สร้อยสายมูร้อยล้าน RAVIPA โต 2000% ใน 1 ปี | The Secret Sauce EP.497
ฝัง
- เผยแพร่เมื่อ 11 พ.ค. 2024
- ใครจะรู้ว่าประเทศไทยมีผู้ประกอบการที่มองเห็นโอกาส ช่องว่าง ก่อนจะหยิบส่วนผสมระหว่างความเชื่อและเครื่องประดับ มาบรรจุลงในสร้อยข้อมือแบรนด์ ‘RAVIPA’ จนสร้างกระแสตอบรับดีล้นหลาม เพราะแม้แต่ ‘ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล’ ศิลปินไทยวงเกิร์ลกรุ๊ประดับโลก BLACKPINK ก็ยังใส่ จนปีที่ผ่านมาบริษัททำยอดขายเติบโตได้ในระดับสูงถึง 2,000%
แบรนด์ที่ในสเกล SMEs เช่นนี้ทำได้อย่างไร อะไรคือจุดเริ่มต้นของการคว้าโอกาสสำคัญครั้งนี้ เคน นครินทร์ คุยกับ สา-ธนิสา วีระศักดิ์ศรี ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ RAVIPA ถึงเส้นทางการทำธุรกิจตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน พร้อมดึงเอาบทเรียนสำคัญจากการทำธุรกิจที่ต้องใช้เวลากว่า 9 ปีกว่าจะประสบความสำเร็จออกมาให้คุณได้ร่วมเรียนรู้ไปพร้อมกัน
00:00 เริ่มรายการ
01:02 เกริ่นนำ
03:49 การเดินทางของ RAVIPA จุดเปลี่ยนอยู่ตรงไหน
08:33 จุดเริ่มต้นคอลเล็กชัน RAVIPA Reminder
14:01 วิเคราะห์ปรากฏการณ์ ‘เครื่องประดับสายมู’ ทำอย่างไรให้ปังจนดังระเบิด
17:48 ‘ปลุกเสก-หาฤกษ์-ดีไซน์’ กว่าจะมาเป็นสร้อยข้อมือ ผ่านอะไรมาบ้าง
20:46 RAVIPA หากินกับความเชื่อ?
23:13 อนาคตตลาดเครื่องประดับสายมูไทย
25:50 เป้าหมายถัดไป RAVIPA
28:53 บทเรียนจากการทำธุรกิจ
______________________
ติดตาม The Secret Sauce ในช่องทางอื่นๆ
Spotify bit.ly/tssspotify
Apple Podcasts bit.ly/tssapple
Google Podcasts bit.ly/tssggpod
PodBean bit.ly/tsspodbean
Website bit.ly/webtss
Facebook / thesecretsauceth
Facebook Group / 643054436428079
#TheSecretSauce #TheStandardPodcast #RAVIPA - แนวปฏิบัติและการใช้ชีวิต
เคย งมงาย ค่ะ แต่ตอนนี้ไม่งมงายแล้ว เพราะสร้างความเชื่อมั้นให้กับตัวเองได้ มีความสุขที่แท้จริงค่ะ
Mindset อันตรายมากค่ะ เรื่องการเปิดร้านเพราะเหตุผล ถ้ารอพร้อมก็ไม่ได้เริ่มซักที การทำธุรกิจต้องมองรอบด้าน เจ๊งบนกระดาษ เจ็บน้อยกว่าเจ๊งในชีวิตจริง โปรดใช้วิจารณาในการรับชมนะคะ โชคดีไม่ได้เข้าข้างใคร100%ตลอดเวลานะคะ
ถ้าไสยศาสตร์เป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสมและมีเหตุมีผลที่คนทั่วไปยอมรับได้ ตัวเจ้าของกิจการนี้คงไม่พูดออกมาเองว่า มันเป็นเรื่องที่น่าอายสำหรับเธอ มันดูดาร์กและไม่เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป
การแสดงความศรัทธาอย่างเปิดเผยไม่ควรต้องรู้สึกว่าน่าอาย เช่นเดียวกับที่เรารักและศรัทธาในตัวพ่อแม่ ถ้าเราไม่กล้าแสดงออกว่ารักพ่อแม่ต่อหน้าคนอื่น คงมีอะไรผิดปกติสักอย่าง เช่นเดียวกันกับศรัทธาทางความเชื่อ ถ้ารู้สึกอายที่ตัวเองงมงาย นั่นก็หมายถึงว่าคุณรู้ตัวดีว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เหมาะสม และมีเหตุมีผลที่คนทั่วไปยอมรับได้
ผมฟังสัมภาษณ์แล้วน่าจะคนละกรณีกันนะครับ ถ้าดูจากบริบทแล้วลองเปรียบเทียบขำๆ จะเหมือนกับกรณีที่เราอยากได้ หรืออยากทำอะไร แต่จะโชว์ว่าอยากได้มากๆ ก็เขิน เสียฟอร์ม (ไม่ได้เกี่ยวกับเป็นเรื่องถูกต้อง เหมาะสม หรือการมีเหตุผล แค่เป็นเรื่อง self-confidence ความมั่นใจในตัวเองเฉยๆ เหมือนเราชอบดารา หรือเชียร์กีฬาอะไรซักทีมนึง จะโชว์ว่าเราเต็มร้อยซัพพอร์ททีมนี้ก็กลัวคนล้อ เลยอยากได้อะไรที่ให้รู้ว่าเชียร์นะ แต่เชียร์เงียบๆ)
โดยเฉพาะในกรณีนี้เลยครับ สมมติว่าเราเชื่ออะไรซักอย่าง เราก็เชื่อของเรา แต่มีคนหลายคนไม่ได้คิดเหมือนกันกับเราคอยตีเส้นเอาไว้ว่า "มันไม่เหมาะสม คนทั่วไปไม่ยอมรับ" ฯลฯ ทำให้คนที่เชื่อ (หรือชอบอะไรมากๆ) ก็ไม่กล้าแสดงออก เพราะกลัวโดนคนตัดสินในความเชื่อ/ความชอบของตัวเอง
แล้วคนที่ตัดสินความเชื่่อ/ความชอบของคนอื่นก็จะใช้เหตุผลนี้ที่เข้าไม่กล้าแสดงออกมา back up ตัวเองว่า "เห็นมั้ย ที่คุณไม่กล้าแสดงออก เหตุผลเพราะมันไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม คนทั่วไปไม่ยอมรับ"
เป็น loop วนไป
> เช่นเดียวกับที่เรารักและศรัทธาในตัวพ่อแม่ ถ้าเราไม่กล้าแสดงออกว่ารักพ่อแม่ต่อหน้าคนอื่น คงมีอะไรผิดปกติสักอย่าง
มันมีปัจจัยหลายอย่างมากเลยนะครับ อย่างเด็กหรือผู้ใหญ่บางคนไม่กล้าแสดงความรักพ่อแม่ ก็เพราะเพื่อนนั่นล่ะล้อเอง (ลูกแหง่ ติดแม่ ติดบ้าน ฯลฯ)
บางทีคนที่ไม่กล้าแสดงออก อาจจะไม่ใช่ต้นตอของความผิดปกติ ต้นตออาจจะมากจากสังคมรอบตัวที่ชอบแซว ชอบล้อ ชอบตัดสินคนอื่นก็ได้ครับ
ไม่อยากให้ด่วนตัดสินเลยครับ
@@reinuttanon1418 ครับผมเข้าใจบริบทที่คุณกล่าวถึงและผมได้คิดในมุมนี้มาก่อนแล้ว ผมจึงยังยืนยันเช่นเดิมครับ
อาการเขินอายที่จะแสดงความรักต่อพ่อแม่ ไม่มีคำว่าไม่เชื่ออยู่ในนั้นเลย การเขินอายไม่ได้ลดทอนคุณค่าของความรักและศรัทธาที่เรามีต่อพ่อแม่ ซึ่งต่อให้คุณไม่กอดพ่อแม่ ทุกคนก็ยังเชื่อว่าคุณรักพ่อแม่คุณ 100% และคุณก็กล้าประกาศได้เต็มปากเต็มคำว่าคุณเป็นลูกใคร คุณไม่เคยรู้สึกผิดที่เกิดมาเป็นลูกของคุณพ่อและคุณแม่ ที่สำคัญคือคุณจะไม่แคร์ว่าคนอื่นจะคิดกับพ่อแม่คุณยังไง พ่อแม่ของคุณคือคนสำคัญเสมอ
แต่หากการสวมใส่เครื่องลางของขลังที่บ่งบอกชัดเจนว่าคุณเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ แล้วมันทำให้คุณรู้สึกไม่มั่นใจ ถ้าคุณกลัวคนอื่นไม่ประทับใจ กลัวว่าเขาจะไม่เข้าใจ ความรู้สึกนั้นไม่ใช่ความเขินอาย แต่เป็นความรู้สึกผิด ยิ่งคุณแปลงโฉมเครื่องรางของขลังให้ดูไม่เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มันยิ่งบ่งบอกให้รู้ว่าคุณไร้ความศรัทธา
คนที่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์เกือบร้อยเปอร์เซ็นมักจะไม่พอใจถ้ามีคนกล่าวหาว่างมงาย ทั้งที่มันเป็นเรื่องจริงแต่ก็ยังไปโกรธเขา
ต่างกันกับตอนที่มีคนบอกว่าคุณเป็นลูกของนายนั้น นางนี้ คุณจะยอมรับโดยปริยาย นั่นต่างหากคือการโอบกอดสิ่งที่คุณศรัทธาที่ผมหมายถึง
อันที่จริงคุณสามารถเปลี่ยนความเชื่อได้ในเวลาข้ามคืน แต่คุณอาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตที่จะลบความศรัทธาไปจากใจคุณได้
แต่ถ้าอยู่ๆวันไหนคุณเริ่มละอายที่จะบอกความศรัทธาต่อคนอื่น คุณก็ควรซื่อสัตย์ต่อตัวเอง และยอมรับว่ามีบางสิ่งที่คุณเคยเชื่อ แต่ตอนนี้คุณไม่ได้ศรัทธามันอีกแล้ว
@@jjayindahra ขอบคุณที่แลกเปลี่ยนครับ ผมอ่านคอมเมนท์แล้วนะครับ 👍
จริงๆ เป็นมุมมองที่น่าสนใจมากครับ ผมกำลังนั่งคิดตามว่ามีกรณีไหนบ้างที่ความกลัวคนอื่นไม่ประทับใจและไม่เข้าใจ สามารถสรุปได้ว่าเป็นความรู้สึกผิด แล้วเท่ากับไม่ศรัทธาจริงๆ
(ผมกำลังลองคิดตามว่าถ้าผมศรัทธาในเรื่อง A แต่เรื่อง A เป็นเรื่องที่ผมรู้ว่าสังคมยังไม่เปิดรับ หรือเป็นความเชื่อที่ขัดกับคนส่วนใหญ่ ผมจะมี reaction ยังไง แล้วถ้าผมพยายามไม่ให้ใครรู้ว่าผมกำลังศรัทธา A อยู่ ลึกๆ แล้วมันหมายถึงผมอาจจะยังมีความไม่มั่นใจในเรื่อง A ที่ผมศรัทธาอยู่หรือปล่าว - หรือจริงๆ แล้วแค่กลัวจะถูกคนตัดสินว่าผมงมงาย - แล้วทำไมผมถึงกลัว)
Mindset คุณสาดีต่อใจมากๆเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจดีๆ ในช่วงท้ายคลิปนะคะ 💕
ชื่นชมในความตั้งใจ และจะกดซื้อค่า she is super humble 😌btw
ทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องประดับเพชรกับทองอยู่พอดีเลยครับคิดที่จะทำเครื่องรางที่ดูหรูหราและมีความคิดที่จะทำตลาดประเภทนี้ ได้มาฟังจาก Secret Sauce และเป็นประโยชน์มากครับ
มีความรู้สึกว่าราคาไม่สมกับแพ็คเกจเท่าไหร่เลย แบบใส่ซองพลาสติกธรรมดา วันนั้นเลยเดินหนีเลย
12:43 “โชคดีที่คนเหล่านั้นใช้แล้วดีจริง” เป็นประโยคที่ฟังแล้วตีความได้หลายแบบเลยค่ะ😅
สวย ใส่ได้ทุกวัน แล้วก็เป็นที่พึ่งทางใจด้วย 💕
ยินดีด้วยมากๆเลยคะ🥰❤️ ฟังแล้วใด้ไอเดียธุรกิจ หลายแง่มุม เราจะยืนหยัด ทำจนกว่าจะถึงวันของเรา เช่นกันค่ะ✌️
น้องสาคิดดี พูดดี ดุเพลินตามากค่า
ชอบแนวคิด และการทำงานหนัก แต่อ่อนน้อมฯ ดีมากๆ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
ขอถามเพิ่มครับ ทางแบรนด์มีการทำพิธีปลุกเสกทุกชิ้นไหมครับ
ลังเลมาสักพักซื้อดีมั๊ย พอฟังสัมภาษณ์เสร็จ กดสั่งเลย ชอบในความเป็นตัวตนของ brand owner
แหมมมมม ปรับปรุงคุณภาพของสร้อยก่อนค่ะ เส้นละ1890แต่ใส่ได้3เดือนแล้วซีดทั้งพลอยทั้งได้ทั้งโลโก้ แล้วปกติพลอยแท้ต้องไม่ซีดป่าวเตง
อย่างนึงที่แบรนด์มีคนซื้อเยอะเพราะแอดมินหลังบ้านด้วยค่ะ แอดมินสุภาพ ตอบไว แล้วก็มีใจบริการจริงๆ
Time index
01:02 เกริ่นนำ
03:49 การเดินทางของ RAVIPA จุดเปลี่ยนอยู่ตรงไหน
08:33 จุดเริ่มต้นคอลเล็กชัน RAVIPA Reminder
14:01 วิเคราะห์ปรากฏการณ์ ‘เครื่องประดับสายมู’ ทำอย่างไรให้ปังจนดังระเบิด
17:48 ‘ปลุกเสก-หาฤกษ์-ดีไซน์’ กว่าจะมาเป็นสร้อยข้อมือ ผ่านอะไรมาบ้าง
20:46 RAVIPA หากินกับความเชื่อ?
23:13 อนาคตตลาดเครื่องประดับสายมูไทย
25:50 เป้าหมายถัดไป RAVIPA
28:53 บทเรียนจากการทำธุรกิจ
....**** การค้าขายกับความเชื่อที่ผิด หากินกับความเชื่อผิดๆ ชวนกันให้คนหลงผิดๆ ทุกๆชนิด ทุกๆอาชีพ(เช่น หมอดู คนทรง ขายของขลัง เป็นต้น)....พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สนับสนุนให้ทำอาชีพแบบนี้ มันเป็นมิจฉาอาชีวะ เป็นบาป อกุศล ....
.... อาชีพแบบนี้ มันจะทำให้คนที่เชื่อหลงผิด เชื่อผิดๆ นำไปสู่ ความคิดที่ผิด คำพูดที่ผิด และการกระทำที่ผิด ไปจากความเป็นจริง ผิดไปจากสัจธรรมความจริง ....จะทำให้ชีวิตคนที่เชื่อผิดๆ พังพินาศได้ และเมื่อทำกรรมที่ผิด มันมีผลเป็นบาปกรรม จะนำไปสู่มหานรกได้ครับ ....ฯลฯ
....คนที่ทำอาชีพแบบนี้ แม้ได้เงินมา ก็เป็นเงินร้อน เงินบาป จากการหลอกลวงให้คนเชื่อผิดๆ .....เงินจะอยู่กับตัวไม่นาน ในที่สุด เงินจะไหลออกไปจากตัว เช่น จะโดนโกง โดนหลอกเอาเงินไปบ้าง ,โดนยึดทรัพย์บ้าง เป็นต้น
....สรุป การค้าขายกับความเชื่อที่ผิดๆ ไม่ควรทำ มันเป็นบาป จะทำให้คนหลงเชื่อผิดๆ ตามไปด้วยมากมาย มันเป็นมิจฉาอาชีวะ ไม่ควรทำครับ *****
....*****คนเราจะดี จะชั่ว ชีวิตจะดีขึ้น จะเลวลง .....มันอยู่ที่ความคิด คำพูด และการกระทำของตัวเองล้วนๆเลย ไม่เกี่ยวกับของขลังอะไรแบบนี้หรอกครับ .....คิดดี พูดดี ทำดี มันย่อมดีอยู่แล้ว....คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว มันจะดีได้อย่างไร ครับ....
..ของขลัง ถ้าดีจริง มันต้องพิสูจน์ได้ ใช่ไหมครับ.... ถ้าคน100คนใส่ แล้วทุกคนขอให้รวยมีเงินล้านทุกคน ...คนทุกคนต้องรวยมีเงินล้านทุกๆคนได้ จริง? ใช่ไหมครับ .....แต่ในความเป็นจริง คนทุกๆคนจะรวยเป็นล้านนั้น เป็นไปไม่ได้แน่นอนครับ มีแค่ไม่กี่คน ใน100คนเท่านั้นที่จะมีเงินล้านครับ ......มันพิสูจน์ได้ว่า ของขลังต่างๆ มันไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตคนเราครับ
.....คนเราจะดี จะชั่ว ชีวิตจะดีขึ้น จะเลวลง .....มันอยู่ที่ความคิด คำพูด และการกระทำของตัวเองล้วนๆเลย ไม่เกี่ยวกับของขลังอะไรแบบนี้หรอกครับ .....คิดดี พูดดี ทำดี มันย่อมดีอยู่แล้ว....คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว มันจะดีได้อย่างไร ครับ
อยากบอกว่าผมเห็นด้วยครับ และอยากบอกว่าสิ่งที่คุณคิดนั้นก็เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิด แต่มันติดที่ว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ดันมีดีกรีของความงมงายที่เข้มข้นกว่าหลักคิดที่เป็นเหตุเป็นผลนี้มาก
เวลาคนไทยต้องเผชิญกับปัญหาชีวิตและความตึงเครียด คนส่วนใหญ่ก็จะลืมสิ่งที่ตัวเองท่องจนจำขึ้นใจ อ่อนไหวแปรปรวนไม่รู้ทิศทาง เหมือนกับว่าชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยมีหลักหรือจุดยืนของตัวเองที่มั่นคง เจออะไรกระทบหรือมีสิ่งเร้าก็มักจะขาดสติ ลืมคิดดี ลืมพูดดี ลืมทำดีไปหมดเลย
ประเทศไทยน่าจะเป็นประเทศที่มีหมอดูมากเป็นอันดับต้นๆของโลกเมื่อแก้ปัญหาไม่ได้คนไทยก็จะหันไปหาหมอดู ถ้าโดนหมอดูทักก็จะเชื่อแบบ all in ทันที
ทุกครั้งที่ชีวิตมีมรสุมก็จะเชื่อพวกหมอดูทันที ลืมศักยภาพตัวเองไปจนหมดสิ้น เชื่อหมอมากกว่าเชื่อตัวเองหรือเพื่อนสนิทหรือญาติพี่น้อง
ถ้าเชื่ออย่างเดียวก็ไม่เป็นไร แต่คนเหล่านี้มักจะโดนเป่าหูว่าปัญหาที่เกิดขึ้นย่อมมีที่มา ถ้าไม่ใช่เพราะญาติสนิทก็ต้องเป็นเพื่อนร่วมงาน
แค่หมอดูเลยขึ้นมาลอยๆ ไม่เจาะจงว่าเป็นใคร แต่ทุกคนก็มักจะได้คำตอบในทันที และมักจะปะติดปะต่อเรื่องราวเอาเองโดยไม่ตั้งคำถามว่า ไอ้คนที่หมอพูดถึง มันจะทำไปเพื่ออะไร แต่ความงมงายจะทำให้เราเชื่อโดยไม่ตั้งคำถามใดๆ แล้วกล่าวหาว่าร้ายผู้อื่นให้เสียๆหายๆ แม้ไม่มีหลักฐานสักชิ้นเดียว
ส่วนตัวผมมองว่า ถ้าเรายังไม่รู้ว่าความงมงายเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดี แล้วเราจะคิดดีพูดดีทำดีได้ยังไง
ถ้ายังเราเชื่อหมอดูโดยไม่คำนึงถึงเหตุและผล สามารถกล่าวหาว่าร้ายคนอื่นโดยไม่ต้องมีที่มาที่ไป แล้วเราจะคิดดีพูดดีทำดีได้ยังไง
หลายคนใช้จ่ายเงินจำนวนมากไปกับเรื่องเหล่านี้ แต่ตระหนี่หนี่ถี่เหนียวกับลูกๆหรือพ่อแม่ตัวเอง
ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์จะต้องมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยว หมอที่ทำพิธีจะเป็นฝ่ายรับตลอดกาลโดย เป็นอาจารย์สอนตัวเองและไม่จำเป็นต้องเรียนหนังสือ
ส่วนคนที่ไปพึ่งหมอก็มักจะเรียนจบและมีงานทำเป็นหลักเป็นฐาน แต่ไม่เชื่อว่าวิทยาการสมัยใหม่จะช่วยแก้ปัญหาได้ จึงยอมจ่ายเงินให้กับคนไม่เรียนหนังสือมาช่วยหาวิธีแก้ปัญหาให้ตัวเอง
ผมถือว่าคนที่จ่ายเงินไปกับเรื่องพวกนี้คือคนที่หาเงินมาส่งเลี้ยงผี หมอผีก็พลอยอิ่มหนำ กิจการเรื่องผีผีก็รุ่งเรือง แต่กิจการมี่สร้างเงินสร้างอาชีพที่แท้จริงกำลังดิ่งลงทุกวัน ทำงานหาเงินมาได้เท่าไหร่ก็เอาไปถมในวัด ให้หมอดูสร้างคฤหาสน์ให้เมียน้อย ซื้อศาลพระภูมิของเซ่นไหว้ที่จะกลายเป็นแค่ขยะ และไม่เคยเอามาใช้ประโยชน์อะไรได้เลย แต่กระนั้น ...หลายคนก็ยังเชื่อว่าตัวเองกำลังคิดดี พูดดี ทำดี...
ออกแบบได้สวยมากนะคะ ต่อให้เราไม่ใช่สายมูก็อยากใส่นะ ชอบความเล็กๆใส่ง่าย
คุณสาน่ารักมาก
การตลาดล้วนๆ ถึงทำให้เติบโตถึง 2000% ได้
ชื่นชอบในมุมมองการทำธุรกิจ วิธีการสื่อสารและการบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์
เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ได้ผลหรือไม่ขึ้นกับอะไรหลายๆอย่าง ส่วนตัวเราใช้เพื่อความสบายใจ แต่ถ้าได้มาแล้วอยู่เฉยๆหวังให้บุญหล่นทับ คงเป็นไปไม่ได้
คนรวยระดับโลกไม่เห็นบอกว่าต้องมู แต่คนรวยในไทยบอกว่าต้องมูถึงจะรวย
ไม่เคยซื้อนะคะ แต่จริงๆเราคิดว่ามันก้อมีส่วนช่วยในแง่ของจิตใจ คนเราเวลาอยากได้อะไร หรือคิดถึงอะไรมากๆ มันจะมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ที่จะให้ไปถึงสิ่งนั้น พอเราใส่สร้อยข้อมือ มันก้อจะกระตุ้นให้เรานึกถึงสิ่งนั้นเรื่อยๆ เหมือนพวกกฏแห่งแรงดึงดูด หรือใส่แล้ว ถ้าเราเชื่อ มันจะสร้างกำลังใจ ก้อเลยมูแล้วปัง
ดูการตอบคำถามได้แบบถ่อมตัวมากครับ
Brilliant
ใจเธอได้ 👏👍🏼
ธุรกิตหากินกับความเชื่อ โดยที่ตอนนี้คนต้องการที่พึ่งก็เท่านั้น
อาจจะมองคนละมุมกัน ฟังแล้วก็ไม่อิน 😅
Mindset สุดยอด
ถ้าพูดถึงสายมู แล้วเป็นคนดี จะมีคนที่อยู่ๆนึกอยากจะแนะนำคุณให้ทำนู้นทำนี่ ถ้าคุณจับสังเกตุได้ คุณจะได้ประโยชน์ตรงนี้ ดั่งเทวดาประทับร่างมาบอกทาง ว่างั้น 😉
ธุรกิจความเชื่อ ไอเดียนี้ ดีมาก ทำเงินได้ ดี เสริมสร้างความมั่นใจ
คุณคือพระเจ้า จงศรัทธาในตัวเอง รักตัวเอง สิ่งเดียวที่สำคัญคือลมหายใจ อยู่กับลมหายใจ จิตมีพลัง
ก็จริง สมัยนี้ สังคม เสพย์พุทธศิลป์
ซื้อที่ไหนคะ ทำไมถึงชื่อRavipa
มันขายดีอยู่แล้วสินค้าความเชื่อ ที่ดาราทำขายอันละหลายหมื่นคนยังเข้าแถวซื้อเลย
มันโตกว่า เทสล่ากับคริปโตตอนพีคๆอีก แบรนคนไทยด้วย👍
ส่วนตัวหนูไม่ชอบเอาความเชื่องมงายมาค้าขายให้คนอื่นค่ะ เพราะเหมือนเป็นการใช้กลอุบายโดยความเชื่องมงายมาล่อเอาเงินจากคนอื่น
เล่นกับความเชื่อเหมาะกับคนไทยมาก อิอิ
ทุกคนอย่าไปคิดมากเกิน แค่เสริมให้เรามั่นใจในตัวเองก็ไม่ได้เสียหายอะไรนะ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวเองอยู่แล้ว แค่เพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตในการจะทำอะไรต่างๆนาๆ ให้มีความมั่นใจ ความกล้าตัดสินใจจะทำอะไรสักอย่างมันก็ดีปะ อันนั้นมันก็เกินไปที่ว่าเชื่อว่าดีไปหมดทุกอย่างแล้วกลัวจะเสียคน เสียการเสียงาน ทุกอย่างมันเริ่มาจากความเชื่ออยู่แล้ว หลอดไฟเราสมัยก่อนก็ไม่คิดว่าจะมีใครคิดว่าจะมีได้ จนคนคิดค้นเชื่อว่ามันต้องทำได้ จนทดลองหลายพันหลายหมื่นครั้งจนสำเร็จ ถ้ามันมาช่วยให้เรามั่นใจในการจะทำอะไรมันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ
ส่วนคนที่มีความมั่นใจในตัวเองแล้ว เขาก็คงไม่ได้สนอะไรพวกนี้ใช่ไหมละ
คนบางครั้งเต็มใจพอใจที่จะเชื่อสิ่งที่คนฉลาดจูงว่าเป็นที่นิยมคนพูดต่อกันเกินสิบคนว่ามีความลึกลับ
ผมจะเริ่มมูเพราะเจ้าของแบรนด์นี่แหละ
....ของขลัง ถ้าดีจริง มันต้องพิสูจน์ได้ ใช่ไหมครับ.... ถ้าคน100คนใส่ แล้วทุกคนขอให้รวยมีเงินล้านทุกคน ...คนทุกคนต้องรวยมีเงินล้านทุกๆคนได้ จริง? ใช่ไหมครับ .....แต่ในความเป็นจริง คนทุกๆคนจะรวยเป็นล้านนั้น เป็นไปไม่ได้แน่นอนครับ มีแค่ไม่กี่คน ใน100คนเท่านั้นที่จะมีเงินล้านครับ ......มันพิสูจน์ได้ว่า ของขลังต่างๆ มันไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตคนเราครับ
เกินนคิดมากเกิน แค่เสริมให้เรามั่นใจในตัวเองก็ไม่ได้เสียหายอะไรนะ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวเองอยู่แล้ว แค่เพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตในการจะทำอะไรต่างๆนาๆ ให้มีความมั่นใจ ความกล้าตัดสินใจจะทำอะไรสักอย่างมันก็ดีปะ อันนั้นมันก็เกินไปที่ว่าเสียคน เสียการเสียงาน ทุกอย่างมันเริ่มาจากความเชื่ออยู่แล้ว หลอดไฟเราสมัยก่อนก็ไม่คิดว่าจะมีใครคิดว่าจะมีได้ จนคนคิดค้นเชื่อว่ามันต้องทำได้ จนทดลองหลายพันหลายหมื่นครั้งจนสำเร็จ
สรุปต้องขอบคุณ LISA เลยจ่ะ
เขาจ้างให้ใส่ไหมคะ
เอาความเชื่องมงายมาหากินกับคนจิตอ่อน คนขายรวยแน่ แต่คนซื้อไม่แน่
....การค้าขายกับความเชื่อที่ผิด หากินกับความเชื่อผิดๆ ชวนกันให้คนหลงผิดๆ ทุกๆชนิด ทุกๆอาชีพ(เช่น หมอดู คนทรง ขายของขลัง เป็นต้น)....พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สนับสนุนให้ทำอาชีพแบบนี้ มันเป็นมิจฉาอาชีวะ เป็นบาป อกุศล ....
.... อาชีพแบบนี้ มันจะทำให้คนที่เชื่อหลงผิด เชื่อผิดๆ นำไปสู่ ความคิดที่ผิด คำพูดที่ผิด และการกระทำที่ผิด ไปจากความเป็นจริง ผิดไปจากสัจธรรมความจริง ....จะทำให้ชีวิตคนที่เชื่อผิดๆ พังพินาศได้ และเมื่อทำกรรมที่ผิด มันมีผลเป็นบาปกรรม จะนำไปสู่มหานรกได้ครับ ....ฯลฯ
....คนที่ทำอาชีพแบบนี้ แม้ได้เงินมา ก็เป็นเงินร้อน เงินบาป จากการหลอกลวงให้คนเชื่อผิดๆ .....เงินจะอยู่กับตัวไม่นาน ในที่สุด เงินจะไหลออกไปจากตัว เช่น จะโดนโกง โดนหลอกเอาเงินไปบ้าง ,โดนยึดทรัพย์บ้าง เป็นต้น
....สรุป การค้าขายกับความเชื่อที่ผิดๆ ไม่ควรทำ มันเป็นบาป จะทำให้คนหลงเชื่อผิดๆ ตามไปด้วยมากมาย มันเป็นมิจฉาอาชีวะ ไม่ควรทำครับ
ดีกว่าขายเหล้าปะครับ
@@byronera2933 กิเลส หลักๆ ใหญ่ๆ มีอยู่3ตัว คือ 1.ความโลภ 2.ความโกรธ และ3.ความหลง ......ความหลงงมงาย หลงผิด เชื่อผิดๆ เป็นกิเลสตัวใหญ่ ที่ทำให้ชีวิตคนๆนั้นพังได้มาเยอะแล้วครับ เช่น หลงว่าตัวเองมีเจ้ามาเข้าสิง ทำให้คิดไปเองว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษ หลงผิดไปเรื่อยๆจนตัวเองเพี้ยนเป็นบ้าไปก็มี , หรือหลงเชื่ออาจารย์ที่เพี้ยนๆ จนโดนหลอกลวงเอาทรัพย์สินเงินทองไปจนหมดตัว , หรือหลงเชื่อผิดๆ จนไม่ตั้งใจทำงาน หมกหมุ่นแต่สิ่งเร้นลับอะไรแบบนี้จนชีวิตพังไปเลย , หรือหลงเชื่ออาจารย์ใบ้หวย เล่นแต่หวยไม่ตั้งใจทำงาน ก็จนอยู่นั้นแหละ เป็นต้น
.... ความหลงผิด เชื่อผิดๆ นำไปสู่ ความไม่มั่นใจในตนเอง ไม่เชื่อมั่นในตนเอง หวังพึ่งแต่คนอื่น พึ่งแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีการพัฒนาตนเองจนเก่งขึ้นมา ไม่สนใจศึกษาหาความรู้ให้ตนเอง เป็นต้น ....
.....ความหลงงมงาย เป็นกิเลสใหญ่ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ระวัง เพราะมันแก้ไขได้ยาก เมื่อคนเชื่อผิดๆไปแล้ว เราจะบอกจะสอนยังไง เค้าก็จะไม่เชื่อไม่สนใจ จนกว่าตัวเองจะเดือนร้อนนั้นแหละจึงจะเข้าใจครับ
ดิน
ARE YOU SERIOUS ?...........
จงเชื่อมั่นในตัวเอง ทุกคนล้วนมีดวงและวาสนาเป็นของตัวเองคะ
ทำไมต้องเอาเรื่องงมงายมาออกสื่อ มีในสื่อโทรทัศน์ยังไม่พออีกหรอ
เชื่อว่าด้วยประสิทธิภาพของช่องแล้ว คนที่มาต้องมี growth mindset และ business model น่าสนใจนะคะ เลือกฟังด้วยใจที่เปิดกว้างสิคะถึงจะได้ประโยชน์