กรณียเมตตสูตร (บทสวด พร้อมคำแปล) วัดไตรสิกขาทลามลตาราม
ฝัง
- เผยแพร่เมื่อ 9 ก.พ. 2025
- กรณียเมตตสูตร นิยมใช้สวดกัน เพื่อป้องกันภยันตรายทั้งหลาย มิให้มากร้ำกราย และเพื่อให้เกิดสวัสดิมงคล ซึ่งสอดคล้องกับเรื่องราวของที่มาพระสูตร ที่ปรากฏในอรรถกถา นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อกันว่า พระสูตรนี้เป็นที่ยำเกรงของภูติผีปีศาจ และทำให้ผู้สวดสาธยายเป็นที่รักใคร่ในหมู่เทพยดาทั้งหลาย
การสาธยายพระสูตรนี้ ยังมีประโยชน์อย่างยิ่ง ในการเป็นบรรทัดฐานในการดำเนินชีวิต เนื่องจากเป็นพระสูตรที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสอนถึงแนวทางการในการปฏิบัติให้เป็นที่รักใคร่ ให้เป็นผู้มีเสน่ห์ ด้วยการอ่อนน้อมถ่อมตน ตรวจสอบตนเองให้พ้นจากการกระทำชั่ว และเจริญเมตตาอยู่เป็นนิตย์ ซึ่งไม่เพียงยังความสงบแก่จิตใจของตนเองเท่านั้น แต่ยังความสงบสันติแก่สรรพสัตว์และสากลโลกอีกด้วย นับเป็นพระสูตรที่มีคุณประโยชน์มหาศาล
อีกทั้งเป็นการแสดงคุณสมบัติของผู้ปรารถนาสันติ คือทางแห่งผู้สงบ หรือทางแห่งคนดี หรือบัณฑิต ดังพุทธภาษิตที่ว่า บัณฑิตชอบสันติ (ความสงบ) (สนฺติมิจฺฉนฺติ ปณฺฑิตา )
เนื้อหาของพระสูตรนี้ เป็นคาถามีทั้งหมด 10 บท สามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วน กล่าวคือ บทที่ 1 - บทที่ 3 เป็นการแนะนำการปฏิบัติตน เพื่อให้เกิดความอ่อนน้อมถ่อมตน ตรวจสอบคุณสมบัติให้อยู่ในกรอบอันดีงาม พร้อมที่จะรับฟังคำแนะนำได้ และทำให้เป็นคนมีเมตตา แสดงความเอื้อเฟื้อต่อสรรพสัตว์อยู่เป็นนิจ ซึ่งโดยสรุปแล้ว
เนื้อหาส่วนแรก ได้ระบุถึงคุณสมบัติของบุคคลอันพึงประสงค์ไว้ดังนี้
สักโก เป็นคนกล้าหาญ
อุชุ เป็นคนตรง คือมีกายสุจริต วจีสุจริต
สหุชุ เป็นคนตรงจริง ๆ คือมีมโนสุจริตด้วย
สุวะโจ เป็นคนว่านอนสอนง่าย
มุทุ เป็นคนอ่อนโยน
อะนะติมานี เป็นคนไม่หยิ่ง ไม่ถือตัว
สันตุสสะโก เป็นคนสันโดษ
สุภะโร เป็นคนเลี้ยงง่าย
อัปปะกิจโจ เป็นคนไม่แบกภาระมาก มีห่วงมาก
สัลละหุกะวุฒติ เบากาย เบาใจ
สันติณตริโย เป็นผู้สำรวมอินทรีย์
นิปะโก เป็นผู้มีปัญญารักษาตัว
อัปปะคัพโภ เป็นคนไม่คะนอง
กุเลสุ อะนะนุทคิทโธ เป็นผู้ไม่ติดในตระกูล
ส่วนที่ 2 คือระหว่างบทที่ 4 - บทที่ 5 เป็นการแผ่เมตตา และส่วนที่ 3 ระหว่างบทที่ 6 - บทที่ 10 เป็นการเจริญพรหมวิหาร และอานิสงส์ของการเจริญพรหมวิหาร ว่าสามารถนำไปสู่มรรคผลนิพพานได้ ดังที่ระบุผลไว้บทที่ 10 ดังนี้
ทิฏฐิญจะ อะนุปะคัมมะ สีละวา ทัสสะเนนะ สัมปันโน หรือ "ท่านผู้เจริญเมตตาจิต ที่ละความเห็นผิดแล้ว มีศีล มีความเห็นชอบ" ในบาทที่ 1 ในบทที่ 10 เป็นการระบุถึงคุณสมบัติของผู้บรรลุโสดาบัน กล่าวคือ พระอริยะบุคคลผู้มีสัมมาทิษฐิ คือไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ปราศจากความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยและอริยสัจสี่ และมีศีลครบถ้วน อันคุณสมบัติสังเขปของลักษณะพระโสดาบันที่สามารถละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ 3 ประการ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
กาเมสุ วิเนยยะ เคธัง หรือ "ขจัดความใคร่ในกามได้" ในบาทที่ 3 ในบทที่ 10 เป็นการระบุถึงคุณสมบัติของผู้บรรลุสกทาคามี กล่าวคือ พระอริยะบุคคลผู้สามารถละกามฉันทะ และปฏิฆะ อันหมายถึง ความกระทบกระทั่งในใจ
นะ หิ ชาตุ คัพภะเสยยัง ปุนะเรตีติ หรือ "จะไม่กลับมาเกิดอีกเป็นแน่แท้" ในบาทที่ 4 หรือบาทสุดท้าย ในบทที่ 10 เป็นการระบุถึงคุณสมบัติของผู้บรรลุอนาคามี คือ พระอริยะบุคคลผู้ไม่กลับบมาเกิดอีก บำเพ็ญเพียรภาวนาต่อไปในพรหมโลก อีกเพียงครั้งเดียว แล้วจะบรรลุอรหันต์นิพพานจากพรหมโลก
สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ
3.30
อธิษฐานจิตให้กุนที ธรณีสูบ
อธิษฐานจิตให้ศัตรูกลับใจมาเป็นมิตร
อธิษฐานจิตให้ท่านเอ๋อ ถูกไล่ออกจากราชการ
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ