ขนาดวิดีโอ: 1280 X 720853 X 480640 X 360
แสดงแผงควบคุมโปรแกรมเล่น
เล่นอัตโนมัติ
เล่นใหม่
กราบสาธุๆๆเจ้าค่ะ
ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุๆๆ
อนุโมทนาบุญ..ท่านผู้เจริญ..ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปในทุกวิถีจิตและภวังคจิต.. * สาธุ..สาธุ..*
น้อมกราบสาธุ
🙏🙏🙏🙍♀️สาธุสาธุสาธุ
สาธุ สาธุ สาธุ
สาธุค่ะ
สาธุๆครับผม
สาธุๆๆ
ปิยเรศ บางมด อนุโมทนาสาธุสาธุสาธุสาธุรุ่งอรุณ บางมด อนุโมทนาสาธุสาธุสาธุสาธุประทุม บางมด อนุโมทนาสาธุสาธุสาธุสาธุปิยเมธ บางมด อนุโมทนาสาธุสาธุสาธุสาธุไมตรี บางมด อนุโมทนาสาธุสาธุสาธุสาธุพิมพ์ บางมด อนุโมทนาสาธุสาธุสาธุสาธุ😄
สาธุ ส่าธุ สาธุ คระบ
สาธุุุๆๆ
สาธุๆๆ เจ้าข้า
สาธุ
🙏🙏🙏
Luang Ta Siri❤
สาธุค่ะ
กรายสาธุครับ
อนุโมทนา สาธุครับ
น้อมสาธุ สาธุ ครับ
กราบนมัสการสาธุสาธุสาธุเจ้าค่ะอนุโมทนาบุญด้วยเจ้าค่ะ
กราบสาธุฯฯครับ
กราบสาธุเจ้าค่ะ
กราบสาธุๆๆครับผม
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนา สาธุครับ
สาธุครับ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ🙏🙏🙏
สาธุหลวงพ่อสอนได้ดีมากเจ้าค่ะเข้าใจเข้าถึงในรถนะจ๊ะ
สาธุๆค่ะ
สาธุธรรมครับหลวงตา
สาธุครับ..หลวงปู่
กราบนมัสการเจ้าค่ะสาธุๆๆ
สาธุเจ้าค่ะ
กราบ สาธุ ๆ ๆ ค่ะ
กราบสาธุๆๆครับ
หลวงปูสอนเข้าใจง่ายผมทำตามหลวงปูครับใครปติบัติรู้ได้ดวัยตนเองจริงๆไม่มีใครรู้ได้เท่าตัวเราเองษาธุๆอนุโมธามิ
น้อมกราบสาธุในธรรมหลวงตาศิริ อินทสิริ ด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ
สาธุๆครับ
น้อมกราบนมัสการหลวงตาศิริสาธุๆๆๆธรรมคำสอนเจ้าค่ะ
สาธุๆๆค่ะ
กราบสาธุพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงตาสิริ อินฺทสิริ
ขอนอบกราบหลวงตาเหนือเศียรเกล้าเจ้าค่ะ
กราบนมัสการหลวงพ่อครูบาอาจารย์และพระธรรมคำสั่วสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงเป็นผู้ประเสริฐโดยแท้ทรงสั่งสอนสัตว์ให้ข้ามพ้นวัตสงสารได้จริง
สาธุๆ ธรรมคับ
น้อมกราบสักการะหลวงตาศิริ อินทสิริ ด้วยเศียรเกล้า เจ้าค่ะ สาธุค่ะ
ใวใขบ
กายที่ ๒ อริยาบถเมื่อยืน ก็รู้ชัดว่า เรายืน หายใจออกเมื่อเดิน ก็รู้ชัดว่า เราเดิน หายใจเข้าเมื่อนั่ง ก็รู้ชัดว่า เรานั่ง หายใจออกเมื่อนอน ก็รู้ชัดว่า เรานอน ทายใจเข้าดังพรรณนามาฉะนี้ หายใจออก ภิกษุย่อมพิจารณา หายใจเข้า เห็นกายในกายภายในบ้าง หายใจออก เห็นกายในกายภายนอกบ้าง หายใจเข้า เห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง หายใจออก เห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง หายใจเข้า เห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง หายใจออก เห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง หายใจเข้า ย่อมอยู่ หายใจออก อนึ่ง หายใจเข้า สติของเธอตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่ หายใจออก ก็เพียงสักว่าความรู้ในกายนี้ หายใจเข้า เพียงสักว่าอาศัยกายนี้ระลึกเท่านั้น หายใจออก เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว หายใจเข้า ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรๆในโลกแล้ว หายใจออก ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ หายใจเข้า ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ หายใจออก
(๑๓๑) ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ (จากพระไตรปิฏก ฉบับหลวง๔๕เล่ม ในเล่มที่๑๐)สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในแค้วนกุรุ มีนิคมหนึ่งของแค้วนกุรุ ชื่อกัมมาสธรรม ณ.ที่นั่น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่าทูลรับต่อพระผู้มีพระภาคแล้ว.(๑๓๒) พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายหนทางนี้เห็นที่ไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัสเพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้งหนทางนี้คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ สติปัฏฐาน ๔ ประการเป็นไฉน ?ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชชาและโทมนัส ในโลกเสียได้ ๑พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชชาและโทมนัส ในโลกเสียได้ ๑พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชชาและโทมนัส ในโลกเสียได้ ๑พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชชาและโทมนัส ในโลกเสียได้ ๑การพิจารณาเห็นกายในกายอยู่อย่างไรเล่าฦดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี เธอนั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรงดำรงสตไว้เฉพาะหน้ากายที่ ๑ ลมหายใจออก ลมหายใจเข้ามีสติ หายใจออกมีสติ หายใจเข้าเมื่อหายใจออกยาว ย่อมรู้ชัดว่า เราหายใจออกยาวเมื่อหายใจเข้ายาว ย่อมรู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาวเมื่อหายใจออกสั้น ย่อมรู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้นเมื่อหายใจเข้าสั้น ย่อมรู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้นย่อมสำเหนียกว่า เราเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออกย่อมสำเหนียกว่า เราเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้าย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจออกย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้าดังพรรณนามาฉะนี้ หายใจออกภิกษุย่อมพิจารณา หายใจเข้าเห็นกายในกายภายในบ้าง หายใจออกเห็นกายในกายภายนอกบ้าง หายใจเข้าเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง หายใจออกเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง หายใจเข้าเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง หายใจออกเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง หายใจเข้าย่อมอยู่ หายใจออกอนึ่ง หายใจเข้า สติของเธอตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่ หายใจออกก็เพียงสักว่าความรู้ในกายนี้ หายใจเข้าเพียงสักว่าอาศัยกายนี้ระลึกเท่านั้น หายใจออกเธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว หายใจเข้าไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรๆในโลกแล้ว หายใจออกดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ หายใจเข้าภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ หายใจออก
กายที่ ๓ พิจารณาสัมปชัญญะ...กายที่ ๔ พิจารณาปฏิกูล...กายที่ ๕ พิจารณาธาตุ...กายที่ ๖ (พิจารณานวสีวถิกา)พิจารณาเห็นสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า ตายมาแล้ว ๑ วัน ๒ วัน ๓ วัน ...กายที่ ๗ พิจารณาสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า ที่ฝูงสัตว์ต่างๆกัดกินอยู่บ้าง ...กายที่ ๘ พิจารณาสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นร่างกระดูก ยังมีเลือดและเนื้อ ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่ ...กายที่ ๙ พิจารณาสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นร่างกระดูก ยังเปื้อนเลือดแลต่ปราศจากเนื้อแล้ว ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่...กายที่ ๑๐ พิจารณาสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นร่างกระดูก แต่ปราศจากเลือดและเนื้อแล้ว ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่...กายที่ ๑๑ พิจารณาสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นร่างกระดูก ปราศจากเส้นเอ็นผูกรัดแล้ว กระเรี่ยรายไปในทิศน้อยทิศใหญ่...กายที่ ๑๒ พิจารณาสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นกระดูกสีขาว เปรียบด้วยสีสังข์...กายที่ ๑๓ พิจารณาสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นกระดูก กองเรี่ยราย เก่าเกินปีหนึ่งไปแล้ว...กายที่ ๑๓ พิจารณาสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นกระดูกผุละเอียดแล้ว...เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงกายอันนี้เล่า ก็มีอยู่อย่างนี้เป็นธรรมดาคงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ดังพรรณนามาฉะนี้ หายใจออก ภิกษุย่อมพิจารณา หายใจเข้า เห็นกายในกายภายในบ้าง หายใจออก เห็นกายในกายภายนอกบ้าง หายใจเข้า เห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง หายใจออก เห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง หายใจเข้า เห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง หายใจออก เห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง หายใจเข้า ย่อมอยู่ หายใจออก อนึ่ง หายใจเข้า สติของเธอตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่ หายใจออก ก็เพียงสักว่าความรู้ในกายนี้ หายใจเข้า เพียงสักว่าอาศัยกายนี้ระลึกเท่านั้น หายใจออก เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว หายใจเข้า ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรๆในโลกแล้ว หายใจออก ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ หายใจเข้า ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ หายใจออกพิจารณากายที่เป็นบัญญัติ......กายพิจารณากายเป็นปรมัต...........ในกายจนเห็นกายนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน (อนิจจัว ทุกขัง อนัตตา)สาธุ สาธุ สาธุขอความเจริญในธรรมจงมีแก่ทุกๆท่านพระสูตรนี้ มีท่านพระอาจารย์สุรศักดิ์ สอนได้ดีที่สุด ครับ23/04/63 ...21.09-23.03 ...ROCK CITYHUNTER...
ขอนอมกราบหลวงพ่อสิริอินทสิริท่านสอนดีมากๆเจ้าคะสาธุสาธุสาธุได้เห็นก็บุญตาได้ฟังก็เป็นบุญทีใจกราบกราบกราบพระอริยเจ้าเป็นบุญขอ้งโยมสาธุดว่ยใจเจ้าคะ
น้อมกราบสาธุค่ะ
กราบสาธุๆๆเจ้าค่ะ
ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุๆๆ
อนุโมทนาบุญ..
ท่านผู้เจริญ..
ขอให้เจริญใน
ธรรมยิ่งๆขึ้นไป
ในทุกวิถีจิต
และภวังคจิต..
* สาธุ..สาธุ..*
น้อมกราบสาธุ
🙏🙏🙏🙍♀️สาธุสาธุสาธุ
สาธุ สาธุ สาธุ
สาธุค่ะ
สาธุๆครับผม
สาธุๆๆ
ปิยเรศ บางมด อนุโมทนาสาธุสาธุสาธุสาธุ
รุ่งอรุณ บางมด อนุโมทนาสาธุสาธุสาธุสาธุ
ประทุม บางมด อนุโมทนาสาธุสาธุสาธุสาธุ
ปิยเมธ บางมด อนุโมทนาสาธุสาธุสาธุสาธุ
ไมตรี บางมด อนุโมทนาสาธุสาธุสาธุสาธุ
พิมพ์ บางมด อนุโมทนาสาธุสาธุสาธุสาธุ😄
สาธุ ส่าธุ สาธุ คระบ
สาธุุุๆๆ
สาธุๆๆ เจ้าข้า
สาธุ
🙏🙏🙏
Luang Ta Siri❤
สาธุค่ะ
กรายสาธุครับ
อนุโมทนา สาธุครับ
น้อมสาธุ สาธุ ครับ
กราบนมัสการสาธุสาธุสาธุเจ้าค่ะอนุโมทนาบุญด้วยเจ้าค่ะ
กราบสาธุฯฯครับ
กราบสาธุเจ้าค่ะ
กราบสาธุๆๆครับผม
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนา สาธุครับ
สาธุครับ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ🙏🙏🙏
สาธุหลวงพ่อสอนได้ดีมากเจ้าค่ะเข้าใจเข้าถึงในรถนะจ๊ะ
สาธุๆค่ะ
สาธุธรรมครับหลวงตา
สาธุครับ..หลวงปู่
กราบนมัสการเจ้าค่ะสาธุๆๆ
สาธุเจ้าค่ะ
กราบ สาธุ ๆ ๆ ค่ะ
กราบสาธุๆๆครับ
หลวงปูสอนเข้าใจง่ายผมทำตามหลวงปู
ครับใครปติบัติรู้ได้ดวัยตนเองจริงๆ
ไม่มีใครรู้ได้เท่าตัวเราเองษาธุๆอนุโมธามิ
น้อมกราบสาธุในธรรมหลวงตาศิริ อินทสิริ ด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ
สาธุๆครับ
น้อมกราบนมัสการหลวงตาศิริสาธุๆๆๆธรรมคำสอนเจ้าค่ะ
สาธุๆๆค่ะ
กราบสาธุพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงตาสิริ อินฺทสิริ
ขอนอบกราบหลวงตาเหนือเศียรเกล้าเจ้าค่ะ
กราบนมัสการหลวงพ่อครูบาอาจารย์และพระธรรมคำสั่วสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงเป็นผู้ประเสริฐโดยแท้ทรงสั่งสอนสัตว์ให้ข้ามพ้นวัตสงสารได้จริง
สาธุๆ ธรรมคับ
น้อมกราบสักการะหลวงตาศิริ อินทสิริ ด้วยเศียรเกล้า เจ้าค่ะ สาธุค่ะ
ใวใขบ
กายที่ ๒ อริยาบถ
เมื่อยืน ก็รู้ชัดว่า เรายืน หายใจออก
เมื่อเดิน ก็รู้ชัดว่า เราเดิน หายใจเข้า
เมื่อนั่ง ก็รู้ชัดว่า เรานั่ง หายใจออก
เมื่อนอน ก็รู้ชัดว่า เรานอน ทายใจเข้า
ดังพรรณนามาฉะนี้ หายใจออก
ภิกษุย่อมพิจารณา หายใจเข้า
เห็นกายในกายภายในบ้าง หายใจออก
เห็นกายในกายภายนอกบ้าง หายใจเข้า
เห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง หายใจออก
เห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง หายใจเข้า
เห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง หายใจออก
เห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง หายใจเข้า
ย่อมอยู่ หายใจออก
อนึ่ง หายใจเข้า
สติของเธอตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่ หายใจออก
ก็เพียงสักว่าความรู้ในกายนี้ หายใจเข้า
เพียงสักว่าอาศัยกายนี้ระลึกเท่านั้น หายใจออก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว หายใจเข้า
ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรๆในโลกแล้ว หายใจออก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ หายใจเข้า
ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ หายใจออก
(๑๓๑) ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ (จากพระไตรปิฏก ฉบับหลวง๔๕เล่ม ในเล่มที่๑๐)
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในแค้วนกุรุ มีนิคมหนึ่งของแค้วนกุรุ ชื่อกัมมาสธรรม ณ.ที่นั่น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่าทูลรับต่อพระผู้มีพระภาคแล้ว.
(๑๓๒) พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
หนทางนี้เห็นที่ไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์
เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส
เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง
หนทางนี้คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ สติปัฏฐาน ๔ ประการเป็นไฉน ?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชชาและโทมนัส ในโลกเสียได้ ๑
พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชชาและโทมนัส ในโลกเสียได้ ๑
พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชชาและโทมนัส ในโลกเสียได้ ๑
พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชชาและโทมนัส ในโลกเสียได้ ๑
การพิจารณาเห็นกายในกายอยู่อย่างไรเล่าฦ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี เธอนั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรงดำรงสตไว้เฉพาะหน้า
กายที่ ๑ ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า
มีสติ หายใจออก
มีสติ หายใจเข้า
เมื่อหายใจออกยาว ย่อมรู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว
เมื่อหายใจเข้ายาว ย่อมรู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว
เมื่อหายใจออกสั้น ย่อมรู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น
เมื่อหายใจเข้าสั้น ย่อมรู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น
ย่อมสำเหนียกว่า เราเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า
ดังพรรณนามาฉะนี้ หายใจออก
ภิกษุย่อมพิจารณา หายใจเข้า
เห็นกายในกายภายในบ้าง หายใจออก
เห็นกายในกายภายนอกบ้าง หายใจเข้า
เห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง หายใจออก
เห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง หายใจเข้า
เห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง หายใจออก
เห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง หายใจเข้า
ย่อมอยู่ หายใจออก
อนึ่ง หายใจเข้า
สติของเธอตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่ หายใจออก
ก็เพียงสักว่าความรู้ในกายนี้ หายใจเข้า
เพียงสักว่าอาศัยกายนี้ระลึกเท่านั้น หายใจออก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว หายใจเข้า
ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรๆในโลกแล้ว หายใจออก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ หายใจเข้า
ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ หายใจออก
สาธุๆๆ
กายที่ ๓ พิจารณาสัมปชัญญะ...
กายที่ ๔ พิจารณาปฏิกูล...
กายที่ ๕ พิจารณาธาตุ...
กายที่ ๖ (พิจารณานวสีวถิกา)พิจารณาเห็นสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า ตายมาแล้ว ๑ วัน ๒ วัน ๓ วัน ...
กายที่ ๗ พิจารณาสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า ที่ฝูงสัตว์ต่างๆกัดกินอยู่บ้าง ...
กายที่ ๘ พิจารณาสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นร่างกระดูก ยังมีเลือดและเนื้อ ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่ ...
กายที่ ๙ พิจารณาสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นร่างกระดูก ยังเปื้อนเลือดแลต่ปราศจากเนื้อแล้ว ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่...
กายที่ ๑๐ พิจารณาสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นร่างกระดูก แต่ปราศจากเลือดและเนื้อแล้ว ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่...
กายที่ ๑๑ พิจารณาสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นร่างกระดูก ปราศจากเส้นเอ็นผูกรัดแล้ว กระเรี่ยรายไปในทิศน้อยทิศใหญ่...
กายที่ ๑๒ พิจารณาสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นกระดูกสีขาว เปรียบด้วยสีสังข์...
กายที่ ๑๓ พิจารณาสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นกระดูก กองเรี่ยราย เก่าเกินปีหนึ่งไปแล้ว...
กายที่ ๑๓ พิจารณาสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นกระดูกผุละเอียดแล้ว...เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงกายอันนี้เล่า ก็มีอยู่อย่างนี้เป็นธรรมดา
คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้
ดังพรรณนามาฉะนี้ หายใจออก
ภิกษุย่อมพิจารณา หายใจเข้า
เห็นกายในกายภายในบ้าง หายใจออก
เห็นกายในกายภายนอกบ้าง หายใจเข้า
เห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง หายใจออก
เห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง หายใจเข้า
เห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง หายใจออก
เห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง หายใจเข้า
ย่อมอยู่ หายใจออก
อนึ่ง หายใจเข้า
สติของเธอตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่ หายใจออก
ก็เพียงสักว่าความรู้ในกายนี้ หายใจเข้า
เพียงสักว่าอาศัยกายนี้ระลึกเท่านั้น หายใจออก
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว หายใจเข้า
ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรๆในโลกแล้ว หายใจออก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ หายใจเข้า
ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ หายใจออก
พิจารณากายที่เป็นบัญญัติ......กาย
พิจารณากายเป็นปรมัต...........ในกาย
จนเห็นกายนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน (อนิจจัว ทุกขัง อนัตตา)
สาธุ สาธุ สาธุ
ขอความเจริญในธรรมจงมีแก่ทุกๆท่าน
พระสูตรนี้ มีท่านพระอาจารย์สุรศักดิ์ สอนได้ดีที่สุด ครับ
23/04/63 ...21.09-23.03 ...ROCK CITYHUNTER...
สาธุครับ
สาธุ สาธุ สาธุ
ขอนอมกราบหลวงพ่อสิริอินทสิริท่านสอนดีมากๆเจ้าคะสาธุสาธุสาธุได้เห็นก็บุญตาได้ฟังก็เป็นบุญทีใจกราบกราบกราบพระอริยเจ้าเป็นบุญขอ้งโยมสาธุดว่ยใจเจ้าคะ
🙏🙏🙏
สาธุครับ
น้อมกราบสาธุค่ะ
🙏🙏🙏