LIVE (ไม่) ลับ - ดีเบต พุทธ VS คริสต์

แชร์
ฝัง
  • เผยแพร่เมื่อ 23 ธ.ค. 2024

ความคิดเห็น • 3

  • @Loli_Kami
    @Loli_Kami 8 วันที่ผ่านมา +5

    ศาสนาคริสต์ เป็นศาสนาแห่งความเชื่อ อย่างแท้จริงซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้
    ในความเห็นผมในฐานะ ที่ก็เป็นหนึ่งในคริสเตียน โปรแตสแตนท์ (ปัจจุบันอยู่สังกัดไมตรีจิต) อยากจะบอกว่าคำที่อาจารย์แชมป์พูด หลายคำมันมีบันทึกเขียนอยู่ในพระคำภีร์จริง แต่เขานำมาสอนผิดจุดประสงค์
    1.) พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา (ยอห์นบทที่ 14 วรรค 6)
    ตามหลักคำสอน จุดมุ่งหมายของคริสเตียนคือ การได้เข้าแผ่นดินสวรรค์และอยู่กับพระผู้สร้างแล้วเราจะสามารถเข้าได้อย่างไร?
    คือผ่านองค์พระเยซูคริสต์เท่านั้น เพราะพระองค์ทรงเป็นทางนั้น ทรงเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นพระผู้ไถ่ให้รอด และคำถามเราจะเชื่อถือได้อย่างไร อะไรคือหลักค้ำประกัน?
    " คำตอบมันคือ "จงมีความเชื่อ ความศรัทธา และ ความไว้วางใจในพระองค์ จงแสวงหาแผ่นดินของพระองค์ก่อนและพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงให้ " (มัทธิว บทที่ 6 วรรค 33) มันคือการตอบได้ชัดเจนว่าท่านจะต้อง " เชื่อและไว้ก่อน" ถึงท่านจะเห็น
    และเราจะไว้ใจได้ไง กับความเชื่อที่ตอบเหตุผล ที่เราต้องเชื่อด้วยความเชื่อก่อน ถึงจะเข้าใจ?
    คำตอบคือไว้วางใจด้วยความรัก และคนเมตตา ที่พระองค์ทรงสอน
    หลักการข้อปฏิบัติของคริสจะมี หลักๆ คือ
    1.) เชื่อและปฎิบัติตามหลักคำสอน ข้อคิดที่ได้จากพระคัมภีร์
    2.) บัญญัติ 10 ประการ
    3.) ผลของพระวิญญาณ : คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน (กาลาเทีย บทที่ 5 วรรค 22-25)
    4.) จงมีความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่​ความรักใหญ่​ที่สุด (1 โครินธ์ บทที่ 13 วรรคที่ 13)
    *ซึ่งอาจารย์แชมป์ไม่ได้ ปฏิบัติตาม ความอดกลั้นใจ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน*
    คำสอนที่เหมือนกัน ของ พุทธและคริสเตียน
    "ท่านหว่านสิ่งใด ท่านก็จะเกี่ยวเก็บ สิ่งนั้น ดังนั้นอย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันสมควร" (กาลาเทีย ข้อที่ 6 วรรคที่ 7-10)

  • @MaibogV.2
    @MaibogV.2 8 วันที่ผ่านมา +4

    ขอแทรกความรู้ไว้หน่อยนะครับ
    จริงๆเรื่องพระเวสสันดรพระพุทธเจ้าไม่ได้เล่าเพื่อสอนเรื่องเกี่ยวกับให้ทานเลยนะ แค่เล่าเพราะตอนที่ไปเหาะโชว์ญาติ เเล้วมีฝนโบกขรพรรษ(ฝนสีแดง)
    ตกพระพุทธเจ้าเลยบอกว่า ฝนโบกขรพรรษ ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเเรกนะ เเต่มันเคยเกิดในตอนเป็นพระเวสสันดร ก็เลยเล่าพระเวสสันดรให้ฟัง แค่นั้นเลยเพราะงั้นถ้าจะงงว่าเรื่องนี้จะสื่ออะไรหรือมีข้อคิดอะไรก็ไม่แปลก เพราะข้อคิดก็มีแค่ชาติก่อนก็เคยฝนตกแบบนี้นะ กับ ก่อนจะเป็นพุทธเจ้าพระองค์ต่องทำเรื่องสุดโต่งแค่ไหนลองผิดลองถูกมามากแค่ไหน แค่นั้นเลย
    แต่แค่มันเป็นชาติสุดท้าย คนก็เลยให้ความสนใจมาก แล้วเรื่องดันเกี่ยวการให้ทาน คนเลยเอามาสอนในหมวดทานเฉย555
    และขอเสริม(กระดกแว่น)อีกนิด
    จริงๆแล้วคนเข้าใจพระเวสสันดรเรื่องให้ลูกให้เมียผิดอยู่นะ เพราะจริงๆมันคือแผน คือพระเวสอ่ะคิดว่าการที่เด็กมาอยู่ในป่าในเขาอ่ะมันลำบาก พอชูชกมาขอก็เลยบอกทางให้ผ่านเมืองตัวเอง พอชาวเมืองมาเจอจะได้เอาไปบอกปู่ย่าแล้วปู่ย่าจะได้มารับหลานไปอยู่ในวัง แถมบอกกับลูกคนโตไว้เป็นนัยๆแล้วด้วย แต่ก็กลัวว่าถ้าปู่ย่าเอาไปเฉยๆชูชกจะไม่ยอมยกให้ดีๆ ก็เลยตั้งค่าตัวลูกไว้สูงๆ และก็เพราะคิดว่าถ้าชูชกฉลาดและรู้ราคาลูกจะได้ไม่กล้าทำร้ายและดูแลให้ดี แต่ดันซวยตรงชูชกดันโง่+เหี้*เนี่ยแหละได้ปุ๊ปตีลูกปั๊ป 5555 จนพระเวสจะชักดาบฟันอ่ะ แต่เพราะคิดถึงความสุขสบายของลูกในอนาคตและการบำเพ็ญบารมีก็เลยจำใจปล่อยไป เคสนางมัทรีก็กะจะทำแบบเดียวกันแหละมั้ง แต่พระอินทร์มาหยุดไว้ก่อน