ขนาดวิดีโอ: 1280 X 720853 X 480640 X 360
แสดงแผงควบคุมโปรแกรมเล่น
เล่นอัตโนมัติ
เล่นใหม่
พระพุทธเจ้ามิได้ทรงสนพระทัยที่จะสนองตอบความใคร่รู้ของมนุษย์เกี่ยวกับกำเนิดของโลก ธรรมชาติของพระเจ้า หรือปัญหาในทำนองเดียวกันนี้ พระองค์ทรงมุ่งแก้ไขสภาพของมนุษย์ซึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์และความผิดหวัง ดังนั้น คำสอนของพระองค์จึงมิใช่คำสอนทางอภิปรัชญา แต่เป็นคำสอนเชิงจิตบำบัด
ตอบไม่ได้กับไม่ยากจะตอบก็เหมือนกันเเละเเค่อ้างไห้ดูดีเเค่ถ้าได้คงตอบไปเเล้วละไม่กุกกักหรอกเป็นมนุษยมันมีข้อจำกัดของมนุษยไม่สามารถเกินมนุษยได้หรอกถ้าเกินไปมันไม่ใช้มนุษยเเล้วอย่าบอกนะว่าไม่ใช่
@@เสื้อผ้าแฟชั่นวินเทจ สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้อุปมาเหมือนใบไม้ทั้งป่า แต่ที่พระองค์นำมาสอนเพียงแค่ใบไม้กำมือเดียว
@@ธรรมด๊าธรรมดา-ง3ร สิ่งที่รู้เท่าใบไม้เเต่สิ่งที่ไม่รู้เท่าใบไม้ในป่ามากกว่านะมันเกินมนุษยปกติเเค่เปลี่ยนคำพูดไห้ดูเวอวังเกิดขนาดหลายอย่างมีตัวอย่างเช่นเหาะได้ขึ้นไปคุยกับเทวดาหลายอย่างเกินจริงเเต่คนพูดไห้ผิดไปจากเดิมเพื่อไห้ดูน่านับถือ
จิต เป็นอะไร ต้องบำบัด
ความรักในหมู่มนุษย์มีอยู่จริง แต่มันยังมีน้อยผมยังไม่เข้าใจ เข้าใจยากครับ
คลื่นความถี่ก่อนเกิดแผ่นดินไหวนั้นมีสัตว์บางชนิดได้ยินมันจึงรู้ล่วงหน้าพากันอพยพหนีภัย แต่มนุษย์ไม่ได้ยินเพราะคลื่นความถี่มันต่ำมากๆ สัญชาตญาณเป็นคลื่นความถี่ต่ำปรีชาญาณเป็นคลื่นความถี่กลางปัญญาญาณเป็นคลื่นความถี่สูงชาวอินเดียสอนเรื่องจักระทั้ง 7 ชาวตะวันตกเอาแนวคิดมาสร้างบทเพลงโดยไม่รู้ว่าจักระที่อยู่ต่ำนั้นต่ำกว่าเสียงดนตรี ส่วนจักระที่อยู่สูงนั้นสูงกว่าเสียงดนตรี
อภิญญาของนักดนตรีนั้นจำกัดอยู่เพียงคลื่นความถี่ขนาดกลาง ยังด้อยกว่าหมาแมว คำว่าหูทิพย์ก็ไม่ใช่ญาณพิเศษได้ยินไปไกลเช่นการใช้โทรศัพท์คุยกันจะมีกี่คนบนโลกนี้สามารถบอกได้ว่าคอร์ดทุกคอร์ดบนคอกีต้าร์ทุกตัวมันเพี้ยน ต่อให้แกรนด์เปียโนราคาแพงที่สุดในโลกกดคอร์ดแล้วก็ยังเพี้ยนเสียงคู่ประสาน 3 major และ 7 major ทั้งหมดเพี้ยนสูงกว่าเสียงธรรมชาติเสียงคู่ประสาน 3 minor และ 7 minor ทั้งหมดเพี้ยนต่ำกว่าเสียงธรรมชาติดังนั้นโน้ตตัวที่ 3 และ 7 ของเครื่องดนตรีทั้งหมดมันกัดกับโน้ตตัวที่ 1 กับ 5 เมื่อบรรเลงพร้อมกันการพลิกกลับคู่ 3 เป็นคู่ 6 และคู่ 7 เป็นคู่ 2 ก็เพี้ยนตามไปด้วยเพราะว่าระบบเสียงดนตรีสากล(scale) ของ โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค (J.S. Bach) ที่ได้รับการยอมรับเมื่อปี คศ. 1750 และใช้กันในปัจจุบันนี้ เป็นการแบ่ง 12 semitone(เท่ากัน)เพื่อสะดวกในการเล่นเพลงได้ทุกคีย์แทนระบบเสียงดนตรีโบราณ(mode)แม้มีนักดนตรีหูเทพที่มีอภิญญามาบอกเรื่องนี้ จะมีกี่คนที่ฟังออกว่ามันเพี้ยน ดีไม่ดีใครเขาจะหาว่าบ้าเสียด้วยซ้ำ ฉันใดก็ฉันนั้น เรื่อง "อจินไตย" อธิบายให้คนอื่นรู้ดุจเดียวกันไม่ได้สิ่งที่คนทั้งโลกยอมรับว่าเป็นความจริงไม่ได้หมายความว่ามันคือความจริง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑ ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน ๑ วิบากแห่งกรรม ๑ ความคิดเรื่องโลก ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้แล ไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน ฯอจินไตยเป็นเรื่องที่คิดเดาเอาเองไม่ได้ ฟังการอธิบายแล้วเสี่ยงต่อการเกิดมิจฉาทิฏฐิ เช่นเข้าใจผิดว่าตายแล้วสูญ กรรมและชาติหน้าไม่มี จึงฆ่าตัวตายเพื่อจะได้พ้นทุกข์หรือฆ่าคนในครอบครัวเพื่อให้สังสารวัฏสิ้นสุด หรือฆ่าล้างโคตรผู้อื่นเพราะเห็นต่าง
กรรมสืบเนื่องไปด้วยเหตุปัจจัย ความเป็น _"อิทัปปัจจยตา"_ ครอบคลุมรูปธรรมและนามธรรมทั้งภายในและภายนอกอันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปของทุกสรรพสิ่งไม่สามารถแยกขาดจากกันได้ พระพุทธเจ้าทรงเห็นแจ้งแทงตลอดจึงตรัสว่า _"ตถตา"_ หมายความว่า _"มันเป็นอย่างนั้น"_ มันเป็นความจริงของมันอย่างนั้น ไม่มีเทพเจ้าองค์ใดเลยที่เสกสรรให้มันเป็นตามคำขออ้อนวอนของมนุษย์ ไม่มีใครเลยที่ได้พรเหนือกว่าใครเพียงเพราะบูชาเทพเจ้าด้วยสิ่งใด หรือบูชายัญด้วยชีวิตใด หรือ *มันไม่ได้เป็นไปตามกรรมอย่างที่เชื่อกันมาแต่ก่อนพุทธกาล*
กรรมที่พระพุทธเจ้าสอนจึงมีเหตุมีผลยุติธรรม _มนุษย์สามารถกำหนดอนาคตตนเองได้ด้วยการทำกรรมปัจจุบัน_ และเผชิญกรรมในอดีตด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ผลัดกันฆ่า ผลัดกันเอาคืนแบบกี่ชาติไม่รู้จักจบสิ้น ☆นอกจากเราเป็นผู้รับกรรมจากอดีตและปัจจุบันของเราเองแล้ว ☆เรายังเป็นทายาทของกรรมที่บรรพบุรุษทำไว้ ☆และลูกหลานยังเป็นทายาทของกรรมที่เราทำไว้ด้วย *กรรมจากบรรพบุรุษมาพ่อแม่ตัวเราและไปยังลูกหลาน* _คือกรรมจากชาติก่อนมาชาตินี้ไปยังชาติหน้า_ มันเป็น _"ตถาตา มันเป็นอย่างนั้น"_ มันเป็นความจริงของมันอย่างนั้น
ร่างกายนี้เป็นของเรา ใจนี้เป็นของเรา มันเป็น _"อัตตา"_ ในด้านที่เราเป็นผู้ใช้มัน คนอื่นไม่มีสิทธิ์ใช้ร่างกายและใจของเรา ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ใจนี้ไม่ใช่เรา มันเป็น _"อนัตตา"_ ในด้านที่มันประกอบกันจากอสังขตธาตุด้วยมีเหตุปัจจัย(อิทัปปัจจยตา)ร่างกายคือสังขารธาตุ ใจคือวิญญาณธาตุ อวิชชาปิดบังมนุษย์ทำให้เห็น _"อัตตา"_ เพียงด้านเดียว ก่อนพุทธกาลไม่มีใครเคยสอนด้าน _"อนัตตา"_ ความเชื่อทั้งหลายจึงเป็นการเห็นความจริงด้านเดียว คำสอนก่อนพุทธกาลจึงสอนว่า สังขารธาตุเสื่อมสลายตามกาลเวลา ส่วนวิญญาณธาตุไม่เสื่อมสลายตามกาลเวลา หลังจากตายสามารถย้ายจากร่างหนึ่งไปสู่ร่างหนึ่งได้ ทั้งศาสนาพราหมณ์และศาสนาเชนเชื่อว่าวิญญาณธาตุเวียนว่ายตายเกิดจากร่างเก่าไปสู่ร่างใหม่นับชาติไม่ถ้วนเพราะว่าผลแห่งกรรมที่ทำไว้ในแต่ละชาติ การจะหลุดพ้นความทุกข์จากผลกรรมทั้งหมดได้คือการทำลาย"กรรม"เป็นคำสอน *ก่อนพุทธกาล* (เพราะรู้แค่อัตตา)การจะหลุดพ้นความทุกข์จากผลกรรมทั้งหมดได้คือการทำลาย"อวิชชา"เป็นคำสอน *หลังพุทธกาล* (สัทธรรมปฏิรูป) คำสอนศาสนาพราหมณ์และศาสนาเชนที่ปฏิรูปใหม่จึงเปลี่ยนว่า _"โมกษะหรือนิรวาณคือการหลุดพ้นจากอัตตาไปสู่ความนิรันดร์"_ ตายแล้ววิญญาณนิรันดร์กลับไปยังที่มาเบื้องบน ต่างกับศาสนาพุทธที่ว่า "นิพพานคือหลุดพ้นจากอัตตาไปสู่ความเป็นอนัตตา" ตรงนี้คือประเด็นที่สำคัญของความเชื่อในแต่ละคน คนที่มีโลกทัศน์ฝังหัวเรื่องราวหลังความตายสืบทอดกันมาจะเชื่อว่า _"การนิพพานคือตายแล้ววิญญาณนิรันดร์กลับไปยังที่มาเบื้องบน"_ ชาวพุทธส่วนใหญ่เชื่อเช่นนี้เพราะไม่ใช้หลักกาลามสูตรในการก้าวพ้นความเชื่อเก่าอันเป็นมิฉาทิฏฐิ
เคยฟังอาจารย์สมัยท่านยังบวชพระอยู่และอ่านหนังสือ.กระท่อมวิเวกของอาจารย์สมภารพรมทา
ขอบคุณคุณมากครับ
อย่าเอาศาสนาเข้าถึงงบุคคล บุคคลต่างหากควรเข้าถึงศาสนาเพราะการเอาศาสนาเข้าถึงบุคคลคือการเข้าไปกดเกณฑ์กำหนดสถานทางการดำเนินชีวิตกฏเกณฑ์ความเป็นอยู่ทางสังคม คือความรุนแรงการกดขี่โง่แล้วยังไร้เหตุผล
ผมไม่มีความรู้ความสามารถจัดการโครงข่ายทางวัตถุ แต่วัตถุต่างหากที่วางโครงข่ายเพื่อแสวงหาสิทธิประโยชน์ของระบบ ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวข้องกับการอยู่อย่างสันติอย่างไร
อหิงสาคือสันติภาพที่แท้จริง
อหิงสาคือสันติสุขที่แท้จริง
มนุษย์ทั้งสัญชาติญาณและสมองอันชาญฉลาด รู้จักใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหาบวก กับประสบการณ์ ของบรรพบุรุษในอดีต เราต้องกันกับสัตว์
มีหลายเมนท์เหมือนกันเนาะ ที่ผูกติดอยู่กับความคิด...
*เหนือสุข-ทุกข์* เรียนธรรมะ แต่ละ ปฏิบัติ ดั่งถนัด หิ้วพา ผลาผล เฝ้าลูบลูบ คลำคลำ ทำชอบกล บ่เคยยล เชยชิม ลิ้มลองรส อันสุขทุกข์ มาทัก สักว่าเกิด แต่เตลิด ยึดติด จิตสลด จับฉวยสุข สุขหาย หน่ายรันทด โศรกกำสรด ทุกข์คา พาอกตรม โอ้ทุกข์สุข เกิดตาม ความรู้สึก จิตสำนึก รู้ทุกข์ หรือสุขสม หลังกระทบ ซึมซับ รับอารมณ์ แล้วหมักหมม ถมไว้ ไม่ปล่อยวาง หมั่นฝึกจิต แค่รู้ วางทุกข์สุข แล้วแก้ทุก ปัญหา ด้วยจิตว่าง ปฏิบัติ ธรรมะ ละยึดวาง จิตสว่าง สงบ จบสิ้นทุกข์ฯ By เสรีนนท์
ต่อจากนี้เวลาใครมาด่าว่า ไอ SUS ผมจะไม่โกรธแล้วเพราะศลีธรรมดีกว่ามนุษย์
ขอบคุณคับอาจารย์ได้หลายแง่คิดดีครับ สนุกดีครับ
1 อาจารย์เห็นว่าการมีเซ็กส์เป็นเรื่องปกติ2 อาจารย์ไม่พูดถึงกิเลส อาจารย์ไม่เห็นการมีอยู่จริงของกิเลสปล. ส่วนเรื่องที่อาจารย์อุปมาว่ามดไม่มีนายกนั้น เอาจริงๆแล้วมดมันมีหัวหน้านะครับ มดขนของ มดฆ่า มดยาม มดสั่งการ พญามดจะตัวใหญ่ที่สุดแต่ผมกังวลอย่างเดียวครับข้อ 2 อาจารย์ไม่เห็นการมีอยู่จริงของกิเลส!
ยิ่งฟังยิ่งเห็นความหลงผิด
ตัวอ.สมภาร ได้เสนอแนวคิดต่างๆ เป็นทฤษฏีหลายรูปแบบ ให้นักศึกษาได้เรียนรู้ และแสดงความคิดเห็นส่วนความเห็นของอาจารย์จริงๆ ไม่ได้แสดงไว้ในคลิป ถ้าตัวอาจารย์แสดงความคิดเห็น ก็จะเป็นการยัดเยียดความคิดให้นักศึกษาหรือคนฟังตัวอาจารย์จึงมีหน้าที่พูดทฤษฎีให้ฟัง ส่วนนักศึกษาหรือผู้ฟังต้องคิดวิเคราะห์แยกแยะด้วยตัวเอง
คุณถามเรื่องนี้ ได้อย่างไร ตอบเลย
Thank U i Am FC Somparnlism...
me too.
คลิปไม่ยาวเกินไปฟังจบในเวลาไม่นานดีมากครับ
ที่อ.สมภาร นำแนวความคิดของฝรั่งมาเสนอ และอธิบายให้เห็นเป็นจริงเป็นจัง เข้าใจว่าจะให้นักศึกษาได้เกิดการกระตุ้นเกิดการเรียนรู้ซึ่งนักศึกษาจะรับรู้ทฤษฎีแล้วจะแสดงความเห็นโต้แย้งหรือเห็นด้วยในประเด็นไหน เป็นหน้าที่ของนักศึกษาหรือผู้ฟัง จะอธิบายต่อไปในส่วนตัวขอแสดงความคิดเห็นว่า ที่ตั้งข้อสังเกตุว่า ศาสนาเป็นเรื่องของคนเป็นประเภทนูโรติกที่จะแปลให้เป็นกลางๆว่ามีความเป็นคนพิเศษ มีความคิดความเห็นหรือมีการรับรู้(มีพลังวิเศษ)มากกว่าคนธรรมดาคนอื่นๆหรือจะแปลไปในแนวทางลบว่าเป็นโรคจิตหรือโรคประสาท นั้นก็ต้องแล้วแต่แยกประเด็นของแต่ละบุคคลที่ยกมาเป็นตัวอย่างเป็นรายๆไปอย่าง จอร์นแนท ที่เป็นอาจารย์เห็นคนตาย ที่สรุปว่าเป็นโรคสกิตโรฟิเนีย คือเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น เห็นอยู่คนเดียวเห็นคนตายสภาพแขนขาหักร่างกายมีเลือดไหลก็ย่อมมีจิตใจที่เกิดความกลัวเป็นธรรมดา จึงไม่มีสติที่จะจัดการกับสิ่งที่เห็นได้ ต้องได้รับการให้คำแนะนำอย่างจิตแพทย์ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไรกับสิ่งที่เห็นนั้นที่จะบอกคือ จอร์นแนท ไม่สามารถนำสิ่งที่เห็นพิเศษนั้น ใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ แถมเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตด้วยซึ่งแตกต่างจากการเห็นอย่างเพื่อนของ.สมภาร ที่เห็นเพื่อนที่ตายออกมาจากโทรศัพท์ สามารถติดต่อสนทนาพูดคุยได้โดยไม่กลัว น่าจะดีขึ้นมาหน่อยไม่ว่าใครก็ตามที่เห็นอะไรพิเศษกว่าคนธรรมดา เช่น อับราฮัม พระเยซู นบีมูฮัมหมัด หรือเจ้าชายสิทธัตถะบุคคลเหล่านั้นเห็นแล้วเชื่อเลย หรือมีสติมีปัญญาที่จะแยกแยะดีชั่วถูกผิดหรือจัดการกับสิ่งที่เห็นนั่นอย่างไรอย่างเช่น อับราฮัมได้ยินเสียง แล้วเชื่อเสียงนั้นว่าเป็นเสียงของพระเจ้า ทำตามเสียงนั้นอย่างเชื่อฟังถึงขนาดจะเอาลูกบูชายัญ แต่ก็ตั้งศาสนายูดาย์ อันนี้ก็ไม่มีความรู้ว่า อับราฮัมเป็นผู้ตั้งศาสนาด้วยตัวเองเป็นบุคคลที่มีจริงหรือว่าเป็นความเชื่อของคนรุ่นหลังว่ามีตัวตนจริงยิ่งเป็นความเชื่อเรื่องโนอาร์ได้ยินเสียงพระเจ้าบอกน้ำท่วมโลก ให้ต่อเรือใหญ่ขนสัตว์อย่างละคู่เป็นเรื่องความเชื่อต้องไปว่ากันที่หลักฐานรึอย่างพระเยซู ติดต่อกับพระเจ้าหรือนบีมูฮัมหมัดติดต่อกับเทพสวรรค์ที่นำสารน์จากพระเจ้า ก็เป็นการรับรู้เฉพาะตน ไม่มีบุคคลอื่นเห็นร่วมด้วย ไม่มีวิธีการขั่นตอนให้บุคคลอื่นเห็นได้ในปัจจุบันซึ่งต่างจากเจ้าชายสิทธัตถะ ที่มีพยานบุคคล มีหลักฐาน มีวิธีการสอน ขั่นตอนการฝึกให้สำเร็จได้ในปัจจุบันการเห็นนางสนมนอนหลับไหลน้ำลายไหลผ้าหลุดลุ่ย เป็นแค่การเปรียบเทียบว่าภาพนั้นดังป่าช้าคือต้องเข้าใจว่าเจ้าชายถูกบำรุงบำเรออย่างดีเลิศที่สุด แต่มาเห็นภาพหญิงนอนหลับที่ต่างกับตอนฟ้อนรำสวยงาม จึงสลดใจรึยกตัวอย่าง เจ้าชายเสด็จออกบวช ได้เจอพญามารมาห้าม บอกว่าอีกไม่กี่วันจะได้เป็นกษัตริย์และได้เป็นพนะเจ้าจักรพรรดิ แต่พระองค์ก็ไม่ทรงเชื่ิอ จึงแตกต่างจากการเห็นของบุคคลอื่นแม้จนได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า การทรงเห็นสิ่งเหนือมนุษย์ ก็ใช่ว่าพระองค์จะนำมาบอกกล่าวใครๆเลย ต้องมีบุคคลเป็นพยานหลักฐานยืนยันได้ จึงนำมาเล่าให้ฟังเช่นถ้าพระองค์เห็นเปรต ต้องมีพระสาวกรูปอื่นเห็นด้วย อย่างพระโมคคัลนะเห็นด้วย จึงทรงยืนยันว่าพระองค์ก็เห็นเช่นกัน
การเห็นสิ่งพิเศษเหนือมนุษย์ในลักษณะของพระพุทธเจ้า เป็นการเห็นที่มีพยานหลักฐานยืนยันได้ ว่าไม่ได้เห็นเพียงผู้เดียวและการเห็นสิ่งเหนือมนุษย์นั้น พระพุทธองค์ทรงมีวิธีการฝึก สมาธิให้จิตเข้มแข็ง จนถึงขั่นแสดงฤทธิ์เหนือปกติมนุษย์ธรรมดาได้และวิธีฝึกนั่น บุคคลอื่นก็สามารถฝึกตามและสำเร็จเห็นได้ตามด้วยเหมือนกันยกตัวอย่างการตรัสเรื่องนรกสวรรค์ ก็ทรงแสดงฤทธิ์ให้คนทั่วไปเห็นได้พร้อมกันเป็นจำนวนมากในคราเดียว เช่นตอนเสด็จลงจากดาวดึงส์สวรรค์ คนก็เห็เทวดาพรหม และนรกเปิดให้เห็นพร้อมกันเลย
การที่พระพุทธเจ้าเห็นสิ่งพิเศษเหนือมนุษย์ปกติธรรมดา จึงเป็นการเห็นที่แตกต่างจาก จอห์นแนทที่เห็นผี อาจารย์ที่เห็นผีเพื่อนออกมาจากโทรทัศน์แตกต่างจากอับราฮัม พระเยซู นบีมูฮัมหมัดที่บุคคลเหล่านั้นเห็นเพียงแค่ตนเองเท่านั้น และไม่มีวิธีการฝึกหรือสอนให้คนอื่นเห็นตามได้การที่เห็นของพระพุทธเจ้าแตกต่างจากบุคคลเหล่านั้นมาก บุคคลเหล่านั้นเห็นเห็นผีก็กลัวหรือไม่ก็หลงว่าจริง เช่นอาจารย์จอนแนทหรือศาสดาที่เชื่อพระเจ้า ที่เห็นแล้วเชื่อ เคารพนับถือ และปฏิบัติตามส่วนการเห็นของพระพุทธเจ้าทรงแยกแยะสิ่งที่เห็นได้ นอกจากมีพยานยืนยันได้ ทรงพิจารณาถูกผิดได้อย่างพระพุทธองค์ทรงพบกับพระพรหมที่หลงว่าตนนั่นเป็นต้นกำเนิดเกิดก่อนบุคคลอื่น พระพุทธองค์ก็ทรงแสดงฤทธิ์ชนะและให้ละทิฐิความเห็นผิดนั้นได้
บุญไม่มีหรอก แล้วสร้างโบสถ์ไปทำไม...ไม่ต้องสร้างให้ยุ่งยาก...ไม่ดีกว่ารึ
มนุษยกับความทุกคู่กันทำไห้้มันหมดไปไม่ได้นอกจากความตายเท่านั้นเเละเพราะมนุษยมีความสามารถจำกัด
การพ้นทุกข์อันเป็นคำสอนใบไม้ในกำมือหมายถึงการพ้นทุกข์ทางใจที่เกิดจากความคิดครับ(บางคนทุกข์มากเพราะคิดเยอะจนทนไม่ไหวฆ่าตัวตาย)ส่วนความทุกข์ที่คุณเข้าใจเป็นใบไม้นอกกำมือที่รวมเอาความทุกข์ทางร่างกายและเหตุการณ์ในสังคม เศรฐกิจ การเมือง สงครามหรือทุกข์อันเป็นรูปธรรม คุณต้องทำวิปัสสนาเรียนรู้ความทุกข์เฉพาะที่อยู่ในใจ แล้วจะเห็นความสืบเนื่องในปฏิจจสมุปบาทอันเป็นนามธรรม คุณจะเห็นความกว้างไพศาลของโลกภายในการเจริญสติเจริญปัญญาจะทำให้รู้แจ้งเห็นจริง แจ่มแจ้งการพ้นทุกข์ทางใจ อย่างที่การใช้สมองคิดเข้าใจหยั่งรู้ไปไม่ถึงครับ
"เครือข่ายปรีชาญาณ"สร้างภาพฝันในหัว ทำให้เราดำเนินชีวิตคู่ไปกับโลกเสมือนอันไม่ใช่ความจริง สิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกกับชาวกาลามะเมื่อครั้งพุทธกาลเพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในหัวนั้นไม่ใช่ความจริง เป็นสิ่งที่มาจากอดีตอันประกอบด้วยอวิชชา _ความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจคือเรื่องราวปรุงแต่ง_ มันเป็นผลผลิตของ"เครือข่ายปรีชาญาณ"
"โลกกุตตรจิต"ของพระอรหันต์ _ไม่ถูกเครือข่ายปรีชาญาณผูกไว้_ จิตจึงเป็นอิสระจากอุปาทานขันธ์ หลุดพ้นจากราคะ โทสะ โมหะ _ไม่เกิดความทุกข์ใจอย่างปุถุชน_
พระพุทธเจ้ามิได้ทรงสนพระทัยที่จะสนองตอบความใคร่รู้ของมนุษย์เกี่ยวกับกำเนิดของโลก ธรรมชาติของพระเจ้า หรือปัญหาในทำนองเดียวกันนี้ พระองค์ทรงมุ่งแก้ไขสภาพของมนุษย์ซึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์และความผิดหวัง ดังนั้น คำสอนของพระองค์จึงมิใช่คำสอนทางอภิปรัชญา แต่เป็นคำสอนเชิงจิตบำบัด
ตอบไม่ได้กับไม่ยากจะตอบก็เหมือนกันเเละเเค่อ้างไห้ดูดีเเค่ถ้าได้คงตอบไปเเล้วละไม่กุกกักหรอกเป็นมนุษยมันมีข้อจำกัดของมนุษยไม่สามารถเกินมนุษยได้หรอกถ้าเกินไปมันไม่ใช้มนุษยเเล้วอย่าบอกนะว่าไม่ใช่
@@เสื้อผ้าแฟชั่นวินเทจ สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้อุปมาเหมือนใบไม้ทั้งป่า แต่ที่พระองค์นำมาสอนเพียงแค่ใบไม้กำมือเดียว
@@ธรรมด๊าธรรมดา-ง3ร สิ่งที่รู้เท่าใบไม้เเต่สิ่งที่ไม่รู้เท่าใบไม้ในป่ามากกว่านะมันเกินมนุษยปกติเเค่เปลี่ยนคำพูดไห้ดูเวอวังเกิดขนาดหลายอย่างมีตัวอย่างเช่นเหาะได้ขึ้นไปคุยกับเทวดาหลายอย่างเกินจริงเเต่คนพูดไห้ผิดไปจากเดิมเพื่อไห้ดูน่านับถือ
จิต เป็นอะไร ต้องบำบัด
ความรักในหมู่มนุษย์
มีอยู่จริง แต่มันยังมีน้อย
ผมยังไม่เข้าใจ เข้าใจยากครับ
คลื่นความถี่ก่อนเกิดแผ่นดินไหวนั้นมีสัตว์บางชนิดได้ยินมันจึงรู้ล่วงหน้าพากันอพยพหนีภัย แต่มนุษย์ไม่ได้ยินเพราะคลื่นความถี่มันต่ำมากๆ
สัญชาตญาณเป็นคลื่นความถี่ต่ำ
ปรีชาญาณเป็นคลื่นความถี่กลาง
ปัญญาญาณเป็นคลื่นความถี่สูง
ชาวอินเดียสอนเรื่องจักระทั้ง 7 ชาวตะวันตกเอาแนวคิดมาสร้างบทเพลงโดยไม่รู้ว่าจักระที่อยู่ต่ำนั้นต่ำกว่าเสียงดนตรี ส่วนจักระที่อยู่สูงนั้นสูงกว่าเสียงดนตรี
อภิญญาของนักดนตรีนั้นจำกัดอยู่เพียงคลื่นความถี่ขนาดกลาง ยังด้อยกว่าหมาแมว คำว่าหูทิพย์ก็ไม่ใช่ญาณพิเศษได้ยินไปไกลเช่นการใช้โทรศัพท์คุยกัน
จะมีกี่คนบนโลกนี้สามารถบอกได้ว่าคอร์ดทุกคอร์ดบนคอกีต้าร์ทุกตัวมันเพี้ยน ต่อให้แกรนด์เปียโนราคาแพงที่สุดในโลกกดคอร์ดแล้วก็ยังเพี้ยน
เสียงคู่ประสาน 3 major และ 7 major ทั้งหมดเพี้ยนสูงกว่าเสียงธรรมชาติ
เสียงคู่ประสาน 3 minor และ 7 minor ทั้งหมดเพี้ยนต่ำกว่าเสียงธรรมชาติ
ดังนั้นโน้ตตัวที่ 3 และ 7 ของเครื่องดนตรีทั้งหมดมันกัดกับโน้ตตัวที่ 1 กับ 5 เมื่อบรรเลงพร้อมกัน
การพลิกกลับคู่ 3 เป็นคู่ 6 และคู่ 7 เป็นคู่ 2 ก็เพี้ยนตามไปด้วย
เพราะว่าระบบเสียงดนตรีสากล(scale) ของ โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค (J.S. Bach) ที่ได้รับการยอมรับเมื่อปี คศ. 1750 และใช้กันในปัจจุบันนี้ เป็นการแบ่ง 12 semitone(เท่ากัน)เพื่อสะดวกในการเล่นเพลงได้ทุกคีย์แทนระบบเสียงดนตรีโบราณ(mode)
แม้มีนักดนตรีหูเทพที่มีอภิญญามาบอกเรื่องนี้ จะมีกี่คนที่ฟังออกว่ามันเพี้ยน ดีไม่ดีใครเขาจะหาว่าบ้าเสียด้วยซ้ำ ฉันใดก็ฉันนั้น เรื่อง "อจินไตย" อธิบายให้คนอื่นรู้ดุจเดียวกันไม่ได้
สิ่งที่คนทั้งโลกยอมรับว่าเป็นความจริงไม่ได้หมายความว่ามันคือความจริง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑
ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน ๑
วิบากแห่งกรรม ๑
ความคิดเรื่องโลก ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้แล ไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน ฯ
อจินไตยเป็นเรื่องที่คิดเดาเอาเองไม่ได้ ฟังการอธิบายแล้วเสี่ยงต่อการเกิดมิจฉาทิฏฐิ เช่นเข้าใจผิดว่าตายแล้วสูญ กรรมและชาติหน้าไม่มี จึงฆ่าตัวตายเพื่อจะได้พ้นทุกข์หรือฆ่าคนในครอบครัวเพื่อให้สังสารวัฏสิ้นสุด หรือฆ่าล้างโคตรผู้อื่นเพราะเห็นต่าง
กรรมสืบเนื่องไปด้วยเหตุปัจจัย ความเป็น _"อิทัปปัจจยตา"_ ครอบคลุมรูปธรรมและนามธรรมทั้งภายในและภายนอกอันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปของทุกสรรพสิ่งไม่สามารถแยกขาดจากกันได้ พระพุทธเจ้าทรงเห็นแจ้งแทงตลอดจึงตรัสว่า _"ตถตา"_ หมายความว่า _"มันเป็นอย่างนั้น"_ มันเป็นความจริงของมันอย่างนั้น ไม่มีเทพเจ้าองค์ใดเลยที่เสกสรรให้มันเป็นตามคำขออ้อนวอนของมนุษย์ ไม่มีใครเลยที่ได้พรเหนือกว่าใครเพียงเพราะบูชาเทพเจ้าด้วยสิ่งใด หรือบูชายัญด้วยชีวิตใด หรือ *มันไม่ได้เป็นไปตามกรรมอย่างที่เชื่อกันมาแต่ก่อนพุทธกาล*
กรรมที่พระพุทธเจ้าสอนจึงมีเหตุมีผลยุติธรรม _มนุษย์สามารถกำหนดอนาคตตนเองได้ด้วยการทำกรรมปัจจุบัน_ และเผชิญกรรมในอดีตด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ผลัดกันฆ่า ผลัดกันเอาคืนแบบกี่ชาติไม่รู้จักจบสิ้น
☆นอกจากเราเป็นผู้รับกรรมจากอดีตและปัจจุบันของเราเองแล้ว
☆เรายังเป็นทายาทของกรรมที่บรรพบุรุษทำไว้
☆และลูกหลานยังเป็นทายาทของกรรมที่เราทำไว้ด้วย
*กรรมจากบรรพบุรุษมาพ่อแม่ตัวเราและไปยังลูกหลาน* _คือกรรมจากชาติก่อนมาชาตินี้ไปยังชาติหน้า_ มันเป็น _"ตถาตา มันเป็นอย่างนั้น"_ มันเป็นความจริงของมันอย่างนั้น
ร่างกายนี้เป็นของเรา ใจนี้เป็นของเรา มันเป็น _"อัตตา"_ ในด้านที่เราเป็นผู้ใช้มัน คนอื่นไม่มีสิทธิ์ใช้ร่างกายและใจของเรา
ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ใจนี้ไม่ใช่เรา มันเป็น _"อนัตตา"_ ในด้านที่มันประกอบกันจากอสังขตธาตุด้วยมีเหตุปัจจัย(อิทัปปัจจยตา)
ร่างกายคือสังขารธาตุ ใจคือวิญญาณธาตุ อวิชชาปิดบังมนุษย์ทำให้เห็น _"อัตตา"_ เพียงด้านเดียว
ก่อนพุทธกาลไม่มีใครเคยสอนด้าน _"อนัตตา"_ ความเชื่อทั้งหลายจึงเป็นการเห็นความจริงด้านเดียว คำสอนก่อนพุทธกาลจึงสอนว่า สังขารธาตุเสื่อมสลายตามกาลเวลา ส่วนวิญญาณธาตุไม่เสื่อมสลายตามกาลเวลา หลังจากตายสามารถย้ายจากร่างหนึ่งไปสู่ร่างหนึ่งได้
ทั้งศาสนาพราหมณ์และศาสนาเชนเชื่อว่าวิญญาณธาตุเวียนว่ายตายเกิดจากร่างเก่าไปสู่ร่างใหม่นับชาติไม่ถ้วนเพราะว่าผลแห่งกรรมที่ทำไว้ในแต่ละชาติ
การจะหลุดพ้นความทุกข์จากผลกรรมทั้งหมดได้คือการทำลาย"กรรม"เป็นคำสอน *ก่อนพุทธกาล* (เพราะรู้แค่อัตตา)
การจะหลุดพ้นความทุกข์จากผลกรรมทั้งหมดได้คือการทำลาย"อวิชชา"เป็นคำสอน *หลังพุทธกาล* (สัทธรรมปฏิรูป)
คำสอนศาสนาพราหมณ์และศาสนาเชนที่ปฏิรูปใหม่จึงเปลี่ยนว่า _"โมกษะหรือนิรวาณคือการหลุดพ้นจากอัตตาไปสู่ความนิรันดร์"_ ตายแล้ววิญญาณนิรันดร์กลับไปยังที่มาเบื้องบน
ต่างกับศาสนาพุทธที่ว่า "นิพพานคือหลุดพ้นจากอัตตาไปสู่ความเป็นอนัตตา" ตรงนี้คือประเด็นที่สำคัญของความเชื่อในแต่ละคน
คนที่มีโลกทัศน์ฝังหัวเรื่องราวหลังความตายสืบทอดกันมาจะเชื่อว่า _"การนิพพานคือตายแล้ววิญญาณนิรันดร์กลับไปยังที่มาเบื้องบน"_
ชาวพุทธส่วนใหญ่เชื่อเช่นนี้เพราะไม่ใช้หลักกาลามสูตรในการก้าวพ้นความเชื่อเก่าอันเป็นมิฉาทิฏฐิ
เคยฟังอาจารย์สมัยท่านยังบวชพระอยู่และอ่านหนังสือ.กระท่อมวิเวกของอาจารย์สมภารพรมทา
ขอบคุณคุณมากครับ
อย่าเอาศาสนาเข้าถึงงบุคคล บุคคลต่างหากควรเข้าถึงศาสนาเพราะการเอาศาสนาเข้าถึงบุคคลคือการเข้าไปกดเกณฑ์กำหนดสถานทางการดำเนินชีวิตกฏเกณฑ์ความเป็นอยู่ทางสังคม คือความรุนแรงการกดขี่โง่แล้วยังไร้เหตุผล
ผมไม่มีความรู้ความสามารถจัดการโครงข่ายทางวัตถุ แต่วัตถุต่างหากที่วางโครงข่ายเพื่อแสวงหาสิทธิประโยชน์ของระบบ ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวข้องกับการอยู่อย่างสันติอย่างไร
อหิงสาคือสันติภาพที่แท้จริง
อหิงสาคือสันติสุขที่แท้จริง
มนุษย์ทั้งสัญชาติญาณและสมองอันชาญฉลาด รู้จักใช้สติปัญญาในการแก้
ปัญหาบวก กับประสบการณ์ ของบรรพบุรุษในอดีต เราต้องกันกับสัตว์
มีหลายเมนท์เหมือนกันเนาะ ที่ผูกติดอยู่กับความคิด...
*เหนือสุข-ทุกข์*
เรียนธรรมะ แต่ละ ปฏิบัติ
ดั่งถนัด หิ้วพา ผลาผล
เฝ้าลูบลูบ คลำคลำ ทำชอบกล
บ่เคยยล เชยชิม ลิ้มลองรส
อันสุขทุกข์ มาทัก สักว่าเกิด
แต่เตลิด ยึดติด จิตสลด
จับฉวยสุข สุขหาย หน่ายรันทด
โศรกกำสรด ทุกข์คา พาอกตรม
โอ้ทุกข์สุข เกิดตาม ความรู้สึก
จิตสำนึก รู้ทุกข์ หรือสุขสม
หลังกระทบ ซึมซับ รับอารมณ์
แล้วหมักหมม ถมไว้ ไม่ปล่อยวาง
หมั่นฝึกจิต แค่รู้ วางทุกข์สุข
แล้วแก้ทุก ปัญหา ด้วยจิตว่าง
ปฏิบัติ ธรรมะ ละยึดวาง
จิตสว่าง สงบ จบสิ้นทุกข์ฯ
By เสรีนนท์
ต่อจากนี้เวลาใครมาด่าว่า ไอ SUS ผมจะไม่โกรธแล้วเพราะศลีธรรมดีกว่ามนุษย์
ขอบคุณคับอาจารย์ได้หลายแง่คิดดีครับ สนุกดีครับ
1 อาจารย์เห็นว่าการมีเซ็กส์เป็นเรื่องปกติ
2 อาจารย์ไม่พูดถึงกิเลส อาจารย์ไม่เห็นการมีอยู่จริงของกิเลส
ปล. ส่วนเรื่องที่อาจารย์อุปมาว่ามดไม่มีนายกนั้น เอาจริงๆแล้วมดมันมีหัวหน้านะครับ มดขนของ มดฆ่า มดยาม มดสั่งการ พญามดจะตัวใหญ่ที่สุด
แต่ผมกังวลอย่างเดียวครับข้อ 2 อาจารย์ไม่เห็นการมีอยู่จริงของกิเลส!
ยิ่งฟังยิ่งเห็นความหลงผิด
ตัวอ.สมภาร ได้เสนอแนวคิดต่างๆ เป็นทฤษฏีหลายรูปแบบ ให้นักศึกษาได้เรียนรู้ และแสดงความคิดเห็น
ส่วนความเห็นของอาจารย์จริงๆ ไม่ได้แสดงไว้ในคลิป ถ้าตัวอาจารย์แสดงความคิดเห็น ก็จะเป็นการยัดเยียดความคิดให้นักศึกษาหรือคนฟัง
ตัวอาจารย์จึงมีหน้าที่พูดทฤษฎีให้ฟัง ส่วนนักศึกษาหรือผู้ฟังต้องคิดวิเคราะห์แยกแยะด้วยตัวเอง
คุณถามเรื่องนี้ ได้อย่างไร ตอบเลย
Thank U i Am FC Somparnlism...
me too.
คลิปไม่ยาวเกินไปฟังจบในเวลาไม่นานดีมากครับ
ที่อ.สมภาร นำแนวความคิดของฝรั่งมาเสนอ และอธิบายให้เห็นเป็นจริงเป็นจัง เข้าใจว่าจะให้นักศึกษาได้เกิดการกระตุ้นเกิดการเรียนรู้
ซึ่งนักศึกษาจะรับรู้ทฤษฎีแล้วจะแสดงความเห็นโต้แย้งหรือเห็นด้วยในประเด็นไหน เป็นหน้าที่ของนักศึกษาหรือผู้ฟัง จะอธิบายต่อไป
ในส่วนตัวขอแสดงความคิดเห็นว่า ที่ตั้งข้อสังเกตุว่า ศาสนาเป็นเรื่องของคนเป็นประเภทนูโรติก
ที่จะแปลให้เป็นกลางๆว่ามีความเป็นคนพิเศษ มีความคิดความเห็นหรือมีการรับรู้(มีพลังวิเศษ)มากกว่าคนธรรมดาคนอื่นๆ
หรือจะแปลไปในแนวทางลบว่าเป็นโรคจิตหรือโรคประสาท นั้นก็ต้องแล้วแต่แยกประเด็นของแต่ละบุคคลที่ยกมาเป็นตัวอย่างเป็นรายๆไป
อย่าง จอร์นแนท ที่เป็นอาจารย์เห็นคนตาย ที่สรุปว่าเป็นโรคสกิตโรฟิเนีย คือเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น เห็นอยู่คนเดียว
เห็นคนตายสภาพแขนขาหักร่างกายมีเลือดไหลก็ย่อมมีจิตใจที่เกิดความกลัวเป็นธรรมดา จึงไม่มีสติที่จะจัดการกับสิ่งที่เห็นได้ ต้องได้รับการให้คำแนะนำอย่างจิตแพทย์ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไรกับสิ่งที่เห็นนั้น
ที่จะบอกคือ จอร์นแนท ไม่สามารถนำสิ่งที่เห็นพิเศษนั้น ใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ แถมเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตด้วย
ซึ่งแตกต่างจากการเห็นอย่างเพื่อนของ.สมภาร ที่เห็นเพื่อนที่ตายออกมาจากโทรศัพท์ สามารถติดต่อสนทนาพูดคุยได้โดยไม่กลัว น่าจะดีขึ้นมาหน่อย
ไม่ว่าใครก็ตามที่เห็นอะไรพิเศษกว่าคนธรรมดา เช่น อับราฮัม พระเยซู นบีมูฮัมหมัด หรือเจ้าชายสิทธัตถะ
บุคคลเหล่านั้นเห็นแล้วเชื่อเลย หรือมีสติมีปัญญาที่จะแยกแยะดีชั่วถูกผิดหรือจัดการกับสิ่งที่เห็นนั่นอย่างไร
อย่างเช่น อับราฮัมได้ยินเสียง แล้วเชื่อเสียงนั้นว่าเป็นเสียงของพระเจ้า ทำตามเสียงนั้นอย่างเชื่อฟังถึงขนาดจะเอาลูกบูชายัญ แต่ก็ตั้งศาสนายูดาย์ อันนี้ก็ไม่มีความรู้ว่า อับราฮัมเป็นผู้ตั้งศาสนาด้วยตัวเองเป็นบุคคลที่มีจริงหรือว่าเป็นความเชื่อของคนรุ่นหลังว่ามีตัวตนจริง
ยิ่งเป็นความเชื่อเรื่องโนอาร์ได้ยินเสียงพระเจ้าบอกน้ำท่วมโลก ให้ต่อเรือใหญ่ขนสัตว์อย่างละคู่
เป็นเรื่องความเชื่อต้องไปว่ากันที่หลักฐาน
รึอย่างพระเยซู ติดต่อกับพระเจ้าหรือนบีมูฮัมหมัดติดต่อกับเทพสวรรค์ที่นำสารน์จากพระเจ้า ก็เป็นการรับรู้เฉพาะตน ไม่มีบุคคลอื่นเห็นร่วมด้วย ไม่มีวิธีการขั่นตอนให้บุคคลอื่นเห็นได้ในปัจจุบัน
ซึ่งต่างจากเจ้าชายสิทธัตถะ ที่มีพยานบุคคล มีหลักฐาน มีวิธีการสอน ขั่นตอนการฝึกให้สำเร็จได้ในปัจจุบัน
การเห็นนางสนมนอนหลับไหลน้ำลายไหลผ้าหลุดลุ่ย เป็นแค่การเปรียบเทียบว่าภาพนั้นดังป่าช้า
คือต้องเข้าใจว่าเจ้าชายถูกบำรุงบำเรออย่างดีเลิศที่สุด แต่มาเห็นภาพหญิงนอนหลับที่ต่างกับตอนฟ้อนรำสวยงาม จึงสลดใจ
รึยกตัวอย่าง เจ้าชายเสด็จออกบวช ได้เจอพญามารมาห้าม บอกว่าอีกไม่กี่วันจะได้เป็นกษัตริย์และได้เป็นพนะเจ้าจักรพรรดิ แต่พระองค์ก็ไม่ทรงเชื่ิอ จึงแตกต่างจากการเห็นของบุคคลอื่น
แม้จนได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า การทรงเห็นสิ่งเหนือมนุษย์ ก็ใช่ว่าพระองค์จะนำมาบอกกล่าวใครๆเลย ต้องมีบุคคลเป็นพยานหลักฐานยืนยันได้ จึงนำมาเล่าให้ฟัง
เช่นถ้าพระองค์เห็นเปรต ต้องมีพระสาวกรูปอื่นเห็นด้วย อย่างพระโมคคัลนะเห็นด้วย จึงทรงยืนยันว่าพระองค์ก็เห็นเช่นกัน
การเห็นสิ่งพิเศษเหนือมนุษย์ในลักษณะของพระพุทธเจ้า เป็นการเห็นที่มีพยานหลักฐานยืนยันได้ ว่าไม่ได้เห็นเพียงผู้เดียว
และการเห็นสิ่งเหนือมนุษย์นั้น พระพุทธองค์ทรงมีวิธีการฝึก สมาธิให้จิตเข้มแข็ง จนถึงขั่นแสดงฤทธิ์เหนือปกติมนุษย์ธรรมดาได้
และวิธีฝึกนั่น บุคคลอื่นก็สามารถฝึกตามและสำเร็จเห็นได้ตามด้วยเหมือนกัน
ยกตัวอย่างการตรัสเรื่องนรกสวรรค์ ก็ทรงแสดงฤทธิ์ให้คนทั่วไปเห็นได้พร้อมกันเป็นจำนวนมากในคราเดียว เช่นตอนเสด็จลงจากดาวดึงส์สวรรค์ คนก็เห็เทวดาพรหม และนรกเปิดให้เห็นพร้อมกันเลย
การที่พระพุทธเจ้าเห็นสิ่งพิเศษเหนือมนุษย์ปกติธรรมดา จึงเป็นการเห็นที่แตกต่างจาก จอห์นแนทที่เห็นผี อาจารย์ที่เห็นผีเพื่อนออกมาจากโทรทัศน์
แตกต่างจากอับราฮัม พระเยซู นบีมูฮัมหมัด
ที่บุคคลเหล่านั้นเห็นเพียงแค่ตนเองเท่านั้น และไม่มีวิธีการฝึกหรือสอนให้คนอื่นเห็นตามได้
การที่เห็นของพระพุทธเจ้าแตกต่างจากบุคคลเหล่านั้นมาก บุคคลเหล่านั้นเห็นเห็นผีก็กลัวหรือไม่ก็หลงว่าจริง เช่นอาจารย์จอนแนท
หรือศาสดาที่เชื่อพระเจ้า ที่เห็นแล้วเชื่อ เคารพนับถือ และปฏิบัติตาม
ส่วนการเห็นของพระพุทธเจ้าทรงแยกแยะสิ่งที่เห็นได้ นอกจากมีพยานยืนยันได้ ทรงพิจารณาถูกผิดได้
อย่างพระพุทธองค์ทรงพบกับพระพรหมที่หลงว่าตนนั่นเป็นต้นกำเนิดเกิดก่อนบุคคลอื่น พระพุทธองค์ก็ทรงแสดงฤทธิ์ชนะและให้ละทิฐิความเห็นผิดนั้นได้
บุญไม่มีหรอก แล้วสร้างโบสถ์ไปทำไม...ไม่ต้องสร้างให้ยุ่งยาก...ไม่ดีกว่ารึ
มนุษยกับความทุกคู่กันทำไห้้มันหมดไปไม่ได้นอกจากความตายเท่านั้นเเละเพราะมนุษยมีความสามารถจำกัด
การพ้นทุกข์อันเป็นคำสอนใบไม้ในกำมือหมายถึงการพ้นทุกข์ทางใจที่เกิดจากความคิดครับ(บางคนทุกข์มากเพราะคิดเยอะจนทนไม่ไหวฆ่าตัวตาย)
ส่วนความทุกข์ที่คุณเข้าใจเป็นใบไม้นอกกำมือที่รวมเอาความทุกข์ทางร่างกายและเหตุการณ์ในสังคม เศรฐกิจ การเมือง สงครามหรือทุกข์อันเป็นรูปธรรม
คุณต้องทำวิปัสสนาเรียนรู้ความทุกข์เฉพาะที่อยู่ในใจ แล้วจะเห็นความสืบเนื่องในปฏิจจสมุปบาทอันเป็นนามธรรม คุณจะเห็นความกว้างไพศาลของโลกภายใน
การเจริญสติเจริญปัญญาจะทำให้รู้แจ้งเห็นจริง แจ่มแจ้งการพ้นทุกข์ทางใจ อย่างที่การใช้สมองคิดเข้าใจหยั่งรู้ไปไม่ถึงครับ
"เครือข่ายปรีชาญาณ"สร้างภาพฝันในหัว ทำให้เราดำเนินชีวิตคู่ไปกับโลกเสมือนอันไม่ใช่ความจริง สิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกกับชาวกาลามะเมื่อครั้งพุทธกาลเพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในหัวนั้นไม่ใช่ความจริง เป็นสิ่งที่มาจากอดีตอันประกอบด้วยอวิชชา _ความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจคือเรื่องราวปรุงแต่ง_ มันเป็นผลผลิตของ"เครือข่ายปรีชาญาณ"
"โลกกุตตรจิต"ของพระอรหันต์ _ไม่ถูกเครือข่ายปรีชาญาณผูกไว้_ จิตจึงเป็นอิสระจากอุปาทานขันธ์ หลุดพ้นจากราคะ โทสะ โมหะ _ไม่เกิดความทุกข์ใจอย่างปุถุชน_