ขนาดวิดีโอ: 1280 X 720853 X 480640 X 360
แสดงแผงควบคุมโปรแกรมเล่น
เล่นอัตโนมัติ
เล่นใหม่
ศาสนาคริสต์ เป็นศาสนาแห่งความเชื่อ อย่างแท้จริงซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ในความเห็นผมในฐานะ ที่ก็เป็นหนึ่งในคริสเตียน โปรแตสแตนท์ (ปัจจุบันอยู่สังกัดไมตรีจิต) อยากจะบอกว่าคำที่อาจารย์แชมป์พูด หลายคำมันมีบันทึกเขียนอยู่ในพระคำภีร์จริง แต่เขานำมาสอนผิดจุดประสงค์1.) พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา (ยอห์นบทที่ 14 วรรค 6)ตามหลักคำสอน จุดมุ่งหมายของคริสเตียนคือ การได้เข้าแผ่นดินสวรรค์และอยู่กับพระผู้สร้างแล้วเราจะสามารถเข้าได้อย่างไร? คือผ่านองค์พระเยซูคริสต์เท่านั้น เพราะพระองค์ทรงเป็นทางนั้น ทรงเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นพระผู้ไถ่ให้รอด และคำถามเราจะเชื่อถือได้อย่างไร อะไรคือหลักค้ำประกัน? " คำตอบมันคือ "จงมีความเชื่อ ความศรัทธา และ ความไว้วางใจในพระองค์ จงแสวงหาแผ่นดินของพระองค์ก่อนและพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงให้ " (มัทธิว บทที่ 6 วรรค 33) มันคือการตอบได้ชัดเจนว่าท่านจะต้อง " เชื่อและไว้ก่อน" ถึงท่านจะเห็นและเราจะไว้ใจได้ไง กับความเชื่อที่ตอบเหตุผล ที่เราต้องเชื่อด้วยความเชื่อก่อน ถึงจะเข้าใจ?คำตอบคือไว้วางใจด้วยความรัก และคนเมตตา ที่พระองค์ทรงสอนหลักการข้อปฏิบัติของคริสจะมี หลักๆ คือ1.) เชื่อและปฎิบัติตามหลักคำสอน ข้อคิดที่ได้จากพระคัมภีร์2.) บัญญัติ 10 ประการ3.) ผลของพระวิญญาณ : คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน (กาลาเทีย บทที่ 5 วรรค 22-25)4.) จงมีความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด (1 โครินธ์ บทที่ 13 วรรคที่ 13)*ซึ่งอาจารย์แชมป์ไม่ได้ ปฏิบัติตาม ความอดกลั้นใจ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน* คำสอนที่เหมือนกัน ของ พุทธและคริสเตียน"ท่านหว่านสิ่งใด ท่านก็จะเกี่ยวเก็บ สิ่งนั้น ดังนั้นอย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันสมควร" (กาลาเทีย ข้อที่ 6 วรรคที่ 7-10)
ขอแทรกความรู้ไว้หน่อยนะครับจริงๆเรื่องพระเวสสันดรพระพุทธเจ้าไม่ได้เล่าเพื่อสอนเรื่องเกี่ยวกับให้ทานเลยนะ แค่เล่าเพราะตอนที่ไปเหาะโชว์ญาติ เเล้วมีฝนโบกขรพรรษ(ฝนสีแดง)ตกพระพุทธเจ้าเลยบอกว่า ฝนโบกขรพรรษ ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเเรกนะ เเต่มันเคยเกิดในตอนเป็นพระเวสสันดร ก็เลยเล่าพระเวสสันดรให้ฟัง แค่นั้นเลยเพราะงั้นถ้าจะงงว่าเรื่องนี้จะสื่ออะไรหรือมีข้อคิดอะไรก็ไม่แปลก เพราะข้อคิดก็มีแค่ชาติก่อนก็เคยฝนตกแบบนี้นะ กับ ก่อนจะเป็นพุทธเจ้าพระองค์ต่องทำเรื่องสุดโต่งแค่ไหนลองผิดลองถูกมามากแค่ไหน แค่นั้นเลยแต่แค่มันเป็นชาติสุดท้าย คนก็เลยให้ความสนใจมาก แล้วเรื่องดันเกี่ยวการให้ทาน คนเลยเอามาสอนในหมวดทานเฉย555และขอเสริม(กระดกแว่น)อีกนิดจริงๆแล้วคนเข้าใจพระเวสสันดรเรื่องให้ลูกให้เมียผิดอยู่นะ เพราะจริงๆมันคือแผน คือพระเวสอ่ะคิดว่าการที่เด็กมาอยู่ในป่าในเขาอ่ะมันลำบาก พอชูชกมาขอก็เลยบอกทางให้ผ่านเมืองตัวเอง พอชาวเมืองมาเจอจะได้เอาไปบอกปู่ย่าแล้วปู่ย่าจะได้มารับหลานไปอยู่ในวัง แถมบอกกับลูกคนโตไว้เป็นนัยๆแล้วด้วย แต่ก็กลัวว่าถ้าปู่ย่าเอาไปเฉยๆชูชกจะไม่ยอมยกให้ดีๆ ก็เลยตั้งค่าตัวลูกไว้สูงๆ และก็เพราะคิดว่าถ้าชูชกฉลาดและรู้ราคาลูกจะได้ไม่กล้าทำร้ายและดูแลให้ดี แต่ดันซวยตรงชูชกดันโง่+เหี้*เนี่ยแหละได้ปุ๊ปตีลูกปั๊ป 5555 จนพระเวสจะชักดาบฟันอ่ะ แต่เพราะคิดถึงความสุขสบายของลูกในอนาคตและการบำเพ็ญบารมีก็เลยจำใจปล่อยไป เคสนางมัทรีก็กะจะทำแบบเดียวกันแหละมั้ง แต่พระอินทร์มาหยุดไว้ก่อน
ศาสนาคริสต์ เป็นศาสนาแห่งความเชื่อ อย่างแท้จริงซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้
ในความเห็นผมในฐานะ ที่ก็เป็นหนึ่งในคริสเตียน โปรแตสแตนท์ (ปัจจุบันอยู่สังกัดไมตรีจิต) อยากจะบอกว่าคำที่อาจารย์แชมป์พูด หลายคำมันมีบันทึกเขียนอยู่ในพระคำภีร์จริง แต่เขานำมาสอนผิดจุดประสงค์
1.) พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา (ยอห์นบทที่ 14 วรรค 6)
ตามหลักคำสอน จุดมุ่งหมายของคริสเตียนคือ การได้เข้าแผ่นดินสวรรค์และอยู่กับพระผู้สร้างแล้วเราจะสามารถเข้าได้อย่างไร?
คือผ่านองค์พระเยซูคริสต์เท่านั้น เพราะพระองค์ทรงเป็นทางนั้น ทรงเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นพระผู้ไถ่ให้รอด และคำถามเราจะเชื่อถือได้อย่างไร อะไรคือหลักค้ำประกัน?
" คำตอบมันคือ "จงมีความเชื่อ ความศรัทธา และ ความไว้วางใจในพระองค์ จงแสวงหาแผ่นดินของพระองค์ก่อนและพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงให้ " (มัทธิว บทที่ 6 วรรค 33) มันคือการตอบได้ชัดเจนว่าท่านจะต้อง " เชื่อและไว้ก่อน" ถึงท่านจะเห็น
และเราจะไว้ใจได้ไง กับความเชื่อที่ตอบเหตุผล ที่เราต้องเชื่อด้วยความเชื่อก่อน ถึงจะเข้าใจ?
คำตอบคือไว้วางใจด้วยความรัก และคนเมตตา ที่พระองค์ทรงสอน
หลักการข้อปฏิบัติของคริสจะมี หลักๆ คือ
1.) เชื่อและปฎิบัติตามหลักคำสอน ข้อคิดที่ได้จากพระคัมภีร์
2.) บัญญัติ 10 ประการ
3.) ผลของพระวิญญาณ : คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน (กาลาเทีย บทที่ 5 วรรค 22-25)
4.) จงมีความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด (1 โครินธ์ บทที่ 13 วรรคที่ 13)
*ซึ่งอาจารย์แชมป์ไม่ได้ ปฏิบัติตาม ความอดกลั้นใจ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน*
คำสอนที่เหมือนกัน ของ พุทธและคริสเตียน
"ท่านหว่านสิ่งใด ท่านก็จะเกี่ยวเก็บ สิ่งนั้น ดังนั้นอย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันสมควร" (กาลาเทีย ข้อที่ 6 วรรคที่ 7-10)
ขอแทรกความรู้ไว้หน่อยนะครับ
จริงๆเรื่องพระเวสสันดรพระพุทธเจ้าไม่ได้เล่าเพื่อสอนเรื่องเกี่ยวกับให้ทานเลยนะ แค่เล่าเพราะตอนที่ไปเหาะโชว์ญาติ เเล้วมีฝนโบกขรพรรษ(ฝนสีแดง)
ตกพระพุทธเจ้าเลยบอกว่า ฝนโบกขรพรรษ ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเเรกนะ เเต่มันเคยเกิดในตอนเป็นพระเวสสันดร ก็เลยเล่าพระเวสสันดรให้ฟัง แค่นั้นเลยเพราะงั้นถ้าจะงงว่าเรื่องนี้จะสื่ออะไรหรือมีข้อคิดอะไรก็ไม่แปลก เพราะข้อคิดก็มีแค่ชาติก่อนก็เคยฝนตกแบบนี้นะ กับ ก่อนจะเป็นพุทธเจ้าพระองค์ต่องทำเรื่องสุดโต่งแค่ไหนลองผิดลองถูกมามากแค่ไหน แค่นั้นเลย
แต่แค่มันเป็นชาติสุดท้าย คนก็เลยให้ความสนใจมาก แล้วเรื่องดันเกี่ยวการให้ทาน คนเลยเอามาสอนในหมวดทานเฉย555
และขอเสริม(กระดกแว่น)อีกนิด
จริงๆแล้วคนเข้าใจพระเวสสันดรเรื่องให้ลูกให้เมียผิดอยู่นะ เพราะจริงๆมันคือแผน คือพระเวสอ่ะคิดว่าการที่เด็กมาอยู่ในป่าในเขาอ่ะมันลำบาก พอชูชกมาขอก็เลยบอกทางให้ผ่านเมืองตัวเอง พอชาวเมืองมาเจอจะได้เอาไปบอกปู่ย่าแล้วปู่ย่าจะได้มารับหลานไปอยู่ในวัง แถมบอกกับลูกคนโตไว้เป็นนัยๆแล้วด้วย แต่ก็กลัวว่าถ้าปู่ย่าเอาไปเฉยๆชูชกจะไม่ยอมยกให้ดีๆ ก็เลยตั้งค่าตัวลูกไว้สูงๆ และก็เพราะคิดว่าถ้าชูชกฉลาดและรู้ราคาลูกจะได้ไม่กล้าทำร้ายและดูแลให้ดี แต่ดันซวยตรงชูชกดันโง่+เหี้*เนี่ยแหละได้ปุ๊ปตีลูกปั๊ป 5555 จนพระเวสจะชักดาบฟันอ่ะ แต่เพราะคิดถึงความสุขสบายของลูกในอนาคตและการบำเพ็ญบารมีก็เลยจำใจปล่อยไป เคสนางมัทรีก็กะจะทำแบบเดียวกันแหละมั้ง แต่พระอินทร์มาหยุดไว้ก่อน