ขนาดวิดีโอ: 1280 X 720853 X 480640 X 360
แสดงแผงควบคุมโปรแกรมเล่น
เล่นอัตโนมัติ
เล่นใหม่
สาธุค่ะ❤❤❤❤❤
สาธุคัรบ
ออ..จริง แจมแจ้งครับ
🙏🙏🙏
เออ..อย่าไปเลี่ยงความจริงเลย..ถ้าคุยระดับ .อริยะต้น...ฆาระวาสมีเมียนอนกอดเมียอยู่ในกรอบของศิลห้าละสังโยชน์สามเห็นความเกิดดับเป็นธรรมดา.สิ่งใดสิ่งหนึงมีความเกิดเป็นธรรมดาสิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา...พากันผ่านจรงนี้แจ้งตรงนี้ก็เอาละ..อย่าไปกะโดดข้ามขั้นเพราะยังไง..ถ้ายังไม่อิ่มพอใน.กามราคะหญิงชาย..มันยังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ดอก...พูดกันเก่งไม่กลัวบาปเพราะยังหลงตนหลงรู้....ค่อยเป็นไป.ฆาระวาส..ผู้ยังข้องในขันธ์ห้า..ดีแล้วมาเผยแดร่ธรรมแต่ควร..รู้ตัวเอ็งประมาณตัวเอ็ง.. อย่าพูดสูง..เกิน..คุณธรรมในใจตน..พร้อมจริง..ออกบวชเลย..นั้นคือความจริวพิสูจน์..เอาแค่นี้นะ....
ผมเป็นคนธรรมดาครับหลวงพ่อ ไม่ได้เป็นอริยะ เป๋นคนธรรมดาที่ดับอัตตาตัวตน สิ่งข้างนอกก็จืดชืดครับ แค่อยู่กับโลกได้เพราะชีวิตยังอยู่แค่นั้นเองครับ
ถ้าคุยกันด้วยหลักการและเหตุผลโดยใช้ความคิดปรุงแต่ง งั้นผมถามตรงๆว่าพระกับฆราวาสต่างกันตรงไหน? ในเมื่อมีอายตนะเหมือนกัน มีความเป็นมนุษย์เหมือนกัน แล้วจะแบ่งแยกกันทำไมครับ บวชเป็นพระก็ต้องถือพระวินัยเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นกฎที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้น และพระพุทธเจ้าไม่เคยแบ่งแยกอะไรนะครับ ทั้งพระและฆราวาสมีโอกาสเข้าถึงพระธรรมอย่างเท่าเทียมกัน ท่านพูดอะไรท่านก็ไปจำๆอะไรมาทั้งนั้น สิ่งที่พูดจะมาจากความหลงรู้หรือไม่ ไม่ได้ตัดสินจากสิ่งที่พูดออกมา แต่อยู่ที่ว่าเรายึดในสิ่งที่เราพูดออกมามั้ย ถ้าไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นอะไร มันก็ไม่ได้มีตัวตนของใครไปพูด ไปทำอะไรหรือมีใครไปแบกศีล แบกธรรม แบกสังโยชน์อะไรนิครับ มันมีแต่ความคิดของท่านที่ไปสร้างมันขึ้นมา ท่านเลยไม่อิสระจากการมีตัวตนไงครับ เดิมทีความคิด(สังขาร)มันมีอยู่แล้วในตัวเราทุกคน แต่มันมีอุปาทานขันธ์ที่เป็นตัวมโนวิญญาณที่คอยเข้าไปยึดอยู่ ท่านเลยไม่เคยเข้าถึงอิสระทางตัวตนและความคิดไง นี่แหละตัวสัตตานัง ท่านจะเข้าใจหรือไม่ก็อยู่ที่ปัญญาของท่านล่ะ
อาจารย์วิทย์ก็ยังเย็ดเมียปกติอยู่เลยครับ…อย่าใช้คำว่าจบ ถ้ายังตัดสังโยชน์ไม่ได้อย่ามาคุยว่าจบ เป็นแต่เพียงความเข้าใจ…กิเลสเป็นแค่สมมุติตราบใดที่ยังมีกิเลสก็ยังยึดสมมุติอยู่ดีครับ
สาธุค่ะ❤❤❤❤❤
สาธุคัรบ
ออ..จริง แจมแจ้งครับ
🙏🙏🙏
เออ..อย่าไปเลี่ยงความจริงเลย..ถ้าคุยระดับ .อริยะต้น...ฆาระวาสมีเมียนอนกอดเมียอยู่ในกรอบของศิลห้าละสังโยชน์สามเห็นความเกิดดับเป็นธรรมดา.สิ่งใดสิ่งหนึงมีความเกิดเป็นธรรมดาสิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา...พากันผ่านจรงนี้แจ้งตรงนี้ก็เอาละ..อย่าไปกะโดดข้ามขั้นเพราะยังไง..ถ้ายังไม่อิ่มพอใน.กามราคะหญิงชาย..มันยังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ดอก...พูดกันเก่งไม่กลัวบาปเพราะยังหลงตนหลงรู้....ค่อยเป็นไป.ฆาระวาส..ผู้ยังข้องในขันธ์ห้า..ดีแล้วมาเผยแดร่ธรรมแต่ควร..รู้ตัวเอ็งประมาณตัวเอ็ง.. อย่าพูดสูง..เกิน..คุณธรรมในใจตน..พร้อมจริง..ออกบวชเลย..นั้นคือความจริวพิสูจน์..เอาแค่นี้นะ....
ผมเป็นคนธรรมดาครับหลวงพ่อ ไม่ได้เป็นอริยะ เป๋นคนธรรมดาที่ดับอัตตาตัวตน สิ่งข้างนอกก็จืดชืดครับ แค่อยู่กับโลกได้เพราะชีวิตยังอยู่แค่นั้นเองครับ
ถ้าคุยกันด้วยหลักการและเหตุผลโดยใช้ความคิดปรุงแต่ง งั้นผมถามตรงๆว่าพระกับฆราวาสต่างกันตรงไหน? ในเมื่อมีอายตนะเหมือนกัน มีความเป็นมนุษย์เหมือนกัน แล้วจะแบ่งแยกกันทำไมครับ บวชเป็นพระก็ต้องถือพระวินัยเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นกฎที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้น และพระพุทธเจ้าไม่เคยแบ่งแยกอะไรนะครับ ทั้งพระและฆราวาสมีโอกาสเข้าถึงพระธรรมอย่างเท่าเทียมกัน ท่านพูดอะไรท่านก็ไปจำๆอะไรมาทั้งนั้น สิ่งที่พูดจะมาจากความหลงรู้หรือไม่ ไม่ได้ตัดสินจากสิ่งที่พูดออกมา แต่อยู่ที่ว่าเรายึดในสิ่งที่เราพูดออกมามั้ย ถ้าไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นอะไร มันก็ไม่ได้มีตัวตนของใครไปพูด ไปทำอะไรหรือมีใครไปแบกศีล แบกธรรม แบกสังโยชน์อะไรนิครับ มันมีแต่ความคิดของท่านที่ไปสร้างมันขึ้นมา ท่านเลยไม่อิสระจากการมีตัวตนไงครับ เดิมทีความคิด(สังขาร)มันมีอยู่แล้วในตัวเราทุกคน แต่มันมีอุปาทานขันธ์ที่เป็นตัวมโนวิญญาณที่คอยเข้าไปยึดอยู่ ท่านเลยไม่เคยเข้าถึงอิสระทางตัวตนและความคิดไง นี่แหละตัวสัตตานัง ท่านจะเข้าใจหรือไม่ก็อยู่ที่ปัญญาของท่านล่ะ
อาจารย์วิทย์ก็ยังเย็ดเมียปกติอยู่เลยครับ…อย่าใช้คำว่าจบ ถ้ายังตัดสังโยชน์ไม่ได้อย่ามาคุยว่าจบ เป็นแต่เพียงความเข้าใจ…กิเลสเป็นแค่สมมุติตราบใดที่ยังมีกิเลสก็ยังยึดสมมุติอยู่ดีครับ