ขนาดวิดีโอ: 1280 X 720853 X 480640 X 360
แสดงแผงควบคุมโปรแกรมเล่น
เล่นอัตโนมัติ
เล่นใหม่
กราบนมัสการพระภิกษุณีสงฆ์เจ้าค่ะ❤❤รักพระภิกษุณีสงฆ์เจ้าค่ะ❤❤
สาธุครับ
น้อมกราบเจ้าค่ะ
กราบสาธุ สาธุ สาธุ เจ้าค่ะ
ตถาคตเป็นผู้บอกทางอริยะสัจ4 ทางสู่วิมุติอันหมดจด อานนท์ ประตูนิพานเราได้เปิดไว้แล้ว สาธุ สาธุ
สาธุค่ะ
สาธุๆ
สาธุ..
ดีมากเลยครับ ส่วนตัวผมศึกษา ปฏิบัติ และเผยแพร่คำของพระศาสดาอยู่พึ่งได้เห็นได้เห็นภิกษุณี นานๆๆๆๆครั้ง หาได้ยากครับแสดงธรรมซึ่งอ้างถึงพระพุทธเจ้าตลอด ถือเป็นความเจริญยิ่งครับและก็ส่วนใหญ่ค่อนข้างสอดรับกับคำพระองค์อยู่ ขออนุโมทนาในสาวกผู้เผยแพร่ในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ^^[๕๒๓] ครั้งนั้น พระมหาปชาบดีโคตมี เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคม ได้ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลว่า"ขอประทานพระวโรกาส พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรมโดยย่อ ที่หม่อมฉันฟังธรรมของพระผู้มีพระภาคแล้ว เป็นผู้เดียวจะพึงหลีกออก ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปอยู่"พระผู้มีพระภาคตรัสว่า"ดูกรโคตมี เธอพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อความกำหนัด ไม่ใช่เพื่อคลายความกำหนัดเป็นไปเพื่อความประกอบ ไม่ใช่เพื่อความพรากเป็นไปเพื่อความสะสม ไม่ใช่เพื่อความไม่สะสมเป็นไปเพื่อความมักมาก ไม่ใช่เพื่อความมักน้อยเป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ ไม่ใช่เพื่อความสันโดษเป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่ ไม่ใช่เพื่อความสงัดเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ไม่ใช่เพื่อปรารภความเพียรเป็นไปเพื่อความเลี้ยงยาก ไม่ใช่เพื่อความเลี้ยงง่ายดูกรโคตมี เธอพึงทรงจำธรรมเหล่านั้นไว้โดยส่วนเดียวว่า 'นั่นไม่ใช่ธรรม นั่นไม่ใช่วินัย นั่นไม่ใช่สัตถุศาสน์'ดูกรโคตมี อนึ่ง เธอพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด ไม่ใช่เพื่อมีความกำหนัดเป็นไปเพื่อความพราก ไม่ใช่เพื่อความประกอบเป็นไปเพื่อความไม่สะสม ไม่ใช่เพื่อความสะสมเป็นไปเพื่อความมักน้อย ไม่ใช่เพื่อความมักมากเป็นไปเพื่อความสันโดษ ไม่ใช่เพื่อความไม่สันโดษเป็นไปเพื่อความสงัด ไม่ใช่เพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร ไม่ใช่เพื่อความเกียจคร้านเป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย ไม่ใช่เพื่อความเลี้ยงยากดูกรโคตมี เธอพึงทรงจำธรรมเหล่านั้นไว้โดยส่วนเดียวว่า 'นั่นเป็นธรรม นั่นเป็นวินัย นั่นเป็นสัตถุศาสน์' ฯ"- พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่ม ๗ หน้า ๒๑๓ ข้อ ๕๒๓
ทำไมท่านพระอาจารย์รุ้งเดือนเทศดีอย่างนี้คะ สาธุ
ขอกราบนมัสการ ท่านภิกษุณี รุ้งเดือน นันทยาณีสุวรรณ ครับ สาธุ สาธุ สาธุ ครับ
ใช่เลยค่ะ สาธุคำสอนพระพุทธเจ้า สุดยอดจริงๆค่ะ
ขอน้อบนอมกราบนมัสการองค์พระอาจารย์ ครับ
สาธุสาธุสาธุ..
สาธุ สาธุ สาธุ
สาธูครับ เข้าใจง่าย
ท่านเก่งนะคะ/ภิษขุณีรูปนี้/สาธุค่ะ
ขออนุโมทนา. สาธุๆๆค่ะ สุดยอดธรรมบรรยาย.
สาธุ🙏🙏🙏
สาธุในธรรมกราบ🙏กราบ🙏กราบ🙏
ขออนุโมทนา สาธุ ค่ะ
สาธุๆๆครับ !
สาธุ
อนุโมทนาสาธุครับ
ขอบคุณมากนะคะ😊🙏
อริยสัจ4
สาธุ ๆๆๆๆๆ
สาธุเจ้าค่ะ
เรียน ชาวพุทธ สิ่งที่ทำให้พวกท่านเข้าสวรรค์ คือการเชื่อฟังอัลเลาะห์เท่านั้น เมื่อท่านเชื่อฟังอัลเลาะห์แล้ว การประพฤติตัวดีตามแบบที่อัลเลาะห์สอนก็จะตามมา ดังนั้นขอพวกท่านทิ้งคำสอนหลอกลวงของนาย สิทธัตถะ เถิด นิพพานหรือการมุ่งใช้ปัญญา ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ท่านมีความสุขได้เข้าสวรรค์_
สาธุคะพระอาจารย์🙏🙏🙏🌺🌺🌺
สาธุๆๆ
สาธุๆๆเจ้าค่ะ
สาธุขออนุโมทนากับพระอาจารย์ขอให้มีกล้งใจสืบทอดพระฐศาสนาเป์นประโยชน์ต่อมหาชนผู้มืดบอด
สาธุๆๆ ครับ
เราไม่ได้บวชเราเป็นคนทั่วไปนี่แหละทำไมเรารู้เองหลายหลายอย่างท่านพุทธทาสก็รู้เองถึงเขียนหนังสือบอกได้หวงพ่อจรัญท่านก็รู้เองหลวงพ่อเทียนก็รู้เองไม่คิดก็ไม่ทุกข์ความอยากและไม่อยากคือความคิดก็ทุกข์ถ้าไม่คิดก็ไม่ทุกข์จริงไหมถ้าเราไม่คิดอยากหรือไม่อยากก็ไม่ทุกข์เข้าใจแล้วที่เขาบอกเราถูกต้องแล้วถ้าคิดอยากไม่อยากนั่นคือความคิดยังมีอัตตาตัวตนอยู่แต่ถ้าจิตไม่คิดอะไรเลยไม่คิดทั้งอยากหรือไม่อยากนั่นคือจิตว่างคือดับทุกข์นิพพานแล้วนั่นเองจิตไม่คิดก็ไม่ทุกข์เช่นหลวงพ่อเทียนที่สอนสมาธิเคลื่อนไหวบอกยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ไม่คิดก็ไม่ทุกข์ไม่คิดก็อยู่เหนือกรรมไปแล้วไม่อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมอีกต่อไป
Pranisara C สาธุๆๆ ปุถุชน ย่อมรู้เองนั้น เป็นไปไม่ได้!.แม้แต่อาจารย์ดังๆ ทุกท่านก็ตาม.นอกเสียจาก พระพุทธเจ้า. ผู้เป็นสัพพัญญู. เท่านั้น!.เพราะผู้บวช และ ฆราวาส. ที่เข้ามาในพุทธศาสนา. ต่างก็มีความศรัทธา. จึงเข้ามาเพื่อศึกษา. เพื่อให้รู้หนทาง ที่ออกจากทุกข์ คือ อริยสัจ 4.ส่วนการที่ตนเอง ได้ยิน ได้ฟัง มาแล้วจากที่ไหนก็ตาม เช่น. จาก..พ่อ- แม่ จาก..ครูบาอาจารย์. จากสื่อต่างๆ เมื่อนำมาพิจารณา. เห็นตามจริง ที่ตนได้ยินได้ฟังมา เราเรียกว่า เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ.(ปฏิบัติเห็นได้. รู้ได้ ด้วยตนเอง. ตามคำสอนของ พระศาสดา.)
การรู้เองเห็นเองที่เกิดขึ้นมาจากการได้ยินได้ฟัง จนเกิดเป็นปัญญานั้นดีแล้ว ส่วนการยกตัวอย่างครูบาอาจารย์ที่กล่าวมาท่านมิได้รู้เห็นเองโดยไม่ได้ศึกษาจากพระศาสดา แต่ท่านรู้เห็นแจ้งจากการนำธรรมนั้นมาปฏิบัติ..ซี่งผู้ที่เห็นเองตรัสรู้ธรรมนี้ขึ้นมาเองมีแต่พระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพระพุทธเจ้า..และมีแต่อรหันตสัมมาพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะเห็นอริสัจขึ้นมาเอง ท่านจึงกล่าวว่า..ภิกษุท.! ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ ได้ทำมรรคที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้นได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครรู้ให้มีคนรู้ได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครกล่าวให้ เป็นมรรคที่กล่าวกันแล้ว ตถาคตเป็นมัคคัญญู (รู้มรรค) เป็นมัคควิทู (รู้แจ้งมรรค)เป็นมัคคโกวิโท (ฉลาดในมมรค). ....ภิกษุท.! ส่วนสาวกทั้งหลายในกาลนี้เป็นมัคคานุคา (ผู้เดินตามมรรค) ตั้งแต่พระสาลีบุตร พระโมคคัลลานะ ลงมาจนถึงครูบาอาจารย์ที่เคารพทั้งหลาย จนถึงเราๆท่านๆนี้คือ..........ผู้เดินตามมรรคเท่านั้น
เข้าใจที่เขาบอกเราถ้าคิดอยากไม่อยากก็คือความคิดความคิดทำไห้ทุกข์ถ้าไม่คิดก็ไม่ทุกข์จิตเราไม่คิดจิตเราเฉยเฉย
ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอเอ็นดูใคร และใครถือว่าเธอเป็นผู้ที่เขาควรเชื่อฟัง เขาจะเป็นมิตรก็ตาม อำมาตย์ก็ตาม ญาติหรือสายโลหิตก็ตาม; ชนเหล่านั้น อันเธอพึงชักชวนให้เข้าไปตั้งมั่น ในความจริงอันประเสริฐสี่ประการ ด้วยปัญญาอันรู้เฉพาะตามที่เป็นจริง. ความจริงอันประเสริฐสี่ประการอะไรเล่า ? สี่ประการคือ :- ความจริงอันประเสริฐคือ ทุกข์, ความจริงอันประเสริฐคือ เหตุให้เกิดแห่งทุกข์, ความจริงอันประเสริฐคือ ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์, และความจริงอันประเสริฐคือ ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์.สาธุครับ
sadhu sadhu sadhu
สังโยชน์ และ อุปาทานว่าด้วยธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์ และ สังโยชน์ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดง ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์ และ สังโยชน์ เธอทั้งหลาย จงฟัง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์ เป็นไฉน สังโยชน์ เป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย “รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ” ชื่อว่า “ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์” / ”ธรรมที่เกื้อกูลแก่สังโยชน์” (สฺโชนิโย ธมฺโม)ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ (ฉนฺทราโค) ใน “รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ” นั้น ชื่อว่า “สังโยชน์” / “เครื่องผูก” (สฺโชน)(รูป ภิกฺขเว สญฺโญชนิโย ธมฺโม โย ตตฺถ ฉนฺทราโค ต ตตฺถ สญฺโญชน เวทนา..สญฺญา..สงฺขารา..วิญฺญาณํ..) ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้ เรียกว่า “ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์” นี้ เรียกว่า “สังโยชน์”.(อิเม วุจฺจนฺติ ภิกฺขเว สฺโชนิยา ธมฺมา อิท สฺโชนนฺติ ฯ)--------------(ฉบับหลวง) สํ.ข. ๑๗/๑๕๙/๓๐๘ สังโยชนสูตร
ทำไมเราไปเดินข้างนอกทำไมเรารู้ว่าขี้ฝุ่นเกาะรองเท้ากับเท้าเราทุกครั้งที่เราไปเดินนอกบ้านเข้าบ้านต้องล้างเท้าทุกครั้งที่เข้าบ้านแปลกไหมทำไมเราไม่ตกใจกับอะไรเลยทำไมเรารู้ว่าผู้อื่นคิดอะไรอยู่
แปลกเราเข้าใจทำไมเราไม่คิดอะไรเลยไม่คิดอยากหรือไม่อยากจิตเราเฉยเฉยไม่คิดอะไรเลยไม่รักไม่โลภไม่โกรธไม่หลงอะไรเลยไม่หวงไม่ห่วงอะไรเลยไม่ทุกข์กับอะไรเลยนี่คือการดับทุกข์แล้วนี่คือจิตอยู่ในนิพพานนี่คือจติว่างที่ท่านพุทธทาสบอกไม่ยึดมั่นถือมั่นกับอะไรอีกแล้วทำไมร่างกายหิวทำไมจิตไม่หิวเลยนี่คือจิตกับกายแยกออกจากกันแล้วเช่นหวลงพ่อจรัญวัดอัมพวันสิงห์บุรีเคยไปเรียนกรรมฐานกับอาจารย์อาจารย์ถามนามกับอรูปนามแยกออกจากกันหรือยังถามหลวงพ่อจรัญนามก็คือร่างกายอรูปนามก็คือจิตวิญญาณนั่นเอง
Pranisara C อ่านเรื่องราวของท่านแล้ว ทราบซึ้งนะ ท่านเห็นธรรมแล้ว ถึงธรรมแล้ว สาธุ สาธุ สาธุ ยิ่งปฏิบัติยิ่งมนสิการ ปัญญาจะยิ่งๆๆขึ้นไป แล้วดับโดยรอบ .
คฤหบดี เพราะ โคดำ ไม่ติดกับ โคขาว แม้ โคขาว ก็ไม่ติดกับ โคดำ ทาม (สายคร่าว) หรือ เชือก ที่ผูกโคทั้งสอง นั้น ชื่อว่า “เป็นเครื่องผูก” ฯ (สญฺโญชนํ)จิตต. ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล “จักษุ” ไม่ติดกับ “รูป” รูป ไม่ติดกับ จักษุ “ฉันทราคะ” ที่เกิดขึ้น เพราะอาศัยจักษุและรูปทั้ง ๒ นั้น ชื่อว่า “เป็นเครื่องติด” /เครื่องผูก/เครื่องเกี่ยวข้อง (สญฺโญชนํ)
กราบนมัสการพระภิกษุณีสงฆ์เจ้าค่ะ❤❤รักพระภิกษุณีสงฆ์เจ้าค่ะ❤❤
สาธุครับ
น้อมกราบเจ้าค่ะ
กราบสาธุ สาธุ สาธุ เจ้าค่ะ
ตถาคตเป็นผู้บอกทางอริยะสัจ4
ทางสู่วิมุติอันหมดจด
อานนท์
ประตูนิพานเราได้เปิดไว้แล้ว
สาธุ สาธุ
สาธุค่ะ
สาธุๆ
สาธุ..
ดีมากเลยครับ ส่วนตัวผมศึกษา ปฏิบัติ และเผยแพร่คำของพระศาสดาอยู่
พึ่งได้เห็นได้เห็นภิกษุณี นานๆๆๆๆครั้ง หาได้ยากครับ
แสดงธรรมซึ่งอ้างถึงพระพุทธเจ้าตลอด ถือเป็นความเจริญยิ่งครับ
และก็ส่วนใหญ่ค่อนข้างสอดรับกับคำพระองค์อยู่
ขออนุโมทนาในสาวกผู้เผยแพร่ในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ^^
[๕๒๓] ครั้งนั้น พระมหาปชาบดีโคตมี เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคม ได้ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลว่า
"ขอประทานพระวโรกาส พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรมโดยย่อ ที่หม่อมฉันฟังธรรมของพระผู้มีพระภาคแล้ว เป็นผู้เดียวจะพึงหลีกออก ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปอยู่"
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"ดูกรโคตมี เธอพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้
เป็นไปเพื่อความกำหนัด ไม่ใช่เพื่อคลายความกำหนัด
เป็นไปเพื่อความประกอบ ไม่ใช่เพื่อความพราก
เป็นไปเพื่อความสะสม ไม่ใช่เพื่อความไม่สะสม
เป็นไปเพื่อความมักมาก ไม่ใช่เพื่อความมักน้อย
เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ ไม่ใช่เพื่อความสันโดษ
เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่ ไม่ใช่เพื่อความสงัด
เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ไม่ใช่เพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเลี้ยงยาก ไม่ใช่เพื่อความเลี้ยงง่าย
ดูกรโคตมี เธอพึงทรงจำธรรมเหล่านั้นไว้โดยส่วนเดียวว่า 'นั่นไม่ใช่ธรรม นั่นไม่ใช่วินัย นั่นไม่ใช่สัตถุศาสน์'
ดูกรโคตมี อนึ่ง เธอพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้
เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด ไม่ใช่เพื่อมีความกำหนัด
เป็นไปเพื่อความพราก ไม่ใช่เพื่อความประกอบ
เป็นไปเพื่อความไม่สะสม ไม่ใช่เพื่อความสะสม
เป็นไปเพื่อความมักน้อย ไม่ใช่เพื่อความมักมาก
เป็นไปเพื่อความสันโดษ ไม่ใช่เพื่อความไม่สันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัด ไม่ใช่เพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร ไม่ใช่เพื่อความเกียจคร้าน
เป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย ไม่ใช่เพื่อความเลี้ยงยาก
ดูกรโคตมี เธอพึงทรงจำธรรมเหล่านั้นไว้โดยส่วนเดียวว่า 'นั่นเป็นธรรม นั่นเป็นวินัย นั่นเป็นสัตถุศาสน์' ฯ"
- พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่ม ๗ หน้า ๒๑๓ ข้อ ๕๒๓
ทำไมท่านพระอาจารย์รุ้งเดือนเทศดีอย่างนี้คะ สาธุ
ขอกราบนมัสการ ท่านภิกษุณี รุ้งเดือน นันทยาณีสุวรรณ ครับ สาธุ สาธุ สาธุ ครับ
ใช่เลยค่ะ สาธุคำสอนพระพุทธเจ้า สุดยอดจริงๆค่ะ
ขอน้อบนอมกราบนมัสการองค์พระอาจารย์ ครับ
สาธุสาธุสาธุ..
สาธุ สาธุ สาธุ
สาธูครับ เข้าใจง่าย
ท่านเก่งนะคะ/ภิษขุณีรูปนี้/สาธุค่ะ
ขออนุโมทนา. สาธุๆๆค่ะ
สุดยอดธรรมบรรยาย.
สาธุ🙏🙏🙏
สาธุในธรรม
กราบ🙏กราบ🙏กราบ🙏
ขออนุโมทนา สาธุ ค่ะ
สาธุๆๆครับ !
สาธุ
อนุโมทนาสาธุครับ
ขอบคุณมากนะคะ😊🙏
อริยสัจ4
สาธุ ๆๆๆๆๆ
สาธุเจ้าค่ะ
เรียน ชาวพุทธ สิ่งที่ทำให้พวกท่านเข้าสวรรค์ คือการเชื่อฟังอัลเลาะห์เท่านั้น เมื่อท่านเชื่อฟังอัลเลาะห์แล้ว การประพฤติตัวดีตามแบบที่อัลเลาะห์สอนก็จะตามมา ดังนั้นขอพวกท่านทิ้งคำสอนหลอกลวงของนาย สิทธัตถะ เถิด นิพพานหรือการมุ่งใช้ปัญญา ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ท่านมีความสุขได้เข้าสวรรค์_
สาธุคะพระอาจารย์🙏🙏🙏🌺🌺🌺
สาธุๆๆ
สาธุๆๆเจ้าค่ะ
สาธุขออนุโมทนากับพระอาจารย์ขอให้มีกล้งใจสืบทอดพระฐศาสนาเป์นประโยชน์ต่อมหาชนผู้มืดบอด
สาธุๆๆ ครับ
เราไม่ได้บวชเราเป็นคนทั่วไป
นี่แหละทำไมเรารู้เองหลาย
หลายอย่างท่านพุทธทาสก็รู้เอง
ถึงเขียนหนังสือบอกได้หวงพ่อจรัญ
ท่านก็รู้เองหลวงพ่อเทียนก็รู้เอง
ไม่คิดก็ไม่ทุกข์ความอยากและไม่อยากคือ
ความคิดก็ทุกข์ถ้าไม่คิดก็ไม่ทุกข์จริงไหม
ถ้าเราไม่คิดอยากหรือไม่อยากก็ไม่ทุกข์
เข้าใจแล้วที่เขาบอกเราถูกต้องแล้ว
ถ้าคิดอยากไม่อยากนั่นคือความคิดยังมีอัตตาตัวตนอยู่
แต่ถ้าจิตไม่คิดอะไรเลยไม่คิดทั้งอยากหรือไม่อยาก
นั่นคือจิตว่างคือดับทุกข์นิพพานแล้วนั่นเอง
จิตไม่คิดก็ไม่ทุกข์เช่นหลวงพ่อเทียนที่สอนสมาธิเคลื่อนไหว
บอกยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ไม่คิดก็ไม่ทุกข์ไม่คิดก็อยู่เหนือกรรม
ไปแล้วไม่อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมอีกต่อไป
Pranisara C
สาธุๆๆ
ปุถุชน ย่อมรู้เองนั้น เป็นไปไม่ได้!.
แม้แต่อาจารย์ดังๆ ทุกท่านก็ตาม.
นอกเสียจาก พระพุทธเจ้า. ผู้เป็นสัพพัญญู. เท่านั้น!.
เพราะผู้บวช และ ฆราวาส. ที่เข้ามาในพุทธศาสนา.
ต่างก็มีความศรัทธา. จึงเข้ามาเพื่อศึกษา.
เพื่อให้รู้หนทาง ที่ออกจากทุกข์ คือ อริยสัจ 4.
ส่วนการที่ตนเอง ได้ยิน ได้ฟัง มาแล้วจากที่ไหนก็ตาม
เช่น. จาก..พ่อ- แม่ จาก..ครูบาอาจารย์. จากสื่อต่างๆ
เมื่อนำมาพิจารณา. เห็นตามจริง ที่ตนได้ยินได้ฟังมา
เราเรียกว่า เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ.
(ปฏิบัติเห็นได้. รู้ได้ ด้วยตนเอง. ตามคำสอนของ พระศาสดา.)
การรู้เองเห็นเองที่เกิดขึ้นมาจากการได้ยินได้ฟัง จนเกิดเป็นปัญญานั้นดีแล้ว ส่วนการยกตัวอย่างครูบาอาจารย์ที่กล่าวมาท่านมิได้รู้เห็นเองโดยไม่ได้ศึกษาจากพระศาสดา แต่ท่านรู้เห็นแจ้งจากการนำธรรมนั้นมาปฏิบัติ..ซี่งผู้ที่เห็นเองตรัสรู้ธรรมนี้ขึ้นมาเองมีแต่พระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพระพุทธเจ้า..และมีแต่อรหันตสัมมาพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะเห็นอริสัจขึ้นมาเอง ท่านจึงกล่าวว่า..ภิกษุท.! ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ ได้ทำมรรคที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้นได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครรู้ให้มีคนรู้ได้
ทำมรรคที่ยังไม่มีใครกล่าวให้ เป็นมรรคที่กล่าวกันแล้ว ตถาคตเป็นมัคคัญญู (รู้มรรค) เป็นมัคควิทู (รู้แจ้งมรรค)เป็นมัคคโกวิโท (ฉลาดในมมรค). ....ภิกษุท.! ส่วนสาวกทั้งหลายในกาลนี้เป็นมัคคานุคา (ผู้เดินตามมรรค) ตั้งแต่พระสาลีบุตร พระโมคคัลลานะ ลงมาจนถึงครูบาอาจารย์ที่เคารพทั้งหลาย จนถึงเราๆท่านๆนี้คือ..........ผู้เดินตามมรรคเท่านั้น
เข้าใจที่เขาบอกเราถ้าคิด
อยากไม่อยากก็คือความคิด
ความคิดทำไห้ทุกข์ถ้าไม่คิดก็ไม่ทุกข์
จิตเราไม่คิดจิตเราเฉยเฉย
ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอเอ็นดูใคร และใครถือว่าเธอเป็นผู้ที่เขาควรเชื่อฟัง เขาจะเป็นมิตรก็ตาม อำมาตย์ก็ตาม ญาติหรือสายโลหิตก็ตาม;
ชนเหล่านั้น อันเธอพึงชักชวนให้เข้าไปตั้งมั่น ในความจริงอันประเสริฐสี่ประการ ด้วยปัญญาอันรู้เฉพาะตามที่เป็นจริง.
ความจริงอันประเสริฐสี่ประการอะไรเล่า ? สี่ประการคือ :- ความจริงอันประเสริฐคือ ทุกข์, ความจริงอันประเสริฐคือ เหตุให้เกิดแห่งทุกข์,
ความจริงอันประเสริฐคือ ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์, และความจริงอันประเสริฐคือ ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์.สาธุครับ
sadhu sadhu sadhu
สังโยชน์ และ อุปาทาน
ว่าด้วยธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์ และ สังโยชน์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดง ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์ และ สังโยชน์ เธอทั้งหลาย จงฟัง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์ เป็นไฉน สังโยชน์ เป็นไฉน?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย “รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ”
ชื่อว่า “ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์” / ”ธรรมที่เกื้อกูลแก่สังโยชน์” (สฺโชนิโย ธมฺโม)
ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ (ฉนฺทราโค) ใน “รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ” นั้น
ชื่อว่า “สังโยชน์” / “เครื่องผูก” (สฺโชน)
(รูป ภิกฺขเว สญฺโญชนิโย ธมฺโม โย ตตฺถ ฉนฺทราโค ต ตตฺถ สญฺโญชน เวทนา..สญฺญา..สงฺขารา..วิญฺญาณํ..)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้ เรียกว่า “ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์” นี้ เรียกว่า “สังโยชน์”.
(อิเม วุจฺจนฺติ ภิกฺขเว สฺโชนิยา ธมฺมา อิท สฺโชนนฺติ ฯ)
--------------
(ฉบับหลวง) สํ.ข. ๑๗/๑๕๙/๓๐๘ สังโยชนสูตร
ทำไมเราไปเดินข้างนอก
ทำไมเรารู้ว่าขี้ฝุ่นเกาะ
รองเท้ากับเท้าเราทุกครั้งที่เรา
ไปเดินนอกบ้านเข้าบ้านต้องล้าง
เท้าทุกครั้งที่เข้าบ้านแปลกไหม
ทำไมเราไม่ตกใจกับอะไรเลย
ทำไมเรารู้ว่าผู้อื่นคิดอะไรอยู่
แปลกเราเข้าใจทำไม
เราไม่คิดอะไรเลยไม่คิดอยาก
หรือไม่อยากจิตเราเฉยเฉย
ไม่คิดอะไรเลยไม่รักไม่โลภ
ไม่โกรธไม่หลงอะไรเลยไม่หวง
ไม่ห่วงอะไรเลยไม่ทุกข์กับอะไรเลย
นี่คือการดับทุกข์แล้วนี่คือจิตอยู่ใน
นิพพานนี่คือจติว่างที่ท่านพุทธทาสบอก
ไม่ยึดมั่นถือมั่นกับอะไรอีกแล้ว
ทำไมร่างกายหิวทำไมจิตไม่หิวเลย
นี่คือจิตกับกายแยกออกจากกันแล้ว
เช่นหวลงพ่อจรัญวัดอัมพวันสิงห์บุรี
เคยไปเรียนกรรมฐานกับอาจารย์
อาจารย์ถามนามกับอรูปนามแยก
ออกจากกันหรือยังถามหลวงพ่อจรัญ
นามก็คือร่างกายอรูปนามก็คือจิตวิญญาณ
นั่นเอง
Pranisara C อ่านเรื่องราวของท่านแล้ว ทราบซึ้งนะ ท่านเห็นธรรมแล้ว ถึงธรรมแล้ว สาธุ สาธุ สาธุ ยิ่งปฏิบัติยิ่งมนสิการ ปัญญาจะยิ่งๆๆขึ้นไป แล้วดับโดยรอบ .
คฤหบดี เพราะ โคดำ ไม่ติดกับ โคขาว แม้ โคขาว ก็ไม่ติดกับ โคดำ ทาม (สายคร่าว) หรือ เชือก ที่ผูกโคทั้งสอง นั้น ชื่อว่า “เป็นเครื่องผูก” ฯ (สญฺโญชนํ)
จิตต. ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล
“จักษุ” ไม่ติดกับ “รูป” รูป ไม่ติดกับ จักษุ “ฉันทราคะ” ที่เกิดขึ้น เพราะอาศัยจักษุและรูปทั้ง ๒ นั้น ชื่อว่า “เป็นเครื่องติด” /เครื่องผูก/เครื่องเกี่ยวข้อง (สญฺโญชนํ)
สาธุๆ
สาธุ สาธุ สาธุ