ขนาดวิดีโอ: 1280 X 720853 X 480640 X 360
แสดงแผงควบคุมโปรแกรมเล่น
เล่นอัตโนมัติ
เล่นใหม่
พระมหาสมบูรณ์ ท่านเป็นพระที่แตกฉานในอรรถ ในธรรมมาก และยังเป็นนักปฏิบัติภาวนาที่เก่งด้วยครับ
ในประวัติศาสตร์ มีท่านเจ้าคุณนรรัตน์คนเดียวที่เป็นพระในเมืองสามารถทำตัวปลีกวิเวกและอยู่ในที่สัปปายะและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนบรรลุ อริยะสงฆ์ดังนั้นพระมหาสมบูรณ์จึงไม่มีทางเข้าถึงวิปัสสนากรรมฐานแม้แต่เศษเสี้ยว โดยเฉพาะวันวันออกมาพร่ำบน สอน ภาษามนุษย์ ทุกวัน มีแต่เกิดสัญญา ทางวจีกรรม แล้วเกิดมุสาวาจา เอาสิ่งที่ไม่รู้จริงมาปั้นแต่งตรรกะทางภาษามนุษย์ ยิ่งห่างไกล ความศิวิไลของธรรมะ(ชาติ)ที่ซับซ้อน แม้จะอธิบาย ให้พอเข้าใจได้บ้างก็ต้องใช้ตรรกะทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ (โดยเฉพาะ อนุภาค ของควอนตัมฟิสิกส์ อิเลกตรอน โปรตรอน และนิวตรอน(หรืออนุภาคปีศาจหรือจิตเดิม ที่ไม่ใช่เจตสิก)ในทางปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานต้องใช้เวลาอันยาวนานในที่สัปปายะ เพื่อทดลองความเป็นจริงของธรรมะชาติของตัวเอง ลองผิดถูกเหมือนวิทยาศาสตร์ บางครั้งใช้เวลาหลายภพชาติของความเป็นมนุษย์ จึงจะบรรลุธรรมดังนั้นจึงอย่าฝันจินตนาการมากว่าถึงความรู้แจ้งในธรรมะ
สาธุ สาธุสาธุ
ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่มีขัดแย้งกัน แต่จะเป็นไปตามลำดับขั้นตอนบริบทสถานการณ์
พระมหาสมบูรณ์พูดจาดี ดูสำรวมกว่าพระสิ้นคิดเยอะเลยครับ
ก็มันสิ้นคิด
มันแค่โล้น ห่มเหลือง ไม่ใช่พระ
หลง ในการพูดเพราะซะแล้ว พวกนี้ต้องเจอคอลเซ็นเตอร์
@@NaSingha @NaSingha แสดงว่าพระสิ้นคิดหยาบคายเหรอ ยิ่งปกป้องยิ่งตลก 🤣🤣🤣🤣
ไม่ขัดแย้งครับ ครูบาอาจารย์ผู้แตกฉาน ปริยัติกับปฏิบัติไม่มีทางขัดแย้งกัน
เมื่อ อริยมรรคมีองค์แปด เกิดปรากฏขึ้นมา คือ การเกิดปรากฏขึ้นมาของ เส้นทางเจโตวิมุตติ และ เส้นทางปัญญาวิมุตติ ก็คือคนเดียวกัน แล้ว จะตีตัวเองได้อย่างไร แล้วจะขัดแย้ง กับ ตัวเอง ได้อย่างไร
การเกิดปรากฏขึ้นมาของ เส้นทางเจโตวิมุตติ ละนันทิ เจริญอานาปานสติ จะเกิดปรากฏขึ้นมาเหมือนๆ เพราะว่า นิพพาน จะต้องเกิดปรากฏขึ้นมาเหมือนๆกันนั่นเองค่ะการเกิดปรากฏขึ้นมาของ เส้นทางเจโตวิมุตติ ละนันทิ เจริญอานาปานสติ ก็จะมีการเกิดปรากฏขึ้นมาของ ศีล สมาธิ ปัญญา สมถะ วิปัสสนา อานาปานสติ และ จะมีการเกิดปรากฏขึ้นมาของ สมาธิสัญญาเวทยิตนิโรธ คือ นิพพานในส่วนของการเกิดปรากฏขึ้นมาของ เส้นทางปัญญาวิมุตติ สั่งสมสุตตะ ก็จะแตกต่างกันออกไป เพราะว่า คำสอนของพระพุทธเจ้า มีเยอะ การเกิดปรากฏขึ้นมาของ เส้นทางปัญญาวิมุตติ พระสารีบุตร จะเกิดปรากฏขึ้นมาเยอะกว่า พระโมคคัลลานะ นั่นเองค่ะ เส้นทางเจโตวิมุตติ คือ การเกิดปรากฏขึ้นมาของ อริยมรรคมีองค์แปดเส้นทางปัญญาวิมุตติ คือ เห็น การเกิดปรากฏขึ้นมาของ อริยมรรคมีองค์แปด นั่นเองค่ะเห็น สัมมาทิฏฐิ เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้นมานั่นเองค่ะในส่วนของเส้นทางเจโตวิมุตติ สัมมาทิฏฐิ เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้นมาแล้ว นั่นเองค่ะ เส้นทางเจโตวิมุตติ และ เส้นทางปัญญาวิมุตติ จึงไม่มีความขัดแย้งกัน แน่นอนนั่นเองค่ะ
ใช่ครับพระพิเรนจะพูดแบบพิเรนๆ พระผู้ปฏิบัติฟังแล้วสบายหูสบายใจ
พุทธเราไม่เน้นตีกับศาสนาอื่น เน้นตีกันเอง😂😂😂
ถูกต้องครับ
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปริยัติเป็นเหตุให้ปฏิบัติ.เป็นเหตุเกิดปฏิเวธพระพุทธองค์ทรงสอนให้ใช่หู(สุตตะ)ฟังจนเข้าใจคลองปากขึ้นใจนำไปปฏิบัติไปตามธรรมตามกาล../.(อ่านไปปฏิบัติไปตามธรรมตามกาล)ก็ได้ผู้รู้จะไม่ไปเพ่งโทษผู้อื่น
สุดยอดทั้งสองท่านคงรับ ได้ความรู้ในการปฏิบัติธรรมมาก ผมชอบฟังทั้งสองท่านนั่งสมาธิไปด้วย หากใช้ปัญญาฟังโดยไม่มีอคติกับท่านใดท่านหนึ่ง ผมชอบคนรับนำเอาส่วนที่ดีที่ถูกต้องมาใช้
มั่วทั้งสอง
ไอ้พระสิ้นคิดมันพูดจาหยาบคายขนาดนั้นยังว่าดีหรอพวกท่าน
ปริยัติ,ต้องรู้ก่อน ปฏิบัติคือทนทางไปสู่, ปฏิเวท
เรียนก่อนค่อยไปปฏิบัติคือถูกทาง เรียนไปปฏิบัติไปนั่นแหล่ะดืที่สุด
@@tanaproung2905 อย่ามัวแต่เรียนนานแค่พอรู้ทางก็เริ่มปฏิบัติเลยนะค่ะเราไม่รู้วันตายค่ะสาธุ
ถ้าหวังนิพพาน จะติดเป็นสัญญา ถ้าไม่มีครูอาจารย์ช่วยแก้จะผ่านยาก จากประวัติหลวงตามหาบัวครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่ความถนัดครับ เหมือน พระโมคคัลลานะ กับ พระสารีบุตร พระสารีบุตรความรู้มากเรียนมาก บรรลุช้ากว่าพระโมคคัลลานะ เพราะความคิดมากกว่า แต่พระสารีบุตรจะสามารถสอนพระได้มากกว่า เพราะจะแก้ได้ทั้งทางปฏิบัติ และปริยัติ ครับ
ปฏิบัติก็ต้องมีครูผู้รู้แจ้งทางนิพพานก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าได้ครูไม่ดีก็จะพาหลงโลกหลงทาง เพราะทางนิพพานมันซ่อนเงื่อน หลงแล้วเสียเวลานานอาจตายเสียก่อนพบ
@@tanaproung2905 ตามโพธิปักคิยะธรรมเลยจ้า
เรียนรู้หลักการ แล้วปฏิบัติตามเลยครับ ทำความเห็นให้ตรง.เป็นสัมมาทิฏฐิ.@@ราตรีฟูจินามิ
สาธุครับพระอาจารย์ท่านบรรยายธรรมได้แจ่มแจ้งง่ายต่อการฟัง สาธุครับ
ใครเป็นคนบอกว่าสิ้นคิดเป็นพระปฏิบัติ😂 หลายเรื่องพูดผิดจากหลวงปู่มั่นและศิษย์หลวงปู่มั่นเช่นหลวงปู่เทสก์ ศึกษาให้มากกว่านี้หน่อยนะ#สิ้นคิด
ไม่ใช่แค่5+5นะครับที่จะเท่ากับ103+78+26+4ก็เท่ากับสิบ😂😂😂
กรรม จำแนกสัตว์คนเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน พระปฏิปทาปฏิบัติดีใช่ว่าจะเหมือนกันทุกองค์ถ้าหลวงตาไม่ดีจริงคงจะไม่มีคนไปร่วมสังฆกรรมกับท่านที่วัด 700-800 คน รวมพระสงฆ์และแม่ชี และทั่วประเทศอีกไม่รู้กี่แสน
พระสิ้นคิดไม่ดีก็คือตัวท่าน ดีก็ตัวท่าน ขึ้นอยู่ที่ความพอใจของแต่ละท่านที่จะยกย่องศรัทธา สำหรับเราชอบผู้คิดดีพูดดีทำดีไม่ว่าผู้นั้นเป็นใคร
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธต้องไปด้วยกัน ปริยัตอันตรธานเมื่อใด ปฏิบัติ ปฏิเวธก็หายตาม
ถูกต้องที่สุดครับ
ใช่ครับ พระสิ้นคิดไม่รู้ธรรมจริง จึงบอกว่าขัดแย้งกัน ดังนั้นจึงปฎิบัติตนไม่ถูกต้องทั้งกายและวาจา
สิ้นคิดนั่นแหละตัวอันตรายที่สุด ปริยัติ ปฏิบัติ ไม่เคยขัดแย้ง ที่แย้งเพราะตัวเองปฏิบัติผิดต่างหาก
😅😅😅 ท่านไม่ค่อยนิ่งยังไงไม่รุ้
ไปตำหนิภิกษุ ตัวท่ทนเองเคยไผถามข้อสงสัยกับเจ้าตัว คือ ตัวภิกษุเองไหม !? หรือมีความรู้จากตำรับตำรา แฃะการปฏิบัติเองไหม !?พระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ได้ บอก สอน อธิบาย ไว้อย่างบริสุทธิ์ บริบูรณ์ สิ้นเชิง ! พระวินัย พระสูตร นี้เข้ากันได้หมด ที่ขัดคือพระอภิธรรม ครับ มีขัดกับพระวินัยและพระสูตรมากๆ เช่น เรื่องการทำน้ำมนต์ บวงสรวง ทำยันต์กันบ้าน ยันต์กันรถ ฯลฯและคำว่า “อุปาจาระสมาธิ มีเจอแค่ในอภิธรรม (อรรถกาถาเท่านั้น) ไม่พบเจอจากพระวินัย และพระสูตร ที่้ป็น พุทธพจน์เลย แต่ง เติมมาใช่ไหมครับ ผมเคยเห็นเขาเขียนในอรรถกถาว่า ”แต่งขึเนใหม่“ ไหนบอกว่าห้ามแต่งเพิ่ม ห้ามเติมไง !? สรึปพุทธที่แท้ จริง คือ อย่างไร ? ธูป เทียน สายสิญ ย์ ตารปัต ผ้ากราบ โกนคิ้ว ฉันอาหาร 1 หรือ 2 มื้อ ภิกษุรับเงิน-ทองได้ไหม ? ภิกษุชักชวนชาวบ้านมาสร้าง ก่อสรา้ง ขุด ได้ไหม ?
ปฎิบัติไม่ผืดท่านสิ้นคิดท่านรู้เท่านี้ที่ท่านทำไม่ผิดแต่ไม่ใช่ทาง
@@takull850 เท่าที่ผมได้ศึกษาพระสูตร และไตรปิฎกฉบับหลวงมา(6-7ปี) พระพุทธเจ้าเคยพูดว่า “อย่าคิดว่าสิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ! ”ในมรรค(ข้อปฏิบัติ) ที่เป็นแก่นจริงๆ เพื่อเข้าสู่ความลด ละ สละ วาง จนถึงนิพพาน แก่นจริงๆ คือ โพธิปักขิยะธรรม 37 ประการ (แยกเป็น สติปัฐฐาน 4, สัมมัทปฐาน 4, อิทธิบาท4, อินทรีย์ 5, พละ 5, โพชชง 7, มรรค 8) ส่วนใครจะมีปัญญา หรือความถนัดด้่นไหน ก็ขึ้นอยู่แต่บะบุคคล เป็นทางเข้าถึงได้โดยรอบครับการที่ภิกษุ ไม่ตรงเป๊าะ ก็ให้ถือเอาแนวทางว่า แนวทางมุ่งสู่อะไร !? มีกระทำผิดวินัย และพระสูตร ไหม ??
แปรว่าท่านพระสิ้นคิดรู้ไม่ถึงธรรม รู้บ้างไม่รู้บ้าง
พระสิ้นคิดเขาไปเรียนธรรมท้ายตลาดสดงูๆปลาๆผลออกมาก็อย่างที่เห็นละครับโวกเวกโวยวายอาศัยอารมและความเข้าใจส่วนตัวเป็นหลักไม่มองโลกปริยัติ สาธุครับ
ควรศึกษา ทั้งสองทาง เพื่อความถูกต้องตามที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้มีปัญญา เพื่อความหลุดพ้น น้อมกราบนมัสการค่ะ
น้อมกราบสาธุสาธุสาธุเจ้าค่ะ
พระที่ดีต้องมีสำรวมกาย วาจา ใจ
พระที่ดีไม่จำเป็นต้องถูกใจโยมเสมอไปครับ
สำรวมคือตอแหลไม่ใช่หรอ นิสัยแบบหนึ่ง แต่ต้องแสดงออกอีกแบบ ฝืนจิตฝืนใจตัวเอง ไม่ให้แสดงนิสัยด้านแย่ของตัวเองให้คนอื่นรับรู้ และแสดงแต่สิ่งดีๆ เพื่อจะได้มีคนศรัทธาเยอะๆ จะได้มีลาภสักการะ สำรวมแบบนี้ เขาเรียกตอแหลครับ แต่สำรวมของทางศาสนาพุทธ คือการไม่ส่งจิตออกนอก ไม่ส่งความคิดไปคิดร้าย เบียดเบียน อิจฉา พยาบาทใคร เพราะเปนเหตุแห่งมโนกรรม ไม่กล่าววาจา ตำหนิ ใส่ร้าย ยุยงให้ผู้อื่นเดือดร้อน อันเปนเหตุแห่งวจีกรรม ไม่กระทำการอันเบียดเบียน ทำร้าย ทำลาย ให้ผู้อื่นพบกับความเสียหาย อันเปนเหตุแห่งกายกรรม นี่ต่างหาก คือความหมายของคำว่าสำรวมในพระพุทธศาสนา ดังนั้น ตัดสินใคร อย่าตัดสินแค่ภายนอกครับ ความสำรวมเปนปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน
ดีทั้งสองอย่างครับ.ปริยัติก็เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน.ปฏิบีติก็เข้าถึงแก่นธรรม.เหมือนต้นไม้ก็มีทั้งเปลือกและแก่น.แก่นถ้าขาดเปลือกก็อยู่ไม่ได้.เปลือกอย่างเดียวก็อยู่ไม่ได้ครับ
ตัวเราต้องดี ไม่ใช่บุคคลอื่น
พระพุทธเจ้า แบ่งบุคคลออกเป็น4จำพวกเปรียบหนู 4จำพวก 1) หนูที่ขุดรู แต่ไม่อยู่รู 2)หนูที่ไม่ขุดรู แต่อยู่รู 3)หนูที่ขุดรูด้วย และอยู่รูด้วย 4)หนูที่ไม่ขุดรู และไม่อยู่รู พวกเรียนแต่ปริยัติอย่างเดียวเปรียบหนูขุดรู้ แต่ไม่อยู่รูขาดการปฏิบัติ เช่นพระอานนท์ ที่เพิ่งจะบรรลุอรหันต์เมื่อครั้งที่มีการสังคายนาครั้งที่1 พวกที่ไม่เรียนปริยัติ แต่เน้นปฏิบัติเปรียบหนูไม่ขุดรูแต่อยู่รู จะสอนธรรมะไม่เป็นไม่เหมาะกับการเป็นครูอาจารย์ พวกที่ทั้งเรียนปริยัติและทั้งปฏิบัติเปรียบหนูที่ทั้งขุดรู้ด้วยและอยู่รูด้วย(พวกนี้เลิศสุด) ยกตัวอย่างพระสารีบุตรเป็นต้น ส่วนพวกที่4ปริยัติก็ไม่เอาปฏิวัติก็ไม่ฝึก พวกนี้เลวสุด มีแต่จะไปทางเสื่อมไม่มีไปทางเจริญเลย.ครับ
ไปขุดมาจากรูไหนครับ พระอานนท์ท่านไปเรียนปริยัติตอนไหนครับ และพระสารีบุตรท่านก็เป็นพระอรหันต์แล้วท่านไปเรียนปริยัติตอนไหนครับ ใช้ตรรกะแห่งตนกล่าวตู่พระพุทธเจ้า ตู่พระอานนท์ ตู่พระสารีบุตร แบบนี้นรกอเวจีนะครับ
สาธุๆๆพระอาจารย์พูดถูก
พระปริยัติ..สงบเสงี่ยม..งดงาม..วาจาชอบพระปฏิบัติ..ลุกลิกมือใม้อยู่ไม่สุข..วาจาถ่อยสถุลต่างกันครับต่างกัน
เมื่อเกือบ 70 ปีที่แล้ว...ผมเคยฟังนิทานเรื่องหมาหางด้วน...ปัจจุบันยังมีอยู่อีกนะ ด้อยค่าการสวดมนต์ว่า...นกแก้วนกขุนทอง
อาจจะถูกของคุณ เพราะเท่าที่เห็นพระปริยัติจะสงบเสงี่ยมสำรวมตนนั่นคือมารยาท น๊ะจ๊ะ น๊ะจ๊ะ ส่วนพระปฏิบัติจะไม่สำรวมปล่อยเนื้อปล่อยตัวพูดจาโผงผางตามวิสัยโดยไม่ใส่ใจว่าใครจะคิดยังไงเช่นหลวงปู่ตื้อหลวงปู่เจี๊ยะหลวงตามหาบัวและหลวงพ่อคูณทั้งที่ก่อนจะมาเป็นพระนักปฏิบัติท่านเหล่านี้มีจรรยามารยาทเรียบร้อยเช่นคนปกติทั่วไป
@@สุรชาติเทียนแก้ว สาธุครับ
ความถูกต้องตรงตามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงบัญญัติไว้ คือ การเกิดปรากฏขึ้นมาของ อริยมรรคมีองค์แปดความไม่ถูกต้อง คือ การเกิดปรากฏขึ้นมาของ สังโยชน์ ทั้งสิบ เหมือนเดิม
อริยมรรคมีองค์แปด เป็น ธรรมชาติ ที่มีเกิดปรากฏขึ้นมา เห็นการเกิดปรากฏขึ้นมาของ อริยมรรคมีองค์แปด หรือยังค่ะ
ผู้ที่ปฏิบัติหวังความหลุดพ้นย่อมปล่อยวางจิตไม่ยินดี ไม่ยินร้ายต่อสิ่งใดๆ คือไม่ติดดี ไม่ติดร้าย คือการปล่อยวางแบบหลุดพ้นถึงวิมุตติ แต่การที่จะไม่ยึดติดความดีต้อง บำเพ็ญความดีทานศีลภาวนาให้ได้เป็นขั้นพื้นฐานก่อน พอครบบริบูรณ์ก็ถึงขั้นปล่อยวางจิตคือวางทั้งความดีทั้งความชั่วลงทั้งหมด คือไม่ยึดติดยินดียินร้ายต่อสิ่งใดๆ
ปริยัติคือความจำ ปฏิบัติคือรู้เห็นตามความเป็นจริง
เพี้ยนแล้วใครว่าปริยัติแล้วปฏิบัติไม่ได้ 🤡🤡🤡 ไม่เช่นนั้นพระสารีบุตร พระอานนท์ พระ อุบาลี จะเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร 🤡🤡 อย่าพูดโง่ๆ ครับ🐃🐃🐂🐂🐂
ท่าผู้เจริญในธรรมอันวิเศษทั้งหลายกรรมมุนาวัตตจีโลโกธรรมบันเทิง
การเจริญสมาธิกับการเจริญภาวนาคนละอย่างหรือค่ะสาธุๆค่ะ
ฟังท่านมหาสมบูรณ์พูดอธิบายให้ฟังทั้งพระปริยิติและพระปฎิบัติต่างหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันคือเดินไปสู่พระนิพพานนั่นเอง,ท่านเข้าใจลึกซึ้งเก่งนำ้เสียงน่าฟังนุ่มเนิบมีสมาธิได้สติเข้าใจ
ครับดีทั่งสองพระองค์ครับ
สาธุ สาธุ สาธุ🙏๑ ชีวิตคือการลงทุน ก่อนลงทุนก็ต้องเรียนรู้และลงมือทำการ เพื่อให้ได้มาซึ่งการหลุดพ้นจากพันธนาการที่ติดดวงจิตดวงนี้มานานแสนนาน สาธุ🙏
พอสิ้นคิดแล้ว ปัญญาเลยไม่ค่อยมี
มีความจำเป็นทั้ง2อย่าง
โยมชอบฟังพระเทศน์ชอบฟังคำสอนจะนำมาปฏิบัติตามกราบสาธุสาธุเจ้าค่ะ
พระปริยัติก็เป็นพระปฏิบัติได้ครับ... พระที่เน้นปฏิบัติก็มาศึกษาปริยัติได้ครับ... ปริยัติก็เป็นคำสอนพระพุทธเจ้าใช่มั้ยครับ...
หลักพระธรรมคำสอนของพระพุทธศาสดา บอกให้มีครบถ้วนทั้ง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวท คือให้รู้ธรรม ปฏิบัติธรรม จึงได้ธรรม จึงได้นำหลักธรรมที่ถูกต้องไปเผยแผ่พระธรรมคำสอนต่อพุทธศาสนิกชนคนทั่วโลกได้ดี.ได้ตรงฯ ..(ที่ตรงตามพระธรรมคำสอน) การทำเอง รู้เอง เชื่อเอง ถ่ายทอดเอง ไม่อ้างหลักพระธรรมคำสอนที่ถูกต้องให้ตรง(แอบอ้าง)..จึงทำให้คำบอกคำสอนของพระพุทธองค์ผิดเพี้ยน ในเรื่องนี้มีตรัสไว้ในพระไตรปิฎกฯ เรื่องการซ่อมเรือน นำไม้ใหม่มาทดแทนไม้เก่าจึงได้เรือนอยู่อาศัยจนกระทั่งไม่มีไม้เก่าหลงเหลืออยู่เลย ยังกล่าวว่าเป็นเรือนหลังเดิม แต่มีไม้ใหม่ มาทดแทนไม้เก่า เสียสิ้น นั่นหมายความว่า นับถือศาสนาพุทธ แต่เอาคำสอนใหม่ คิดใหม่ มาทดแทนคำสอนเดิมที่เป็นคำสอนของพระบรมพุทธศาสดาจนหมดสิ้น ทำให้คำสอนที่เป็นสัจจธรรมที่พระพุทธองค์ค้นพบ เป็นความจริงตามธรรมชาติ นำมาบอกไว้แต่เดิม มลายหายสิ้น หรือผิดเพี้ยนไป ที่หลือเป็นคำสอนที่ผิดเพี้ยนไปจากคำสอนเดิม กรณืเช่นนี้ หากยังกล่าวอ้างว่าเป็นคำสอนของพระบรมพระพุทธศาสดาอยู่อีก ก็เข้าหลักคำว่า มหาโจรในพระพุทธศาสนา นั่นเอง (มหาโจรในพุทธศาสนา5จำพวก) เป็นบาป เป็นความเสื่อม ของของพระพุทธศาสนา....
ไปว่าพระปริยัติไม่ปฏิบัติได้ยังไง เขาก็ปฏิบัติไปด้วยได้เหมือนกัน พระปฏิบัติเขาก็เรียนปริยัติด้วย แต่เรียนแค่ให้พ้นทุกข์ ไม่ได้แปลว่ารู้ตำราหมด เพราะบางคนรู้ธรรมบทเดียวก็ถึงอรหันต์ได้ ไม่ควรไปดูถูกกัน บางคนมีความสามารถมาก ปริยัติก็รู้มากปฏิบัติก็เข้มข้น คนแบบนี้ก็มี คนหลงตัวเองจนอยากดัง อยากให้คนนับถือกราบไหว้มากๆ มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล สร้างภาพหลอกคนก็มี หลงคิดไปเองว่าตนหมดกิเลสแล้วก็มี ต้องระวังใครไปหลงเชื่อคนพวกนี้ก็เสียเวลาชีวิต
ครับก็เหมือนการปลอกเปลือกกล้วยสุดท้ายก็ไม่มีอะไรเลยแต่เราก็ต้องทำตั้งแต่เปลือกชั้นนอกไปเรือยๆจนหมดถคงจะรู้ว่ามันไม่มีอะไรเลย...สาธุสาธุสาธุ...
ดีทุกทาง ดีทุกอย่าง ถ้าทุกคนมีธรรม
สังเกด ดูดีดี พระปริยัติ อ่านตามหนังสืที่อยู่ต่อหน้าท่าน ธรรมข้างนอก แต่ พระปฎิบัติ ท่านพูดจากความเป็นจริง ธรรมนำหน้า พระพุทท่านกล่าวไว้ทางสายกาง เมื่อเห็นถูก ก่อนจะถูกก่อต้องเห็นผิดก่อน จริงไม่จริง พิจาเอง😊
ไม่ได้ทำลายตัวตน ละความยึดถือความหลงต่างหาก ตัวตนว่างอยู่ที่เห็นอยู่คือสังขารธรรมต่างหากครับ
ถ้าปฏิบัติและศึกษาพุทธวจนไปด้วย จะแตกฉานความรู้ธรรมโดยสัมมาทิฏฐิไม่ขัดแย้ง ถ้ายังเป็นสองอย่างขัดแย้งกันจะแยกได้ดังนี้1.ศึกษาแล้วไม่ปฏิบัติ2.ปฏิบัติแล้วไม่ศึกษาพุทธวจนะ3.ศึกษามาผิด4.ปฏิบัติมาผิด5.สติไม่อยู่ในฐานะบุคคลปกติและเป็นผู้มีมิจฉาทิฐิอย่างแรงกล้า เป็นผู้เขลาเบาปัญญา***ลองนำหัวข้อไปตรวจทานกับผู้กล่าวว่าการปฏิบัติกับคำสอนในพุทวจนะ(ปริยัติ)ขัดแย้งกัน
เถียงกันทําไม พุทธสอนการเดินทางเพื่อการพ้นทุกข์ หลักธรรมคือยานพาหนะ ที่เราใช้ในการเดินทาง ถ้าเทียบชีวิตทางโลก เราต้องยึดเอารถเอาเรือเพื่อใช้ในการเดินทาง เมื่อเราถึงเป้าหมายเช่นมาถึงบ้านเรือน เราก็ไม่จําเป็นต้องใช้แล้ว แล้วเราจะยึดถือทําไม พระพุทธเจ้าสอนว่า เมื่อเราข้ามฟากของทะเลหรือแม่นํ้า เราไม่ต้องแบกเรือแพอีกต่อไป เช่นเดียวกับหลักธรรมคําสอน เมื่อเราหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวงแล้ว เราก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไป ที่พระทั้งสองมาพูดมันก็เรื่องเดียวกัน
คิดดี.พูดดี.ทำดี.ก็พอแล้ว
ปริยัติคือการศึกษาพระธรรม ธรรมะคือความจริงที่เกิดปรากฏไม่มีเรา ไม่มีของเรา เมื่อศึกษาแล้วพิจารณาอยู่เนืองๆจนเกิดปัญญาความเห็นถูก เมื่อจิตมั่นคงทรงปัญญาแล้ว ปฏิบัติก็จะเกิดเอง ไม่ใช่เราที่ปฏิบัติแต่เป็น ธรรมะที่ทำหน้าที่ แต่หากยังไม่มีปัญญาตามพุทธะ แม้นหลับตาทำสมาธิก็ไม่ต่างกับลัทธิต่างๆในสมัยพุทธกาล อนุโมทนาครับ
สุจินต์
การศึกษาฟังพระธรรมให้เข้าใจเข้าถีงโดยพิจราณาไตร่ตรองและได้พิสูจย์ในธรรมนั้นเพียรชอบอยู่ตลอดเวลาให้ปัญญาได้เกิดให้เห็นตามความเป็นจริงๆ นี่ ก็เรียก ว่า ปฏิบัติ แล้วและจะผิดพลาดยาก กว่า ไปนั้ง ภาววนา อาจจะไปหลงทางได้ ถ้า เรา ไม่แน่จริงๆ ถ้าไม่เคยรู้ฟังศึกษามาก่อนอาจหลงทาง
ตนเป็นที่พึ่งของตน นำไปสู่การปฏิบัติตนเพื่อละทิ้งตัวตน เพราะการที่จะละทิ้งตัวตนได้ มันก็ต้องพึ่งตนก่อนในการปฏิบัติธรรม เพื่อนำไปสู่การหลุดพ้น ดังนั้น ในความเห็นของข้าพเจ้า คำสอนของพุทธองค์ไม่ได้ขัดแย้งกันครับ
ผมเรียนจบ เปรียญธรรม 3 โยค ฟังจากพระเรียนจากตำรามาเยอะแล้ว พอมาฟังหลวงตา จะอธิบายสภาวะธรรมได้ลึกกว่า ทุกวันนี้ฟังจากพระนักปฏิบัติอย่างเดียว จากตำราฟังมาเยอะแล้ว
พระปริญัติ ศึกษาจากตำราแล้วใช้อาจปัญญาตรึกตามและปฏิบัติเพียงผิวเผิน แต่พระปฏิบัติท่านลงทุนด้วยชีวิตเป็นเดิมพันและได้ประสบพบเจอในสิ่งที่พระปริญัติไม่อาจเข้าถึง ความลึกซึ้งแห่งธรรมจึงเทียบกันไม่ได้ แม้แต่เรื่องทิฐิมานะก็ต่างกันแล้ว แต่หากพระนักปฏิบัติยังไม่สำเร็จถึงขั้นหลุดพ้นกิเลสก็จะมีทิฐิมานะแรงกล้าเสียยิ่งกว่าพระปริญัติอย่างชนิดเทียบกันไม่ได้เลย เหตุที่เป็นนั้นก็ด้วยพระปฏิบัตินั้นไปรู้ไปเห็นในสิ่งที่บุคคลธรรมดาไม่อาจรู้เห็นได้จึงทะนงตนว่ารู้กว่าผู้อื่นนั่นเอง เช่นรู้วาระจิตของผู้อื่น รู้เห็นอนาคตว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น แต่นี่คือความเห็นผิดเพราะหากลุ่มหลงงมงายนานไปมันก็จะเสื่อมไปตามวัฏจักรคือความไม่เที่ยง
สายปฏิบัติ ลึกกว่าครับ ผมสัมผัสมากับตัวเหมือนกัน
เรียนปริยัติให้รู้ตามสมควรแล้วลงมือปฏิบัติ ถ้าเรียนตำราเยอะไปอาจไม่ได้ปฏิบัติแล้วจะเอาความรู้ตามตำรามาคอยจับผิดคนอื่นมาคอบสั่งสอนคนอื่น
จริตของคนไม่เหมือนกันแต่จุดหมายสูงสุ ดของแต่ละคนย่อมรู้แก่ใจ
พระเรียนมากรู้มาก ฟังมากก็รู้มาก แต่ปฏิบัติไม่เป็น ปฏิบัติไม่ได้ เรื่องของจิตใจ ตัวเอง มันยาก ไม่เชื่อ ลองดูพระเก่ง พูดเก่ง บังเอิญขาหายไปข้าง เป็นมะเร็ง ทำใจไม่ได้ พูดยังไงก็พูดได้ ทำได้หรือไม่คนล่ะเรื่องกัน
สิ้นคอนข้างจะตะแบงๆไป ไม่สมกับการคุยว่าเป็นพระป่านักปฏิบัติ ไม่รักษาอารมณ์เลย เหมือนโกรธใครมา
ฟังละ น่ารำราญใช่มะ
❤ฝนตกน้ำไหลลงทะเล..ทุกสายน้ำ❤😊😊🎉แต่สายน้ำคดเคี้ยวแค่ไหน😊🎉❤
ไม่ควรเปรียบเทียบแบบนี้ พระต้องมีปริยัติ ปฎิบัติ ปฎิเวธเป็นหลักอยู่แล้ว😊
ไม่ขัดแน่นอน คนยังต่างที่จริต ท่านรู้แต่ทางเดียว รู้ไม่ครบ
ทั้งปริยัติ + ปฏิบัติสมาธิต้องเกื้อกูลกันเริ่มแรก ไงๆ ก็ต้องเรียนปริยัติก่อน แล้ว ก็ออกไปปฏิบัติ เพื่อพิสูจน์ ความจริง โมกขธรรม แล้วความเห็นที่ตรงก็จะเห็นเอง
ในเรื่องปริยัตและปติบัติ เป็น๒สิ่งที่ต้องคู่กันในเวลา36500วัน
สร้างความแตกแยกให้คนในชาติ
ปริยัติ-ปฏิบัติเป็นของคู่กันอุปมาเนื้อกับหนัง ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่สมบูรณ์
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวจ อันเดียวกัน นะโยม
พระปฏิบัติจริง จะไม่ค่อยพูดมากพูดน้อยแต่ให้ความรู้ผู้ฟังหรือผู้ปฏิบัติได้ดีเข้าใจง่าย ไม่ใช้วาจาที่ไม่สุภาพนั่นคือพระแท้
พระสิ้นคิดท่านมีความมุ่งมานะในการปฏิบัติพระที่เรียนปริยัติมาก ป 9 เห็นเป็นเจ้หมด
ขัดแย้งกัน เพราะเรียนเพื่อจะรู้ แต่พระปฏิบัติคือให้ปลาอยวาง ทำลายตัวตน จุดมุ่งหมายมันต่างกัน
คนเราจิตใจไม่มั่นคง มีอะไรใหม่ๆแปลกๆ ก็เฮกันไป ของดีๆที่มีอยู่ไม่ช่วยกันปกป้อง พระปลอมมีเยอะ เราก็ช่วยกันขัดขวาง อย่าเสือมศรัทธา พระผู้ใหญ่ที่คุมกฎก็ควรทำงานให้เร็วประสานตำรวจจัดการให้เร็ว ไม่ให้ประชาชนเบื่อหน่าย และไปหาไปฟังคนที่ไม่ได้เป็นพระ หรือเป็นพระที่เอาแต่โซเชียล มันจะไม่ทันกาล
ปริยัติทางอ้อม ปฎิบัติทางตรง ไม่มีพระพุทธเจ้าหรือเช่นพระอัชชิอธิบายธรรมเล็กน้อยก็เห็นธรรมได้ ยากมาก ส่วนมากเกจิดังๆปฏิบัติ
ปริยัติเป็นแนวทางปฏิบัติภาวนา
ไม่ขัดแย้งกันหรอกไปจุดหมายเดียวกัน ถ้าพิจารณาให้เข้าใจ
ปริยัติ กับ ปฏิบัติ ต้องไปคู่กัน ปริยัติอย่างเดียวก็เหมือน ความรู้ท่วมหัวแต่ทำจริงไม่ได้ ถ้าปฏิบัติอย่างเดียว แล้วจะรู้ได้ไงว่า ปฏิบัติไปถูกที่ถูกทาง
ผู้ปฏิบัติย่อมมีครูบาอาจารย์ ปริยัติก็เช่นกันจะอ่านแปรเองไม่ต่างกันหรอก สมมุตมดกัดจะรู้ตามความ ส่วนปริยัติมดกัดก็รู้จากคิดเอาสัจจธรรมน้อยคนนักจะเข้าถึง ทุกอย่างอยู่ที่ปัญญาบารมี และวาสนา ธรรมะของพระพุทธองค์ยากที่จะสอนต่อและสอนต่อได้ยาก มันเป็นปัตจัตตังจะเทศแบบอนุศาสนีปฏิหารย์หรือจะเอาโยนิโสมนัสสิการมาเทียบเคียงก็ได้แค่เกลือบและใกล้เคียง
พระพูดแบบสิ้นคิดจริงๆ สมฉายา เรียนปริยัติให้ถูกต้องเพื่อยืนยันการปฏิบัติถูกต้องหรือไม่ พระที่มีความรู้ที่ถูกต้องจะไม่ระรานใครหรอก ลองดู อุปกิเลส 16 ดูครับ ก็จะรู้ว่าควรจะฟังใคร และ ปฏิบัติตัวเช่นไร
ปฏิบัติปริยัติปฏิเวธไปด้วย
ฟังรื่นหู แต่ไม่โดน คือน้ำท่วมทุง ผักบุ้งโหลงเหลง เอาที่ถุกจริตใคร มัน ที่จจะสามารถรุ้เท่าทันกิเลส ในตัวเอง
รับฟังธรรมะเป็นเรื่องดี แต่เริ่มมีการนำเสนอเรื่องของพระสงฆ์ หลายเรื่อง เหมือนๆจะให้คน อะไรสักอย่าง
เหมือนจะให้คนหมดศรัทธาพระสงฆ์แล้วให้ไปกราบไหว้ฆาราวาสห่มขาว
ปกติต้องเดินทางด้วยสองขา,เปนปกติ.บางที่ขวานำ.บางทีช้ายนำ..แม้ไม่ก้าว..กะต้องอาศัยทั้งสองเท้าสองขา..ในการตั้งอยุ
ไม่ว่าจะเรียนมามาก หรือปฏิบัติมามาก ไม่ว่าจะพูดจาหยาบคายหรือไพเราะ ไม่ว่ากิริยาอาการ สำรวมหรือคึกคะนอง การโต้แย้งทุ่มเถียงกัน มันล้วนเป็นของชาวบ้าน ไม่ได้อะไรกันเลย...ถ้าเรียนมากแล้ว หรือปฏิบัติมากแล้วก็ตาม สิ่งที่มันควรจะได้คือ ปัญญา ความเท่าทันจิต เห็นตามเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบ ความหน่ายคลายกำหนัดในขันธ์ 5 หน่ายในการคลุกคลี ไม่อาลัยใดใดในโลก สิ้นความกังวล สันโดษ ขวนขวายน้อย เป็นผู้มีความสงบ กระทำการงานต่างๆตามสมมุติอย่างสงบเยือกเย็นไม่เร่งรีบเร่าร้อน ได้สมาธิโดยไม่ยากไม่ลำบากเป็นเครื่องอยู่เป็นสุข จึงพอใจในความสงัดวิเวกเป็นผู้มีสติบริบูรณ์เต็มรอบ มีความเพียรพอใจในการภาวนาตั้งแต่ตื่นกระทั่งหลับ ไม่ว่าจะการงานใดๆ จะประกอบด้วยภาวนาทุกขณะกิริยาอาการ ไม่ปล่อยใจ ไม่เผลอ จึงไม่มีความยะโส โอ้อวด หดหู่ ฟุ้งซ่าน ถือตน ยกตนข่มผู้อื่น งดงาม ในกิริยา ท่าทาง คำพูด ทั้งต่อหน้าหรือลับหลัง นี่คือลักษณะผู้สิ้นสังโยชน์
ใคร่ครวญในธรรมดีๆนะครับ อย่า Bias ในตัวพระสำหรับผม ผมว่าพระสมบูรณ์กล่าวได้เหมาะกว่าด้วยเหตุก่อนปฏิบัติ ปริยัติยังไงต้องมาก่อนปฎิบัติครับต้องได้ยินได้ฟัง แล้วทรงจำนำมาใคร่ครวญต่อไปได้ส่วนพระสิ้นคิด ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเรียน เขาเรียนน่ะแต่สิ่งที่ท่านนำมาบอกสอน ดันข้ามขั้นเกินไปคนส่วนใหญ่เลยเข้าใจเป็นปฎิบัติมากกว่าปริยัติไปข้ามไปสอนเรื่องการวางตัวตน ซึ่งเป็นตัวนามธรรมมันยากสำหรับปุถุชน แต่ไม่ใช่ไม่ดีนะครับฉะนั้น การตัดคลิปแบบนี้มาต้องระวังควรไปฟังในแง่มุมของทั้งสองท่านแบบเต็มๆแล้วนำคำเหล่านั้นมาเทียบเคียงในคำสอนพระศาสดาแต่เฉพาะคลิปนี้ พระสมบูรณ์กล่าวได้สวยงามกว่า
เอาจริงๆ ของหลวงตาสินทรัพย์ไม่ได้ปฏิบัติยากนะครับ แค่ต้องฝืนแต่ไม่ใช่ทำไม่ได้ครับ อย่างของหลวงพ่อชา เมื่อตื่นแล้วจะลุกทันที และไม่กลับไปนอนต่อ เราเคยตื่น6โมง7โมง ลองฝึกตื่นซัก ตี5 ตี5ครึ่งทุกวัน ก็เป็นการฝึกละตัวตนแล้วครับ ใครก็ทำได้ แต่ความขี้เกียจทำให้เราไม่อยากทำ ในทางปริยัติ ความขี้เกียจตัวนี้ก็เรียกว่าถีนมิธะ แก้ด้วยการใช้อานาปานสติ ท่องมาว่างั้น อานาปานสติก็คือลมหายใจ ใจจดจ่ออยู่กับลมหายใจแก้ความง่วง ทีนี้ จะเห็นข้อขัดแย้งเล็กน้อยถ้าเรายึดปริยัติเป็นหลักในการปฏิบัติ ตรงที่เราจะไปนึกว่าอันนี้คืออะไรแก้ยังไง ถ้ามันคิดวุ่นวายแบบนี้ ก็ให้วางปริยัติเวลาจะปฏิบัติ เหลือเป็น ตื่นขึ้นตอนเช้าลุกขึ้นยืนสูดลมหายใจเข้า-ออกให้สมองปรอบโปร่ง ประมาณนี้ครับ แต่ไม่ใช่ว่าศึกษาปริยัติไม่ดี แค่อย่าเอาปริยัติมารวมกับการปฏิบัติ ปฏิบัติติดตรงไหนก็อย่าลืมปริยัติ เมื่อปฏิบัติปริยัติไปพร้อมกันก็จะเกิดเปิดปฏิเวธครับ
ดีทั้งสองครับ ปริยัติก็ดี ปฏิบัติก็ดีอย่าไปกล่าวจ้วงจาบกันและกันกล่าวร้ายกันและกัน ขอให้ทำหน้าที่ตนให้ดีที่สุด
ปริยัติ และปฏิบัติไม่มีทางขัดแย้งกันเหมือนพระสิ้นคิดพูดเด็ดขาด ปฏิบัติคือขุมทรัพย์...ปริยัติคือแผนที่บอกเส้นทางไปสู่ขุมทรัพย์ไม่มีทางเลยที่นักปฏิบัติจะปฏิบัติถูกต้องหากไม่ผ่านปริยัติ....สาเหตุขัดแย้งคือนักปฏิบัตืบางคน ปฏิบัติแค่เบื้องต้นอยู่กับลม, สมาธิ, สติปัฏฐาน,อานาปานสติ...แล้วเข้าใจผิดในนิมิตร อันเกิดในจิต และเจตสิกของตนจนยากที่จะอธิบาย ก็เลยแสดงหรือพูดผิดจากพระไตรปิฎก แม้บางรูปที่อ้างว่าตนเป็นนักปฏิบัติแสดงธรรมยังกล่าวผิดเพราะขาดการเรียนปริยัติเช่น พูดว่าพระอนาคามี และอรหันต์กลับมาเกิดได้(พระชื่อ เสถียรโพธิญาน ณ สัพพัญญู)นี่แหละนักปฏิบัติที่ไม่เรียนรู้ปริยัติมาก่อน...พระแบบนี้หลายรูปเมื่อถูกติติงจากชาวพุทธ ก็ดาหน้าออกมาโทษตำรา อ้างตนว่าปฏิบัติถูกต้องพระไตรปิฎกไม่ถูกต้อง...ยกตัวอย่างง่ายๆตำราบอก2+2=4 แต่กูว่าได้5 แล้วโทษตำรา น่าอายนะผมว่า
บางพระ มิใช่ทั้งปฏิบัติ และปริยัติ แต่เป็นบ้าน้ำลายลงโซเซี่ยลไปวันๆ
ปริยัติคือการเรียนรู้ ปฏิบัติคือการลงมือทำ
อย่าเถียงกัยงกันไปเลย ศึกษาปริยัติให้ถึงใจ แล้วนำไปปฏิบัติให้ถูกตรงธรรมวินัย จนเกิดปฏิเวธแล้ว จะไม่มีมาเถียงกันว่าฉันถูกแกผิด เพราะเกิดสัจจะในตนแต่ละคนแล้ว ไม่ควรโต่งเรียนแค่ปริยัติอย่างเดียว หรือ ดุ่ยไปฏิบัติโดยไม่รู้หลักธรรม หรือแม้ปฏิบัติแต่ผิดหลักธรรม ก็เป็นโมฆะบุรุษ
ต้องมีปริยัติทราบหลักการแล้วนำไปปฏิบัติ..จะมีความสมบูรณ์...พระพม่า..ก็ศึกษาปริยัติไปปฏิบัติไป...เมื่อทำควบคู่กันไปแบบนี้ย่อมจะปฏิบัติได้ตรงทาง
เหมือนเปนนักกีฬา ต้องเรียนพื้นฐาน ค่อยไปฝึกซ้อมของจริง ไม่งั้นไม่มีพื้นฐาน ต่อยอดไม่ได้ เล่นไปก็บาดเจ็บ
ถ้าเป็นนั้นจริงอาจารย์ที่สอนทฤษฎีและปฏิบัติก็คงจะต้องสอนคนเดียวเท่านั้นมิฉะนั้นคงจะเหมียนกัน ดิครับ สาธุ🎉
ตถาคต พึงกำหนดไว้แล้วว่า สรุป เป็นปัจจะตัง
ที่เห็นมานักปฏิบัติจริงไม่ค่อยถือตนหรือวุ่นวายกับใครมักจะระวังตัวมากกว่า..นักปริยัติส่วนใหญ่ถือตัวถือตนเอาความรู้ปริยัตินั้นมาจับผิดนักปฏิบัติ..ตราบใดที่ยังยึดติดอยู่กับอย่างใดอย่างหนึ่งมันก็ยากเข้าถึง
เชื่อว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่มีการขัดแย้งกัน ที่เห็นว่าขัดแย้งเพราะการปฏิบัติแบบจับต้นชนปลายไม่ถูก ต้องปฏิบัติเป็นไปตามขั้นตอน ขั้นต้นๆยังต้องยึดสมมุติขั้นสูงๆต้องละแม้แต่ปรมัตถ์ (เท่าที่ได้อ่านและเข้าใจมาครับ)
พระก็ว่า..อาจารย์ใคร..ก็อาจารย์มัน..ให้ตรงคือเอาตามพระพุธทเจ้านั้นคือตรง....นับถือ
ขัดแย้งตรงไหนหลวงพ่อ งง
สาธุครับ ของแท้ พุทธเรามัวแต่ขัดแย้งกัน ภัยภายนอก ก็ใช่ช่องโหว่นี้ทำลาย ไม่ว่าฝ่ายไหนเราช่วยกันรักษาพุทธศาสนาให้คงอยู่ตลอดไปครับ
ทำไมไม่เรียนหนังสือ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธต้องคู่กันไปผมเข้าใจถูกมั้ยครับ
ถ้าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านจะบอก ธรรมที่เป็นเหตุ ไว้ให้รู้ตาม ท่านจะบอก ธรรมที่เกิดแต่เหตุ ไว้ให้รู้ตามมี กัลยาณมิตร เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้นมาก่อน และ มี ธรรมที่เกิดแต่เหตุ คือ เป็นผู้ที่ได้สดับใน คำสอนของพระพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้า คือ กัลยาณมิตร)เป็นผู้ที่ได้สดับใน คำสอนของพระพุทธเจ้า เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้นมา และ มี ธรรมที่เกิดแต่เหตุ คือ เป็นผู้ที่มีความเป็น อริยะ คือ เป็นผู้ที่ฟังด้วยดีเป็นผู้ที่ฟังด้วยดี เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้นมา และ มี ธรรมที่เกิดแต่เหตุ คือ มีศรัทธาใน คำสอนของพระพุทธเจ้า (ทรงจำธรรมนั้นไว้)มีศรัทธาใน คำสอนของพระพุทธเจ้า เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้นมา คือ การเกิดปรากฏขึ้นมาของ อริยมรรคมีองค์แปดคือ การเกิดปรากฏขึ้นมาของ สัทธานุสารีสัทธานุสารี เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้นมา และ มี ธรรมที่เกิดแต่เหตุ คือ ธัมมานุสารี
กราบพระอาจารย์มหาสมบูรณ์ครับ นักเดินทางผู้ทั้งชำนาญเส้นทาง รู้แผนที่ย่อมพร้อมกว่านักเดินทางที่ไม่รู้แผนที่
น้อมกราบพระปริยัติทั้งปฏิบัติเจ้าค้า..สาธุ....
ไปขึ้นป้ายตราหน้าว่าท่านไม่เรียนหนังสือได้ยังไงครับ..หลวงตารูปนี้ซื้อพระไตรปิฎกอ่านเองเลยด้วยซ้ำ..แล้วขึ้นป้ายว่าเป็นการถกกันด้วย...นี่เป็นการพูดต่างกรรมต่างวาระ 2 เหตุการณ์แล้วคุณจะมารวมกัน
เอากิเลสไปโต้กิเลส มันไม่จบหรอก แต่ถ้าเอาพระปฏิบัติธรรมเข้าถึงธรรมเสมอกัน หรือเข้าสู่แดนในห้องเดียวกันแม้มองเห็นไม่ชัด เพราะตนอยู่ไกลจากเหตุนั้นๆ แต่ยังสอบถามคุยกันง่ายขึ้น เหมือนเราดูหมอลำในเวทีเดียวกันแต่คนหนึ่งอยู่ใกล้เวทีคนหนึ่งอยู่ไกลเวทีเห็นนักแสดงว่าใครเปนใครได้ชัดเจนกว่าและไม่สงสัยอะไร ว่าใครเปนใครแต่คนที่อยู่ไกลเวทีมองเห็นไม่ชัดจะต้องอาศัยความสามารถหลายด้านทั้งการฟังเสียงการเพ่งพินิจไตร่ตรอง รวมถึงการสอบถามด้วยว่าใครเปนใคร เพราะเหตุนั้น การโต้แย้งถกธรรม ถ้าโต้กัน เพื่อทำลายกิเลสของตนเองก็ควร แต่โต้กันเพื่อชนะคะคานกันไม่ควรอย่างยิ่ง เหตุเพราะต่างคนต่างมีfc.ของตนอยู่แล้ว ผู้มีกิเลสย่อมเข้าข้างฝ่ายตนเสมอ
แล้วพวกท่านจะเถียงกัน เพื่อ...เรียนกันมา ปฏิบัติกันมา เพื่อชนะกันด้วยวาจานี่หรือ
ทำไมสมัยพระพุทธเจัา แค่ฟังพระองค์พูดแล้วเข้าป่าไป จึงสำเร็จเป็นพระอรหันต์มากมายเล่าท่าน
เขาสร้างบารมีในเรื่องฌานมามาก เพียงเปลี่ยนมาเพิ่มความเห็น(สัมมาทิฐิ) อานาปานสติ ก็บรรลุ ธรรมแล้ว
ถ้าสิ้นสังสัย.ไม่ว่าจะเป็นการปฎิบัติหรือปริยัติ.ก็ไม่มีอะไรมาขัดแน้งโต้แย้งกัน.
ท่านไม่ได้ให้ทิ้งความความดีความดีคือสิ่งที่ต้องทำมีมรรคองค์ 8 ทำดีแต่ไม่ยึดดีแต่เพราะรู้ว่าเหตุนี่ดีจึงทำเหตุนี่ไม่ดีจึงไม่ทำคือทั้งพระบ้านพระป่าก็ต้องปฏิบ้ติเหมือนกันคือคนเข้าถึงธรรมะของพระพุทธเจ้าจริงๆจะรู้ได้ด้วยตน
รู้ธรรมแต่ไม่ทำ...แล้วเมื่อไหร่จะถึงธรรม
รู้ธรรม ไม่ต้องทำ ไม่รู้ธรรม ทำเท่าไหร่ ก็ไม่ถึงธรรม
@@tikki142th2คุณยังอ่อนหัดมากฯ
@@werysabel3546 รบกวนอธิบายค่ะ 😊
เพี้ยนแล้วใครว่าปริยัติแล้วปฏิบัติไม่ได้ 🤡🤡🤡 ไม่เช่นนั้นพระสารีบุตร พระอานนท์ พระ อุบาลี จะเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร 🤡🤡 🐃🐃🐂🐂🐂
@@k.7781ถ้าไม่รู้ปริยัติ ปฏิบัติก็ผิดค่ะ
ธุสา
มีประโยชน์อะไร ที่จับพระมาขัดแย้งกัน
เหมือนขับรถหรือทำเกษตรครับรู้ทุกอย่างแต่ขับไม่เป็นนานไปลืมแน่นอนเพราะเป็นท่องจำแต่ปฏิบัติจะอยู่ในจิตใจตลอดไปถ้าเทียบระดับ ปริยัติอยู่ระดับ2หรือ3 ปฎิบัติจะอยู่ในระดัย789 รอบรรลุสังเกตุจิตใจห้าวหาญในธรรมไม่มีดัจริตถ้าปริยัติต้องเรียบร้อยเพื่อความสวยงามจิตใจพร้อมเทเอียงตลอดไม่มีความมั่นใจในธรรมถูกทั้งคู่แต่ให้คะแนนปริยัติ =4 ปฏิบัติ = 8 ถึง 9 ครับ
บุญแต่ไม่ติดบุญ การเจริญสติทำได้ในทุกอริยาบถน้อยใหญ่อริยาบถใหญคือเดินยืนนั่งนอนยกแขนยกขาอริยาบถน้อนกินดืมถ่มน้ำลายถ่ายอุจาระปัสวะทุกสิ่งที่มีในกายเช่นลมหายใจ และการกราบไหว้สวดมนต์ก็จะทำไห้รู้ว่ามีความหลงหรือไม่ขณะสวดมนต์ทุกสิ่งคือสติต้องเข้าใจการเป็นผู้ปฎิบัตทำไปรู้เองอาจายไม่ต้องบอกทุกเรื่องแม่ชีไม่ได้เรียนอะไรแต่เห็นพระใหญ่โตสอนไม่ไห้ทำบุญบุญก็คือรากเหง่ากุศลเจริญพร้อมกันพระที่ท่านสอนดีสอนตรงส่วนมากท่านไม่ออกชือจึงไม้มีข่าว
6:23 ปริยัติรู้เฉยๆรู้แต่ชื่อของธรรม แต่ไม่รู้ว่าทุกข์ทางธรรมจริงๆทุกข์อย่างไร ขัดตรงที่ไม่รู้จริง
รู้จากการอ่านการท่องมันเป็นความจำ การลงมือปฏิบัติแล้วเกิดความรู้ผุดขึ้นมาจึงเกิดสภาวะธรรม พระไตรปิฎกเขียนขึ้นมาจากการปฏิบัติ เพื่อเป็นแนวทาง เป็นกฎเกณฑ์ เป็นบรรทัดฐาน
พระมหาสมบูรณ์ ท่านเป็นพระที่แตกฉานในอรรถ ในธรรมมาก และยังเป็นนักปฏิบัติภาวนาที่เก่งด้วยครับ
ในประวัติศาสตร์ มีท่านเจ้าคุณนรรัตน์คนเดียวที่เป็นพระในเมืองสามารถทำตัวปลีกวิเวกและอยู่ในที่สัปปายะและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนบรรลุ อริยะสงฆ์
ดังนั้นพระมหาสมบูรณ์จึงไม่มีทางเข้าถึงวิปัสสนากรรมฐานแม้แต่เศษเสี้ยว โดยเฉพาะวันวันออกมาพร่ำบน สอน ภาษามนุษย์ ทุกวัน มีแต่เกิดสัญญา ทางวจีกรรม แล้วเกิดมุสาวาจา เอาสิ่งที่ไม่รู้จริงมาปั้นแต่งตรรกะทางภาษามนุษย์ ยิ่งห่างไกล ความศิวิไลของธรรมะ(ชาติ)ที่ซับซ้อน แม้จะอธิบาย ให้พอเข้าใจได้บ้างก็ต้องใช้ตรรกะทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ (โดยเฉพาะ อนุภาค ของควอนตัมฟิสิกส์ อิเลกตรอน โปรตรอน และนิวตรอน(หรืออนุภาคปีศาจหรือจิตเดิม ที่ไม่ใช่เจตสิก)
ในทางปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานต้องใช้เวลาอันยาวนานในที่สัปปายะ เพื่อทดลองความเป็นจริงของธรรมะชาติของตัวเอง ลองผิดถูกเหมือนวิทยาศาสตร์ บางครั้งใช้เวลาหลายภพชาติของความเป็นมนุษย์ จึงจะบรรลุธรรม
ดังนั้นจึงอย่าฝันจินตนาการมากว่าถึงความรู้แจ้งในธรรมะ
สาธุ สาธุสาธุ
ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่มีขัดแย้งกัน แต่จะเป็นไปตามลำดับขั้นตอนบริบทสถานการณ์
พระมหาสมบูรณ์พูดจาดี ดูสำรวมกว่าพระสิ้นคิดเยอะเลยครับ
ก็มันสิ้นคิด
มันแค่โล้น ห่มเหลือง ไม่ใช่พระ
หลง ในการพูดเพราะซะแล้ว พวกนี้ต้องเจอคอลเซ็นเตอร์
@@NaSingha @NaSingha แสดงว่าพระสิ้นคิดหยาบคายเหรอ ยิ่งปกป้องยิ่งตลก 🤣🤣🤣🤣
ไม่ขัดแย้งครับ ครูบาอาจารย์ผู้แตกฉาน ปริยัติกับปฏิบัติไม่มีทางขัดแย้งกัน
เมื่อ อริยมรรคมีองค์แปด เกิดปรากฏขึ้นมา คือ การเกิดปรากฏขึ้นมาของ เส้นทางเจโตวิมุตติ และ เส้นทางปัญญาวิมุตติ ก็คือคนเดียวกัน แล้ว จะตีตัวเองได้อย่างไร แล้วจะขัดแย้ง กับ ตัวเอง ได้อย่างไร
การเกิดปรากฏขึ้นมาของ เส้นทางเจโตวิมุตติ ละนันทิ เจริญอานาปานสติ จะเกิดปรากฏขึ้นมาเหมือนๆ เพราะว่า นิพพาน จะต้องเกิดปรากฏขึ้นมาเหมือนๆกันนั่นเองค่ะ
การเกิดปรากฏขึ้นมาของ เส้นทางเจโตวิมุตติ ละนันทิ เจริญอานาปานสติ ก็จะมีการเกิดปรากฏขึ้นมาของ ศีล สมาธิ ปัญญา สมถะ วิปัสสนา อานาปานสติ และ จะมีการเกิดปรากฏขึ้นมาของ สมาธิสัญญาเวทยิตนิโรธ คือ นิพพาน
ในส่วนของการเกิดปรากฏขึ้นมาของ เส้นทางปัญญาวิมุตติ สั่งสมสุตตะ ก็จะแตกต่างกันออกไป เพราะว่า คำสอนของพระพุทธเจ้า มีเยอะ การเกิดปรากฏขึ้นมาของ เส้นทางปัญญาวิมุตติ พระสารีบุตร จะเกิดปรากฏขึ้นมาเยอะกว่า พระโมคคัลลานะ นั่นเองค่ะ
เส้นทางเจโตวิมุตติ คือ การเกิดปรากฏขึ้นมาของ อริยมรรคมีองค์แปด
เส้นทางปัญญาวิมุตติ คือ เห็น การเกิดปรากฏขึ้นมาของ อริยมรรคมีองค์แปด นั่นเองค่ะ
เห็น สัมมาทิฏฐิ เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้นมานั่นเองค่ะ
ในส่วนของเส้นทางเจโตวิมุตติ สัมมาทิฏฐิ เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้นมาแล้ว นั่นเองค่ะ เส้นทางเจโตวิมุตติ และ เส้นทางปัญญาวิมุตติ จึงไม่มีความขัดแย้งกัน แน่นอนนั่นเองค่ะ
ใช่ครับพระพิเรนจะพูดแบบพิเรนๆ พระผู้ปฏิบัติฟังแล้วสบายหูสบายใจ
พุทธเราไม่เน้นตีกับศาสนาอื่น เน้นตีกันเอง😂😂😂
ถูกต้องครับ
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้
ปริยัติเป็นเหตุให้ปฏิบัติ.เป็นเหตุเกิดปฏิเวธ
พระพุทธองค์ทรงสอนให้ใช่หู(สุตตะ)ฟังจนเข้าใจคลองปากขึ้นใจนำไปปฏิบัติไปตามธรรมตามกาล../.
(อ่านไปปฏิบัติไปตามธรรมตามกาล)ก็ได้
ผู้รู้จะไม่ไปเพ่งโทษผู้อื่น
สุดยอดทั้งสองท่านคงรับ ได้ความรู้ในการปฏิบัติธรรมมาก ผมชอบฟังทั้งสองท่านนั่งสมาธิไปด้วย หากใช้ปัญญาฟังโดยไม่มีอคติกับท่านใดท่านหนึ่ง ผมชอบคนรับนำเอาส่วนที่ดีที่ถูกต้องมาใช้
มั่วทั้งสอง
ไอ้พระสิ้นคิดมันพูดจาหยาบคายขนาดนั้นยังว่าดีหรอพวกท่าน
ปริยัติ,ต้องรู้ก่อน ปฏิบัติคือทนทางไปสู่, ปฏิเวท
เรียนก่อนค่อยไปปฏิบัติคือถูกทาง เรียนไปปฏิบัติไปนั่นแหล่ะดืที่สุด
@@tanaproung2905 อย่ามัวแต่เรียนนานแค่พอรู้ทางก็เริ่มปฏิบัติเลยนะค่ะ
เราไม่รู้วันตายค่ะสาธุ
ถ้าหวังนิพพาน จะติดเป็นสัญญา ถ้าไม่มีครูอาจารย์ช่วยแก้จะผ่านยาก จากประวัติหลวงตามหาบัวครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่ความถนัดครับ เหมือน พระโมคคัลลานะ กับ พระสารีบุตร พระสารีบุตรความรู้มากเรียนมาก บรรลุช้ากว่าพระโมคคัลลานะ เพราะความคิดมากกว่า แต่พระสารีบุตรจะสามารถสอนพระได้มากกว่า เพราะจะแก้ได้ทั้งทางปฏิบัติ และปริยัติ ครับ
ปฏิบัติก็ต้องมีครูผู้รู้แจ้งทางนิพพานก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าได้ครูไม่ดีก็จะพาหลงโลกหลงทาง เพราะทางนิพพานมันซ่อนเงื่อน หลงแล้วเสียเวลานานอาจตายเสียก่อนพบ
@@tanaproung2905 ตามโพธิปักคิยะธรรมเลยจ้า
เรียนรู้หลักการ แล้วปฏิบัติตามเลยครับ ทำความเห็นให้ตรง.เป็นสัมมาทิฏฐิ.@@ราตรีฟูจินามิ
สาธุครับพระอาจารย์
ท่านบรรยายธรรมได้แจ่มแจ้ง
ง่ายต่อการฟัง สาธุครับ
ใครเป็นคนบอกว่าสิ้นคิดเป็นพระปฏิบัติ😂 หลายเรื่องพูดผิดจากหลวงปู่มั่นและศิษย์หลวงปู่มั่นเช่นหลวงปู่เทสก์ ศึกษาให้มากกว่านี้หน่อยนะ#สิ้นคิด
ไม่ใช่แค่5+5นะครับที่จะเท่ากับ10
3+7
8+2
6+4
ก็เท่ากับสิบ😂😂😂
กรรม จำแนกสัตว์คนเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน พระปฏิปทาปฏิบัติดีใช่ว่าจะเหมือนกันทุกองค์ถ้าหลวงตาไม่ดีจริงคงจะไม่มีคนไปร่วมสังฆกรรมกับท่านที่วัด 700-800 คน รวมพระสงฆ์และแม่ชี และทั่วประเทศอีกไม่รู้กี่แสน
พระสิ้นคิดไม่ดีก็คือตัวท่าน ดีก็ตัวท่าน ขึ้นอยู่ที่ความพอใจของแต่ละท่านที่จะยกย่องศรัทธา สำหรับเราชอบผู้คิดดีพูดดีทำดีไม่ว่าผู้นั้นเป็นใคร
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธต้องไปด้วยกัน ปริยัตอันตรธานเมื่อใด ปฏิบัติ ปฏิเวธก็หายตาม
ถูกต้องที่สุดครับ
ใช่ครับ พระสิ้นคิดไม่รู้ธรรมจริง จึงบอกว่าขัดแย้งกัน ดังนั้นจึงปฎิบัติตนไม่ถูกต้องทั้งกายและวาจา
สิ้นคิดนั่นแหละตัวอันตรายที่สุด ปริยัติ ปฏิบัติ ไม่เคยขัดแย้ง ที่แย้งเพราะตัวเองปฏิบัติผิดต่างหาก
😅😅😅 ท่านไม่ค่อยนิ่งยังไงไม่รุ้
ไปตำหนิภิกษุ ตัวท่ทนเองเคยไผถามข้อสงสัยกับเจ้าตัว คือ ตัวภิกษุเองไหม !? หรือมีความรู้จากตำรับตำรา แฃะการปฏิบัติเองไหม !?
พระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ได้ บอก สอน อธิบาย ไว้อย่างบริสุทธิ์ บริบูรณ์ สิ้นเชิง !
พระวินัย พระสูตร นี้เข้ากันได้หมด ที่ขัดคือพระอภิธรรม ครับ มีขัดกับพระวินัยและพระสูตรมากๆ เช่น เรื่องการทำน้ำมนต์ บวงสรวง ทำยันต์กันบ้าน ยันต์กันรถ ฯลฯ
และคำว่า “อุปาจาระสมาธิ มีเจอแค่ในอภิธรรม (อรรถกาถาเท่านั้น) ไม่พบเจอจากพระวินัย และพระสูตร ที่้ป็น พุทธพจน์เลย แต่ง เติมมาใช่ไหมครับ ผมเคยเห็นเขาเขียนในอรรถกถาว่า ”แต่งขึเนใหม่“ ไหนบอกว่าห้ามแต่งเพิ่ม ห้ามเติมไง !?
สรึปพุทธที่แท้ จริง คือ อย่างไร ? ธูป เทียน สายสิญ ย์ ตารปัต ผ้ากราบ โกนคิ้ว ฉันอาหาร 1 หรือ 2 มื้อ ภิกษุรับเงิน-ทองได้ไหม ? ภิกษุชักชวนชาวบ้านมาสร้าง ก่อสรา้ง ขุด ได้ไหม ?
ปฎิบัติไม่ผืดท่านสิ้นคิดท่านรู้เท่านี้ที่ท่านทำไม่ผิดแต่ไม่ใช่ทาง
@@takull850 เท่าที่ผมได้ศึกษาพระสูตร และไตรปิฎกฉบับหลวงมา(6-7ปี) พระพุทธเจ้าเคยพูดว่า “อย่าคิดว่าสิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ! ”
ในมรรค(ข้อปฏิบัติ) ที่เป็นแก่นจริงๆ เพื่อเข้าสู่ความลด ละ สละ วาง จนถึงนิพพาน แก่นจริงๆ คือ โพธิปักขิยะธรรม 37 ประการ (แยกเป็น สติปัฐฐาน 4, สัมมัทปฐาน 4, อิทธิบาท4, อินทรีย์ 5, พละ 5, โพชชง 7, มรรค 8) ส่วนใครจะมีปัญญา หรือความถนัดด้่นไหน ก็ขึ้นอยู่แต่บะบุคคล เป็นทางเข้าถึงได้โดยรอบครับ
การที่ภิกษุ ไม่ตรงเป๊าะ ก็ให้ถือเอาแนวทางว่า แนวทางมุ่งสู่อะไร !? มีกระทำผิดวินัย และพระสูตร ไหม ??
แปรว่าท่านพระสิ้นคิด
รู้ไม่ถึงธรรม รู้บ้างไม่รู้บ้าง
พระสิ้นคิดเขาไปเรียนธรรมท้ายตลาดสดงูๆปลาๆผลออกมาก็อย่างที่เห็นละครับโวกเวกโวยวายอาศัยอารมและความเข้าใจส่วนตัวเป็นหลักไม่มองโลกปริยัติ สาธุครับ
ควรศึกษา ทั้งสองทาง เพื่อความถูกต้องตามที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้มีปัญญา เพื่อความหลุดพ้น น้อมกราบนมัสการค่ะ
น้อมกราบสาธุสาธุสาธุเจ้าค่ะ
พระที่ดีต้องมีสำรวมกาย วาจา ใจ
พระที่ดีไม่จำเป็นต้องถูกใจโยมเสมอไปครับ
สำรวมคือตอแหลไม่ใช่หรอ นิสัยแบบหนึ่ง แต่ต้องแสดงออกอีกแบบ ฝืนจิตฝืนใจตัวเอง ไม่ให้แสดงนิสัยด้านแย่ของตัวเองให้คนอื่นรับรู้ และแสดงแต่สิ่งดีๆ เพื่อจะได้มีคนศรัทธาเยอะๆ จะได้มีลาภสักการะ สำรวมแบบนี้ เขาเรียกตอแหลครับ
แต่สำรวมของทางศาสนาพุทธ คือการไม่ส่งจิตออกนอก ไม่ส่งความคิดไปคิดร้าย เบียดเบียน อิจฉา พยาบาทใคร เพราะเปนเหตุแห่งมโนกรรม ไม่กล่าววาจา ตำหนิ ใส่ร้าย ยุยงให้ผู้อื่นเดือดร้อน อันเปนเหตุแห่งวจีกรรม ไม่กระทำการอันเบียดเบียน ทำร้าย ทำลาย ให้ผู้อื่นพบกับความเสียหาย อันเปนเหตุแห่งกายกรรม นี่ต่างหาก คือความหมายของคำว่าสำรวมในพระพุทธศาสนา ดังนั้น ตัดสินใคร อย่าตัดสินแค่ภายนอกครับ ความสำรวมเปนปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน
ดีทั้งสองอย่างครับ.ปริยัติก็เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน.ปฏิบีติก็เข้าถึงแก่นธรรม.เหมือนต้นไม้ก็มีทั้งเปลือกและแก่น.แก่นถ้าขาดเปลือกก็อยู่ไม่ได้.เปลือกอย่างเดียวก็อยู่ไม่ได้ครับ
ตัวเราต้องดี ไม่ใช่บุคคลอื่น
พระพุทธเจ้า แบ่งบุคคลออกเป็น4จำพวกเปรียบหนู 4จำพวก
1) หนูที่ขุดรู แต่ไม่อยู่รู
2)หนูที่ไม่ขุดรู แต่อยู่รู
3)หนูที่ขุดรูด้วย และอยู่รูด้วย
4)หนูที่ไม่ขุดรู และไม่อยู่รู
พวกเรียนแต่ปริยัติอย่างเดียวเปรียบหนูขุดรู้ แต่ไม่อยู่รูขาดการปฏิบัติ เช่นพระอานนท์ ที่เพิ่งจะบรรลุอรหันต์เมื่อครั้งที่มีการสังคายนาครั้งที่1
พวกที่ไม่เรียนปริยัติ แต่เน้นปฏิบัติเปรียบหนูไม่ขุดรูแต่อยู่รู จะสอนธรรมะไม่เป็นไม่เหมาะกับการเป็นครูอาจารย์
พวกที่ทั้งเรียนปริยัติและทั้งปฏิบัติเปรียบหนูที่ทั้งขุดรู้ด้วยและอยู่รูด้วย(พวกนี้เลิศสุด) ยกตัวอย่างพระสารีบุตรเป็นต้น
ส่วนพวกที่4ปริยัติก็ไม่เอาปฏิวัติก็ไม่ฝึก พวกนี้เลวสุด มีแต่จะไปทางเสื่อมไม่มีไปทางเจริญเลย.ครับ
ไปขุดมาจากรูไหนครับ พระอานนท์ท่านไปเรียนปริยัติตอนไหนครับ และพระสารีบุตรท่านก็เป็นพระอรหันต์แล้วท่านไปเรียนปริยัติตอนไหนครับ ใช้ตรรกะแห่งตนกล่าวตู่พระพุทธเจ้า ตู่พระอานนท์ ตู่พระสารีบุตร แบบนี้นรกอเวจีนะครับ
สาธุๆๆพระอาจารย์พูดถูก
พระปริยัติ..สงบเสงี่ยม..งดงาม..วาจาชอบ
พระปฏิบัติ..ลุกลิกมือใม้อยู่ไม่สุข..วาจาถ่อยสถุลต่างกันครับต่างกัน
เมื่อเกือบ 70 ปีที่แล้ว...ผมเคยฟังนิทานเรื่องหมาหางด้วน...ปัจจุบันยังมีอยู่อีกนะ ด้อยค่าการสวดมนต์ว่า...นกแก้วนกขุนทอง
อาจจะถูกของคุณ เพราะเท่าที่เห็นพระปริยัติจะสงบเสงี่ยมสำรวมตนนั่นคือมารยาท น๊ะจ๊ะ น๊ะจ๊ะ ส่วนพระปฏิบัติจะไม่สำรวมปล่อยเนื้อปล่อยตัวพูดจาโผงผางตามวิสัยโดยไม่ใส่ใจว่าใครจะคิดยังไงเช่นหลวงปู่ตื้อหลวงปู่เจี๊ยะหลวงตามหาบัวและหลวงพ่อคูณทั้งที่ก่อนจะมาเป็นพระนักปฏิบัติท่านเหล่านี้มีจรรยามารยาทเรียบร้อยเช่นคนปกติทั่วไป
@@สุรชาติเทียนแก้ว สาธุครับ
ความถูกต้องตรงตามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงบัญญัติไว้ คือ การเกิดปรากฏขึ้นมาของ อริยมรรคมีองค์แปด
ความไม่ถูกต้อง คือ การเกิดปรากฏขึ้นมาของ สังโยชน์ ทั้งสิบ เหมือนเดิม
อริยมรรคมีองค์แปด เป็น ธรรมชาติ ที่มีเกิดปรากฏขึ้นมา เห็นการเกิดปรากฏขึ้นมาของ อริยมรรคมีองค์แปด หรือยังค่ะ
ผู้ที่ปฏิบัติหวังความหลุดพ้นย่อมปล่อยวางจิตไม่ยินดี ไม่ยินร้ายต่อสิ่งใดๆ คือไม่ติดดี ไม่ติดร้าย คือการปล่อยวางแบบหลุดพ้นถึงวิมุตติ แต่การที่จะไม่ยึดติดความดีต้อง บำเพ็ญความดีทานศีลภาวนาให้ได้เป็นขั้นพื้นฐานก่อน พอครบบริบูรณ์ก็ถึงขั้นปล่อยวางจิตคือวางทั้งความดีทั้งความชั่วลงทั้งหมด คือไม่ยึดติดยินดียินร้ายต่อสิ่งใดๆ
ปริยัติคือความจำ ปฏิบัติคือรู้เห็นตามความเป็นจริง
เพี้ยนแล้วใครว่าปริยัติแล้วปฏิบัติไม่ได้ 🤡🤡🤡 ไม่เช่นนั้นพระสารีบุตร พระอานนท์ พระ อุบาลี จะเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร 🤡🤡 อย่าพูดโง่ๆ ครับ🐃🐃🐂🐂🐂
ท่าผู้เจริญในธรรมอันวิเศษทั้งหลาย
กรรมมุนาวัตตจีโลโก
ธรรมบันเทิง
การเจริญสมาธิกับการเจริญภาวนาคนละอย่างหรือค่ะสาธุๆค่ะ
ฟังท่านมหาสมบูรณ์พูดอธิบายให้ฟังทั้งพระปริยิติและพระปฎิบัติต่างหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันคือเดินไปสู่พระนิพพานนั่นเอง,ท่านเข้าใจลึกซึ้งเก่งนำ้เสียงน่าฟังนุ่มเนิบมีสมาธิได้สติเข้าใจ
ครับดีทั่งสองพระองค์ครับ
สาธุ สาธุ สาธุ🙏๑ ชีวิตคือการลงทุน ก่อนลงทุนก็ต้องเรียนรู้และลงมือทำการ เพื่อให้ได้มาซึ่งการหลุดพ้นจากพันธนาการที่ติดดวงจิตดวงนี้มานานแสนนาน สาธุ🙏
พอสิ้นคิดแล้ว ปัญญาเลยไม่ค่อยมี
มีความจำเป็นทั้ง2อย่าง
โยมชอบฟังพระเทศน์ชอบฟังคำสอนจะนำมาปฏิบัติตามกราบสาธุสาธุเจ้าค่ะ
พระปริยัติก็เป็นพระปฏิบัติได้ครับ... พระที่เน้นปฏิบัติก็มาศึกษาปริยัติได้ครับ... ปริยัติก็เป็นคำสอนพระพุทธเจ้าใช่มั้ยครับ...
หลักพระธรรมคำสอนของพระพุทธศาสดา บอกให้มีครบถ้วนทั้ง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวท คือให้รู้ธรรม ปฏิบัติธรรม จึงได้ธรรม จึงได้นำหลักธรรมที่ถูกต้องไปเผยแผ่พระธรรมคำสอนต่อพุทธศาสนิกชนคนทั่วโลกได้ดี.ได้ตรงฯ ..(ที่ตรงตามพระธรรมคำสอน) การทำเอง รู้เอง เชื่อเอง ถ่ายทอดเอง ไม่อ้างหลักพระธรรมคำสอนที่ถูกต้องให้ตรง(แอบอ้าง)..จึงทำให้คำบอกคำสอนของพระพุทธองค์ผิดเพี้ยน ในเรื่องนี้มีตรัสไว้ในพระไตรปิฎกฯ เรื่องการซ่อมเรือน นำไม้ใหม่มาทดแทนไม้เก่าจึงได้เรือนอยู่อาศัยจนกระทั่งไม่มีไม้เก่าหลงเหลืออยู่เลย ยังกล่าวว่าเป็นเรือนหลังเดิม แต่มีไม้ใหม่ มาทดแทนไม้เก่า เสียสิ้น นั่นหมายความว่า นับถือศาสนาพุทธ แต่เอาคำสอนใหม่ คิดใหม่ มาทดแทนคำสอนเดิมที่เป็นคำสอนของพระบรมพุทธศาสดาจนหมดสิ้น ทำให้คำสอนที่เป็นสัจจธรรมที่พระพุทธองค์ค้นพบ เป็นความจริงตามธรรมชาติ นำมาบอกไว้แต่เดิม มลายหายสิ้น หรือผิดเพี้ยนไป ที่หลือเป็นคำสอนที่ผิดเพี้ยนไปจากคำสอนเดิม กรณืเช่นนี้ หากยังกล่าวอ้างว่าเป็นคำสอนของพระบรมพระพุทธศาสดาอยู่อีก ก็เข้าหลักคำว่า มหาโจรในพระพุทธศาสนา นั่นเอง (มหาโจรในพุทธศาสนา5จำพวก) เป็นบาป เป็นความเสื่อม ของของพระพุทธศาสนา....
ไปว่าพระปริยัติไม่ปฏิบัติได้ยังไง เขาก็ปฏิบัติไปด้วยได้เหมือนกัน
พระปฏิบัติเขาก็เรียนปริยัติด้วย แต่เรียนแค่ให้พ้นทุกข์ ไม่ได้แปลว่ารู้ตำราหมด เพราะบางคนรู้ธรรมบทเดียวก็ถึงอรหันต์ได้
ไม่ควรไปดูถูกกัน บางคนมีความสามารถมาก ปริยัติก็รู้มากปฏิบัติก็เข้มข้น คนแบบนี้ก็มี
คนหลงตัวเองจนอยากดัง อยากให้คนนับถือกราบไหว้มากๆ มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล สร้างภาพหลอกคนก็มี หลงคิดไปเองว่าตนหมดกิเลสแล้วก็มี ต้องระวังใครไปหลงเชื่อคนพวกนี้ก็เสียเวลาชีวิต
ครับก็เหมือนการปลอกเปลือกกล้วยสุดท้ายก็ไม่มีอะไรเลยแต่เราก็ต้องทำตั้งแต่เปลือกชั้นนอกไปเรือยๆจนหมดถคงจะรู้ว่ามันไม่มีอะไรเลย...สาธุสาธุสาธุ...
ดีทุกทาง ดีทุกอย่าง ถ้าทุกคนมีธรรม
สังเกด ดูดีดี พระปริยัติ อ่านตามหนังสืที่อยู่ต่อหน้าท่าน ธรรมข้างนอก แต่ พระปฎิบัติ ท่านพูดจากความเป็นจริง ธรรมนำหน้า พระพุทท่านกล่าวไว้ทางสายกาง เมื่อเห็นถูก ก่อนจะถูกก่อต้องเห็นผิดก่อน จริงไม่จริง พิจาเอง😊
ไม่ได้ทำลายตัวตน ละความยึดถือ
ความหลงต่างหาก ตัวตนว่างอยู่
ที่เห็นอยู่คือสังขารธรรมต่างหากครับ
ถ้าปฏิบัติและศึกษาพุทธวจนไปด้วย จะแตกฉานความรู้ธรรมโดยสัมมาทิฏฐิไม่ขัดแย้ง ถ้ายังเป็นสองอย่างขัดแย้งกันจะแยกได้ดังนี้
1.ศึกษาแล้วไม่ปฏิบัติ
2.ปฏิบัติแล้วไม่ศึกษาพุทธวจนะ
3.ศึกษามาผิด
4.ปฏิบัติมาผิด
5.สติไม่อยู่ในฐานะบุคคลปกติและเป็นผู้มีมิจฉาทิฐิอย่างแรงกล้า เป็นผู้เขลาเบาปัญญา
***ลองนำหัวข้อไปตรวจทานกับผู้กล่าวว่าการปฏิบัติกับคำสอนในพุทวจนะ(ปริยัติ)
ขัดแย้งกัน
เถียงกันทําไม พุทธสอนการเดินทางเพื่อการพ้นทุกข์ หลักธรรมคือยานพาหนะ ที่เราใช้ในการเดินทาง ถ้าเทียบชีวิตทางโลก เราต้องยึดเอารถเอาเรือเพื่อใช้ในการเดินทาง เมื่อเราถึงเป้าหมายเช่นมาถึงบ้านเรือน เราก็ไม่จําเป็นต้องใช้แล้ว แล้วเราจะยึดถือทําไม พระพุทธเจ้าสอนว่า เมื่อเราข้ามฟากของทะเลหรือแม่นํ้า เราไม่ต้องแบกเรือแพอีกต่อไป เช่นเดียวกับหลักธรรมคําสอน เมื่อเราหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวงแล้ว เราก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไป ที่พระทั้งสองมาพูดมันก็เรื่องเดียวกัน
คิดดี.พูดดี.ทำดี.ก็พอแล้ว
ปริยัติคือการศึกษาพระธรรม ธรรมะคือความจริงที่เกิดปรากฏไม่มีเรา ไม่มีของเรา เมื่อศึกษาแล้วพิจารณาอยู่เนืองๆจนเกิดปัญญาความเห็นถูก เมื่อจิตมั่นคงทรงปัญญาแล้ว ปฏิบัติก็จะเกิดเอง ไม่ใช่เราที่ปฏิบัติแต่เป็น ธรรมะที่ทำหน้าที่ แต่หากยังไม่มีปัญญาตามพุทธะ แม้นหลับตาทำสมาธิก็ไม่ต่างกับลัทธิต่างๆในสมัยพุทธกาล อนุโมทนาครับ
สุจินต์
การศึกษาฟังพระธรรมให้เข้าใจเข้าถีงโดยพิจราณาไตร่ตรองและได้พิสูจย์ในธรรมนั้นเพียรชอบอยู่ตลอดเวลาให้ปัญญาได้เกิดให้เห็นตามความเป็นจริงๆ นี่ ก็เรียก ว่า ปฏิบัติ แล้วและจะผิดพลาดยาก กว่า ไปนั้ง ภาววนา อาจจะไปหลงทางได้ ถ้า เรา ไม่แน่จริงๆ ถ้าไม่เคยรู้ฟังศึกษามาก่อนอาจหลงทาง
ตนเป็นที่พึ่งของตน นำไปสู่การปฏิบัติตนเพื่อละทิ้งตัวตน เพราะการที่จะละทิ้งตัวตนได้ มันก็ต้องพึ่งตนก่อนในการปฏิบัติธรรม เพื่อนำไปสู่การหลุดพ้น
ดังนั้น ในความเห็นของข้าพเจ้า คำสอนของพุทธองค์ไม่ได้ขัดแย้งกันครับ
ผมเรียนจบ เปรียญธรรม 3 โยค ฟังจากพระเรียนจากตำรามาเยอะแล้ว พอมาฟังหลวงตา จะอธิบายสภาวะธรรมได้ลึกกว่า ทุกวันนี้ฟังจากพระนักปฏิบัติอย่างเดียว จากตำราฟังมาเยอะแล้ว
พระปริญัติ ศึกษาจากตำราแล้วใช้อาจปัญญาตรึกตามและปฏิบัติเพียงผิวเผิน แต่พระปฏิบัติท่านลงทุนด้วยชีวิตเป็นเดิมพันและได้ประสบพบเจอในสิ่งที่พระปริญัติไม่อาจเข้าถึง ความลึกซึ้งแห่งธรรมจึงเทียบกันไม่ได้ แม้แต่เรื่องทิฐิมานะก็ต่างกันแล้ว แต่หากพระนักปฏิบัติยังไม่สำเร็จถึงขั้นหลุดพ้นกิเลสก็จะมีทิฐิมานะแรงกล้าเสียยิ่งกว่าพระปริญัติอย่างชนิดเทียบกันไม่ได้เลย เหตุที่เป็นนั้นก็ด้วยพระปฏิบัตินั้นไปรู้ไปเห็นในสิ่งที่บุคคลธรรมดาไม่อาจรู้เห็นได้จึงทะนงตนว่ารู้กว่าผู้อื่นนั่นเอง เช่นรู้วาระจิตของผู้อื่น รู้เห็นอนาคตว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น แต่นี่คือความเห็นผิดเพราะหากลุ่มหลงงมงายนานไปมันก็จะเสื่อมไปตามวัฏจักรคือความไม่เที่ยง
สายปฏิบัติ ลึกกว่าครับ ผมสัมผัสมากับตัวเหมือนกัน
เรียนปริยัติให้รู้ตามสมควรแล้วลงมือปฏิบัติ ถ้าเรียนตำราเยอะไปอาจไม่ได้ปฏิบัติแล้วจะเอาความรู้ตามตำรามาคอยจับผิดคนอื่นมาคอบสั่งสอนคนอื่น
จริตของคนไม่เหมือนกัน
แต่จุดหมายสูงสุ ดของแต่ละคนย่อมรู้แก่ใจ
พระเรียนมากรู้มาก ฟังมากก็รู้มาก แต่ปฏิบัติไม่เป็น ปฏิบัติไม่ได้ เรื่องของจิตใจ ตัวเอง มันยาก ไม่เชื่อ ลองดูพระเก่ง พูดเก่ง บังเอิญขาหายไปข้าง เป็นมะเร็ง ทำใจไม่ได้ พูดยังไงก็พูดได้ ทำได้หรือไม่คนล่ะเรื่องกัน
สิ้นคอนข้างจะตะแบงๆไป ไม่สมกับการคุยว่าเป็นพระป่านักปฏิบัติ ไม่รักษาอารมณ์เลย เหมือนโกรธใครมา
ฟังละ น่ารำราญใช่มะ
❤ฝนตกน้ำไหลลงทะเล..ทุกสายน้ำ❤😊😊🎉แต่สายน้ำคดเคี้ยวแค่ไหน😊🎉❤
ไม่ควรเปรียบเทียบแบบนี้ พระต้องมีปริยัติ ปฎิบัติ ปฎิเวธเป็นหลักอยู่แล้ว😊
ไม่ขัดแน่นอน คนยังต่างที่จริต ท่านรู้แต่ทางเดียว รู้ไม่ครบ
ทั้งปริยัติ + ปฏิบัติสมาธิ
ต้องเกื้อกูลกัน
เริ่มแรก ไงๆ ก็ต้องเรียน
ปริยัติก่อน แล้ว ก็ออกไปปฏิบัติ เพื่อพิสูจน์ ความจริง โมกขธรรม แล้วความเห็นที่ตรงก็จะเห็นเอง
ในเรื่องปริยัตและปติบัติ เป็น๒สิ่งที่ต้องคู่กันในเวลา36500วัน
สร้างความแตกแยกให้คนในชาติ
ปริยัติ-ปฏิบัติเป็นของคู่กัน
อุปมาเนื้อกับหนัง ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่สมบูรณ์
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวจ อันเดียวกัน นะโยม
พระปฏิบัติจริง จะไม่ค่อยพูดมากพูดน้อยแต่ให้ความรู้ผู้ฟังหรือผู้ปฏิบัติได้ดีเข้าใจง่าย ไม่ใช้วาจาที่ไม่สุภาพนั่นคือพระแท้
พระสิ้นคิดท่านมีความมุ่งมานะในการปฏิบัติ
พระที่เรียนปริยัติมาก ป 9 เห็นเป็นเจ้หมด
ขัดแย้งกัน เพราะเรียนเพื่อจะรู้ แต่พระปฏิบัติคือให้ปลาอยวาง ทำลายตัวตน จุดมุ่งหมายมันต่างกัน
คนเราจิตใจไม่มั่นคง มีอะไรใหม่ๆแปลกๆ ก็เฮกันไป ของดีๆที่มีอยู่ไม่ช่วยกันปกป้อง พระปลอมมีเยอะ เราก็ช่วยกันขัดขวาง อย่าเสือมศรัทธา พระผู้ใหญ่ที่คุมกฎก็ควรทำงานให้เร็วประสานตำรวจจัดการให้เร็ว ไม่ให้ประชาชนเบื่อหน่าย และไปหาไปฟังคนที่ไม่ได้เป็นพระ หรือเป็นพระที่เอาแต่โซเชียล มันจะไม่ทันกาล
ปริยัติทางอ้อม ปฎิบัติทางตรง ไม่มีพระพุทธเจ้าหรือเช่นพระอัชชิอธิบายธรรมเล็กน้อยก็เห็นธรรมได้ ยากมาก ส่วนมากเกจิดังๆปฏิบัติ
ปริยัติเป็นแนวทางปฏิบัติภาวนา
ไม่ขัดแย้งกันหรอกไปจุดหมายเดียวกัน ถ้าพิจารณาให้เข้าใจ
ปริยัติ กับ ปฏิบัติ ต้องไปคู่กัน ปริยัติอย่างเดียวก็เหมือน ความรู้ท่วมหัวแต่ทำจริงไม่ได้ ถ้าปฏิบัติอย่างเดียว แล้วจะรู้ได้ไงว่า ปฏิบัติไปถูกที่ถูกทาง
ผู้ปฏิบัติย่อมมีครูบาอาจารย์ ปริยัติก็เช่นกันจะอ่านแปรเองไม่ต่างกันหรอก สมมุตมดกัดจะรู้ตามความ ส่วนปริยัติมดกัดก็รู้จากคิดเอาสัจจธรรมน้อยคนนักจะเข้าถึง ทุกอย่างอยู่ที่ปัญญาบารมี และวาสนา ธรรมะของพระพุทธองค์ยากที่จะสอนต่อและสอนต่อได้ยาก มันเป็นปัตจัตตังจะเทศแบบอนุศาสนีปฏิหารย์หรือจะเอาโยนิโสมนัสสิการมาเทียบเคียงก็ได้แค่เกลือบและใกล้เคียง
พระพูดแบบสิ้นคิดจริงๆ สมฉายา เรียนปริยัติให้ถูกต้องเพื่อยืนยันการปฏิบัติถูกต้องหรือไม่ พระที่มีความรู้ที่ถูกต้องจะไม่ระรานใครหรอก ลองดู อุปกิเลส 16 ดูครับ ก็จะรู้ว่าควรจะฟังใคร และ ปฏิบัติตัวเช่นไร
ปฏิบัติปริยัติปฏิเวธไปด้วย
ฟังรื่นหู แต่ไม่โดน คือน้ำท่วมทุง ผักบุ้งโหลงเหลง เอาที่ถุกจริตใคร มัน ที่จจะสามารถรุ้เท่าทันกิเลส ในตัวเอง
รับฟังธรรมะเป็นเรื่องดี แต่เริ่มมีการนำเสนอเรื่องของพระสงฆ์ หลายเรื่อง เหมือนๆจะให้คน อะไรสักอย่าง
เหมือนจะให้คนหมดศรัทธาพระสงฆ์แล้วให้ไปกราบไหว้ฆาราวาสห่มขาว
ปกติต้องเดินทางด้วยสองขา,เปนปกติ.บางที่ขวานำ.บางทีช้ายนำ..แม้ไม่ก้าว..กะต้องอาศัยทั้งสองเท้าสองขา..ในการตั้งอยุ
ไม่ว่าจะเรียนมามาก หรือปฏิบัติมามาก ไม่ว่าจะพูดจาหยาบคายหรือไพเราะ ไม่ว่ากิริยาอาการ สำรวมหรือคึกคะนอง การโต้แย้งทุ่มเถียงกัน มันล้วนเป็นของชาวบ้าน ไม่ได้อะไรกันเลย...ถ้าเรียนมากแล้ว หรือปฏิบัติมากแล้วก็ตาม สิ่งที่มันควรจะได้คือ ปัญญา ความเท่าทันจิต เห็นตามเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบ ความหน่ายคลายกำหนัดในขันธ์ 5 หน่ายในการคลุกคลี ไม่อาลัยใดใดในโลก สิ้นความกังวล สันโดษ ขวนขวายน้อย เป็นผู้มีความสงบ กระทำการงานต่างๆตามสมมุติอย่างสงบเยือกเย็นไม่เร่งรีบเร่าร้อน ได้สมาธิโดยไม่ยากไม่ลำบากเป็นเครื่องอยู่เป็นสุข จึงพอใจในความสงัดวิเวกเป็นผู้มีสติบริบูรณ์เต็มรอบ มีความเพียรพอใจในการภาวนาตั้งแต่ตื่นกระทั่งหลับ ไม่ว่าจะการงานใดๆ จะประกอบด้วยภาวนาทุกขณะกิริยาอาการ ไม่ปล่อยใจ ไม่เผลอ จึงไม่มีความยะโส โอ้อวด หดหู่ ฟุ้งซ่าน ถือตน ยกตนข่มผู้อื่น งดงาม ในกิริยา ท่าทาง คำพูด ทั้งต่อหน้าหรือลับหลัง นี่คือลักษณะผู้สิ้นสังโยชน์
ใคร่ครวญในธรรมดีๆนะครับ อย่า Bias ในตัวพระ
สำหรับผม ผมว่าพระสมบูรณ์กล่าวได้เหมาะกว่า
ด้วยเหตุก่อนปฏิบัติ ปริยัติยังไงต้องมาก่อนปฎิบัติครับ
ต้องได้ยินได้ฟัง แล้วทรงจำนำมาใคร่ครวญต่อไปได้
ส่วนพระสิ้นคิด ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเรียน เขาเรียนน่ะ
แต่สิ่งที่ท่านนำมาบอกสอน ดันข้ามขั้นเกินไป
คนส่วนใหญ่เลยเข้าใจเป็นปฎิบัติมากกว่าปริยัติไป
ข้ามไปสอนเรื่องการวางตัวตน ซึ่งเป็นตัวนามธรรม
มันยากสำหรับปุถุชน แต่ไม่ใช่ไม่ดีนะครับ
ฉะนั้น การตัดคลิปแบบนี้มาต้องระวัง
ควรไปฟังในแง่มุมของทั้งสองท่านแบบเต็มๆ
แล้วนำคำเหล่านั้นมาเทียบเคียงในคำสอนพระศาสดา
แต่เฉพาะคลิปนี้ พระสมบูรณ์กล่าวได้สวยงามกว่า
เอาจริงๆ ของหลวงตาสินทรัพย์ไม่ได้ปฏิบัติยากนะครับ แค่ต้องฝืนแต่ไม่ใช่ทำไม่ได้ครับ อย่างของหลวงพ่อชา เมื่อตื่นแล้วจะลุกทันที และไม่กลับไปนอนต่อ เราเคยตื่น6โมง7โมง ลองฝึกตื่นซัก ตี5 ตี5ครึ่งทุกวัน ก็เป็นการฝึกละตัวตนแล้วครับ ใครก็ทำได้ แต่ความขี้เกียจทำให้เราไม่อยากทำ ในทางปริยัติ ความขี้เกียจตัวนี้ก็เรียกว่าถีนมิธะ แก้ด้วยการใช้อานาปานสติ ท่องมาว่างั้น อานาปานสติก็คือลมหายใจ ใจจดจ่ออยู่กับลมหายใจแก้ความง่วง ทีนี้ จะเห็นข้อขัดแย้งเล็กน้อยถ้าเรายึดปริยัติเป็นหลักในการปฏิบัติ ตรงที่เราจะไปนึกว่าอันนี้คืออะไรแก้ยังไง ถ้ามันคิดวุ่นวายแบบนี้ ก็ให้วางปริยัติเวลาจะปฏิบัติ เหลือเป็น ตื่นขึ้นตอนเช้าลุกขึ้นยืนสูดลมหายใจเข้า-ออกให้สมองปรอบโปร่ง ประมาณนี้ครับ แต่ไม่ใช่ว่าศึกษาปริยัติไม่ดี แค่อย่าเอาปริยัติมารวมกับการปฏิบัติ ปฏิบัติติดตรงไหนก็อย่าลืมปริยัติ เมื่อปฏิบัติปริยัติไปพร้อมกันก็จะเกิดเปิดปฏิเวธครับ
ดีทั้งสองครับ ปริยัติก็ดี ปฏิบัติก็ดี
อย่าไปกล่าวจ้วงจาบกันและกัน
กล่าวร้ายกันและกัน ขอให้ทำหน้าที่ตนให้ดีที่สุด
ปริยัติ และปฏิบัติไม่มีทางขัดแย้งกันเหมือนพระสิ้นคิดพูดเด็ดขาด ปฏิบัติคือขุมทรัพย์...ปริยัติคือแผนที่บอกเส้นทางไปสู่ขุมทรัพย์ไม่มีทางเลยที่นักปฏิบัติจะปฏิบัติถูกต้องหากไม่ผ่านปริยัติ....สาเหตุขัดแย้งคือนักปฏิบัตืบางคน ปฏิบัติแค่เบื้องต้นอยู่กับลม, สมาธิ, สติปัฏฐาน,อานาปานสติ...แล้วเข้าใจผิดในนิมิตร อันเกิดในจิต และเจตสิกของตนจนยากที่จะอธิบาย ก็เลยแสดงหรือพูดผิดจากพระไตรปิฎก แม้บางรูปที่อ้างว่าตนเป็นนักปฏิบัติแสดงธรรมยังกล่าวผิดเพราะขาดการเรียนปริยัติเช่น พูดว่าพระอนาคามี และอรหันต์กลับมาเกิดได้(พระชื่อ เสถียรโพธิญาน ณ สัพพัญญู)นี่แหละนักปฏิบัติที่ไม่เรียนรู้ปริยัติมาก่อน...พระแบบนี้หลายรูปเมื่อถูกติติงจากชาวพุทธ ก็ดาหน้าออกมาโทษตำรา อ้างตนว่าปฏิบัติถูกต้องพระไตรปิฎกไม่ถูกต้อง...ยกตัวอย่างง่ายๆตำราบอก2+2=4 แต่กูว่าได้5 แล้วโทษตำรา น่าอายนะผมว่า
บางพระ มิใช่ทั้งปฏิบัติ และปริยัติ แต่เป็นบ้าน้ำลายลงโซเซี่ยลไปวันๆ
ปริยัติคือการเรียนรู้ ปฏิบัติคือการลงมือทำ
อย่าเถียงกัยงกันไปเลย ศึกษาปริยัติให้ถึงใจ แล้วนำไปปฏิบัติให้ถูกตรงธรรมวินัย จนเกิดปฏิเวธแล้ว จะไม่มีมาเถียงกันว่าฉันถูกแกผิด เพราะเกิดสัจจะในตนแต่ละคนแล้ว ไม่ควรโต่งเรียนแค่ปริยัติอย่างเดียว หรือ ดุ่ยไปฏิบัติโดยไม่รู้หลักธรรม หรือแม้ปฏิบัติแต่ผิดหลักธรรม ก็เป็นโมฆะบุรุษ
ต้องมีปริยัติทราบหลักการแล้วนำไปปฏิบัติ..จะมีความสมบูรณ์...พระพม่า..ก็ศึกษาปริยัติไปปฏิบัติไป...เมื่อทำควบคู่กันไปแบบนี้ย่อมจะปฏิบัติได้ตรงทาง
เหมือนเปนนักกีฬา ต้องเรียนพื้นฐาน ค่อยไปฝึกซ้อมของจริง ไม่งั้นไม่มีพื้นฐาน ต่อยอดไม่ได้ เล่นไปก็บาดเจ็บ
ถ้าเป็นนั้นจริงอาจารย์ที่สอนทฤษฎีและปฏิบัติก็คงจะต้องสอนคนเดียวเท่านั้นมิฉะนั้นคงจะเหมียนกัน ดิครับ สาธุ🎉
ตถาคต พึงกำหนดไว้แล้วว่า
สรุป เป็นปัจจะตัง
ที่เห็นมานักปฏิบัติจริงไม่ค่อยถือตนหรือวุ่นวายกับใครมักจะระวังตัวมากกว่า..นักปริยัติส่วนใหญ่ถือตัวถือตนเอาความรู้ปริยัตินั้นมาจับผิดนักปฏิบัติ..ตราบใดที่ยังยึดติดอยู่กับอย่างใดอย่างหนึ่งมันก็ยากเข้าถึง
เชื่อว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่มีการขัดแย้งกัน ที่เห็นว่าขัดแย้งเพราะการปฏิบัติแบบจับต้นชนปลายไม่ถูก ต้องปฏิบัติเป็นไปตามขั้นตอน ขั้นต้นๆยังต้องยึดสมมุติขั้นสูงๆต้องละแม้แต่ปรมัตถ์ (เท่าที่ได้อ่านและเข้าใจมาครับ)
พระก็ว่า..อาจารย์ใคร..ก็อาจารย์มัน..ให้ตรงคือเอาตามพระพุธทเจ้านั้นคือตรง....นับถือ
ขัดแย้งตรงไหนหลวงพ่อ งง
สาธุครับ ของแท้ พุทธเรามัวแต่ขัดแย้งกัน ภัยภายนอก ก็ใช่ช่องโหว่นี้ทำลาย ไม่ว่าฝ่ายไหนเราช่วยกันรักษาพุทธศาสนาให้คงอยู่ตลอดไปครับ
ทำไมไม่เรียนหนังสือ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธต้องคู่กันไปผมเข้าใจถูกมั้ยครับ
ถ้าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านจะบอก ธรรมที่เป็นเหตุ ไว้ให้รู้ตาม ท่านจะบอก ธรรมที่เกิดแต่เหตุ ไว้ให้รู้ตาม
มี กัลยาณมิตร เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้นมาก่อน และ มี ธรรมที่เกิดแต่เหตุ คือ เป็นผู้ที่ได้สดับใน คำสอนของพระพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้า คือ กัลยาณมิตร)
เป็นผู้ที่ได้สดับใน คำสอนของพระพุทธเจ้า เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้นมา และ มี ธรรมที่เกิดแต่เหตุ คือ เป็นผู้ที่มีความเป็น อริยะ คือ เป็นผู้ที่ฟังด้วยดี
เป็นผู้ที่ฟังด้วยดี เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้นมา และ มี ธรรมที่เกิดแต่เหตุ คือ มีศรัทธาใน คำสอนของพระพุทธเจ้า (ทรงจำธรรมนั้นไว้)
มีศรัทธาใน คำสอนของพระพุทธเจ้า เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้นมา คือ การเกิดปรากฏขึ้นมาของ อริยมรรคมีองค์แปด
คือ การเกิดปรากฏขึ้นมาของ สัทธานุสารี
สัทธานุสารี เป็น ธรรมที่เป็นเหตุ เกิดปรากฏขึ้นมา และ มี ธรรมที่เกิดแต่เหตุ คือ ธัมมานุสารี
กราบพระอาจารย์มหาสมบูรณ์ครับ นักเดินทางผู้ทั้งชำนาญเส้นทาง รู้แผนที่ย่อมพร้อมกว่านักเดินทางที่ไม่รู้แผนที่
น้อมกราบพระปริยัติทั้งปฏิบัติเจ้าค้า..สาธุ....
ไปขึ้นป้ายตราหน้าว่าท่านไม่เรียนหนังสือได้ยังไงครับ..หลวงตารูปนี้ซื้อพระไตรปิฎกอ่านเองเลยด้วยซ้ำ..แล้วขึ้นป้ายว่าเป็นการถกกันด้วย...นี่เป็นการพูดต่างกรรมต่างวาระ 2 เหตุการณ์แล้วคุณจะมารวมกัน
เอากิเลสไปโต้กิเลส มันไม่จบหรอก แต่ถ้าเอาพระปฏิบัติธรรมเข้าถึงธรรมเสมอกัน หรือเข้าสู่แดนในห้องเดียวกันแม้มองเห็นไม่ชัด เพราะตนอยู่ไกลจากเหตุนั้นๆ แต่ยังสอบถามคุยกันง่ายขึ้น เหมือนเราดูหมอลำในเวทีเดียวกันแต่คนหนึ่งอยู่ใกล้เวทีคนหนึ่งอยู่ไกลเวทีเห็นนักแสดงว่าใครเปนใครได้ชัดเจนกว่าและไม่สงสัยอะไร ว่าใครเปนใครแต่คนที่อยู่ไกลเวทีมองเห็นไม่ชัดจะต้องอาศัยความสามารถหลายด้านทั้งการฟังเสียงการเพ่งพินิจไตร่ตรอง รวมถึงการสอบถามด้วยว่าใครเปนใคร เพราะเหตุนั้น การโต้แย้งถกธรรม ถ้าโต้กัน เพื่อทำลายกิเลสของตนเองก็ควร แต่โต้กันเพื่อชนะคะคานกันไม่ควรอย่างยิ่ง เหตุเพราะต่างคนต่างมีfc.ของตนอยู่แล้ว ผู้มีกิเลสย่อมเข้าข้างฝ่ายตนเสมอ
แล้วพวกท่านจะเถียงกัน เพื่อ...เรียนกันมา ปฏิบัติกันมา เพื่อชนะกันด้วยวาจานี่หรือ
ทำไมสมัยพระพุทธเจัา แค่ฟังพระองค์พูดแล้วเข้าป่าไป จึงสำเร็จเป็นพระอรหันต์มากมายเล่าท่าน
เขาสร้างบารมีในเรื่องฌานมามาก เพียงเปลี่ยนมาเพิ่มความเห็น(สัมมาทิฐิ) อานาปานสติ ก็บรรลุ ธรรมแล้ว
ถ้าสิ้นสังสัย.ไม่ว่าจะเป็นการปฎิบัติหรือปริยัติ.ก็ไม่มีอะไรมาขัดแน้งโต้แย้งกัน.
ท่านไม่ได้ให้ทิ้งความความดีความดีคือสิ่งที่ต้องทำมีมรรคองค์ 8 ทำดีแต่ไม่ยึดดีแต่เพราะรู้ว่าเหตุนี่ดีจึงทำเหตุนี่ไม่ดีจึงไม่ทำคือทั้งพระบ้านพระป่าก็ต้องปฏิบ้ติเหมือนกันคือคนเข้าถึงธรรมะของพระพุทธเจ้าจริงๆจะรู้ได้ด้วยตน
รู้ธรรมแต่ไม่ทำ...แล้วเมื่อไหร่จะถึงธรรม
รู้ธรรม ไม่ต้องทำ ไม่รู้ธรรม ทำเท่าไหร่ ก็ไม่ถึงธรรม
@@tikki142th2คุณยังอ่อนหัดมากฯ
@@werysabel3546 รบกวนอธิบายค่ะ 😊
เพี้ยนแล้วใครว่าปริยัติแล้วปฏิบัติไม่ได้ 🤡🤡🤡 ไม่เช่นนั้นพระสารีบุตร พระอานนท์ พระ อุบาลี จะเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร 🤡🤡 🐃🐃🐂🐂🐂
@@k.7781ถ้าไม่รู้ปริยัติ ปฏิบัติก็ผิดค่ะ
ธุสา
มีประโยชน์อะไร ที่จับพระมาขัดแย้งกัน
เหมือนขับรถหรือทำเกษตรครับรู้ทุกอย่างแต่ขับไม่เป็นนานไปลืมแน่นอนเพราะเป็นท่องจำแต่ปฏิบัติจะอยู่ในจิตใจตลอดไปถ้าเทียบระดับ ปริยัติอยู่ระดับ2หรือ3 ปฎิบัติจะอยู่ในระดัย789 รอบรรลุสังเกตุจิตใจห้าวหาญในธรรมไม่มีดัจริตถ้าปริยัติต้องเรียบร้อยเพื่อความสวยงามจิตใจพร้อมเทเอียงตลอดไม่มีความมั่นใจในธรรมถูกทั้งคู่แต่ให้คะแนนปริยัติ =4 ปฏิบัติ = 8 ถึง 9 ครับ
บุญแต่ไม่ติดบุญ การเจริญสติทำได้ในทุกอริยาบถน้อยใหญ่อริยาบถใหญคือเดินยืนนั่งนอนยกแขนยกขาอริยาบถน้อนกินดืมถ่มน้ำลายถ่ายอุจาระปัสวะทุกสิ่งที่มีในกายเช่นลมหายใจ และการกราบไหว้สวดมนต์ก็จะทำไห้รู้ว่ามีความหลงหรือไม่ขณะสวดมนต์ทุกสิ่งคือสติต้องเข้าใจการเป็นผู้ปฎิบัตทำไปรู้เองอาจายไม่ต้องบอกทุกเรื่องแม่ชีไม่ได้เรียนอะไรแต่เห็นพระใหญ่โตสอนไม่ไห้ทำบุญบุญก็คือรากเหง่ากุศลเจริญพร้อมกันพระที่ท่านสอนดีสอนตรงส่วนมากท่านไม่ออกชือจึงไม้มีข่าว
6:23 ปริยัติรู้เฉยๆรู้แต่ชื่อของธรรม แต่ไม่รู้ว่าทุกข์ทางธรรมจริงๆทุกข์อย่างไร ขัดตรงที่ไม่รู้จริง
รู้จากการอ่านการท่องมันเป็นความจำ การลงมือปฏิบัติแล้วเกิดความรู้ผุดขึ้นมาจึงเกิดสภาวะธรรม พระไตรปิฎกเขียนขึ้นมาจากการปฏิบัติ เพื่อเป็นแนวทาง เป็นกฎเกณฑ์ เป็นบรรทัดฐาน