ขนาดวิดีโอ: 1280 X 720853 X 480640 X 360
แสดงแผงควบคุมโปรแกรมเล่น
เล่นอัตโนมัติ
เล่นใหม่
ผมอ่าน และฟัง "พระลิขิต" ทั้ง 3ฉบับ แล้วหลายรอบ, นิมนต์ มหาเถรสมาคม ให้ "สึก" เถอะครับ, (ถ้ายังเป็นชาวพุทธอยู่),หรือจะอยู่ต่อไปเป็นมารศาสนา ก็แล้วแต่ท่าน, อย่างไร ชาวพุทธ ไม่ยอมให้ ศาสนาพุทธ เสื่อมไปใน ณ ปัจจุบันเป็นแน่.ไม่เกียวกับเจตณาแล้ว แต่เป็น "สันดาน", วันนี้ คดีเงิน ก็มีอีกแล้ว เมื่อรักกันมาก ก็ "สึก" ไปอยุ่ด้วยกันเลยครับ
มึงอยู่ในฐานะอะไรที่เข้าไปวิจารย๊พระสงฆ๊เขา มึงเชื่อแต่ไอ้กวยอิสระ นรกจะหัวมึงนะ เพราะไม่ได้ติดตามข้อเท็จจริงดีพอ
เป็นคลิปที่อัปยศที่สุดในวงการศาสนาไทย
แล้วที่สมเด็จพระสังฆราชวินิจฉัยว่า ธรรมชัยโย บิดเบือนพระธรรมทำให้สงฆ์แตกแยกต้องอาบัติปาราชิกล่ะ มหาเถระสมาคมจะว่ายังไง
เรื่อง แปลก เมื่อยักยอกทรัพย์ ถึงต้องฟ้องศาล นานเป็นปี ถึงคืนให้ ไม่ผิดศีลผมงง ไม่เจตนาโกงแต่ไม่ฟ้องไม่คืน คืนแล้วๆ ไม่ผิดศีลธรรม เข้าใจยากจัง เรื่องพระธรรมวินัย พระเอาเมีย เอาแล้ว เลิกเอากันแล้ว ก็ไม่ ปาราซิก หรือ
ใช่ครับ..เอือมระอากับพระมส.,พศ. จะมีพระดีๆตายสักกี่คน
ขอเสนอความคิดเห็นด้วยนะครับ แปลว่าถ้าพระโกงเงินไปแล้วตรวจสอบได้ว่ายักยอก แล้วคืนเงินกลับไปแปลว่าไม่โกง จริงหรอ มันผิดตั้งแต่ทำแล้ว รู้ว่าการนำของวัดมาเป็นของตัวเองมันก็ผิดแล้ว ปาราชิกไปก็จบแล้ว หลังจากนั้นไป ก็เป็นเรื่องของกฎหมาย สุดท้ายก็ยังแถ
อ่านให้จบ แล้วจะรู้ว่า ว่าเราได้เห็นมารตัวเป็นๆ ผู้มีจิตแน่วแน่สู่นรกภูมิ ในปัจจุบันกัน, สอนขัดขนาดนี้แล้วยังอยู่ได้ ยังมีอีกหลายพระสูตร เพราะ พระพุทธองค์สอนสอดรับกันหมดต้นจนจบ ทั้งเบื้องต้น ถ่ามกลาง ถึงที่สุด อยากทำลายพระไตรปิฏก ผมแนะนำแต่งใหม่ ตั้งศาสนาใหม่เลยจะง่ายกว่าเยอะ+++++[๖๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล อริยสาวก เห็นด้วยดีซึ่งปฏิจจสมุปบาทนี้ และธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นเหล่านี้ ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว เมื่อนั้น อริยสาวกนั้น จักแล่นเข้าถึงที่สุดเบื้องต้นว่า ในอดีตกาลเราได้เป็นหรือหนอ ในอดีตกาลเราได้เป็นอะไรหนอ ในอดีตกาลเราได้เป็นอย่างไรหนอ ในอดีตกาลเราได้เป็นอะไรแล้วได้มาเป็นอะไรหนอ หรือว่า จักแล่นเข้าถึงที่สุดเบื้องปลายว่า ในอนาคตกาลเราจักเป็นหรือหนอ ในอนาคตกาลเราจักเป็นอะไรหนอ ในอนาคตกาลเราจักเป็นอย่างไรหนอ ในอนาคตกาลเราจักเป็นอะไรแล้วจึงจักเป็นอะไรหนอ หรือว่า จักยังมีความสงสัยในปัจจุบันกาลเป็นภายใน ณ บัดนี้ว่า เราเป็นอยู่หรือหนอ หรือไม่เป็นอยู่หนอ เราเป็นอะไรอยู่หนอ เราเป็นอย่างไรอยู่หนอ สัตว์นี้มาแต่ไหนหนอ เขาจักไปในที่ไหน"ดังนี้ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้" เพราะเหตุไร เพราะว่า อริยสาวกเห็นด้วยดีแล้วซึ่งปฏิจจสมุปบาท และธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นเหล่านี้ ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง ฯ
ด้วยความเคารพในพระพุทธศาสนา และผ้าเหลือง ความเห็นส่วนตัวนะครับ การบวชเป็นการขอนิสัยพระ นิสัยพระคือการลดละ ขัดเกลาจิตใจใฝ่ดี ถ้าทำตรงข้ามคือบวชเพื่อการสะสม หมกวุ่นใฝ่ไม่ดี เท่ากับว่าไม่มีนิสัยพระก็คือไม่ใช่พระนั่นเอง ถึงเวลาที่สังคมไทยควรกล้าปฏิรูปพุทธศาสนาในประเทศไทยใหม่อย่างยั่งยืนเสียที ควรเลิกมี เลิกให้และ เลิกใช้ยศถาบรรดาศักดิ์เสียที ทุกรูปมีคำนำหน้าว่าพระ แล้วตามด้วยชื่อ แล้วก็ฉายาก็พอเพียงแล้ว ไม่ควรมียศถาบรรดาศักดิ์ไปถวายท่านให้เกิดกิเลสความทะยานอยากเอา เพราะเราคือพระผู้ขอนิสัยลดละ ไม่ใช่อย่างปุถุชนชาวบ้านคนทั่วไป พระรูปไหนได้รับตำแหน่งอะไรก็ทำหน้าที่ในตำแหน่งนั้นไป ใช้คำว่าพระนำหน้าก็พอเพียงแล้ว ด้วยความเคารพครับ
"ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ"การทำหน้าที่ของตนนั่นแหละ คือยอดของศีลธรรม เพราะธรรมะแปลว่าหน้าที่ ถ้าใครทำหน้าที่ของตน คนนั่นแหละคือคนปฏิบัติธรรม ก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด สามารถยกมือไหว้ตัวเองได้ พอได้ทำหน้าที่ก็ชื่นใจ ว่าเราได้ปฏิบัติธรรม จะไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่เดี๋ยวนี้ มหาเถระสมาคมยกเว้นการทำหน้าที่เสียแล้ว เหตุปาราชิกนั้นเป็นตามพระธรรมวินัย เป็นไปตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติไว้เป็นวินัยของสมณะ จึงถือว่าสูงสุด มีศักดิ์สูงกว่ากฎหมายทั่วๆ ไป แม้แต่รัฐธรรมนูญ พระธรรมวินัยก็มีศักดิ์สูงกว่า" เป็น 'อกาลิโก' ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ บัญญัติไว้อย่างไรก็เป็นไปอย่างนั้น กฎหมายของบ้านเมืองจะมาบัญญัติให้เลิกปาราชิกก็ทำไม่ได้"ดูกรอานนท์ เราจะทํานายไว้ให้เห็น ในอนาคตกาลข้างหน้า จักเกิดพวกมิจฉาทิฏฐิภายนอกพระศาสนา อวดอ้างว่าตัวรู้ ตัวเห็นผีได้ พูดจากับด้วยผี ครั้นบุคคลจําพวกนั้นเกิดขึ้นแล้ว ก็จักเบียดเบียนพระศาสนาของเราให้เสื่อมถอยลงไป ด้วยวาทะถ้อยคําเสียดสีต่างๆ พระสงฆ์สามเณรก็จักเกิดระส่ำระสาย หาความสบายมิได้ เขาจักสอนทิฏฐิวัตรอย่างเคร่งครัด ถืออรัญญิกธุดงค์อย่างพระเทวทัต ภายหลังก็จักเกิดพระบ้านพระป่ากันขึ้น แล้วก็จักแตกกันออกเป็นพวกๆ ไม่สามัคคีกัน ต่างพวกก็ถือแต่ตัวดี ศาสนาของเราก็จักเสื่อมถอยลงไป เพราะพวกมิจฉาทิฏฐิ เห็นแก่ลาภยศ หาความสุขมิได้ มรรคผลธรรมวิเศษก็จักไม่เกิดขึ้นแก่เขา เขาจักเรียนเอาแต่วิชาศีลธรรม อันพวกมิจฉาทิฏฐิสอนให้รู้อะไรกันขึ้นเล็กน้อย ก็อวดดีกันไป แท้ที่จริงความรู้เหลานั้นล้วนแต่รู้ดีสาหรับไปสู่นรก เขาจักไม่พ้นจตุราบายได้เลย ดูกรอานนท์ ในอนาคตกาลภายหน้า จักมีอย่างนี้ไม่ต้องสงสัย ถ้าผู้ใดรู้ลัทธิทิฏฐิอยางนี้ไว้แล้ว เมื่อได้เห็นก็จงเพียรพยายามละเว้น ก็จักได้ประสบความสุข การที่จะระงับดับกิเลสก็ให้ระงับบริโภค ๒ ประการให้เบาบางลง บริโภค ๒ นั้น คือ จีวรปัจจัยแลเสนาสนปัจจัย สองอย่างนี้ชื่อว่าบริโภคภายนอก นับเป็นอยางหนึ่ง บิณฑบาตปัจจัยแลคิลานปัจจัย สองอย่างนี้ชื่อว่าบริโภคภายใน นับเป็นอยางหนึ่ง (ความตอนหนึ่งใน"คิริมานนทสูตร" พระยาธรรมิกราช) พึงรู้ว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นสัตถุศาสน์ (กล่าวคือคำสอนของพระศาสดา) จึงจะเป็นธรรมเป็นวินัยเป็นสัตถุศาสน์ (ปล่อยวางสุขในโลกธรรม๘)คือ ๑. เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด๒. เป็นไปเพื่อความไม่ประกอบทุกข์๓. เป็นไปเพื่อไม่สะสมกองกิเลส๔. เป็นไปเพื่อความอยากน้อย๕. เป็นไปเพื่อความสันโดษ๖. เป็นไปเพื่อความไม่คลุกคลี๗. เป็นไปเพื่อความพากเพียร๘. เป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่ายจิตที่ฟอกด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวงเป็นไฉน...โดยนัย..ที่จักกล่าวโดยละเอียดพิศดาร อันว่าศีลนั้น คือ การรักษาความเป็นปกติ ของการไม่เห็นแก่ตัว มีเมตตา รักผู้อื่น และสรรพสัตว์ทั้งหลายโดยสมบูรณ์ส่วนสมาธินั้นเล่า คือ เพ่งสติระลึกถึงความไม่ใช่ตัวตนอยู่ตลอดทุกลมหายใจเข้าออกส่วนปัญญานั้นมีคุณมาก คือการหยั่งรู้ โดยวางสุขในโลกธรรม ๘ เหมือนดั่งไม่มีหัวใจ โดยสลัดคืนลมหายใจซึ่งก็คือจิตนี้ ทิ้งให้เจ้าของเดิม คืนให้กับธรรมชาติ ถ้ากำหนดได้ทุกลมหายใจเข้าออกแล้ว ย่อมไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเรา หรือเป็นของเราได้เลย ซึ่งเรานั้นย่อมไม่ได้เกิดและก็ไม่ได้ตายบุคคลทั้งหลายที่มาเป็นศิษย์ของตถาคตนี้ ก็มีความประสงค์ด้วยนิพพาน การที่จะรู้ว่า ดีหรือชั่วกว่ากัน ก็แล้วแต่กิเลสเป็นผู้ตัดสิน ด้วยพระนิพพานเป็นที่ปราศจากกิเลสตัณหา ถ้าผู้ใดเบาบางจากกิเลสตัณหา ก็เป็นผู้ดีกว่าผู้ที่หนาไปด้วยกิเลส ถ้าบุคคลนับถือผู้ที่มีกิเลสมากกว่าผู้ที่ไม่มีกิเลส บุคคลผู้นั้นชื่อว่า "ถือศีล เอาต้นเป็นปลาย เอาปลายเป็นต้น เอาสูงเป็นต่ำ เอาต่ำเป็นสูง ถ้าถืออย่างนี้ ผิดทางพระนิพพานเป็นคนมิจฉาทิฎฐิ พระตถาคตตั้งศาสนาไว้ ไม่ได้หวังให้ผู้หนึ่งผู้ใด บำเพ็ญหาประโยชน์อย่างอื่น ตั้งไว้เพื่อประสงค์ให้บุคคล บำเพ็ญภาวนาเพื่อให้ระงับดับกิเลสเท่านั้น การบำเพ็ญภาวนา ถ้าไม่ได้ทำเพื่อให้ระงับดับกิเลส ก็ได้ชื่อว่า เป็นคนหลงโลกหลงทาง ถ้าผู้ใดไม่ประพฤติตามคำสอนนี้ พึงเข้าใจว่าผู้นั้น เป็นคนนอกพระพุทธศาสนา...ดังนี้ th-cam.com/video/O0rF0RDxZfI/w-d-xo.html
ไม่รู้สึกละอายต่อพระพุทธเจ้า ไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรม ก็ให้รู้สึกละอายต่อชาวบ้านบ้างเถอะ เกรงกลัวต่อบาปต่อข้าวปลาอาหารที่ชาวบ้านเขายกให้ได้อิ่มท้องเถอะ บวชกันจนจะแก่ตายแล้ว ธรรมะซึมเข้าหัวบ้างไหม แล้วเที่ยวมาสอนชาวบ้าน เห็นแล้วอายแทน อายฝรั่งต่างชาติด้วยที่เขาสู้อุตส่าห์มีศรัทธาเปลี่ยนจากนับถือพระเจ้ามานับถือพระพุทธเจ้า แต่โล้นห่มผ้าสีเหลืองตามสมาคมอยากจะปรองดองอะไรก็ไม่รู้ พระธรรมวินัยไม่ได้มีไว้เพื่อปรองดอง ปรองดองนั่นมันการเมืองเกี่ยวอะไรกับพระธรรมวินัย พระธรรมวินัยมีไว้ให้ปฏิบัติตาม เป็นเครื่องรักษาและปกป้องความเป็นสงฆ์ ผู้ละเมิดธรรมวินัยก็ทำตัวเองทั้งนั้นอย่าเที่ยวไปโทษคนอื่นอยากให้ออกกฏหมายควบคุมการเงินและทรัพย์สินของสงฆ์ และเมื่อสึกจากความเป็นสงฆ์แล้วต้องนำเงินและทรัพย์สินนั้นๆยกให้กับวัดทั้งหมดห้ามเก็บไว้ เพื่อป้องกันพวกหากินกับศาสนา
วัดพระธรรมกายไม่ผิด ผมรักพระธรรมกาย ครอบครัวผมดีขึ้นทุกด้าน ก็เพราะวัดนี้ ผมไม่ยุ่งอบายมุขเลย สาธุ
คำศัพท์ว่า ปาราชิกนั้น แปลว่า ยังผู้ต้องพ่าย หมายถึง ผู้ต้องพ่ายแพ้ในตัวเองที่ไม่สามารถปฏิบัติในพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้ให้ได้ปาราชิก มี 4 ข้อ อยู่ใน ศีล 227 ได้แก่๑.เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉาน (ร่วมสัมพันธ์ทางเพศกับมนุษย์ หรืออมนุษย์ หรือสัตว์ แม้แต่ซากศพก็ไม่ละเว้น)๒.ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย) ได้ราคา 5 มาสก (5 มาสกเท่ากับ 1 บาททองคำ)๓.พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน) แสวงหาและใช้เครื่องมือกระทำเอง หรือจ้างวานฆ่าคน หรือพูดพรรณาคุณแห่งความตายให้คนนั้น ๆ ยินดีที่จะตาย (โดยมีเจตนาหวังให้ตาย) ไม่เว้นแม้แต่การแท้งเด็กในครรภ์๔.กล่าวอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่จริง อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง)ยกเว้นสำคัญตนผิด...เช่นเห็นสตี๊ปจ๊อบ แต่ไม่รู้จัก นายศุภชัยผู้เป็นมัคทายกวัด คดีโกงเงินเครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นฯอาบัติปาราชิกทั้ง 4 นี้เป็นอาบัติหนักขาดจากความเป็นพระโดยอัตโนมัติทันที...
+CP PC AC DC ขอแชร์คะ
เข้าข้างกันเข้าไป ผิดบอกไม่ผิด
ต่อไปบวชพระ ก็ไม่ต้องท่องคำขอบวชแล้วก็ได้ละมั่งครับ พระก็ไม่ต้องถือ ศีล 227 ข้อ ต่อไปจะบวช ก็ท่องข้อกฎหมายแทน ถ้าศาลยกฟ้อง ก็ไม่ผิดศีล ไม่ผิดพระวินัย สรุปนี่พระสงฆ์อยู่กันที่ พระธรรมวินัย หรือ คำสั่งศาล นี่ถ้าพระสงฆ์เสพเมถุน แล้วท่านบอกว่าท่านไม่เจตนา ที่จะเสพเมถุน เพราะ สีกา เป็นฝ่ายทำเอง อาตมานอนเฉยๆ นี่ก็ได้อะดิ ครับท่าน แบบนี้เหรอครับ
สาธุ สาธุ สาธุ ..มติมหาเถรสมาคมชอบธรรมแล้วขอรับ
ปกป้องธัมมี่เกินงาม ในที่สุดตอนนี้หนีหัวซุกหัวซุนเลย
เงินซือได้ทุกคน มหาเถระก้อแค่ผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา อย่างที่เราเห็นผู้สืบทอดก้อไช่ว่าดีเสมอไปเป็นแค่สมมุติสงฆ์ ไม่ไช่พระอรหัน ยังความอยากได้ อยากดัง ไม่ยอมละ อย่างท่านพูดว่าทำบุญได้พบพระพุทธเจ้า ได้ถึงพระนิพานในพระไตรปิฎกมันมีเหรอ คุนบอกญาติโยมว่าถอดจิตรได้ ก้ออวดอุตริแล้ว ถึงท่านถอดได้จริงก้อพ้นจากความเป็นพระอยุ่ดี วัดท่านมีเงินหัยกู้ทำบุญ มันไช่เหรอทำบุญแล้วเดือนร้อน แล้วยังชุดที่ท่านไส่อีก มีหางนกยูงด้วย พระเค้าหัยไช้ผ้า 3 ผืน ศาสนาไม่เคยเสื่อม คำสอนของพระพุทธเจ้ายังเหมือนเดิม สาวกต่างหากที่ทำหัยเสื่อม
สาธุ
ผมว่า คนที่ไม่พอใจ เราร่วมกันเลิก ทำบุญด้วยเงิน
การตัดสินตามพระธรรมวินัยเห็นได้ชัดว่า ปาราชิก ตั้งแต่"ถือเอาของ"แล้ว ยังสงสัยอะไรกันอีกครับท่าน ส่วนที่บอกว่าให้ผู้เป็นคณะสงฆ์ หมู่สงฆ์เป็นผู้ตัดสินในพระธรรมวินัยนี้ ต้องเข้าใจคำว่าพระสงฆ์โดยสมบูรณ์ก่อน พระสงฆ์ จัดเป็นหนึ่งในพระรัตนตรัย ซึ่งได้แก่ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ โดยพระสงฆ์ในพระรัตนตรัยหมายถึงเฉพาะพระอริยสงฆ์ คือบุคคลไม่ว่าคฤหัสถ์หรือนักบวช และไม่ว่ามนุษย์หรือเทวดา ที่ปฏิบัติธรรมจนได้บรรลุมรรคผล แต่โดยทั่วไปมักเข้าใจว่าพระสงฆ์คือภิกษุหรือภิกษุณี คือมนุษย์ที่ได้ฟังคำสั่งสอนแล้วเกิดความเลื่อมใสจนสละเรือนออกบวชตามพระพุทธเจ้า เพราะต้องการจะได้บรรลุธรรมตามพระพุทธเจ้าสั่งสอนไว้ ถือเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนาภิกษุต้องอาบัติด้วยความไม่ละอายอย่างไร? คือ ภิกษุรู้อยู่ทีเดียวว่าเป็นอกัปปิยะ ฝ่าฝืน ทำการล่วงละเมิด สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ว่า ภิกษุ แกล้งต้องอาบัติ ปกปิดอาบัติ และถึงความลำเอียงด้วยอคติ ภิกษุเช่นนี้ เราเรียกว่า "อลัชชีบุคคล"เปรียบเหมือนผู้หนึ่ง ตกเข้าไปในกองเพลิง เมื่อรู้ว่าเป็นกองเพลิงก็รีบออกหนี จึงจะพ้นความร้อน ถ้ารู้ว่าตัวตกเข้าไปอยู่ในกองเพลิงแต่ไม่ได้พยายามหลีกหนีออก จะพ้นความร้อน ความไหม้อย่างไรได้ ข้ออุปมานี้ฉันใด บุคคลผู้รู้แล้วว่า สิ่งนี้เป็นโทษแต่ไม่ได้ละเสีย ก็ไม่ได้พ้นจากโทษ เหมือนกับผู้ที่ไม่พ้นกองเพลิง ฉะนั้น
ต่อไปกราบพระพุทธรูปอย่างเดียวดีกว่า. ถ้าพระเถระยังตัดสินไม่ปาราชิก..จะไปฟังพระสงฆ์รูปไหนอย่างศรัทธาได้อีกคำชีขาดของพระสังฆราชองค์ก่อนถือว่าชัดเจนมาก ท่านคือประมุขสงฆ์ที่ชาวไทยให้เคารพและศรัทธา100% แต่เหล่สเถระฯกลับละเมิดคำตัดสินของพระสังฆราชท่าน จะศรัทธาต่อได้อย่างไร มิน่า..คนพุทธถึงย้ายศาสนากันง่าย ย้ายแล้วแม้กระทั่งยกมือไหว้พระสงฆ์ยังไม่ทำเลย พวกเค้าคงรู้สึกอย่างเดียวกับที่เรารู้สึก.
คนเราเมื่อเกิดมา ก็เป็นแค่ ปุถุชนคนธรรมดาเหมือนกัน มีอย่างหนึ่งที่เหมือนกันและเท่ากัน คือ สติ.....แต่เมื่อเจริญวัยแต่ละคนมีหนทางเดินและแสวงหาความรู้แตกต่างกัน ขอแบ่ง 2 ทาง คือทางโลก และทางธรรม...ทางโลกคือการเรียนรู้การดำเนินชีวิตแบบชาวบ้าน การครองเรือน มีความรู้ทางโลก สูงสุดคือจบดอกเตอร์ว่าอย่างนั้น แต่ความรู้ทางโลกเรียนอย่างไรก็ไม่จบ เพราะเป็นทางที่มากด้วยกิเลส ที่ไม่รู้จักอิ่ม พอ ก็ได้แค่ความรู้ทางโลก จิตใจไม่ได้ยกระดับให้สูงขึ้น ส่วนทางธรรม ยังแบ่งเป็นอีก 2 สาย คือสายปฏิบัติเพื่อหาหนทางดับทุกข์ ชำระความยากภายในใจ ไม่ยึด ไม่ติด แต่ไม่ทิ้งโลก เพราะต้องอยู่กับโลกใบนี้ จนกายแตกดับไป ส่วนอีกสายคือสายเรียนเพื่อศึกษาธรรม เพื่อประกอบตนเองให้อยู่รอด เป็นนักศึกษา เคร่งตำรา อาศัยความจำ เข้าใจในภาษาธรรม แต่ไม่อาจเข้าถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ เพื่อขัดเกลากิเลสในใจตน แต่เรียนเพื่อแสวงหาลาภสักการะเท่านั้น เป็นกาฝากที่อาศัยพระศาสนาเลี้ยงชีพตน....มีคำสอนหลวงพ่อท่านหนึ่ง บอกว่า คนเราเกิดมา ได้แสวงหาความรู้ที่แตกต่างกัน ไม่ว่าพระหรือฆราวาส เมื่อเกิดมาก็เป็น ปุถุชนคนธรรมดาเหมือนกัน หากบุคคลใดพัฒนา เพื่อยกระดับจิตใจตนในทางคุณธรรม ลด ละ เลิก สิ่งไม่ดี ชำระล้างจิตใจให้สะอาด ตามลำดับ จนถึงที่สุด จนไม่มีเชื้อกิเลสในจิตใจ ลำดับบุคคลนั้นเรียง เป็น ปุถุชน ปัญญาชน และอริยบุคคล ได้ด้วยกันหมด.....ใครจะเดินแนวทางไหนก็เป็นสิทธิของแต่ละคน....จะรู้และมีปัญญาแบบโลก ๆ แบบชาวบ้าน ..... หรือจะรู้และมีปัญญาแบบทางธรรม ก็เลือกเอา.....พระศาสนานี้ ไม่สิ้นอริยบุคคล ตราบใดยังมีผู้ประพฤติตามแนวทางที่พระสุคตเจ้าตรัสสอนไว้...จึงไม่ต้องห่วงครับว่าจะสิ้นเอกสาวกของพระองค์..ที่ท่านปิดตัวมีมาก...ลองเดินหาติดตามหาดูบุคคลประเภท...นี้...น้ำลึก....เงาลึก น้ำลึก....เงาตื้น...สองประเภทนี้คือ พระแท้ ส่วนประเภท น้ำตื้น.....เงาลึก และ น้ำตื้น...เงาตื้น...มีมากครับ...ที่น่ากลัว ระวังประเภท น้ำตื้น ....เงาลึก...แล้วกัน...ดูยาก เช่น อดีตพระยัตระ พระนิกร พระภาวนาพุทโธ ล่าสุดเณรคำ...จัดในประเภท น้ำตื้น...เงาลึก...ระวังถูกหลอกเอาง่าย ๆ ครับ
แลไม่ลง ปลงไม่ได้ ขายศาสนา บ้าลาภยศ หมดสมณะเพศ เปตรทั้งค้าว เข้าพวกพ้อง มัวหมองธรรม กรรมจริงๆ ธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้ามหัศจรรย์จริงหนอ ข้าพระพุทธเจ้าขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์เจ้า และพระสมมุติสงฆ์เจ้าผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นสรณะตลอดชีวิต สาธุๆๆ
พะพรม รับไปเท่าไรจ้ะ
พวกแมลงวันไหนเลยจะตอมกันเอง เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
แล้วตอนยักยอกไปถือว่าไม่เจตนาหรือว่ะ 5555555555 นี่หรือว่ะนิกายใหม่ ต่อไปไปเสพเมถุนก็บอกไม่เจตนาอีกเพราะผมชักออกแล้วววว 55555555 อีกอย่างถ้าไม่คืนก็โดนคดีอาญาดิ ปัญญามีไหมว่ะท่าน ร่วมมือกันปกป้องอรัญชี กรูขำว่ะ เสื่อมจิงๆ
มหาเถรท่านตัดสินถูกต้องแล้วครับ ธรรมชัยโยไม่ปาราชิกแน่นอนเพราะว่าเขาไม่ได้เป็นพระ เมื่อไม่เป็นพระก็ไม่ต้องปาราชิก เขาเรียกว่าพวกอุปชีวิกา แปลว่าพวกที่เข้ามาอาศัยผ้าเหลืองบังหน้าหลอกชาวบ้านหากิน. ในสมัยพระพุทธองค์ยังมีพระชนชีพอยู่พวกนี้ก็มากมายจนมาถึงสมัยพระเจ้าอโศกทรงกวาดล้างพวกนี้ จนนำผ้าเหลืองมองสูงเพียงปราสาท ในประเทศไทยก็มีการกวาดล้างพวกคนห่มผ้าเหลืองสมัยพระเจ้าตาก ตามที่มีท่านผู้รู้กล่าวไว่ว่าได้พิสจน์โดยให้ดำน้ำใครดำได้นานก็เป็นพระแท้ ปรากฏว่าตายหลายร้อยไม่รู้ว่าแท้หรือเทียม สมัยนี้คงทำไม่ได้แน่เพราะอเมริกาคงไม่ยอมเพราะจะโดนข้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชน เรื่องคำสอนเกี่ยวกับวิชาธรรมกายของหลวงพ่อสดถ้าอยากรู้ความจริงต้องถามหลวงพ่อจรัญวัดอัมพวันสิงห์บุรี เพราะท่านก็สำเร็จวิชานี้จากหลวงพ่อสดและหลวงพ่อสดก็พูดไว้ว่าวิชาธรรมกายเป็นเพียงอภิญญาใช้ในการทำมาหากินในทางโลกเท่านั้น แม้หลวงพ่อสดเองสุดท้ายยังต้องไปเรียนการเจริญสติปัฏฐาน ยุบหนอพองหนอ กับเจ้าคุณโชดก วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ มีหลักฐานชิ้นหนึ่งที่หลวงพ่อสดเขียนด้วยลายมือของท่านที่ให้ไว้กับหลวงพ่อจรัญ มีตอนหนึ่งระบุชัดเจนว่า วิชาธรรมกายไม่สามารถนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ แต่ใช้ในการทำมาหากินในทางโลกเท่านั้น จึงไม่แปลกใจที่ธรรมชัยโยสามารถมีเงินเป็นหมื่นล้าน เขาอาจสำเร็จวิชานี้จริงก็ได้ แต่คำพูดที่หลวงพ่อสดสอนคาถาเรียกเงินให้คนคือ ยิ่งให้ยิ่งได้ไม่อด หมดแล้วก็มีมา ยิ่งหวงยิ่งหดหมดแล้วไม่มา ไปตีความเองนะครับ ผมเห็นว่าเราชาวพุทธควรจะมาช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนากันดีกว่าด่ากันไปโต้กันมา จะมาว่าเรื่องของพระชาวบ้านไม่เกี่ยวไม่ได้ ถ้าพระและคนห่มผ้าเหลืองพูดเช่นนั้นก็ให้เหล่าท่านไปปลูกข้าวกินเองไม่ต้องไปอุ้มบาตรขอเขา เพราะพระพุทธเจ้าท่านฝากพระพุทธศาสนาไว้กับพุทธบริษัท4 พวกเราก็เป็นสองพวกคืออุบาสก อุบาสิกา ที่จำเป็นต้องช่วยกันดูแล รวมทั้งอำนาจทางกฏหมายบ้านเมืองต้องจัดการเหมือนสมัยพระเจ้าอโศกทำ ถ้าเอากฏหมายเข้ามาควบคุมอีกต่อหนึ่งโทษทางวินัยก็จะศักดิ์สิทธิ์ เช่นใครต้องโทษปาราชิกต้องจำคุก ๑๐ ปีขึ้นไปถ้าหนีมีอายุความ๒๐ปี อย่างนี้จะไม่มีใครกล้า แต่ ทุกวันนี้ ต้องอาบัติแล้วสึกเฉยๆแถมไปบวชที่วัดอื่นหลอกลวงชาวบ้านอีก เราชาวพุทธต้องตื่นแล้วละครับมาช่วยกันดูแล ขอขอบคุณ ที่อ่าน จากใจจริงครับ จากบัวใต้น้ำ
อธิบายได้ถูกใจ และถูกต้องที่สุดครับ
ถ้ามันจะเป็นแบบนี้ วันข้างหน้าจงจำไว้ว่าถ้าคนหมดความศรัทธาความเลื่อมใสในศาสนาพุทธ ก็เพราะว่ามีพระสงฆ์แย่ๆแบบนี้
ตามหลักพระวินัย จิตลักขโมยในอาบัติปาราชิกข้อนี้รู้ได้ยาก ต้องให้ผู้สงสัยในอาบัติปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาดูก่อน ถ้าสมถะและวิปัสสนาเกิดได้ก็รอดปาราชิก ถ้าสมถะและวิปัสสนาเกิดไม่ได้แสดงว่าศีลขาด ไม่เป็นภิกษุแล้ว โปรดวินิจฉัยตามพระวินัยเถิด เพราะพระวินัยคือพระศาสดาที่แท้จริง
เอาของวัด ไปเป็นของตัวเอง ต่างกรรม ต่างวาระ หลายครั้ง บอกว่าไม่ได้เจตนา งง. กับตรรกะของมหาเถระ ไม่ยึดพระธรรมวินัย!!!!ยุบเถอะ
+ไนน์ทีม ออแกไนเซอร์ สวัสดีครับที่มีการกล่าวหาโจมตีพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ว่าโกงที่ดินวัดไป แล้วพอโดนทักท้วง จึงยอมคืนที่ดินให้กับวัด เรื่องนี้มีเรื่องราวความจริงอย่างไร ?ตอบ ความจริงมีดังนี้ 1. ญาติโยมที่เป็นผู้ถวายที่ดินยืนยันว่า ตั้งใจถวายที่ดินแด่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย) เพราะมีความศรัทธาในตัวท่าน ในโฉนดที่ดินก็ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า เจ้าของที่ดินเดิมถวายพระราชภาวนาวิสุทธิ์ เพื่อใช้ในกิจการพระพุทธศาสนา2. หากถวายวัด ที่ดินนั้นจะกลายเป็นธรณีสงฆ์ ซึ่งมีข้อจำกัดในการใช้งาน คือ ไม่สามารถใช้สร้างวัดใหม่ขึ้นมาได้ แม้ว่าจะอยู่คนละจังหวัด เพราะจะกลายเป็นวัดซ้อนวัด ถือว่าผิดพระวินัย3. เจ้าของที่ดินหลายแปลงได้เดินทางมาเป็นพยานในศาล ยืนยันว่า ตั้งใจถวายที่ดินแด่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ เป็นการส่วนตัว เพราะศรัทธาในการทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาของท่าน4. เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาที่เป็นโจทก์ฟ้องร้อง กลับแย้งเจ้าของที่ดินว่า เมื่อเขียนในโฉนดว่า ถวายพระราชภาวนาวิสุทธิ์ เพื่อใช้ในกิจการพระพุทธศาสนา แสดงว่าต้องถวายวัด ซึ่งคำพูดนี้ ถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่ขัดต่อความเป็นจริงมาก เพราะเจ้าของที่ดินได้ยืนยันแล้วว่า ถวายที่ดินแด่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ แต่เจ้าหน้าที่กรมการศาสนากลับทำตัวรู้ดีกว่าเจ้าของที่ดิน แล้วหาเรื่องฟ้องวัด5. เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาได้ยืนยันต่ออีกว่า “ ถ้าหากจะใช้ในกิจการพระพุทธศาสนา ที่ดินจะต้องเป็นของวัดเท่านั้น ”เมื่อเจ้าหน้าที่กรมการศาสนาพูดอย่างนี้ ทนายจึงขอถามกลับว่า “หากพระราชภาวนาวิสุทธิ์นำที่ดินนี้ไปสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเผยแผ่ธรรมะ จะถือเป็นกิจการของพระพุทธศาสนาหรือไม่ ? ”เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาตอบว่า “ไม่เป็นกิจการพระพุทธศาสนา ต้องเป็นวัดอย่างเดียวเท่านั้น ”จากนั้นทนายก็ถามต่อว่า “ แล้วพุทธมณฑล ซึ่งไม่ได้เป็นวัด ถือเป็นกิจการพระพุทธศาสนาหรือไม่ ? ”เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาหยุดคิด ! จึงทำให้ทนายพูดย้ำทันทีว่า “คิดให้ดีก่อนตอบ เพราะมีพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จด้วย ”จากนั้นเจ้าหน้าที่กรมการศาสนาจึงตอบว่า “พุทธมณฑลขอยกเว้น ถือเป็นกิจการพระพุทธศาสนา !”*(อ้าว ! แล้วทำไมคราวนี้ ถึงยอมตอบว่าพุทธมณฑลเป็นกิจการศาสนา ทั้งๆ ที่ไม่ใช่วัด ตรงนี้น่าคิดไหม ??? แต่ทีพระราชภาวนาวิสุทธิ์ นำที่ดินที่เขาถวายมาสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมทำกิจกรรมพุทธศาสนาบ้าง กลับบอกไม่ใช่ !!! )6. ดูจากเรื่องราวทั้งหมด สาธุชนผู้มีใจเป็นธรรม ก็คงจะตอบได้ทันทีว่า เรื่องนี้ถือเป็นการหาเรื่องกัน คือ เอาเรื่องไม่เป็นเรื่อง มาทำให้กลายเป็นเรื่อง เพื่อโจมตีวัด !7. ปัจจุบันก็ยังมีสาธุชนจำนวนมากถวายที่ดินแด่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หรือ พระเทพญาณมหามุนีในปัจจุบัน) โดยทำพิธีถวายท่ามกลางสาธุชนเรือนแสน และได้เปล่งคำถวายถึง 3 รอบ ว่า.. “ถวายท่านเป็นการส่วนตัว ท่านจะนำไปใช้งานก็ได้ หรือหากที่ดินนั้นไม่เหมาะในการใช้งานจะนำไปจำหน่าย เพื่อนำทรัพย์มาใช้ในงานพระพุทธศาสนาก็ได้” ซึ่งมีการบันทึกวิดีโอไว้เป็นการยืนยันเจตนาของเจ้าของที่ดินตลอด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นมาอีก8. การที่สื่อมวลชนลงข่าวว่า พระราชภาวนาวิสุทธิ์ “ คืน” ที่ดินให้วัด ถือเป็นการใช้คำที่ผิด ซึ่งก่อให้เกิดความเข้าใจผิดตามมาอีกมากมาย ทั้ง ๆ ที่ความจริง คือ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ได้ยกที่ดินดังกล่าวให้วัดพระธรรมกาย โดยที่ไม่ได้ยักยอกมาแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะอยากให้เรื่องจบ อีกทั้งยังเป็นการทำตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช เพื่อรักษาพระเกียรติของท่านด้วยความบริสุทธิ์ใจ9. พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) ท่านบวชอุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนามา 46 พรรษาแล้ว เป็นผู้สร้างวัดพระธรรมกายและวัดสาขาทั่วโลก 161 แห่ง เผยแผ่ธรรมะสู่ประชาชนนับสิบล้านคน มีคุณูปการมากมายต่อพระพุทธศาสนา ปัจจุบันท่านอายุกว่า 70 ปีแล้ว ทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อการปฏิบัติธรรม และเผยแผ่ธรรมะสู่ประชาชน ดังนั้นการกล่าวหาว่า ท่านยักยอกที่ดินวัด ถือเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะหากเราเป็นท่านที่สร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมหลายแห่งมากับมือขนาดนี้ จะมายักยอกที่ดินที่เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมไปทำไม ? ในเมื่อที่ดินนั้นท่านก็ให้สาธุชนมาใช้ปฏิบัติธรรม !“ สิ่งที่บุคคลผู้หนึ่งทำมาตลอดทั้งชีวิต เชื่อถือได้มากกว่าคำพูดโจมตีกล่าวร้ายของใคร ”ดังนั้น...มส. ตัดสินถูกต้องแล้ว จะมาหาว่าท่าน " อุ้ม "หลวงพ่อธัมมชโยได้อย่างไร !!!🌏โปรดอย่ามั่วนิ่มอีกเลย คดีนี้เคลีย์ และจบไปตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีข่าวเผยแพร่ออกไป (เพราะข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีเสียตังค์ ) เลยทำให้คนเข้าใจผิดมาตลอด .... 🌏อ่านมาถึงตรงนี้..เข้าใจยัง....?
+Teeratat Aroonpeang หรอครับ 9 ปีกว่าจะคืนนี่คือไม่ได้ตั้งใจหรอครับ 555 แปลก แต่ทำไม ท่านเกษมโกงเงินวันบ้าง เอาไปแค่ อาทิตย์เดียว จับศึกเฉย 555
+Teeratat Aroonpeang ขอบคุณครับสำหรับข้อมูลครับข้อความนี้ผมเคยอ่านมานานแล้วครับ แต่!!!!! ต่อให้เลื่อมใสอย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดคือการละซึ่งทุกสิ่ง ไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง ปล่อยวาง ยึดพระวินัยเป็นหลักครับ ส่วนญาติโยมจะถวายให้อย่างไรนั้นเป็นอีกประเดน สำคัญที่สุดคือรู้ทั้งรู้ว่าเอามาแล้วผิด ยังจะรับไว้ เหมือนที่ดินที่เกาะช้างนะครับ สุดท้ายก็เอาไปขายให้นายทุน รวยเละครับ.......สอนธรรมมะเป็นอัตรา นี่ก็ผิดแล้วครับ.........
Teeratat Aroonpeang มั่ว
ถ้าเพื่อนกูวิ้งราวสร้อยทอง หากโดนจับได้ แล้วคืนทอง ตำรวจจะจับใหมคับ
ในฐานที่ เป็นมหา เก่า เรื่องนี้ไม่ผิดปราชิก แน่นอนครับ แต่คำสอนของธรรมกายผิดแน่นอน เหมือนสมัยพุทธเจ้า ต้องสังคยานาหลักคำสอนใหม่ เพื่อไม่ให้ธรรมวินัยผิดเพี้ยน
อย่าไปว่าพระท่านเลยทุกวัด ถ้าท่านทำผิด หรือไม่ผิด ถูกหรือไม่ถูก ศีลของท่านจะด่างพร้อยไปเอง เอาตัวเราให้รอดกันก่อนครับ
โลกสวยสุดๆครับ แบบนี้ใครจะเป็นหูเป็นตาให้กับพุทธศาสนาละครับ สมติว่า เจ้าอาวาสวัด ก. มั่วสีกา ชาวบ้านรู้คำถาม จะให้ชาวบ้านทำอะไรก. ชั่งมันเถอะตกนรกก็มันข. ขับไล่พระและจับสึก
กราบนมัสการคับท่านผมไม่ทราบว่าท่านไม่รู้หรือว่าพระภิกษุมีเถยจิตอยากได้สิ่งของนั้นน่ะมันเป็นยังไงครับ-และอาการต้องอาบัติของพระภิกษุหกอยย่างน่ะท่านไม่รู้หรือครับ-น่าสงสารจริงๆนะท่านนะ
สึกไปเถอะคับ เลี้ยงเสียข้าวสุก
เอาที่ดินที่ญาติโยมบริจากให้วัดด้วยแรงศรัทธา มาใส่ชื่อตัวเองเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ !!!อย่างนี้จะให้เข้าใจเป็นอย่างไร? อย่าตะแบงดีกว่า
หอบ สมบัติ หนี ไปแล้ว
วิธีแก้ปัญหาพระพุทธศาสนาอย่างรอบด้าน...ตามแนวพระพุทธเจ้าและพระธรรมวินัย๑.ยกเลิกสมณศักดิ์๒.ใช้อาวุโสโดยพรรษาเพื่อลดความเป็นตัวตน๓.ไม่ต้องมีพระสังฆราช พระสงฆ์มีศักดิ์เท่าเทียมกัน๔.พระสงฆ์ทำหน้าที่ให้เกิดผลจริง สั่งสอนไตรลักษณ์ อริยสัจ ๔ ( ปล่อยวางซึ่งสุขในโลกธรรม ๘ ) พุทธพาณิชย์ต้องหมดไป ไม่เอาพระพุทธเจ้าเพื่อการค้า เอาพระธรรมเป็นข้ออ้าง และอย่าคงไว้แค่ผลประโยชน์แก่สงฆ์เพียงอย่างเดียว ผู้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือผิดพระธรรมวินัย ไม่พุทธแท้ พราหมณ์ ผี ให้มีองค์กรอิสระตรวจสอบพระธรรมวินัยโดยพุทธบริษัทเป็นผู้รักษาพระพุทธศาสนา ๕.ผู้หญิงสามารถบวชเป็นพระภิกษุณีได้ คงไว้พุทธบริษัททั้ง ๔๖.หาวิธีให้พระพุทธศาสนา สอนให้เข้าใจง่ายๆ มีพระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม แต่ให้เป็นไปตามแนวธรรมอันใหญ่เป็นธรรมนูญ( พระยาธรรมิกราช ) จัดระเบียบองค์กร ให้ได้ประสิทธิผล๗.ศาสนาอย่าสอน ให้พุทธบริษัทเกิดความกลัว ต้องใช้ความเข้าใจ นรก สวรรค์ นิพพานเป็นต้น๘.สังคยนาใหม่ ให้ศาสนาไม่ควรเป็นเครื่องมือของอำนาจทางการเมือง ราชอาณาจักร แยก ศาสนจักรอย่างชัดเจน๙.ศาสนาควรเข้าไปในวิถีชีวิต ศาสนาไม่ควรขัดแย้งกับทางโลก หรือการเมือง เป็นศาสนาที่เป็นคำตอบ มากกว่าตั้งเงื่อนไขใดๆ
มาฟังคลิป นี้ครับ อัยการสูงสุด สมัย16ปีก่อน ท่านพูดเอง ผ่านสื่อสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ มี3 ประเด็น ในเรื่องคดีที่ดิน1.สมเด็จพระสังฆราช (เมื่อ16ปีก่อนนะครับ)ไม่คิดจะเอาความแล้ว2.ทางหลวงพ่อ คืนที่ดินให้กับวัดแล้ว3.ที่ดินนั้น เจ้าของพูดเอง (อัยการสืบพยานเจ้าของที่ดินแล้ว) ว่ายกที่ดินให้กับหลวงพ่อ ไม่ใช่ยกให้กับวัดสรุปชัดเจนแล้วครับว่า หลวงพ่อ ไม่ผิดจริงๆ (นี้คือ ข้อมูลเชิงลึกที่คนที่เกี่ยวข้องจริงๆพูดเอง คนนอกที่ไม่เกี่ยวก็ควรจะยุติได้แล้ว) มหาเถรสมาคม ตัดสินได้ยุติธรรมที่สุดแล้วครับ[youtube]th-cam.com/video/HrVcJe95MTY/w-d-xo.html[/youtube]
วินิจฉัยพระลิขิตตามหลักพระธรรมวินัย๑.พระลิขิตบอกว่า "การโกงสมบัติผู้อื่น...." แต่วัดพระธรรมกายไปโกงสมบัติของใครกัน มีแต่ญาติโยมกล่าวปวารณาว่า "ขอถวายเป็นการส่วนตัว แล้วแต่หลวงพ่อจะนำไปขายหรือเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมตามอัธยาศัย" ก็ชัดเจนว่าไม่ใช่การโกง และเจตนาโกงก็ไม่มี ในทางพระวินัยก็ระบุไว้ชัดว่า " "ด้วยเถยยจิต" ท่านต้องวิเคราะห์ให้ดี หากไม่มีเจตนาหรือไม่มีเถยยจิต การจะไปกล่าวหาพระว่าเป็นอาบัติปาราชิกไม่ได้๒.ยิ่งไปไล่บี้จะเอาเรื่องผิดกันอย่างเดียว ก็ไม่ใช่วิสัยของบัณฑิต และเข้าข่ายมหาโจร ข้อที่ ๓ ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า "......๓. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ย่อมตามกำจัดเพื่อนพรหมจารี ผู้หมดจด ผู้ประพฤติพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์อยู่ด้วยธรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์อัน หามูลมิได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๓ มีปรากฏอยู่ในโลก"
อยากให้สงบ ไว้ๆๆๆ ครับเราชาวพุทธ มันอ่อนไหวมาก
ที่จริงต้องผิดนะ ถึงแม้จะคืนที่ดินแล้วก็ตาม เพราะความผิดได้ทำไปแล้ว ไม่งั้นคนก็ทำแบบนี้ได้
ท่านเข้าใจผิดเรื่อง คสช. ครับคสช. ไม่ได้มาปฏิวัติ, คสช. มารัฐประหารปฏิวัติคือการเปลี่ยนแปลงระบบอบการปกครองจากรูปแบบหนึ่งไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง เช่นจากระบบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นประชาธิปไดย (หรือไปเป็นระบอบอื่นๆ)รัฐประหารคือการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารบ้านเมือง หรือคณะผู้บริหารบ้านเมือง โดยที่คงระบอบการปกครองเดิมไว้ เช่นการทำรัฐประหารรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร; เช่นการทำรัฐประหารรัฐบาลคุณทักษิณ ชินวัตร ฯลฯ....;)
ไม่รู้นะ กูไม่กราบพระแบบนี้ โอเค นะ / ผมถามท่านตรงๆ ท่านอายบ้างมะ ในการที่ท่านพูดแบบนี้ ทีท่านพูดเด็กอนุบาลมันยังรู้เลย ว่าท่านพูดโกหก ปกป้องพวกพ้องกันเอง ถ้าท่านจะเอาแบบนี้ ก็ตามนี้เลย เอาเป็นว่า พระเถร ผมเจอที่ไหน ก็ไม่ยกมือไหว้ ให้เสียมือ - -
ข้าราชการบางคนไม่รู้มาเป็นได้ไงเหมือนการ หว่านพืช หรือ ป่าว
เหมือนๆกับว่า"พระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช ผิด"ความคิดส่วนตัวคับ
1.ตามพระธรรมวินัย เอาของวัดมาเป็นปาราชิกไปแล้ว แต่ มส.บอกว่าอัยการสั่งไม่ฟ้อง เลยไม่ผิด แสดงว่าอัยการใหญ่กว่าพระธรรมวินัย 2.ปาราชิกเนื่องจากอวดอุตริ บอกว่าไปเจอสตีฟ จ็อบในสวรรค์ .............มองตามข้อเท็จจริง ปาราชิกไปนานแล้ว ........แต่ลูกศิษย์ธรรมกายก็มาอ้างโน่น อ้างนี่ ยึดพระธรรมวินัย ทุกอย่างจบ...
แค่ไปทำบุญวัดอื่นก็จบ....เมื่อขาดอาหารพญาธิก็ตายครับ
มันไม่ตายสิครับ เพราะความมันแยะอยู่ในฝากระโถนอ่ะ
พระเดี๋ยวนี้น่ากลัวจริงๆ
ใครดี ไม่ดี ถูก ไม่ถูก ผมไม่รู้ เอาตัวเองให้รอดก่อนๆที่จะสอนใครๆ (ส่วนตัวผม พระชัยบารมี พระพุทธองค์ เลิศสุด)
ผมถามนิดหนึ่ง.. ใครก้ได้ที่พอจะรู้จริง ...รู้สึกว่ารู้กันมากจังเลย...วัดหรือพระโดยทั่วไปที่รับของบริจาค โดยไม่รู้ว่าเจ้าของนั้นจะเอาเงินมาจากไหน แต่เขาเอามาบอกว่ามาทำบุญให้วัดจะปราชิกไหม...หรือถ้ามีคนร้ายหรือโจรปล้นเงินมาบริจาคหรือซื้อของถวายให้วัดหรือพระหรือมาใส่ตู้รับบริจาค โดยพระไม่รู้ พระทั้งวัด จะปราชิกหรือเปล่าปกติเวลาพระรับเงินบริจาค ท่านจะถามไหมว่า คุณไปโกงหรือยักยอกเงินใครมาหรือเปล่า..ส่วนใหญ่คงไม่กล้าถาม น่าจะเจริญพรให้ได้บุญเยอะ ๆ ไปเลยมากกว่าหากเป็นเรา หรือคนทั่วไป มีคนรักรู้จัก ศรัทธา คบหากันมาอยู่ดี ๆ บอกอยากช่วยเหลือเอาเงินมาฝากให้ในบัญชี หมื่นสองหมื่น โดยเราก็ยินดีรับ แต่คนที่ให้เรา ไปยักยอกหรือโกงคนอื่นมา กรณี อย่างนี้ ถือว่าตัวเราโกงหรือยักยอกไหม หรือรับของโจรหรือเปล่า...แล้วเราจะผิดไหม ติดคุกไหม...ผมสงสัย ผมรู้ว่า .... ถ้าใครไม่ว่าพระหรือฆราวาสก็ตาม หากไปหลอกลวง หว่านล้อม ชักจูง หรือง่าย ๆ ไปปล้น โจรกรรมเขามาเป็นของตนเอง อันนี้คุกแน่นอน...
Paikaw Keaw ถูกครับ ใครจะรู้ว่าของนั้นเขานั้นไปทำอะไรมาก่อนจะถวาย ถ้ามีคนเอากระเช้ามาให้ แล้วคนนั้นก็บอกคุณว่า เห็นคุณไม่สบายเลยมาเยื่ยมแล้วก็ให้กระเช้าดอกไม้ไป วันต่อมามีอีกคนมาท่วงบอกว่า กระเช้าอันเนียคนที่เอามาถวายท่านขโมยมาให้คุณ คุณผิด คุณบอกว่าไม่รู้แล้วบอกว่าจะคืนของให้ แล้วคืนให้ อย่างงิไม่ถูกหรอครับ เห้ออออ เหนื่อยจริงคนสมัยนี้
+Paikaw Keaw อย่างที่คุณพูดมาพระไม่หน้าปาราชิก ไม่หน้าผิด แต่ถามว่าถ้าฆราวาสรับของโจรถือว่าผิด ส่วนพระผิดไม่ผิดก็ต้องดูที่เจตนา ส่วนเงินทำบุญต่อมาถ้ามีคนมาบอกว่าเงินนี้เขาหยักยอกมา เมื่อรู้แล้วก็ต้องคืนเจ้่าของ ถ้าไม่คืนอันนี้ส่อเจตนารับของโจร โดยปกติ เงินที่จะฝากธนาคารเกิน 2 ล้าน มีการตรวจสอบที่มาเงิน ทางวัดเมื่อมีคนนำเงินมาถวายหรือมาบริจาคเกิน 2 ล้าน ก็ควรตรวจสอบ เหตุที่ไม่ตรวจสอบ ก็เพราะกลัวว่าต้องคืนเงิน
+bom nobom ผมขอต่อยอดจากคุณนะครับ เมื่อมีคนบอกว่ากระเช้านั้นเขาขโมยมา ให้คุณคืนเขาซะภายใน 3 วันนะ คุณก็ตกลง พอ 3 วัน คุณก็ยังไม่คืน เขาก็บอกว่าถ้าไม่คืนอีกคุณจะมีโทษนะ แต่คุณก็ไม่คืนโดยอ่างว่าของนี้ตนได้มาโดยสุจริตจากนั้นเจ้าของกระเข้าจรึงไปแจ้งความเอาผิด คนที่รับกระเช้าจรึงคืนให้เจ้าของเดิม คำถาม คนที่รับผิดหรือไม่? มีเจตนาอยากได้ของคนอื่นหรือไม่? ถ้าไม่อยากได้ของคนอื่นจริงเจ้าของเดิมบอกให้เอามาคืน ทำไมคุณถึงไม่คืน? ปล.การอาบัติดูที่เจตนาครับ
+bom nobom แถมถ้าเป็นบุคคลทั่วไปยังผิดฐานรับของโจรเหมือนกับถ้าสืบทราบได้ว่า มีส่วนรู้เห็นหรือไม่สงใสในทรัพที่ตนได้มาจากโจร
+Paikaw Keaw ประเดนคือ ถ้าถวายวัดของก็ยังเป็นของวัด แต่ดันเอาของวัดไปใส่ในชื่อตัวเอง ซึ่งพระธรรมวินัยเขียนไว้ชัดเจนว่าการยักยอกทรัพย์ที่ไม่ใช่ของตน (คนมาถวายวัดต้องเป็นของวัด) แต่ดันเอาไปใส่ชื่อตัวเอง เป็นของส่วนตัว เรียกว่ายักยอก ถึงจะเอาคืน แต่ก็ผิดคืดการขโมยของ เป็นปาราชิกชัดเจน ตามพระลิขิตของสมเด็จญาณฯ จบ!!!! ปล.พระธรรมวินัยไม่มีอายุความเหมือนกฏหมายบ้านเมือง พระธรรมวินัยคือกฏของสงฆ์ที่ตั้งขึ้นเพื่อรักษาสงฆ์ และพระพุทธศาสนา มหาเถรฯ ตะแบงครับ
พระทุกรูป บวชทำไมถ้าไม่ต้องการพ้นทุกข์ สึกเถอะแล้วอยากทำอะไรก็ทำ
สอนทัมปะหุยก สังคมควนเข้าใจดว้ยเถีด ไคไม้เข้าใจ กํ สืบต่สืกสากอ่น ที่จะออกมาให้ความคิดเหัน รู้จิงพยงใด ถืงได้ตัดสินว่าย่างนั้นย่างนี้ รู้เท่าไม้ถืงกาน ไม้ควนตัดสินห้นาจะดี...
พระชื่ออะไร วัดไหน....
ถ้าเอา มีดฟันกระบาล พวกมึง กูก็ไม่ผิด เพราะไม่เจตนา แล้วกูก็ขอโทด...ทรีทารมแล้ว จบข่าว นี่มัน นรกอเวจี ชัดๆๆๆๆๆๆๆ
เรื่องพระธัมชโยเมื่อไม่พบท่านแล้วจะดันทุรังกันไปถึงใหนหรือจะให้มีเรื่องกันถึงตายจะได้อ้างว่าพระต่อสู้ขัดขวางเจ้าหน้าที่ทั้งๆที่พระมี่แต่มือเปล่าๆ
ถ้าโก่งแล้วพอ...ถูกจับได้...ก็ถึงจะยอมคืน....มส.บอกว่าไม่ผิด...ถามจริงๆเถอะ...มส.ทำแบบนี้....ไม่กลัว...คนไทย...เสื่อมสาดธาเหรอ....เป็นพระ...ควรล่ะกิเลสครับ
สาทุ ถูกต้องเจ้าคะ
ความผิด...สำเร็จครับ...เหมือนคดีปารีนาเปะ.
จะบาปไหมที่ตะบอกว่าพระ แถ.......
ได้บุญจ้า ไม่บาปหรอก เพราะพระที่สมรู้ร่วมคิดว่าไม่ผิดเพราะไม่มีเจตนานั้น ถือว่าขาดจากการเป็นพระแล้ว ไม่ต้องเรียกมีคำว่า พระ นำหน้า เพราะยังไงก็ปราชิกไปแล้ว
เถเละสมาคม...ยัดเงินไปเท่าไหร่นั่นไม่ผิดเฉย....พุทธศาสนา2500เลยมาแล้วจะค่อยๆเสื่อม
โกงไปแล้วพอถูกจับได้ก็เกิดกลัวความผิดที่จะตามมา ถึงได้คืนให้ โห...ท่านก็คิดได้เนอะว่าเขาไม่คิดโกง แมร่งเลี่ยงบาลีชัดๆ เป็นถึงชั้นพรหม ตอบได้คิดได้แบบท่าน ท่านนี่สวดยอดเลยครับ ตำแหน่งที่ได้มาไม่เลียขาก็ใช้เงินชื้อมา สาธุ เมื่อมีสุขอยู่แล้วก็ขอให้หมดจากสุขเมื่อตกทุกข์ก็ขอให้ทุกข์ยิ่งๆขึ้นไป อายุก็มากแล้วขอให้ไปนรกไวๆนะท่าน
ปล่อยมันไปเถอะ ไม่นานก็ตาย (เครียดเปล่าๆ) 555
ผีสักตนเคยเห็นหรือยัง ไม่กี่ปีก็ตายแล้ว ไปอยู่กับเพื่อนใน นรก กับเพื่อนๆ คุณ นะจ๊ะ
แล้วเรื่อง ปาราชิก ละท่าน
เอ้า สึก ไม่ สึก สึกไม่ สึก สราดดด สึกเถอะเพ่ๆๆๆๆ
โล้วห่มเหลือง แม่งยังวอก
กรรม ประเทศไทย
อายแทน
แต่ที่รู้ๆท่านที่กำลังพูดมีอาการประหม่า...ท่านละรับเงินทอนไปเท่าไรครับ
เดี๋ยวนี้..พระ..ก้อเป้งธุระกิจไปแล้วแบ่งแยก
17ปีเองเหรอพระลิขิตพระสังฆรา(สะเทือนใจ)
ไม่ผิดก็คือไม่ผิดครับ
ท่านไม่มีเจตนาโกงหรอก พอมีพระลิขิต ก็เลยคืน คืนไปแล้ว ไม่ได้โกง
แค่ระยะเวลาในการคืนมันตั้ง6-7ปีเลยนะ ทั้งๆที่พระสังคราชบอกให้คืนภายใน15วัน
ไม่เป็นธรรม
ตัวเองเลยปาราชิกก่อน?????????????????
เห็บเกาะผ้าเหลือง
bs
รู้จักอเวจีนรกไหมคับ
ท่านชั่ว หนิ่ครับ พระพรมเมธี
นัตถิโลเก ละโหณามะ
ชงกันเอง
corubtion monk
No shit
ไม่เห็นเกี่ยวกับปรองดองเลย ที่บอกว่าหลวงพ่อไม่เกี่ยวเพราะยังไม่เป็นกรรมการมหาเถรสมาคมนั้นแต่ตอนนี้หลวงพ่อได้เป็นกรรมการมหาเถรสมาคมแล้ว ท่านไม่ต้องไปย้อนหลังทำตรงนี้เถอะท่านพรหมจำนงค์
ผิดหรือถูกช่างมันทำตัวเราไห้ดีพอ
เกี่ยวอะรัยกับปรองดองครับ.ท่าน..รวมหัวช่วยกันก้อว่ามาเหอะ..การเมืองกับเรื่อง เจ๊ ธัมมะชโยมันคนนะเรื่องนะครับ
ความผิดสัมเร็จแล้ว ยังบอกว่าไม่ผิดอีก
dddsds mlkmlkm มึงไม่รู้อะไรอย่าเสือก
dddsds mlkmlkm กูด่ามันที่มันมาด่าในโพสกู มึงเป็นอะไร
DEVA HEAVEN 'ไพบูลย์' ลั่น สอบ มหาเถรสมาคมนายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช ลั่น สอบ มหาเถรสมาคม มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ หลังมีมติรับรอง “ธัมมชโย” ไม่ปาราชิก ชี้เป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นโดยกฎหมาย จะต้องถูกตรวจสอบการทำหน้าที่...
DEVA HEAVEN ถ้ามันทำดีจริง ทำถูกจริง เค้าไม่ต้องมาตรวจสอบพระกันหรอก อีดอกโง่แล้วอวดฉลาด
แล้วเป็นเหี้ยอะไรด่าพระไม่ได้ ? พระทำเลว แตะไม่ได้ ?ไปอยู่ในกะลาไปอีดอก !!
ความผิดชัดๆๆเงินมันบังตามึงรึไง
ถ้าไม่ได้โกง ทำใมต้องคืนเงินให้แก่วัดด้วย (ธรรมกาย ธรรมโกย ธรรมโกง)
+suchat pukuntod ลองอ่านดูนะครับไม่เข้าใจตรงไหนถามที่มีการกล่าวหาโจมตีพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ว่าโกงที่ดินวัดไป แล้วพอโดนทักท้วง จึงยอมคืนที่ดินให้กับวัด เรื่องนี้มีเรื่องราวความจริงอย่างไร ?ตอบ ความจริงมีดังนี้ 1. ญาติโยมที่เป็นผู้ถวายที่ดินยืนยันว่า ตั้งใจถวายที่ดินแด่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย) เพราะมีความศรัทธาในตัวท่าน ในโฉนดที่ดินก็ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า เจ้าของที่ดินเดิมถวายพระราชภาวนาวิสุทธิ์ เพื่อใช้ในกิจการพระพุทธศาสนา2. หากถวายวัด ที่ดินนั้นจะกลายเป็นธรณีสงฆ์ ซึ่งมีข้อจำกัดในการใช้งาน คือ ไม่สามารถใช้สร้างวัดใหม่ขึ้นมาได้ แม้ว่าจะอยู่คนละจังหวัด เพราะจะกลายเป็นวัดซ้อนวัด ถือว่าผิดพระวินัย3. เจ้าของที่ดินหลายแปลงได้เดินทางมาเป็นพยานในศาล ยืนยันว่า ตั้งใจถวายที่ดินแด่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ เป็นการส่วนตัว เพราะศรัทธาในการทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาของท่าน4. เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาที่เป็นโจทก์ฟ้องร้อง กลับแย้งเจ้าของที่ดินว่า เมื่อเขียนในโฉนดว่า ถวายพระราชภาวนาวิสุทธิ์ เพื่อใช้ในกิจการพระพุทธศาสนา แสดงว่าต้องถวายวัด ซึ่งคำพูดนี้ ถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่ขัดต่อความเป็นจริงมาก เพราะเจ้าของที่ดินได้ยืนยันแล้วว่า ถวายที่ดินแด่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ แต่เจ้าหน้าที่กรมการศาสนากลับทำตัวรู้ดีกว่าเจ้าของที่ดิน แล้วหาเรื่องฟ้องวัด5. เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาได้ยืนยันต่ออีกว่า “ ถ้าหากจะใช้ในกิจการพระพุทธศาสนา ที่ดินจะต้องเป็นของวัดเท่านั้น ”เมื่อเจ้าหน้าที่กรมการศาสนาพูดอย่างนี้ ทนายจึงขอถามกลับว่า “หากพระราชภาวนาวิสุทธิ์นำที่ดินนี้ไปสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเผยแผ่ธรรมะ จะถือเป็นกิจการของพระพุทธศาสนาหรือไม่ ? ”เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาตอบว่า “ไม่เป็นกิจการพระพุทธศาสนา ต้องเป็นวัดอย่างเดียวเท่านั้น ”จากนั้นทนายก็ถามต่อว่า “ แล้วพุทธมณฑล ซึ่งไม่ได้เป็นวัด ถือเป็นกิจการพระพุทธศาสนาหรือไม่ ? ”เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาหยุดคิด ! จึงทำให้ทนายพูดย้ำทันทีว่า “คิดให้ดีก่อนตอบ เพราะมีพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จด้วย ”จากนั้นเจ้าหน้าที่กรมการศาสนาจึงตอบว่า “พุทธมณฑลขอยกเว้น ถือเป็นกิจการพระพุทธศาสนา !”*(อ้าว ! แล้วทำไมคราวนี้ ถึงยอมตอบว่าพุทธมณฑลเป็นกิจการศาสนา ทั้งๆ ที่ไม่ใช่วัด ตรงนี้น่าคิดไหม ??? แต่ทีพระราชภาวนาวิสุทธิ์ นำที่ดินที่เขาถวายมาสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมทำกิจกรรมพุทธศาสนาบ้าง กลับบอกไม่ใช่ !!! )6. ดูจากเรื่องราวทั้งหมด สาธุชนผู้มีใจเป็นธรรม ก็คงจะตอบได้ทันทีว่า เรื่องนี้ถือเป็นการหาเรื่องกัน คือ เอาเรื่องไม่เป็นเรื่อง มาทำให้กลายเป็นเรื่อง เพื่อโจมตีวัด !7. ปัจจุบันก็ยังมีสาธุชนจำนวนมากถวายที่ดินแด่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หรือ พระเทพญาณมหามุนีในปัจจุบัน) โดยทำพิธีถวายท่ามกลางสาธุชนเรือนแสน และได้เปล่งคำถวายถึง 3 รอบ ว่า.. “ถวายท่านเป็นการส่วนตัว ท่านจะนำไปใช้งานก็ได้ หรือหากที่ดินนั้นไม่เหมาะในการใช้งานจะนำไปจำหน่าย เพื่อนำทรัพย์มาใช้ในงานพระพุทธศาสนาก็ได้” ซึ่งมีการบันทึกวิดีโอไว้เป็นการยืนยันเจตนาของเจ้าของที่ดินตลอด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นมาอีก8. การที่สื่อมวลชนลงข่าวว่า พระราชภาวนาวิสุทธิ์ “ คืน” ที่ดินให้วัด ถือเป็นการใช้คำที่ผิด ซึ่งก่อให้เกิดความเข้าใจผิดตามมาอีกมากมาย ทั้ง ๆ ที่ความจริง คือ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ได้ยกที่ดินดังกล่าวให้วัดพระธรรมกาย โดยที่ไม่ได้ยักยอกมาแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะอยากให้เรื่องจบ อีกทั้งยังเป็นการทำตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช เพื่อรักษาพระเกียรติของท่านด้วยความบริสุทธิ์ใจ9. พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) ท่านบวชอุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนามา 46 พรรษาแล้ว เป็นผู้สร้างวัดพระธรรมกายและวัดสาขาทั่วโลก 161 แห่ง เผยแผ่ธรรมะสู่ประชาชนนับสิบล้านคน มีคุณูปการมากมายต่อพระพุทธศาสนา ปัจจุบันท่านอายุกว่า 70 ปีแล้ว ทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อการปฏิบัติธรรม และเผยแผ่ธรรมะสู่ประชาชน ดังนั้นการกล่าวหาว่า ท่านยักยอกที่ดินวัด ถือเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะหากเราเป็นท่านที่สร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมหลายแห่งมากับมือขนาดนี้ จะมายักยอกที่ดินที่เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมไปทำไม ? ในเมื่อที่ดินนั้นท่านก็ให้สาธุชนมาใช้ปฏิบัติธรรม !“ สิ่งที่บุคคลผู้หนึ่งทำมาตลอดทั้งชีวิต เชื่อถือได้มากกว่าคำพูดโจมตีกล่าวร้ายของใคร ”ดังนั้น...มส. ตัดสินถูกต้องแล้ว จะมาหาว่าท่าน " อุ้ม "หลวงพ่อธัมมชโยได้อย่างไร !!!🌏โปรดอย่ามั่วนิ่มอีกเลย คดีนี้เคลีย์ และจบไปตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีข่าวเผยแพร่ออกไป (เพราะข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีเสียตังค์ ) เลยทำให้คนเข้าใจผิดมาตลอด .... 🌏อ่านมาถึงตรงนี้..เข้าใจยัง....?
เหอะๆ จริงเท็จแค่ไหนใครจะรู้ แม้แต่คนโพสยังไม่กลัาเปิดเผยตัวเอง แก้ตัวไปก้ไม่มีใครเข้าเชื่อหรอก
+Teeratat Aroonpeang อ๋อหรา ที่ได้มานี้ เอามาจากไหนหรอท่าน อย่าโกหกเลยครับ คนปกติเค้าไม่ได้เมาบุญ เอาเงินซื้อสวรรค์เหมือนพวกฝากระโถน นะคร๊าบบบบ
ใครจะไม่อยากปรามาสพระก็ถอยไป เพราะผมจะทำ เหตุคือ ถ้าพระที่เป็นระดับอริยสงฆ์แล้ว ท่านจะตรงต่ออรรถต่อธรรม ถ้าอย่างนี้ผมจะไม่ปรามาส แต่พระที่ทำตัวเป็นศรีธนญชัยไม่ตรงต่ออรรถต่อธรรมไม่สนใจพระธรรมวินัย ประเภทนี้ก็คือแค่คนธรรมดาโกนหัวโกนคิ้วห่มผ้าเหลือง อย่างนี้ถ้าจะปรามาสก็ไม่แปลก ถ้ามันผิดอย่างนั้นแล้ว คนด้วยกัน ไม่พอใจกันปรามาสกันก็ตกนรกอเวจีสิความเป็นพระสงฆ์น่ะไม่ใช่ได้มาด้วยการโกนหัวโกนคิ้วแล้วห่มผ้าเหลืองเท่านั้น การประพฤติปฏิบัติต่างหากที่จะทำให้เป็นสงฆ์ขึ้นมาได้ และการยอมรับในตัวพระสงฆ์ก็ไม่ใช่ว่าจะเพราะบวชมานานหรือเป็นมหา หรือปธ.9 หรือมีสมณศักดิ์สูง ประชาชนจะยอมรับนั้นก็ด้วยข้อวัตรปฏิบัติที่ดี ตรง ออกจากทุกข์ และสมควรแล้ว อย่างนี้ต่างหากจึงจะเป็นสงฆ์ ที่เหมาะที่ควรแก่การกราบไหว้เทิดทูนบูชาอ๋อ อีกอย่าง ถ้าเป็นพระธรรมดาผมจะไม่ว่านะ ปล่อยท่านขัดเกลากิเลสตัวเองต่อไป แต่นี่พระระดับปกครอง สมควรต้องรักษาธรรมรักษาวินัยสงฆ์ จัดระเบียบสงฆ์ให้งาม หรือว่าแต่ละรูปจะเป็นวัวสันหลังหวะก็ไม่รู้นะถึงต้องช่วยกัน เพราะต่างคนก็ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ กลัวจะโดนแฉ อันนี้ก็ไม่รู้นะ
ปกป้องคนๆเดียวเพื่อให้หนีความชั่วโดยไม่มองถึงหลักของศาสนาอย่าไปยอมมันพวกเหี้ยนี้ต้องการทำลายศาสนาประธานเถรสมาคมก็เป็นอุปัชฌาย์บวชให้ธัมชัยโย ลูกศิษย์ชั่วยังปกป้อง ถุย ต่อไปนี้เราก็คว่ำบาตรมหาเถร ไม่เอายกเลิกกรมศาสนาเพราะมันเป็นลัทธิโกงเงินหลอกลวงประชาชน โจรปล้นร้านทองพอโดนจับได้โจรคืนทองให้ร้านทอง ถามว่าโจร ก็ไม่ต้องติดคุกสินะครับ เพราะได้คืนทองให้เจ้าของร้านทองแล้ว (ไอ้มหาเถรสมาคมหุ่นเชิดขายศาสนาหาแดกกับเงินไม่เท่าไหร่สมองไม่มีความเป็นพุทธอยู่ในสันดาน)
อยากให้ไปศึกษาพระวินัยในเรื่องของปาราชิกก่อน ว่าอะไรคือปาราชิกข้อนี้ (ทุติยปาราชิกสิกขาบท) แล้วค่อยออกมาวิพากษ์วิจารณ์.
1.ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้2.กล่าวอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่จริงนี่แหละที่เห็นชัดๆ ผิดไป 2ข้อแล้ว
+dddsds mlkmlkm ใช่เลย
คนไม่ผิดจะให้ตัดสินว่าผิดได้อย่างไร คนไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็ไม่คิดจะศึกษาให้ดี สื่อไทยมีความละเอียดอ่อนมาก คนรับสื่อต้องพิจารณา คำว่าข่าว มันไม่ใช่สิ่งที่มีอะไรวัดตายตัวว่ามันเป็นเรื่องจริงก็อยากให้ เอาคำว่า อคติตามข่าวลือทิ้งไปก่อน แล้วถ้าสงสัย อย่าไปถามคนไมรู้จริง ถ้าอยากให้แน่ใจ พิสูจน์ให้เห็นกับตา แล้วจะรึ้เองครับว่าอะไรเป็นอะไร นี่ผมบอกแนวทางแล้วนะ ผมไม่มีหลักฐานชี้ขาดหรอกว่าใครผิดใครถูก แต่ที่แน่นอนที่สุดคือ คุณพิสูจน์เองได้
ถถถถถ ไม่ผิด
เขาก็บอกอยู่ว่า ยักยอกไป ต้องคืนแล้วจะไม่ผิดไม่ต้องปราชิก ต้องแปลไทยเป็นไทยมั้ยท่านสงสารแปลให้ : จิ๊กของวัดไปเป็นของตัวเองแล้ว....พระเถรสมาคมบอกว่าให้เอามาคืนวัดซะ แล้วถือว่าจบกัน คือ จิ๊กไปแล้วไง ขโมยนั้นแหละพระถือศีล 227 ข้อ ฆราวาสถือศีล 5 ข้อ นี่ก็ผิดตั้งแต่ข้อ 2,4 แล้ว
กุว่ามึงโชโง่ไปนะ กฎพระ ยักยอกแค่1 บาท จะเจตนาหรือไม่เจตนา ก็ปาราชิก จริงๆไม่ต้องรอพระลิขิตหรอก มันเป็นกฎวินัยของสงฆ์อยุ่แล้ว สาเหตุที่ทำให้ภิกษุ ต้องอาบัติ (๑) ต้องอาบัติเพราะไม่ละอาย ๒) ต้องอาบัติเพราะไม่รู้ว่าเป็นอาบัติ (๓) ต้องอาบัติเพราะสงสัยแต่ยังขืนทำลง (๔) ต้องอาบัติเพราะสำคัญว่าควรในสิ่งที่ไม่ควร (๕) ต้องอาบัติเพราะสำคัญว่าไม่ควรในสิ่งที่ควร (๖) ต้องอาบัติเพราะลืมสติ อยากอ่านเพิ่มเติมแก้โง่ กดหา Google ช่วยมึงได้
เจษฎาพร ถวิลพงษ์ จำเริญในธรรมยุทธ์
nattawut symai เพลงเพลง
ผู้ใดทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลกรรมนั้น กฏแห่งกรรมมีจริง ขออย่ากล่าวล่วงเกินพระพุทธศาสนาเลยนะคับ เดี๋ยวจะเป็นเหตุให้ไปนรกกันใหญ่นะคับ
เปิดใจให้กว้าง ฟังพระท่านชัดๆท่านพูดละเอียดเเละชัดเจนมากว่าทำไมไม่ปาราชิกอย่าให้อคติบังใจ ท่านพูดไม่ถูกใจก็ด่าๆๆๆถ้าคิดว่ามหาเถรสมาคมไม่ดีก็ไปบวช เเล้วสมัครไปเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมเองเลย
ผมฟังละ ละเอียดด้วยตอบได้คำเดียวว่าแถสุดๆ พระลิขิตผมอ่านมาละ พระสังคราชลิขิตใว้ พ.ศ.42 บอกให้คืนนะถายใน15 วันไม่งั่นจะปรับอาบัต แต่ธัมชัยโยไม่คืน พระสังคราช จริงมีลิขิต ปรับอาบัตธรรมชัยโย ถึงขนาดนั้นยังไม่คืนมาคืนอีกทีก็ปี49 เพราะคดีศาลกำลีงจะตัดสินเลยคืนเจ้าทุกจรึงถอนฟ้องเพราะเขาได้ทรัพคืนแล้ว
เวลาห่างกัน6-7ปีถึงจะคืนและตลอด6-7ปีก็สู้คดีมาตลอด แล้วไม่ให้คิดว่ามีเจตนาอยากได้ทรัพคนอื่นได้อย่างไร(โอนที่ดินเข้าในชื่อเจ้าอาวาสเป็นชื่อฆราวาสของตน)
ถ้ามันเป็นกันง่ายๆ ก็คงดีสินะ ไม่มีเส้นไม่มีสาย อย่าหวังเลยว่าจะได้เป็น มส
ใครบังตาใคร ไม่ต้องถึงเถรสมาคมก็ปราชิกแล้วท่าน
ลองไปดูข้อมูลในวิกิมีเดียสิแล้วจะกระจ่างอุปัชชาย์ของธรรมชโยปัจจุบันนี้ดำรงตำแหน่งแทนสังฆราชอยู่วัดปากน้ำ
รับเงินกันมาองค์ล่ะกี่สิบล้านล่ะถึงมีมติแบบนี้มันปราชิกแล้ว
กิเลสยังล่ะไม่ได้....ยังกล้าอ้างว่า...เป็นพระเถรอีกเหรอ....ถามจริงเถอะ....ไม่อาย...อุบาสก...อุบาสิกา...กันบ้างเลยเหรอ....เสื่อมหมด...ศาสนาพุทธ...
สึกไปเลยรู้สึกหน้าอายมากกับมติสงฆ์ที่ไม่มีธรรมวินัยทำตัวเป็นโจรในผ้าเหลือง
วินัยพระเขามีมาสองพันกว่าปีแล้วไอ้พวกเปรตห่มเหลืองดีไม่ดีพวกมึงก็ชิกด้วย
หลายคดีพวกเก่งทั้งหลายว่ายั่งงี้ผิดยั่งงั้นผิดก็ไม่รู้ไปดูเอกสารหลักฐานที่ว่าผิดที่ใหนเพราะไม่เห็นมีใครเอาหลักฐานในการทำผิดมาโชว์แต่ยืนยันว่าผิดผมยอมโง่ถ้าไม่มีหลักฐานไม่ว่าจะฝ่ายใหนที่เขาว่าผิดจะชอบหรือไม่ชอบผมก็ไม่เชื่อเพราะไม่มีหลักฐาน
ผมอ่าน และฟัง "พระลิขิต" ทั้ง 3ฉบับ แล้วหลายรอบ,
นิมนต์ มหาเถรสมาคม ให้ "สึก" เถอะครับ, (ถ้ายังเป็นชาวพุทธอยู่),
หรือจะอยู่ต่อไปเป็นมารศาสนา ก็แล้วแต่ท่าน, อย่างไร ชาวพุทธ ไม่ยอมให้ ศาสนาพุทธ เสื่อมไปใน ณ ปัจจุบันเป็นแน่.
ไม่เกียวกับเจตณาแล้ว แต่เป็น "สันดาน", วันนี้ คดีเงิน ก็มีอีกแล้ว เมื่อรักกันมาก ก็ "สึก" ไปอยุ่ด้วยกันเลยครับ
มึงอยู่ในฐานะอะไรที่เข้าไปวิจารย๊พระสงฆ๊เขา มึงเชื่อแต่ไอ้กวยอิสระ นรกจะหัวมึงนะ เพราะไม่ได้ติดตามข้อเท็จจริงดีพอ
เป็นคลิปที่อัปยศที่สุดในวงการศาสนาไทย
แล้วที่สมเด็จพระสังฆราชวินิจฉัยว่า ธรรมชัยโย บิดเบือนพระธรรมทำให้สงฆ์แตกแยกต้องอาบัติปาราชิกล่ะ มหาเถระสมาคมจะว่ายังไง
เรื่อง แปลก เมื่อยักยอกทรัพย์ ถึงต้องฟ้องศาล นานเป็นปี ถึงคืนให้
ไม่ผิดศีลผมงง ไม่เจตนาโกงแต่ไม่ฟ้องไม่คืน
คืนแล้วๆ ไม่ผิดศีลธรรม
เข้าใจยากจัง เรื่องพระธรรมวินัย พระเอาเมีย เอาแล้ว เลิกเอากันแล้ว ก็ไม่ ปาราซิก หรือ
ใช่ครับ..เอือมระอากับพระมส.,พศ. จะมีพระดีๆตายสักกี่คน
ขอเสนอความคิดเห็นด้วยนะครับ แปลว่าถ้าพระโกงเงินไปแล้วตรวจสอบได้ว่ายักยอก แล้วคืนเงินกลับไปแปลว่าไม่โกง จริงหรอ มันผิดตั้งแต่ทำแล้ว รู้ว่าการนำของวัดมาเป็นของตัวเองมันก็ผิดแล้ว ปาราชิกไปก็จบแล้ว หลังจากนั้นไป ก็เป็นเรื่องของกฎหมาย สุดท้ายก็ยังแถ
อ่านให้จบ แล้วจะรู้ว่า ว่าเราได้เห็นมารตัวเป็นๆ ผู้มีจิตแน่วแน่สู่นรกภูมิ ในปัจจุบันกัน, สอนขัดขนาดนี้แล้วยังอยู่ได้ ยังมีอีกหลายพระสูตร เพราะ พระพุทธองค์สอนสอดรับกันหมดต้นจนจบ ทั้งเบื้องต้น ถ่ามกลาง ถึงที่สุด อยากทำลายพระไตรปิฏก ผมแนะนำแต่งใหม่ ตั้งศาสนาใหม่เลยจะง่ายกว่าเยอะ
+++++
[๖๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล อริยสาวก เห็นด้วยดีซึ่งปฏิจจสมุปบาทนี้ และธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นเหล่านี้ ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว
เมื่อนั้น อริยสาวกนั้น จักแล่นเข้าถึงที่สุดเบื้องต้นว่า ในอดีตกาลเราได้เป็นหรือหนอ ในอดีตกาลเราได้เป็นอะไรหนอ ในอดีตกาลเราได้เป็นอย่างไรหนอ ในอดีตกาลเราได้เป็นอะไรแล้วได้มาเป็นอะไรหนอ
หรือว่า จักแล่นเข้าถึงที่สุดเบื้องปลายว่า ในอนาคตกาลเราจักเป็นหรือหนอ ในอนาคตกาลเราจักเป็นอะไรหนอ ในอนาคตกาลเราจักเป็นอย่างไรหนอ ในอนาคตกาลเราจักเป็นอะไรแล้วจึงจักเป็นอะไรหนอ
หรือว่า จักยังมีความสงสัยในปัจจุบันกาลเป็นภายใน ณ บัดนี้ว่า เราเป็นอยู่หรือหนอ หรือไม่เป็นอยู่หนอ เราเป็นอะไรอยู่หนอ เราเป็นอย่างไรอยู่หนอ สัตว์นี้มาแต่ไหนหนอ เขาจักไปในที่ไหน
"ดังนี้ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้" เพราะเหตุไร เพราะว่า อริยสาวกเห็นด้วยดีแล้วซึ่งปฏิจจสมุปบาท และธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นเหล่านี้ ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง ฯ
ด้วยความเคารพในพระพุทธศาสนา และผ้าเหลือง ความเห็นส่วนตัวนะครับ การบวชเป็นการขอนิสัยพระ นิสัยพระคือการลดละ ขัดเกลาจิตใจใฝ่ดี ถ้าทำตรงข้ามคือบวชเพื่อการสะสม หมกวุ่นใฝ่ไม่ดี เท่ากับว่าไม่มีนิสัยพระก็คือไม่ใช่พระนั่นเอง ถึงเวลาที่สังคมไทยควรกล้าปฏิรูปพุทธศาสนาในประเทศไทยใหม่อย่างยั่งยืนเสียที ควรเลิกมี เลิกให้และ เลิกใช้ยศถาบรรดาศักดิ์เสียที ทุกรูปมีคำนำหน้าว่าพระ แล้วตามด้วยชื่อ แล้วก็ฉายาก็พอเพียงแล้ว ไม่ควรมียศถาบรรดาศักดิ์ไปถวายท่านให้เกิดกิเลสความทะยานอยากเอา เพราะเราคือพระผู้ขอนิสัยลดละ ไม่ใช่อย่างปุถุชนชาวบ้านคนทั่วไป พระรูปไหนได้รับตำแหน่งอะไรก็ทำหน้าที่ในตำแหน่งนั้นไป ใช้คำว่าพระนำหน้าก็พอเพียงแล้ว ด้วยความเคารพครับ
"ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ"
การทำหน้าที่ของตนนั่นแหละ คือยอดของศีลธรรม เพราะธรรมะแปลว่าหน้าที่ ถ้าใครทำหน้าที่ของตน คนนั่นแหละคือคนปฏิบัติธรรม ก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด สามารถยกมือไหว้ตัวเองได้ พอได้ทำหน้าที่ก็ชื่นใจ ว่าเราได้ปฏิบัติธรรม จะไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่เดี๋ยวนี้ มหาเถระสมาคมยกเว้นการทำหน้าที่เสียแล้ว เหตุปาราชิกนั้นเป็นตามพระธรรมวินัย เป็นไปตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติไว้เป็นวินัยของสมณะ จึงถือว่าสูงสุด มีศักดิ์สูงกว่ากฎหมายทั่วๆ ไป แม้แต่รัฐธรรมนูญ พระธรรมวินัยก็มีศักดิ์สูงกว่า" เป็น 'อกาลิโก' ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ บัญญัติไว้อย่างไรก็เป็นไปอย่างนั้น กฎหมายของบ้านเมืองจะมาบัญญัติให้เลิกปาราชิกก็ทำไม่ได้"
ดูกรอานนท์ เราจะทํานายไว้ให้เห็น ในอนาคตกาลข้างหน้า จักเกิดพวกมิจฉาทิฏฐิภายนอกพระศาสนา อวดอ้างว่าตัวรู้ ตัวเห็นผีได้ พูดจากับด้วยผี ครั้นบุคคลจําพวกนั้นเกิดขึ้นแล้ว ก็จักเบียดเบียนพระศาสนาของเราให้เสื่อมถอยลงไป ด้วยวาทะถ้อยคําเสียดสีต่างๆ พระสงฆ์สามเณรก็จักเกิดระส่ำระสาย หาความสบายมิได้ เขาจักสอนทิฏฐิวัตรอย่างเคร่งครัด ถืออรัญญิกธุดงค์อย่างพระเทวทัต ภายหลังก็จักเกิดพระบ้านพระป่ากันขึ้น แล้วก็จักแตกกันออกเป็นพวกๆ ไม่สามัคคีกัน ต่างพวกก็ถือแต่ตัวดี ศาสนาของเราก็จักเสื่อมถอยลงไป เพราะพวกมิจฉาทิฏฐิ เห็นแก่ลาภยศ หาความสุขมิได้ มรรคผลธรรมวิเศษก็จักไม่เกิดขึ้นแก่เขา เขาจักเรียนเอาแต่วิชาศีลธรรม อันพวกมิจฉาทิฏฐิสอนให้รู้อะไรกันขึ้นเล็กน้อย ก็อวดดีกันไป แท้ที่จริงความรู้เหลานั้นล้วนแต่รู้ดีสาหรับไปสู่นรก เขาจักไม่พ้นจตุราบายได้เลย ดูกรอานนท์ ในอนาคตกาลภายหน้า จักมีอย่างนี้ไม่ต้องสงสัย ถ้าผู้ใดรู้ลัทธิทิฏฐิอยางนี้ไว้แล้ว เมื่อได้เห็นก็จงเพียรพยายามละเว้น ก็จักได้ประสบความสุข การที่จะระงับดับกิเลสก็ให้ระงับบริโภค ๒ ประการให้เบาบางลง บริโภค ๒ นั้น คือ จีวรปัจจัยแลเสนาสนปัจจัย สองอย่างนี้ชื่อว่าบริโภคภายนอก นับเป็นอยางหนึ่ง บิณฑบาตปัจจัยแลคิลานปัจจัย สองอย่างนี้ชื่อว่าบริโภคภายใน นับเป็นอยางหนึ่ง (ความตอนหนึ่งใน"คิริมานนทสูตร" พระยาธรรมิกราช) พึงรู้ว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นสัตถุศาสน์ (กล่าวคือคำสอน
ของพระศาสดา) จึงจะเป็นธรรมเป็นวินัยเป็นสัตถุศาสน์ (ปล่อยวางสุขในโลกธรรม๘)
คือ
๑. เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด
๒. เป็นไปเพื่อความไม่ประกอบทุกข์
๓. เป็นไปเพื่อไม่สะสมกองกิเลส
๔. เป็นไปเพื่อความอยากน้อย
๕. เป็นไปเพื่อความสันโดษ
๖. เป็นไปเพื่อความไม่คลุกคลี
๗. เป็นไปเพื่อความพากเพียร
๘. เป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย
จิตที่ฟอกด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวงเป็นไฉน...
โดยนัย..ที่จักกล่าวโดยละเอียดพิศดาร อันว่าศีลนั้น คือ การรักษาความเป็นปกติ ของการไม่เห็นแก่ตัว มีเมตตา รักผู้อื่น และสรรพสัตว์ทั้งหลายโดยสมบูรณ์
ส่วนสมาธินั้นเล่า คือ เพ่งสติระลึกถึงความไม่ใช่ตัวตนอยู่ตลอดทุกลมหายใจเข้าออก
ส่วนปัญญานั้นมีคุณมาก คือการหยั่งรู้ โดยวางสุขในโลกธรรม ๘ เหมือนดั่งไม่มีหัวใจ โดยสลัดคืนลมหายใจซึ่งก็คือจิตนี้ ทิ้งให้เจ้าของเดิม คืนให้กับธรรมชาติ ถ้ากำหนดได้ทุกลมหายใจเข้าออกแล้ว ย่อมไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเรา หรือเป็นของเราได้เลย ซึ่งเรานั้นย่อมไม่ได้เกิดและก็ไม่ได้ตาย
บุคคลทั้งหลายที่มาเป็นศิษย์ของตถาคตนี้ ก็มีความประสงค์ด้วยนิพพาน การที่จะรู้ว่า ดีหรือชั่วกว่ากัน ก็แล้วแต่กิเลสเป็นผู้ตัดสิน ด้วยพระนิพพานเป็นที่ปราศจากกิเลสตัณหา ถ้าผู้ใดเบาบางจากกิเลสตัณหา ก็เป็นผู้ดีกว่าผู้ที่หนาไปด้วยกิเลส ถ้าบุคคลนับถือผู้ที่มีกิเลสมากกว่าผู้ที่ไม่มีกิเลส บุคคลผู้นั้นชื่อว่า "ถือศีล เอาต้นเป็นปลาย เอาปลายเป็นต้น เอาสูงเป็นต่ำ เอาต่ำเป็นสูง ถ้าถืออย่างนี้ ผิดทางพระนิพพานเป็นคนมิจฉาทิฎฐิ พระตถาคตตั้งศาสนาไว้ ไม่ได้หวังให้ผู้หนึ่งผู้ใด บำเพ็ญหาประโยชน์อย่างอื่น ตั้งไว้เพื่อประสงค์ให้บุคคล บำเพ็ญภาวนาเพื่อให้ระงับดับกิเลสเท่านั้น การบำเพ็ญภาวนา ถ้าไม่ได้ทำเพื่อให้ระงับดับกิเลส ก็ได้ชื่อว่า เป็นคนหลงโลกหลงทาง ถ้าผู้ใดไม่ประพฤติตามคำสอนนี้ พึงเข้าใจว่าผู้นั้น เป็นคนนอกพระพุทธศาสนา...ดังนี้
th-cam.com/video/O0rF0RDxZfI/w-d-xo.html
ไม่รู้สึกละอายต่อพระพุทธเจ้า ไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรม ก็ให้รู้สึกละอายต่อชาวบ้านบ้างเถอะ เกรงกลัวต่อบาปต่อข้าวปลาอาหารที่ชาวบ้านเขายกให้ได้อิ่มท้องเถอะ บวชกันจนจะแก่ตายแล้ว ธรรมะซึมเข้าหัวบ้างไหม แล้วเที่ยวมาสอนชาวบ้าน เห็นแล้วอายแทน อายฝรั่งต่างชาติด้วยที่เขาสู้อุตส่าห์มีศรัทธาเปลี่ยนจากนับถือพระเจ้ามานับถือพระพุทธเจ้า แต่โล้นห่มผ้าสีเหลืองตามสมาคมอยากจะปรองดองอะไรก็ไม่รู้ พระธรรมวินัยไม่ได้มีไว้เพื่อปรองดอง ปรองดองนั่นมันการเมืองเกี่ยวอะไรกับพระธรรมวินัย พระธรรมวินัยมีไว้ให้ปฏิบัติตาม เป็นเครื่องรักษาและปกป้องความเป็นสงฆ์ ผู้ละเมิดธรรมวินัยก็ทำตัวเองทั้งนั้นอย่าเที่ยวไปโทษคนอื่น
อยากให้ออกกฏหมายควบคุมการเงินและทรัพย์สินของสงฆ์ และเมื่อสึกจากความเป็นสงฆ์แล้วต้องนำเงินและทรัพย์สินนั้นๆยกให้กับวัดทั้งหมดห้ามเก็บไว้ เพื่อป้องกันพวกหากินกับศาสนา
วัดพระธรรมกายไม่ผิด ผมรักพระธรรมกาย ครอบครัวผมดีขึ้นทุกด้าน ก็เพราะวัดนี้ ผมไม่ยุ่งอบายมุขเลย สาธุ
คำศัพท์ว่า ปาราชิกนั้น แปลว่า ยังผู้ต้องพ่าย หมายถึง ผู้ต้องพ่ายแพ้ในตัวเองที่ไม่สามารถปฏิบัติในพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้ให้ได้
ปาราชิก มี 4 ข้อ อยู่ใน ศีล 227 ได้แก่
๑.เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉาน (ร่วมสัมพันธ์ทางเพศกับมนุษย์ หรืออมนุษย์ หรือสัตว์ แม้แต่ซากศพก็ไม่ละเว้น)
๒.ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย) ได้ราคา 5 มาสก (5 มาสกเท่ากับ 1 บาททองคำ)
๓.พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน) แสวงหาและใช้เครื่องมือกระทำเอง หรือจ้างวานฆ่าคน หรือพูดพรรณาคุณแห่งความตายให้คนนั้น ๆ ยินดีที่จะตาย (โดยมีเจตนาหวังให้ตาย) ไม่เว้นแม้แต่การแท้งเด็กในครรภ์
๔.กล่าวอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่จริง อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง)ยกเว้นสำคัญตนผิด...เช่นเห็นสตี๊ปจ๊อบ แต่ไม่รู้จัก นายศุภชัยผู้เป็นมัคทายกวัด คดีโกงเงินเครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นฯ
อาบัติปาราชิกทั้ง 4 นี้เป็นอาบัติหนักขาดจากความเป็นพระโดยอัตโนมัติทันที...
+CP PC AC DC ขอแชร์คะ
เข้าข้างกันเข้าไป ผิดบอกไม่ผิด
ต่อไปบวชพระ ก็ไม่ต้องท่องคำขอบวชแล้วก็ได้ละมั่งครับ พระก็ไม่ต้องถือ ศีล 227 ข้อ ต่อไปจะบวช ก็ท่องข้อกฎหมายแทน ถ้าศาลยกฟ้อง ก็ไม่ผิดศีล ไม่ผิดพระวินัย สรุปนี่พระสงฆ์อยู่กันที่ พระธรรมวินัย หรือ คำสั่งศาล นี่ถ้าพระสงฆ์เสพเมถุน แล้วท่านบอกว่าท่านไม่เจตนา ที่จะเสพเมถุน เพราะ สีกา เป็นฝ่ายทำเอง อาตมานอนเฉยๆ นี่ก็ได้อะดิ ครับท่าน แบบนี้เหรอครับ
สาธุ สาธุ สาธุ ..มติมหาเถรสมาคมชอบธรรมแล้วขอรับ
ปกป้องธัมมี่เกินงาม ในที่สุดตอนนี้หนีหัวซุกหัวซุนเลย
เงินซือได้ทุกคน มหาเถระก้อแค่ผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา อย่างที่เราเห็นผู้สืบทอดก้อไช่ว่าดีเสมอไปเป็นแค่สมมุติสงฆ์ ไม่ไช่พระอรหัน ยังความอยากได้ อยากดัง ไม่ยอมละ อย่างท่านพูดว่าทำบุญได้พบพระพุทธเจ้า ได้ถึงพระนิพานในพระไตรปิฎกมันมีเหรอ คุนบอกญาติโยมว่าถอดจิตรได้ ก้ออวดอุตริแล้ว ถึงท่านถอดได้จริงก้อพ้นจากความเป็นพระอยุ่ดี วัดท่านมีเงินหัยกู้ทำบุญ มันไช่เหรอทำบุญแล้วเดือนร้อน แล้วยังชุดที่ท่านไส่อีก มีหางนกยูงด้วย พระเค้าหัยไช้ผ้า 3 ผืน ศาสนาไม่เคยเสื่อม คำสอนของพระพุทธเจ้ายังเหมือนเดิม สาวกต่างหากที่ทำหัยเสื่อม
สาธุ
ผมว่า คนที่ไม่พอใจ เราร่วมกันเลิก ทำบุญด้วยเงิน
การตัดสินตามพระธรรมวินัยเห็นได้ชัดว่า ปาราชิก ตั้งแต่"ถือเอาของ"แล้ว ยังสงสัยอะไรกันอีกครับท่าน ส่วนที่บอกว่าให้ผู้เป็นคณะสงฆ์ หมู่สงฆ์เป็นผู้ตัดสินในพระธรรมวินัยนี้ ต้องเข้าใจคำว่าพระสงฆ์โดยสมบูรณ์ก่อน พระสงฆ์ จัดเป็นหนึ่งในพระรัตนตรัย ซึ่งได้แก่ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ โดยพระสงฆ์ในพระรัตนตรัยหมายถึงเฉพาะพระอริยสงฆ์ คือบุคคลไม่ว่าคฤหัสถ์หรือนักบวช และไม่ว่ามนุษย์หรือเทวดา ที่ปฏิบัติธรรมจนได้บรรลุมรรคผล แต่โดยทั่วไปมักเข้าใจว่าพระสงฆ์คือภิกษุหรือภิกษุณี คือมนุษย์ที่ได้ฟังคำสั่งสอนแล้วเกิดความเลื่อมใสจนสละเรือนออกบวชตามพระพุทธเจ้า เพราะต้องการจะได้บรรลุธรรมตามพระพุทธเจ้าสั่งสอนไว้ ถือเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา
ภิกษุต้องอาบัติด้วยความไม่ละอายอย่างไร? คือ ภิกษุรู้อยู่ทีเดียวว่าเป็นอกัปปิยะ ฝ่าฝืน ทำการล่วงละเมิด สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ว่า ภิกษุ แกล้งต้องอาบัติ ปกปิดอาบัติ และถึงความลำเอียงด้วยอคติ ภิกษุเช่นนี้ เราเรียกว่า "อลัชชีบุคคล"
เปรียบเหมือนผู้หนึ่ง ตกเข้าไปในกองเพลิง เมื่อรู้ว่าเป็นกองเพลิงก็รีบออกหนี จึงจะพ้นความร้อน ถ้ารู้ว่าตัวตกเข้าไปอยู่ในกองเพลิงแต่ไม่ได้พยายามหลีกหนีออก จะพ้นความร้อน ความไหม้อย่างไรได้ ข้ออุปมานี้ฉันใด บุคคลผู้รู้แล้วว่า สิ่งนี้เป็นโทษแต่ไม่ได้ละเสีย ก็ไม่ได้พ้นจากโทษ เหมือนกับผู้ที่ไม่พ้นกองเพลิง ฉะนั้น
ต่อไปกราบพระพุทธรูปอย่างเดียวดีกว่า. ถ้าพระเถระยังตัดสินไม่ปาราชิก..จะไปฟังพระสงฆ์รูปไหนอย่างศรัทธาได้อีก
คำชีขาดของพระสังฆราชองค์ก่อนถือว่าชัดเจนมาก ท่านคือประมุขสงฆ์ที่ชาวไทยให้เคารพและศรัทธา100% แต่เหล่สเถระฯกลับละเมิดคำตัดสินของพระสังฆราชท่าน จะศรัทธาต่อได้อย่างไร มิน่า..คนพุทธถึงย้ายศาสนากันง่าย ย้ายแล้วแม้กระทั่งยกมือไหว้พระสงฆ์ยังไม่ทำเลย พวกเค้าคงรู้สึกอย่างเดียวกับที่เรารู้สึก.
คนเราเมื่อเกิดมา ก็เป็นแค่ ปุถุชนคนธรรมดาเหมือนกัน มีอย่างหนึ่งที่เหมือนกันและเท่ากัน คือ สติ.....แต่เมื่อเจริญวัยแต่ละคนมีหนทางเดินและแสวงหาความรู้แตกต่างกัน ขอแบ่ง 2 ทาง คือทางโลก และทางธรรม...ทางโลกคือการเรียนรู้การดำเนินชีวิตแบบชาวบ้าน การครองเรือน มีความรู้ทางโลก สูงสุดคือจบดอกเตอร์ว่าอย่างนั้น แต่ความรู้ทางโลกเรียนอย่างไรก็ไม่จบ เพราะเป็นทางที่มากด้วยกิเลส ที่ไม่รู้จักอิ่ม พอ ก็ได้แค่ความรู้ทางโลก จิตใจไม่ได้ยกระดับให้สูงขึ้น ส่วนทางธรรม ยังแบ่งเป็นอีก 2 สาย คือสายปฏิบัติเพื่อหาหนทางดับทุกข์ ชำระความยากภายในใจ ไม่ยึด ไม่ติด แต่ไม่ทิ้งโลก เพราะต้องอยู่กับโลกใบนี้ จนกายแตกดับไป ส่วนอีกสายคือสายเรียนเพื่อศึกษาธรรม เพื่อประกอบตนเองให้อยู่รอด เป็นนักศึกษา เคร่งตำรา อาศัยความจำ เข้าใจในภาษาธรรม แต่ไม่อาจเข้าถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ เพื่อขัดเกลากิเลสในใจตน แต่เรียนเพื่อแสวงหาลาภสักการะเท่านั้น เป็นกาฝากที่อาศัยพระศาสนาเลี้ยงชีพตน....มีคำสอนหลวงพ่อท่านหนึ่ง บอกว่า คนเราเกิดมา ได้แสวงหาความรู้ที่แตกต่างกัน ไม่ว่าพระหรือฆราวาส เมื่อเกิดมาก็เป็น ปุถุชนคนธรรมดาเหมือนกัน หากบุคคลใดพัฒนา เพื่อยกระดับจิตใจตนในทางคุณธรรม ลด ละ เลิก สิ่งไม่ดี ชำระล้างจิตใจให้สะอาด ตามลำดับ จนถึงที่สุด จนไม่มีเชื้อกิเลสในจิตใจ ลำดับบุคคลนั้นเรียง เป็น ปุถุชน ปัญญาชน และอริยบุคคล ได้ด้วยกันหมด.....ใครจะเดินแนวทางไหนก็เป็นสิทธิของแต่ละคน....จะรู้และมีปัญญาแบบโลก ๆ แบบชาวบ้าน ..... หรือจะรู้และมีปัญญาแบบทางธรรม ก็เลือกเอา.....พระศาสนานี้ ไม่สิ้นอริยบุคคล ตราบใดยังมีผู้ประพฤติตามแนวทางที่พระสุคตเจ้าตรัสสอนไว้...จึงไม่ต้องห่วงครับว่าจะสิ้นเอกสาวกของพระองค์..ที่ท่านปิดตัวมีมาก...ลองเดินหาติดตามหาดูบุคคลประเภท...นี้...น้ำลึก....เงาลึก น้ำลึก....เงาตื้น...สองประเภทนี้คือ พระแท้ ส่วนประเภท น้ำตื้น.....เงาลึก และ น้ำตื้น...เงาตื้น...มีมากครับ...ที่น่ากลัว ระวังประเภท น้ำตื้น ....เงาลึก...แล้วกัน...ดูยาก เช่น อดีตพระยัตระ พระนิกร พระภาวนาพุทโธ ล่าสุดเณรคำ...จัดในประเภท น้ำตื้น...เงาลึก...ระวังถูกหลอกเอาง่าย ๆ ครับ
แลไม่ลง ปลงไม่ได้ ขายศาสนา บ้าลาภยศ หมดสมณะเพศ เปตรทั้งค้าว เข้าพวกพ้อง มัวหมองธรรม กรรมจริงๆ ธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้ามหัศจรรย์จริงหนอ ข้าพระพุทธเจ้าขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์เจ้า และพระสมมุติสงฆ์เจ้าผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นสรณะตลอดชีวิต สาธุๆๆ
พะพรม รับไปเท่าไรจ้ะ
พวกแมลงวันไหนเลยจะตอมกันเอง เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
แล้วตอนยักยอกไปถือว่าไม่เจตนาหรือว่ะ 5555555555 นี่หรือว่ะนิกายใหม่ ต่อไปไปเสพเมถุนก็บอกไม่เจตนาอีกเพราะผมชักออกแล้วววว 55555555 อีกอย่างถ้าไม่คืนก็โดนคดีอาญาดิ ปัญญามีไหมว่ะท่าน ร่วมมือกันปกป้องอรัญชี กรูขำว่ะ เสื่อมจิงๆ
มหาเถรท่านตัดสินถูกต้องแล้วครับ ธรรมชัยโยไม่ปาราชิกแน่นอนเพราะว่าเขาไม่ได้เป็นพระ เมื่อไม่เป็นพระก็ไม่ต้องปาราชิก เขาเรียกว่าพวกอุปชีวิกา แปลว่าพวกที่เข้ามาอาศัยผ้าเหลืองบังหน้าหลอกชาวบ้านหากิน. ในสมัยพระพุทธองค์ยังมีพระชนชีพอยู่พวกนี้ก็มากมายจนมาถึงสมัยพระเจ้าอโศกทรงกวาดล้างพวกนี้ จนนำผ้าเหลืองมองสูงเพียงปราสาท ในประเทศไทยก็มีการกวาดล้างพวกคนห่มผ้าเหลืองสมัยพระเจ้าตาก ตามที่มีท่านผู้รู้กล่าวไว่ว่าได้พิสจน์โดยให้ดำน้ำใครดำได้นานก็เป็นพระแท้ ปรากฏว่าตายหลายร้อยไม่รู้ว่าแท้หรือเทียม สมัยนี้คงทำไม่ได้แน่เพราะอเมริกาคงไม่ยอมเพราะจะโดนข้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชน เรื่องคำสอนเกี่ยวกับวิชาธรรมกายของหลวงพ่อสดถ้าอยากรู้ความจริงต้องถามหลวงพ่อจรัญวัดอัมพวันสิงห์บุรี เพราะท่านก็สำเร็จวิชานี้จากหลวงพ่อสดและหลวงพ่อสดก็พูดไว้ว่าวิชาธรรมกายเป็นเพียงอภิญญาใช้ในการทำมาหากินในทางโลกเท่านั้น แม้หลวงพ่อสดเองสุดท้ายยังต้องไปเรียนการเจริญสติปัฏฐาน ยุบหนอพองหนอ กับเจ้าคุณโชดก วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ มีหลักฐานชิ้นหนึ่งที่หลวงพ่อสดเขียนด้วยลายมือของท่านที่ให้ไว้กับหลวงพ่อจรัญ มีตอนหนึ่งระบุชัดเจนว่า วิชาธรรมกายไม่สามารถนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ แต่ใช้ในการทำมาหากินในทางโลกเท่านั้น จึงไม่แปลกใจที่ธรรมชัยโยสามารถมีเงินเป็นหมื่นล้าน เขาอาจสำเร็จวิชานี้จริงก็ได้ แต่คำพูดที่หลวงพ่อสดสอนคาถาเรียกเงินให้คนคือ ยิ่งให้ยิ่งได้ไม่อด หมดแล้วก็มีมา ยิ่งหวงยิ่งหดหมดแล้วไม่มา ไปตีความเองนะครับ ผมเห็นว่าเราชาวพุทธควรจะมาช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนากันดีกว่าด่ากันไปโต้กันมา จะมาว่าเรื่องของพระชาวบ้านไม่เกี่ยวไม่ได้ ถ้าพระและคนห่มผ้าเหลืองพูดเช่นนั้นก็ให้เหล่าท่านไปปลูกข้าวกินเองไม่ต้องไปอุ้มบาตรขอเขา เพราะพระพุทธเจ้าท่านฝากพระพุทธศาสนาไว้กับพุทธบริษัท4 พวกเราก็เป็นสองพวกคืออุบาสก อุบาสิกา ที่จำเป็นต้องช่วยกันดูแล รวมทั้งอำนาจทางกฏหมายบ้านเมืองต้องจัดการเหมือนสมัยพระเจ้าอโศกทำ ถ้าเอากฏหมายเข้ามาควบคุมอีกต่อหนึ่งโทษทางวินัยก็จะศักดิ์สิทธิ์ เช่นใครต้องโทษปาราชิกต้องจำคุก ๑๐ ปีขึ้นไปถ้าหนีมีอายุความ๒๐ปี อย่างนี้จะไม่มีใครกล้า แต่ ทุกวันนี้ ต้องอาบัติแล้วสึกเฉยๆแถมไปบวชที่วัดอื่นหลอกลวงชาวบ้านอีก เราชาวพุทธต้องตื่นแล้วละครับมาช่วยกันดูแล ขอขอบคุณ ที่อ่าน จากใจจริงครับ จากบัวใต้น้ำ
อธิบายได้ถูกใจ และถูกต้องที่สุดครับ
ถ้ามันจะเป็นแบบนี้ วันข้างหน้าจงจำไว้ว่าถ้าคนหมดความศรัทธาความเลื่อมใสในศาสนาพุทธ ก็เพราะว่ามีพระสงฆ์แย่ๆแบบนี้
ตามหลักพระวินัย จิตลักขโมยในอาบัติปาราชิกข้อนี้รู้ได้ยาก ต้องให้ผู้สงสัยในอาบัติปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาดูก่อน ถ้าสมถะและวิปัสสนาเกิดได้ก็รอดปาราชิก ถ้าสมถะและวิปัสสนาเกิดไม่ได้แสดงว่าศีลขาด ไม่เป็นภิกษุแล้ว โปรดวินิจฉัยตามพระวินัยเถิด เพราะพระวินัยคือพระศาสดาที่แท้จริง
เอาของวัด ไปเป็นของตัวเอง ต่างกรรม ต่างวาระ หลายครั้ง บอกว่าไม่ได้เจตนา งง. กับตรรกะของมหาเถระ ไม่ยึดพระธรรมวินัย!!!!ยุบเถอะ
+ไนน์ทีม ออแกไนเซอร์
สวัสดีครับ
ที่มีการกล่าวหาโจมตีพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ว่าโกงที่ดินวัดไป แล้วพอโดนทักท้วง จึงยอมคืนที่ดินให้กับวัด เรื่องนี้มีเรื่องราวความจริงอย่างไร ?
ตอบ ความจริงมีดังนี้
1. ญาติโยมที่เป็นผู้ถวายที่ดินยืนยันว่า ตั้งใจถวายที่ดินแด่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย) เพราะมีความศรัทธาในตัวท่าน ในโฉนดที่ดินก็ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า เจ้าของที่ดินเดิมถวายพระราชภาวนาวิสุทธิ์ เพื่อใช้ในกิจการพระพุทธศาสนา
2. หากถวายวัด ที่ดินนั้นจะกลายเป็นธรณีสงฆ์ ซึ่งมีข้อจำกัดในการใช้งาน คือ ไม่สามารถใช้สร้างวัดใหม่ขึ้นมาได้ แม้ว่าจะอยู่คนละจังหวัด เพราะจะกลายเป็นวัดซ้อนวัด ถือว่าผิดพระวินัย
3. เจ้าของที่ดินหลายแปลงได้เดินทางมาเป็นพยานในศาล ยืนยันว่า ตั้งใจถวายที่ดินแด่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ เป็นการส่วนตัว เพราะศรัทธาในการทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาของท่าน
4. เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาที่เป็นโจทก์ฟ้องร้อง กลับแย้งเจ้าของที่ดินว่า เมื่อเขียนในโฉนดว่า ถวายพระราชภาวนาวิสุทธิ์ เพื่อใช้ในกิจการพระพุทธศาสนา แสดงว่าต้องถวายวัด ซึ่งคำพูดนี้ ถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่ขัดต่อความเป็นจริงมาก เพราะเจ้าของที่ดินได้ยืนยันแล้วว่า ถวายที่ดินแด่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ แต่เจ้าหน้าที่กรมการศาสนากลับทำตัวรู้ดีกว่าเจ้าของที่ดิน แล้วหาเรื่องฟ้องวัด
5. เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาได้ยืนยันต่ออีกว่า “ ถ้าหากจะใช้ในกิจการพระพุทธศาสนา ที่ดินจะต้องเป็นของวัดเท่านั้น ”
เมื่อเจ้าหน้าที่กรมการศาสนาพูดอย่างนี้ ทนายจึงขอถามกลับว่า “หากพระราชภาวนาวิสุทธิ์นำที่ดินนี้ไปสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเผยแผ่ธรรมะ จะถือเป็นกิจการของพระพุทธศาสนาหรือไม่ ? ”
เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาตอบว่า “ไม่เป็นกิจการพระพุทธศาสนา ต้องเป็นวัดอย่างเดียวเท่านั้น ”
จากนั้นทนายก็ถามต่อว่า “ แล้วพุทธมณฑล ซึ่งไม่ได้เป็นวัด ถือเป็นกิจการพระพุทธศาสนาหรือไม่ ? ”
เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาหยุดคิด ! จึงทำให้ทนายพูดย้ำทันทีว่า “คิดให้ดีก่อนตอบ เพราะมีพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จด้วย ”
จากนั้นเจ้าหน้าที่กรมการศาสนาจึงตอบว่า “พุทธมณฑลขอยกเว้น ถือเป็นกิจการพระพุทธศาสนา !”
*(อ้าว ! แล้วทำไมคราวนี้ ถึงยอมตอบว่าพุทธมณฑลเป็นกิจการศาสนา ทั้งๆ ที่ไม่ใช่วัด ตรงนี้น่าคิดไหม ??? แต่ทีพระราชภาวนาวิสุทธิ์ นำที่ดินที่เขาถวายมาสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมทำกิจกรรมพุทธศาสนาบ้าง กลับบอกไม่ใช่ !!! )
6. ดูจากเรื่องราวทั้งหมด สาธุชนผู้มีใจเป็นธรรม ก็คงจะตอบได้ทันทีว่า เรื่องนี้ถือเป็นการหาเรื่องกัน คือ เอาเรื่องไม่เป็นเรื่อง มาทำให้กลายเป็นเรื่อง เพื่อโจมตีวัด !
7. ปัจจุบันก็ยังมีสาธุชนจำนวนมากถวายที่ดินแด่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หรือ พระเทพญาณมหามุนีในปัจจุบัน) โดยทำพิธีถวายท่ามกลางสาธุชนเรือนแสน และได้เปล่งคำถวายถึง 3 รอบ ว่า.. “ถวายท่านเป็นการส่วนตัว ท่านจะนำไปใช้งานก็ได้ หรือหากที่ดินนั้นไม่เหมาะในการใช้งานจะนำไปจำหน่าย เพื่อนำทรัพย์มาใช้ในงานพระพุทธศาสนาก็ได้” ซึ่งมีการบันทึกวิดีโอไว้เป็นการยืนยันเจตนาของเจ้าของที่ดินตลอด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นมาอีก
8. การที่สื่อมวลชนลงข่าวว่า พระราชภาวนาวิสุทธิ์ “ คืน” ที่ดินให้วัด ถือเป็นการใช้คำที่ผิด ซึ่งก่อให้เกิดความเข้าใจผิดตามมาอีกมากมาย ทั้ง ๆ ที่ความจริง คือ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ได้ยกที่ดินดังกล่าวให้วัดพระธรรมกาย โดยที่ไม่ได้ยักยอกมาแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะอยากให้เรื่องจบ อีกทั้งยังเป็นการทำตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช เพื่อรักษาพระเกียรติของท่านด้วยความบริสุทธิ์ใจ
9. พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) ท่านบวชอุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนามา 46 พรรษาแล้ว เป็นผู้สร้างวัดพระธรรมกายและวัดสาขาทั่วโลก 161 แห่ง เผยแผ่ธรรมะสู่ประชาชนนับสิบล้านคน มีคุณูปการมากมายต่อพระพุทธศาสนา ปัจจุบันท่านอายุกว่า 70 ปีแล้ว ทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อการปฏิบัติธรรม และเผยแผ่ธรรมะสู่ประชาชน ดังนั้นการกล่าวหาว่า ท่านยักยอกที่ดินวัด ถือเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะหากเราเป็นท่านที่สร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมหลายแห่งมากับมือขนาดนี้ จะมายักยอกที่ดินที่เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมไปทำไม ? ในเมื่อที่ดินนั้นท่านก็ให้สาธุชนมาใช้ปฏิบัติธรรม !
“ สิ่งที่บุคคลผู้หนึ่งทำมาตลอดทั้งชีวิต เชื่อถือได้มากกว่าคำพูดโจมตีกล่าวร้ายของใคร ”
ดังนั้น...มส. ตัดสินถูกต้องแล้ว จะมาหาว่าท่าน " อุ้ม "หลวงพ่อธัมมชโยได้อย่างไร !!!
🌏โปรดอย่ามั่วนิ่มอีกเลย คดีนี้เคลีย์ และจบไปตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีข่าวเผยแพร่ออกไป (เพราะข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีเสียตังค์ ) เลยทำให้คนเข้าใจผิดมาตลอด ....
🌏อ่านมาถึงตรงนี้..เข้าใจยัง....?
+Teeratat Aroonpeang หรอครับ 9 ปีกว่าจะคืนนี่คือไม่ได้ตั้งใจหรอครับ 555 แปลก แต่ทำไม ท่านเกษมโกงเงินวันบ้าง เอาไปแค่ อาทิตย์เดียว จับศึกเฉย 555
+Teeratat Aroonpeang ขอบคุณครับสำหรับข้อมูลครับข้อความนี้ผมเคยอ่านมานานแล้วครับ แต่!!!!! ต่อให้เลื่อมใสอย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดคือการละซึ่งทุกสิ่ง ไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง ปล่อยวาง ยึดพระวินัยเป็นหลักครับ ส่วนญาติโยมจะถวายให้อย่างไรนั้นเป็นอีกประเดน สำคัญที่สุดคือรู้ทั้งรู้ว่าเอามาแล้วผิด ยังจะรับไว้ เหมือนที่ดินที่เกาะช้างนะครับ สุดท้ายก็เอาไปขายให้นายทุน รวยเละครับ.......สอนธรรมมะเป็นอัตรา นี่ก็ผิดแล้วครับ.........
Teeratat Aroonpeang มั่ว
ถ้าเพื่อนกูวิ้งราวสร้อยทอง หากโดนจับได้ แล้วคืนทอง ตำรวจจะจับใหมคับ
ในฐานที่ เป็นมหา เก่า เรื่องนี้ไม่ผิดปราชิก แน่นอนครับ แต่คำสอนของธรรมกายผิดแน่นอน เหมือนสมัยพุทธเจ้า ต้องสังคยานาหลักคำสอนใหม่ เพื่อไม่ให้ธรรมวินัยผิดเพี้ยน
อย่าไปว่าพระท่านเลยทุกวัด ถ้าท่านทำผิด หรือไม่ผิด ถูกหรือไม่ถูก ศีลของท่านจะด่างพร้อยไปเอง เอาตัวเราให้รอดกันก่อนครับ
โลกสวยสุดๆครับ แบบนี้ใครจะเป็นหูเป็นตาให้กับพุทธศาสนาละครับ สมติว่า เจ้าอาวาสวัด ก. มั่วสีกา ชาวบ้านรู้
คำถาม จะให้ชาวบ้านทำอะไร
ก. ชั่งมันเถอะตกนรกก็มัน
ข. ขับไล่พระและจับสึก
กราบนมัสการคับท่านผมไม่ทราบว่าท่านไม่รู้หรือว่าพระภิกษุมีเถยจิตอยากได้สิ่งของนั้นน่ะมันเป็นยังไงครับ-และอาการต้องอาบัติของพระภิกษุหกอยย่างน่ะท่านไม่รู้หรือครับ-น่าสงสารจริงๆนะท่านนะ
สึกไปเถอะคับ เลี้ยงเสียข้าวสุก
เอาที่ดินที่ญาติโยมบริจากให้วัดด้วยแรงศรัทธา มาใส่ชื่อตัวเองเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ !!!อย่างนี้จะให้เข้าใจเป็นอย่างไร? อย่าตะแบงดีกว่า
หอบ สมบัติ หนี ไปแล้ว
วิธีแก้ปัญหาพระพุทธศาสนาอย่างรอบด้าน...ตามแนวพระพุทธเจ้าและพระธรรมวินัย
๑.ยกเลิกสมณศักดิ์
๒.ใช้อาวุโสโดยพรรษาเพื่อลดความเป็นตัวตน
๓.ไม่ต้องมีพระสังฆราช พระสงฆ์มีศักดิ์เท่าเทียมกัน
๔.พระสงฆ์ทำหน้าที่ให้เกิดผลจริง สั่งสอนไตรลักษณ์ อริยสัจ ๔ ( ปล่อยวางซึ่งสุขในโลกธรรม ๘ ) พุทธพาณิชย์ต้องหมดไป ไม่เอาพระพุทธเจ้าเพื่อการค้า เอาพระธรรมเป็นข้ออ้าง และอย่าคงไว้แค่ผลประโยชน์แก่สงฆ์เพียงอย่างเดียว ผู้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือผิดพระธรรมวินัย ไม่พุทธแท้ พราหมณ์ ผี ให้มีองค์กรอิสระตรวจสอบพระธรรมวินัยโดยพุทธบริษัทเป็นผู้รักษาพระพุทธศาสนา
๕.ผู้หญิงสามารถบวชเป็นพระภิกษุณีได้ คงไว้พุทธบริษัททั้ง ๔
๖.หาวิธีให้พระพุทธศาสนา สอนให้เข้าใจง่ายๆ มีพระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม แต่ให้เป็นไปตามแนวธรรมอันใหญ่เป็นธรรมนูญ( พระยาธรรมิกราช ) จัดระเบียบองค์กร ให้ได้ประสิทธิผล
๗.ศาสนาอย่าสอน ให้พุทธบริษัทเกิดความกลัว ต้องใช้ความเข้าใจ นรก สวรรค์ นิพพานเป็นต้น
๘.สังคยนาใหม่ ให้ศาสนาไม่ควรเป็นเครื่องมือของอำนาจทางการเมือง ราชอาณาจักร แยก ศาสนจักรอย่างชัดเจน
๙.ศาสนาควรเข้าไปในวิถีชีวิต ศาสนาไม่ควรขัดแย้งกับทางโลก หรือการเมือง เป็นศาสนาที่เป็นคำตอบ มากกว่าตั้งเงื่อนไขใดๆ
มาฟังคลิป นี้ครับ อัยการสูงสุด สมัย16ปีก่อน ท่านพูดเอง ผ่านสื่อสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ มี3 ประเด็น ในเรื่องคดีที่ดิน
1.สมเด็จพระสังฆราช (เมื่อ16ปีก่อนนะครับ)ไม่คิดจะเอาความแล้ว
2.ทางหลวงพ่อ คืนที่ดินให้กับวัดแล้ว
3.ที่ดินนั้น เจ้าของพูดเอง (อัยการสืบพยานเจ้าของที่ดินแล้ว) ว่ายกที่ดินให้กับหลวงพ่อ ไม่ใช่ยกให้กับวัด
สรุปชัดเจนแล้วครับว่า หลวงพ่อ ไม่ผิดจริงๆ (นี้คือ ข้อมูลเชิงลึกที่คนที่เกี่ยวข้องจริงๆพูดเอง คนนอกที่ไม่เกี่ยวก็ควรจะยุติได้แล้ว) มหาเถรสมาคม ตัดสินได้ยุติธรรมที่สุดแล้วครับ
[youtube]th-cam.com/video/HrVcJe95MTY/w-d-xo.html[/youtube]
วินิจฉัยพระลิขิตตามหลักพระธรรมวินัย
๑.พระลิขิตบอกว่า "การโกงสมบัติผู้อื่น...." แต่วัดพระธรรมกายไปโกงสมบัติของใครกัน มีแต่ญาติโยมกล่าวปวารณาว่า "ขอถวายเป็นการส่วนตัว แล้วแต่หลวงพ่อจะนำไปขายหรือเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมตามอัธยาศัย" ก็ชัดเจนว่าไม่ใช่การโกง และเจตนาโกงก็ไม่มี ในทางพระวินัยก็ระบุไว้ชัดว่า " "ด้วยเถยยจิต" ท่านต้องวิเคราะห์ให้ดี หากไม่มีเจตนาหรือไม่มีเถยยจิต การจะไปกล่าวหาพระว่าเป็นอาบัติปาราชิกไม่ได้
๒.ยิ่งไปไล่บี้จะเอาเรื่องผิดกันอย่างเดียว ก็ไม่ใช่วิสัยของบัณฑิต และเข้าข่ายมหาโจร ข้อที่ ๓ ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า "......๓. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ย่อมตามกำจัดเพื่อนพรหมจารี ผู้หมดจด ผู้ประพฤติพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์อยู่ด้วยธรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์อัน หามูลมิได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๓ มีปรากฏอยู่ในโลก"
อยากให้สงบ ไว้ๆๆๆ ครับเราชาวพุทธ มันอ่อนไหวมาก
ที่จริงต้องผิดนะ ถึงแม้จะคืนที่ดินแล้วก็ตาม เพราะความผิดได้ทำไปแล้ว ไม่งั้นคนก็ทำแบบนี้ได้
ท่านเข้าใจผิดเรื่อง คสช. ครับ
คสช. ไม่ได้มาปฏิวัติ, คสช. มารัฐประหาร
ปฏิวัติ
คือการเปลี่ยนแปลงระบบอบการปกครองจากรูปแบบหนึ่งไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง เช่นจากระบบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นประชาธิปไดย (หรือไปเป็นระบอบอื่นๆ)
รัฐประหาร
คือการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารบ้านเมือง หรือคณะผู้บริหารบ้านเมือง โดยที่คงระบอบการปกครองเดิมไว้ เช่นการทำรัฐประหารรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร; เช่นการทำรัฐประหารรัฐบาลคุณทักษิณ ชินวัตร ฯลฯ....
;)
ไม่รู้นะ กูไม่กราบพระแบบนี้ โอเค นะ / ผมถามท่านตรงๆ ท่านอายบ้างมะ ในการที่ท่านพูดแบบนี้ ทีท่านพูดเด็กอนุบาลมันยังรู้เลย ว่าท่านพูดโกหก ปกป้องพวกพ้องกันเอง ถ้าท่านจะเอาแบบนี้ ก็ตามนี้เลย เอาเป็นว่า พระเถร ผมเจอที่ไหน ก็ไม่ยกมือไหว้ ให้เสียมือ - -
ข้าราชการบางคนไม่รู้มาเป็นได้ไง
เหมือนการ หว่านพืช หรือ ป่าว
เหมือนๆกับว่า"พระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช ผิด"ความคิดส่วนตัวคับ
1.ตามพระธรรมวินัย เอาของวัดมาเป็นปาราชิกไปแล้ว แต่ มส.บอกว่าอัยการสั่งไม่ฟ้อง เลยไม่ผิด แสดงว่าอัยการใหญ่กว่าพระธรรมวินัย 2.ปาราชิกเนื่องจากอวดอุตริ บอกว่าไปเจอสตีฟ จ็อบในสวรรค์ .............มองตามข้อเท็จจริง ปาราชิกไปนานแล้ว ........แต่ลูกศิษย์ธรรมกายก็มาอ้างโน่น อ้างนี่ ยึดพระธรรมวินัย ทุกอย่างจบ...
แค่ไปทำบุญวัดอื่นก็จบ....เมื่อขาดอาหารพญาธิก็ตายครับ
มันไม่ตายสิครับ เพราะความมันแยะอยู่ในฝากระโถนอ่ะ
พระเดี๋ยวนี้น่ากลัวจริงๆ
ใครดี ไม่ดี ถูก ไม่ถูก ผมไม่รู้ เอาตัวเองให้รอดก่อนๆที่จะสอนใครๆ (ส่วนตัวผม พระชัยบารมี พระพุทธองค์ เลิศสุด)
ผมถามนิดหนึ่ง.. ใครก้ได้ที่พอจะรู้จริง ...รู้สึกว่ารู้กันมากจังเลย...
วัดหรือพระโดยทั่วไปที่รับของบริจาค
โดยไม่รู้ว่าเจ้าของนั้นจะเอาเงินมาจากไหน แต่เขาเอามาบอกว่ามาทำบุญให้วัด
จะปราชิกไหม...
หรือถ้ามีคนร้ายหรือโจรปล้นเงินมาบริจาคหรือซื้อของถวายให้วัดหรือพระ
หรือมาใส่ตู้รับบริจาค โดยพระไม่รู้ พระทั้งวัด จะปราชิกหรือเปล่า
ปกติเวลาพระรับเงินบริจาค ท่านจะถามไหมว่า คุณไปโกงหรือยักยอกเงินใครมาหรือเปล่า..
ส่วนใหญ่คงไม่กล้าถาม น่าจะเจริญพรให้ได้บุญเยอะ ๆ ไปเลยมากกว่า
หากเป็นเรา หรือคนทั่วไป มีคนรักรู้จัก ศรัทธา คบหากันมาอยู่ดี ๆ บอกอยากช่วยเหลือ
เอาเงินมาฝากให้ในบัญชี หมื่นสองหมื่น โดยเราก็ยินดีรับ แต่คนที่ให้เรา ไปยักยอกหรือโกงคนอื่นมา กรณี อย่างนี้ ถือว่าตัวเราโกงหรือยักยอกไหม หรือรับของโจรหรือเปล่า..
.แล้วเราจะผิดไหม ติดคุกไหม...ผมสงสัย
ผมรู้ว่า .... ถ้าใครไม่ว่าพระหรือฆราวาสก็ตาม หากไปหลอกลวง หว่านล้อม ชักจูง หรือง่าย ๆ
ไปปล้น โจรกรรมเขามาเป็นของตนเอง อันนี้คุกแน่นอน...
Paikaw Keaw ถูกครับ ใครจะรู้ว่าของนั้นเขานั้นไปทำอะไรมาก่อนจะถวาย ถ้ามีคนเอากระเช้ามาให้ แล้วคนนั้นก็บอกคุณว่า เห็นคุณไม่สบายเลยมาเยื่ยมแล้วก็ให้กระเช้าดอกไม้ไป วันต่อมามีอีกคนมาท่วงบอกว่า กระเช้าอันเนียคนที่เอามาถวายท่านขโมยมาให้คุณ คุณผิด คุณบอกว่าไม่รู้แล้วบอกว่าจะคืนของให้ แล้วคืนให้ อย่างงิไม่ถูกหรอครับ เห้ออออ เหนื่อยจริงคนสมัยนี้
+Paikaw Keaw อย่างที่คุณพูดมาพระไม่หน้าปาราชิก ไม่หน้าผิด แต่ถามว่าถ้าฆราวาสรับของโจรถือว่าผิด ส่วนพระผิดไม่ผิดก็ต้องดูที่เจตนา ส่วนเงินทำบุญต่อมาถ้ามีคนมาบอกว่าเงินนี้เขาหยักยอกมา เมื่อรู้แล้วก็ต้องคืนเจ้่าของ ถ้าไม่คืนอันนี้ส่อเจตนารับของโจร โดยปกติ เงินที่จะฝากธนาคารเกิน 2 ล้าน มีการตรวจสอบที่มาเงิน ทางวัดเมื่อมีคนนำเงินมาถวายหรือมาบริจาคเกิน 2 ล้าน ก็ควรตรวจสอบ เหตุที่ไม่ตรวจสอบ ก็เพราะกลัวว่าต้องคืนเงิน
+bom nobom ผมขอต่อยอดจากคุณนะครับ เมื่อมีคนบอกว่ากระเช้านั้นเขาขโมยมา ให้คุณคืนเขาซะภายใน 3 วันนะ คุณก็ตกลง พอ 3 วัน คุณก็ยังไม่คืน เขาก็บอกว่าถ้าไม่คืนอีกคุณจะมีโทษนะ แต่คุณก็ไม่คืนโดยอ่างว่าของนี้ตนได้มาโดยสุจริตจากนั้นเจ้าของกระเข้าจรึงไปแจ้งความเอาผิด คนที่รับกระเช้าจรึงคืนให้เจ้าของเดิม
คำถาม คนที่รับผิดหรือไม่? มีเจตนาอยากได้ของคนอื่นหรือไม่? ถ้าไม่อยากได้ของคนอื่นจริงเจ้าของเดิมบอกให้เอามาคืน ทำไมคุณถึงไม่คืน?
ปล.การอาบัติดูที่เจตนาครับ
+bom nobom แถมถ้าเป็นบุคคลทั่วไปยังผิดฐานรับของโจรเหมือนกับถ้าสืบทราบได้ว่า มีส่วนรู้เห็นหรือไม่สงใสในทรัพที่ตนได้มาจากโจร
+Paikaw Keaw ประเดนคือ ถ้าถวายวัดของก็ยังเป็นของวัด แต่ดันเอาของวัดไปใส่ในชื่อตัวเอง ซึ่งพระธรรมวินัยเขียนไว้ชัดเจนว่าการยักยอกทรัพย์ที่ไม่ใช่ของตน (คนมาถวายวัดต้องเป็นของวัด) แต่ดันเอาไปใส่ชื่อตัวเอง เป็นของส่วนตัว เรียกว่ายักยอก ถึงจะเอาคืน แต่ก็ผิดคืดการขโมยของ เป็นปาราชิกชัดเจน ตามพระลิขิตของสมเด็จญาณฯ จบ!!!! ปล.พระธรรมวินัยไม่มีอายุความเหมือนกฏหมายบ้านเมือง พระธรรมวินัยคือกฏของสงฆ์ที่ตั้งขึ้นเพื่อรักษาสงฆ์ และพระพุทธศาสนา มหาเถรฯ ตะแบงครับ
พระทุกรูป บวชทำไมถ้าไม่ต้องการพ้นทุกข์ สึกเถอะแล้วอยากทำอะไรก็ทำ
สอนทัมปะหุยก สังคมควนเข้าใจดว้ยเถีด ไคไม้เข้าใจ กํ สืบต่สืกสากอ่น ที่จะออกมาให้ความคิดเหัน รู้จิงพยงใด ถืงได้ตัดสินว่าย่างนั้นย่างนี้ รู้เท่าไม้ถืงกาน ไม้ควนตัดสินห้นาจะดี...
พระชื่ออะไร วัดไหน....
ถ้าเอา มีดฟันกระบาล พวกมึง กูก็ไม่ผิด เพราะไม่เจตนา แล้วกูก็ขอโทด...ทรีทารมแล้ว จบข่าว นี่มัน นรกอเวจี ชัดๆๆๆๆๆๆๆ
เรื่องพระธัมชโยเมื่อไม่พบท่านแล้วจะดันทุรังกันไปถึงใหน
หรือจะให้มีเรื่องกันถึงตายจะได้อ้างว่าพระต่อสู้ขัดขวางเจ้าหน้าที่ทั้งๆที่พระมี่แต่มือเปล่าๆ
ถ้าโก่งแล้วพอ...ถูกจับได้...ก็ถึงจะยอมคืน....มส.บอกว่าไม่ผิด...ถามจริงๆเถอะ...มส.ทำแบบนี้....ไม่กลัว...คนไทย...เสื่อมสาดธาเหรอ....เป็นพระ...ควรล่ะกิเลสครับ
สาทุ ถูกต้องเจ้าคะ
ความผิด...สำเร็จครับ...เหมือนคดีปารีนาเปะ.
จะบาปไหมที่ตะบอกว่าพระ แถ.......
ได้บุญจ้า ไม่บาปหรอก เพราะพระที่สมรู้ร่วมคิดว่าไม่ผิดเพราะไม่มีเจตนานั้น ถือว่าขาดจากการเป็นพระแล้ว ไม่ต้องเรียกมีคำว่า พระ นำหน้า เพราะยังไงก็ปราชิกไปแล้ว
เถเละสมาคม...ยัดเงินไปเท่าไหร่นั่นไม่ผิดเฉย....พุทธศาสนา2500เลยมาแล้วจะค่อยๆเสื่อม
โกงไปแล้วพอถูกจับได้ก็เกิดกลัวความผิดที่จะตามมา ถึงได้คืนให้ โห...ท่านก็คิดได้เนอะว่าเขาไม่คิดโกง แมร่งเลี่ยงบาลีชัดๆ เป็นถึงชั้นพรหม ตอบได้คิดได้แบบท่าน ท่านนี่สวดยอดเลยครับ ตำแหน่งที่ได้มาไม่เลียขาก็ใช้เงินชื้อมา สาธุ เมื่อมีสุขอยู่แล้วก็ขอให้หมดจากสุขเมื่อตกทุกข์ก็ขอให้ทุกข์ยิ่งๆขึ้นไป อายุก็มากแล้วขอให้ไปนรกไวๆนะท่าน
ปล่อยมันไปเถอะ ไม่นานก็ตาย (เครียดเปล่าๆ) 555
ผีสักตนเคยเห็นหรือยัง ไม่กี่ปีก็ตายแล้ว ไปอยู่กับเพื่อนใน นรก กับเพื่อนๆ คุณ นะจ๊ะ
แล้วเรื่อง ปาราชิก ละท่าน
เอ้า สึก ไม่ สึก สึกไม่ สึก สราดดด สึกเถอะเพ่ๆๆๆๆ
โล้วห่มเหลือง แม่งยังวอก
กรรม ประเทศไทย
อายแทน
แต่ที่รู้ๆท่านที่กำลังพูดมีอาการประหม่า...ท่านละรับเงินทอนไปเท่าไรครับ
เดี๋ยวนี้..พระ..ก้อเป้งธุระกิจไปแล้วแบ่งแยก
17ปีเองเหรอพระลิขิตพระสังฆรา(สะเทือนใจ)
ไม่ผิดก็คือไม่ผิดครับ
ท่านไม่มีเจตนาโกงหรอก พอมีพระลิขิต ก็เลยคืน คืนไปแล้ว ไม่ได้โกง
แค่ระยะเวลาในการคืนมันตั้ง6-7ปีเลยนะ ทั้งๆที่พระสังคราชบอกให้คืนภายใน15วัน
ไม่เป็นธรรม
ตัวเองเลยปาราชิกก่อน?????????????????
เห็บเกาะผ้าเหลือง
bs
รู้จักอเวจีนรกไหมคับ
ท่านชั่ว หนิ่ครับ พระพรมเมธี
นัตถิโลเก ละโหณามะ
ชงกันเอง
corubtion monk
No shit
ไม่เห็นเกี่ยวกับปรองดองเลย ที่บอกว่าหลวงพ่อไม่เกี่ยวเพราะยังไม่เป็นกรรมการมหาเถรสมาคมนั้นแต่ตอนนี้หลวงพ่อได้เป็นกรรมการมหาเถรสมาคมแล้ว ท่านไม่ต้องไปย้อนหลังทำตรงนี้เถอะท่านพรหมจำนงค์
ผิดหรือถูกช่างมันทำตัวเราไห้ดีพอ
เกี่ยวอะรัยกับปรองดองครับ.ท่าน..รวมหัวช่วยกันก้อว่ามาเหอะ..การเมืองกับเรื่อง เจ๊ ธัมมะชโยมันคนนะเรื่องนะครับ
ความผิดสัมเร็จแล้ว ยังบอกว่าไม่ผิดอีก
dddsds mlkmlkm มึงไม่รู้อะไรอย่าเสือก
dddsds mlkmlkm กูด่ามันที่มันมาด่าในโพสกู มึงเป็นอะไร
DEVA HEAVEN 'ไพบูลย์' ลั่น สอบ มหาเถรสมาคม
นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช
ลั่น สอบ มหาเถรสมาคม มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ หลังมีมติรับรอง “ธัมมชโย” ไม่ปาราชิก ชี้เป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นโดยกฎหมาย จะต้องถูกตรวจสอบการทำหน้าที่...
DEVA HEAVEN ถ้ามันทำดีจริง ทำถูกจริง เค้าไม่ต้องมาตรวจสอบพระกันหรอก อีดอกโง่แล้วอวดฉลาด
แล้วเป็นเหี้ยอะไรด่าพระไม่ได้ ?
พระทำเลว แตะไม่ได้ ?
ไปอยู่ในกะลาไปอีดอก !!
ความผิดชัดๆๆเงินมันบังตามึงรึไง
ถ้าไม่ได้โกง ทำใมต้องคืนเงินให้แก่วัดด้วย (ธรรมกาย ธรรมโกย ธรรมโกง)
+suchat pukuntod
ลองอ่านดูนะครับไม่เข้าใจตรงไหนถาม
ที่มีการกล่าวหาโจมตีพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ว่าโกงที่ดินวัดไป แล้วพอโดนทักท้วง จึงยอมคืนที่ดินให้กับวัด เรื่องนี้มีเรื่องราวความจริงอย่างไร ?
ตอบ ความจริงมีดังนี้
1. ญาติโยมที่เป็นผู้ถวายที่ดินยืนยันว่า ตั้งใจถวายที่ดินแด่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย) เพราะมีความศรัทธาในตัวท่าน ในโฉนดที่ดินก็ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า เจ้าของที่ดินเดิมถวายพระราชภาวนาวิสุทธิ์ เพื่อใช้ในกิจการพระพุทธศาสนา
2. หากถวายวัด ที่ดินนั้นจะกลายเป็นธรณีสงฆ์ ซึ่งมีข้อจำกัดในการใช้งาน คือ ไม่สามารถใช้สร้างวัดใหม่ขึ้นมาได้ แม้ว่าจะอยู่คนละจังหวัด เพราะจะกลายเป็นวัดซ้อนวัด ถือว่าผิดพระวินัย
3. เจ้าของที่ดินหลายแปลงได้เดินทางมาเป็นพยานในศาล ยืนยันว่า ตั้งใจถวายที่ดินแด่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ เป็นการส่วนตัว เพราะศรัทธาในการทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาของท่าน
4. เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาที่เป็นโจทก์ฟ้องร้อง กลับแย้งเจ้าของที่ดินว่า เมื่อเขียนในโฉนดว่า ถวายพระราชภาวนาวิสุทธิ์ เพื่อใช้ในกิจการพระพุทธศาสนา แสดงว่าต้องถวายวัด ซึ่งคำพูดนี้ ถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่ขัดต่อความเป็นจริงมาก เพราะเจ้าของที่ดินได้ยืนยันแล้วว่า ถวายที่ดินแด่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ แต่เจ้าหน้าที่กรมการศาสนากลับทำตัวรู้ดีกว่าเจ้าของที่ดิน แล้วหาเรื่องฟ้องวัด
5. เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาได้ยืนยันต่ออีกว่า “ ถ้าหากจะใช้ในกิจการพระพุทธศาสนา ที่ดินจะต้องเป็นของวัดเท่านั้น ”
เมื่อเจ้าหน้าที่กรมการศาสนาพูดอย่างนี้ ทนายจึงขอถามกลับว่า “หากพระราชภาวนาวิสุทธิ์นำที่ดินนี้ไปสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเผยแผ่ธรรมะ จะถือเป็นกิจการของพระพุทธศาสนาหรือไม่ ? ”
เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาตอบว่า “ไม่เป็นกิจการพระพุทธศาสนา ต้องเป็นวัดอย่างเดียวเท่านั้น ”
จากนั้นทนายก็ถามต่อว่า “ แล้วพุทธมณฑล ซึ่งไม่ได้เป็นวัด ถือเป็นกิจการพระพุทธศาสนาหรือไม่ ? ”
เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาหยุดคิด ! จึงทำให้ทนายพูดย้ำทันทีว่า “คิดให้ดีก่อนตอบ เพราะมีพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จด้วย ”
จากนั้นเจ้าหน้าที่กรมการศาสนาจึงตอบว่า “พุทธมณฑลขอยกเว้น ถือเป็นกิจการพระพุทธศาสนา !”
*(อ้าว ! แล้วทำไมคราวนี้ ถึงยอมตอบว่าพุทธมณฑลเป็นกิจการศาสนา ทั้งๆ ที่ไม่ใช่วัด ตรงนี้น่าคิดไหม ??? แต่ทีพระราชภาวนาวิสุทธิ์ นำที่ดินที่เขาถวายมาสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมทำกิจกรรมพุทธศาสนาบ้าง กลับบอกไม่ใช่ !!! )
6. ดูจากเรื่องราวทั้งหมด สาธุชนผู้มีใจเป็นธรรม ก็คงจะตอบได้ทันทีว่า เรื่องนี้ถือเป็นการหาเรื่องกัน คือ เอาเรื่องไม่เป็นเรื่อง มาทำให้กลายเป็นเรื่อง เพื่อโจมตีวัด !
7. ปัจจุบันก็ยังมีสาธุชนจำนวนมากถวายที่ดินแด่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หรือ พระเทพญาณมหามุนีในปัจจุบัน) โดยทำพิธีถวายท่ามกลางสาธุชนเรือนแสน และได้เปล่งคำถวายถึง 3 รอบ ว่า.. “ถวายท่านเป็นการส่วนตัว ท่านจะนำไปใช้งานก็ได้ หรือหากที่ดินนั้นไม่เหมาะในการใช้งานจะนำไปจำหน่าย เพื่อนำทรัพย์มาใช้ในงานพระพุทธศาสนาก็ได้” ซึ่งมีการบันทึกวิดีโอไว้เป็นการยืนยันเจตนาของเจ้าของที่ดินตลอด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นมาอีก
8. การที่สื่อมวลชนลงข่าวว่า พระราชภาวนาวิสุทธิ์ “ คืน” ที่ดินให้วัด ถือเป็นการใช้คำที่ผิด ซึ่งก่อให้เกิดความเข้าใจผิดตามมาอีกมากมาย ทั้ง ๆ ที่ความจริง คือ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ได้ยกที่ดินดังกล่าวให้วัดพระธรรมกาย โดยที่ไม่ได้ยักยอกมาแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะอยากให้เรื่องจบ อีกทั้งยังเป็นการทำตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช เพื่อรักษาพระเกียรติของท่านด้วยความบริสุทธิ์ใจ
9. พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) ท่านบวชอุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนามา 46 พรรษาแล้ว เป็นผู้สร้างวัดพระธรรมกายและวัดสาขาทั่วโลก 161 แห่ง เผยแผ่ธรรมะสู่ประชาชนนับสิบล้านคน มีคุณูปการมากมายต่อพระพุทธศาสนา ปัจจุบันท่านอายุกว่า 70 ปีแล้ว ทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อการปฏิบัติธรรม และเผยแผ่ธรรมะสู่ประชาชน ดังนั้นการกล่าวหาว่า ท่านยักยอกที่ดินวัด ถือเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะหากเราเป็นท่านที่สร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมหลายแห่งมากับมือขนาดนี้ จะมายักยอกที่ดินที่เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมไปทำไม ? ในเมื่อที่ดินนั้นท่านก็ให้สาธุชนมาใช้ปฏิบัติธรรม !
“ สิ่งที่บุคคลผู้หนึ่งทำมาตลอดทั้งชีวิต เชื่อถือได้มากกว่าคำพูดโจมตีกล่าวร้ายของใคร ”
ดังนั้น...มส. ตัดสินถูกต้องแล้ว จะมาหาว่าท่าน " อุ้ม "หลวงพ่อธัมมชโยได้อย่างไร !!!
🌏โปรดอย่ามั่วนิ่มอีกเลย คดีนี้เคลีย์ และจบไปตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีข่าวเผยแพร่ออกไป (เพราะข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีเสียตังค์ ) เลยทำให้คนเข้าใจผิดมาตลอด ....
🌏อ่านมาถึงตรงนี้..เข้าใจยัง....?
เหอะๆ จริงเท็จแค่ไหนใครจะรู้ แม้แต่คนโพสยังไม่กลัาเปิดเผยตัวเอง แก้ตัวไปก้ไม่มีใครเข้าเชื่อหรอก
+Teeratat Aroonpeang อ๋อหรา ที่ได้มานี้ เอามาจากไหนหรอท่าน อย่าโกหกเลยครับ คนปกติเค้าไม่ได้เมาบุญ เอาเงินซื้อสวรรค์เหมือนพวกฝากระโถน นะคร๊าบบบบ
ใครจะไม่อยากปรามาสพระก็ถอยไป เพราะผมจะทำ เหตุคือ ถ้าพระที่เป็นระดับอริยสงฆ์แล้ว ท่านจะตรงต่ออรรถต่อธรรม ถ้าอย่างนี้ผมจะไม่ปรามาส แต่พระที่ทำตัวเป็นศรีธนญชัยไม่ตรงต่ออรรถต่อธรรมไม่สนใจพระธรรมวินัย ประเภทนี้ก็คือแค่คนธรรมดาโกนหัวโกนคิ้วห่มผ้าเหลือง อย่างนี้ถ้าจะปรามาสก็ไม่แปลก ถ้ามันผิดอย่างนั้นแล้ว คนด้วยกัน ไม่พอใจกันปรามาสกันก็ตกนรกอเวจีสิ
ความเป็นพระสงฆ์น่ะไม่ใช่ได้มาด้วยการโกนหัวโกนคิ้วแล้วห่มผ้าเหลืองเท่านั้น การประพฤติปฏิบัติต่างหากที่จะทำให้เป็นสงฆ์ขึ้นมาได้ และการยอมรับในตัวพระสงฆ์ก็ไม่ใช่ว่าจะเพราะบวชมานานหรือเป็นมหา หรือปธ.9 หรือมีสมณศักดิ์สูง ประชาชนจะยอมรับนั้นก็ด้วยข้อวัตรปฏิบัติที่ดี ตรง ออกจากทุกข์ และสมควรแล้ว อย่างนี้ต่างหากจึงจะเป็นสงฆ์ ที่เหมาะที่ควรแก่การกราบไหว้เทิดทูนบูชา
อ๋อ อีกอย่าง ถ้าเป็นพระธรรมดาผมจะไม่ว่านะ ปล่อยท่านขัดเกลากิเลสตัวเองต่อไป แต่นี่พระระดับปกครอง สมควรต้องรักษาธรรมรักษาวินัยสงฆ์ จัดระเบียบสงฆ์ให้งาม หรือว่าแต่ละรูปจะเป็นวัวสันหลังหวะก็ไม่รู้นะถึงต้องช่วยกัน เพราะต่างคนก็ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ กลัวจะโดนแฉ อันนี้ก็ไม่รู้นะ
ปกป้องคนๆเดียวเพื่อให้หนีความชั่วโดยไม่มองถึงหลักของศาสนา
อย่าไปยอมมันพวกเหี้ยนี้ต้องการทำลายศาสนา
ประธานเถรสมาคมก็เป็นอุปัชฌาย์บวชให้ธัมชัยโย
ลูกศิษย์ชั่วยังปกป้อง ถุย ต่อไปนี้เราก็คว่ำบาตรมหาเถร
ไม่เอายกเลิกกรมศาสนาเพราะมันเป็นลัทธิโกงเงินหลอกลวงประชาชน
โจรปล้นร้านทองพอโดนจับได้โจรคืนทองให้ร้านทอง ถามว่าโจร ก็ไม่ต้องติดคุกสินะครับ เพราะได้คืนทองให้เจ้าของร้านทองแล้ว (ไอ้มหาเถรสมาคมหุ่นเชิดขายศาสนาหาแดกกับเงินไม่เท่าไหร่สมองไม่มีความเป็นพุทธอยู่ในสันดาน)
อยากให้ไปศึกษาพระวินัยในเรื่องของปาราชิกก่อน ว่าอะไรคือปาราชิกข้อนี้ (ทุติยปาราชิกสิกขาบท) แล้วค่อยออกมาวิพากษ์วิจารณ์.
1.ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้
2.กล่าวอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่จริง
นี่แหละที่เห็นชัดๆ ผิดไป 2ข้อแล้ว
+dddsds mlkmlkm ใช่เลย
คนไม่ผิดจะให้ตัดสินว่าผิดได้อย่างไร คนไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็ไม่คิดจะศึกษาให้ดี สื่อไทยมีความละเอียดอ่อนมาก คนรับสื่อต้องพิจารณา คำว่าข่าว มันไม่ใช่สิ่งที่มีอะไรวัดตายตัวว่ามันเป็นเรื่องจริงก็อยากให้ เอาคำว่า อคติตามข่าวลือทิ้งไปก่อน แล้วถ้าสงสัย อย่าไปถามคนไมรู้จริง ถ้าอยากให้แน่ใจ พิสูจน์ให้เห็นกับตา แล้วจะรึ้เองครับว่าอะไรเป็นอะไร นี่ผมบอกแนวทางแล้วนะ ผมไม่มีหลักฐานชี้ขาดหรอกว่าใครผิดใครถูก แต่ที่แน่นอนที่สุดคือ คุณพิสูจน์เองได้
ถถถถถ ไม่ผิด
เขาก็บอกอยู่ว่า ยักยอกไป ต้องคืนแล้วจะไม่ผิดไม่ต้องปราชิก ต้องแปลไทยเป็นไทยมั้ยท่าน
สงสารแปลให้ : จิ๊กของวัดไปเป็นของตัวเองแล้ว....พระเถรสมาคมบอกว่าให้เอามาคืนวัดซะ แล้วถือว่าจบกัน คือ จิ๊กไปแล้วไง ขโมยนั้นแหละ
พระถือศีล 227 ข้อ ฆราวาสถือศีล 5 ข้อ นี่ก็ผิดตั้งแต่ข้อ 2,4 แล้ว
กุว่ามึงโชโง่ไปนะ กฎพระ ยักยอกแค่1 บาท จะเจตนาหรือไม่เจตนา ก็ปาราชิก จริงๆไม่ต้องรอพระลิขิตหรอก มันเป็นกฎวินัยของสงฆ์อยุ่แล้ว
สาเหตุที่ทำให้ภิกษุ ต้องอาบัติ
(๑) ต้องอาบัติเพราะไม่ละอาย ๒) ต้องอาบัติเพราะไม่รู้ว่าเป็นอาบัติ
(๓) ต้องอาบัติเพราะสงสัยแต่ยังขืนทำลง (๔) ต้องอาบัติเพราะสำคัญว่าควรในสิ่งที่ไม่ควร
(๕) ต้องอาบัติเพราะสำคัญว่าไม่ควรในสิ่งที่ควร (๖) ต้องอาบัติเพราะลืมสติ
อยากอ่านเพิ่มเติมแก้โง่ กดหา Google ช่วยมึงได้
เจษฎาพร ถวิลพงษ์ จำเริญในธรรมยุทธ์
nattawut symai เพลง
เพลง
ผู้ใดทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลกรรมนั้น กฏแห่งกรรมมีจริง ขออย่ากล่าวล่วงเกินพระพุทธศาสนาเลยนะคับ เดี๋ยวจะเป็นเหตุให้ไปนรกกันใหญ่นะคับ
เปิดใจให้กว้าง ฟังพระท่านชัดๆ
ท่านพูดละเอียดเเละชัดเจนมากว่าทำไมไม่ปาราชิก
อย่าให้อคติบังใจ ท่านพูดไม่ถูกใจก็ด่าๆๆๆ
ถ้าคิดว่ามหาเถรสมาคมไม่ดี
ก็ไปบวช เเล้วสมัครไปเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมเองเลย
ผมฟังละ ละเอียดด้วยตอบได้คำเดียวว่าแถสุดๆ พระลิขิตผมอ่านมาละ พระสังคราชลิขิตใว้ พ.ศ.42 บอกให้คืนนะถายใน15 วันไม่งั่นจะปรับอาบัต แต่ธัมชัยโยไม่คืน พระสังคราช จริงมีลิขิต ปรับอาบัตธรรมชัยโย ถึงขนาดนั้นยังไม่คืนมาคืนอีกทีก็ปี49 เพราะคดีศาลกำลีงจะตัดสินเลยคืนเจ้าทุกจรึงถอนฟ้องเพราะเขาได้ทรัพคืนแล้ว
เวลาห่างกัน6-7ปีถึงจะคืนและตลอด6-7ปีก็สู้คดีมาตลอด แล้วไม่ให้คิดว่ามีเจตนาอยากได้ทรัพคนอื่นได้อย่างไร(โอนที่ดินเข้าในชื่อเจ้าอาวาสเป็นชื่อฆราวาสของตน)
เปิดใจให้กว้าง ฟังพระท่านชัดๆ
ท่านพูดละเอียดเเละชัดเจนมากว่าทำไมไม่ปาราชิก
อย่าให้อคติบังใจ ท่านพูดไม่ถูกใจก็ด่าๆๆๆ
ถ้าคิดว่ามหาเถรสมาคมไม่ดี
ก็ไปบวช เเล้วสมัครไปเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมเองเลย
ถ้ามันเป็นกันง่ายๆ ก็คงดีสินะ ไม่มีเส้นไม่มีสาย อย่าหวังเลยว่าจะได้เป็น มส
ใครบังตาใคร ไม่ต้องถึงเถรสมาคมก็ปราชิกแล้วท่าน
ลองไปดูข้อมูลในวิกิมีเดียสิแล้วจะกระจ่างอุปัชชาย์ของธรรมชโยปัจจุบันนี้ดำรงตำแหน่งแทนสังฆราชอยู่วัดปากน้ำ
รับเงินกันมาองค์ล่ะกี่สิบล้านล่ะถึงมีมติแบบนี้มันปราชิกแล้ว
กิเลสยังล่ะไม่ได้....ยังกล้าอ้างว่า...เป็นพระเถรอีกเหรอ....ถามจริงเถอะ....ไม่อาย...อุบาสก...อุบาสิกา...กันบ้างเลยเหรอ....เสื่อมหมด...ศาสนาพุทธ...
สึกไปเลยรู้สึกหน้าอายมากกับมติสงฆ์ที่ไม่มีธรรมวินัยทำตัวเป็นโจรในผ้าเหลือง
วินัยพระเขามีมาสองพันกว่าปีแล้วไอ้พวกเปรตห่มเหลืองดีไม่ดีพวกมึงก็ชิกด้วย
หลายคดีพวกเก่งทั้งหลายว่ายั่งงี้ผิดยั่งงั้นผิดก็ไม่รู้ไปดูเอกสารหลักฐานที่ว่าผิดที่ใหนเพราะไม่เห็นมีใครเอาหลักฐานในการทำผิดมาโชว์แต่ยืนยันว่าผิดผมยอมโง่ถ้าไม่มีหลักฐานไม่ว่าจะฝ่ายใหนที่เขาว่าผิดจะชอบหรือไม่ชอบผมก็ไม่เชื่อเพราะไม่มีหลักฐาน