึ้น เป็นการเกิดปรากฏขึ้นของ สังโยชน์ ทั้งสิบ นั่นเองคะ/ศรัทธา-วิริยะ/วิริยะ-สติ/สติ-สมาธิ/สมาธิ เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้น และ ธรรมที่เกิดแต่เหตุ คือ ปัญญา /ปัญญา คือ ความเข้าใจ/ปัญญา เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้น เป็นศรัทธาใน ตถาคตภาษิต อริยมรรคมีองค์แปด เกิดปรากฏขึ้น สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เป็นปัญญา ฌาน4 สัมมาทิฏฐิ เป็นปัญญา ฌาน4 สัมมาสังกัปปะ เป็น อนุศาสนีปาฏิหาริย์/เป็นศรัทธาใน สาวกภาษิต อริยมรรคมีองค์แปด ไม่เกิดปรากฏขึ้น เป็นการเกิดปรากฏขึ้นของ สังโยชน์ ทั้งสิบ วิริยะ สติ สมาธิ คือ มิจฉาสมาธิ ปัญญา คือ ความเข้าใจ เป็นปัญญา ฌาน4 ที่เป็น อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ การเกิดปรากฏขึ้นของ อินทรีย์5 พละ 5 ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ก็จะทำให้เห็น สัจจะความจริงที่เป็น อกาลิโก ตรงจริงไม่จำกัดด้วยกาลเวลานั่นเองคะ พระพุทธเจ้าท่านพูดออกมา คำสอนของท่าน จะมีกฏอิทัปปัจจยตา มีปฏิจจสมุปบาท มีสังขตธรรม จึงเป็น สัมมาทิฏฐิ นั่นเองคะ เมื่อมีศรัทธาใน ตถาคตภาษิต อริยมรรคมีองค์แปด จึงเกิดปรากฏขึ้นมานั่นเองคะ
🙏🙏🙏