ขนาดวิดีโอ: 1280 X 720853 X 480640 X 360
แสดงแผงควบคุมโปรแกรมเล่น
เล่นอัตโนมัติ
เล่นใหม่
ในศาสนาพุทธไม่มีคำว่าบังเอิญ ทุกสิ่งเป็นเหตุและผลกัน
หนังสือเล่มนึงมีคนเขียนจับมาชนกัน จริงๆไม่ได้เป็นเรื่องควอนตัม แต่การอธิบายจิต คนเขียนนำมาโยงกับควอนตัม โดยหากอ่านเฉยๆ ไม่ได้เรียนวิทย์หรือศึกษามาและขาดความเข้าใจแก่นพระธรรม มันก็จะไม่เข้าใจ พาเตลิดหลุดโลกไปใหญ่... เรื่องเล็กๆกลายเป็นเวอร์วังถ้ายังไหว้ศาล ราหู ตั้งขอเซ่นไหว้ เน้นการสวด การขอพร รูปปั้น เทวดา พญานาค สักยันต์ ของขลังก็ยังอีกไกล ที่เข้าใจพระธรรม...
แค่พ้นหาอารมณ์ว่างก็จบแล้วครับ
พระฉันข้าววันละ 2 หรือ 1 มื้อและมีนักวิจัยการกินข้าววันละ 1 มื้อหรือ 2 มื้อส่งผลดีต่อสุขภาพ
เขาก็บอกอยู่ว่า เป็น สมมุติฐาน
พระพุทธเจ้าพูดถึงความจริงของจักรวาล ที่เป็นโลกสมมุติเกิดจากโปรแกรมคอมด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ดวงวิญญาณถูกเสียบปลั๊กเข้ามาเป็นผู้เล่น
ลองนึกภาพคร่าวๆ เอาการฝังชิพในสมอง+ เมตาเวิร์ส
พุทธะคือผู้รู้แจ้ง แต่ศาสนิกอื่นหรือผู้ฟังด้วยอคติอาจไม่เข้าใจ ...แต่หากฟังด้วยความว่างเปล่าจากความหมายแห่งความเป็นตัวตนก็จะลึกซึ้งยิ่งขึ้น และพอเข้าใจได้ เยี่ยมครับ👍
พุทธองค์ทรงค้นพบวิทยาศาตร์ทางนามธรรม
@@วิศรุต-ซ5ภมันไม่ใช่นามธรรมครับ เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงๆ
จะบอกให้ถอดสมองฟังงั้นหรอ😅😅😅
เราอย่าอวดอุตริว่า ศาสนาของข้านั้นเป็นผู้รู้แจ้งมากน้อยขนาดไหน แล้วอย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ศาสนาอื่่น นี่คือคุณสมบัติของพุทธศาสนิกชนที่แท้จริงครับ
@@วิศรุต-ซ5ภวิทยาศาสตร์ไม่มีนามธรรม
ตถาคต กล่าวถึงจักรวานอยู่ภายใต้ กฎๆเดียว คือ กฎอิทัปปัจจยตาเพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับเป็นการอธิบายว่าทุกอย่างอาศัยกันและเกิดขึ้น
❤❤❤ใช่แล้วครับ ตัวเราเองก็เป็นแค่สสาร เมื่อสัมผัสกับสิ่งของอย่างอื่นก็เป็นการทำปฏิกิริยาของสสารกับสสาร ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่พึ่งพาอาศัยกันและกัน อย่างเข้าใจง่ายคือ สิ่งมีชีวิตต้องใช้อาหาร น้ำดื่ม ที่มาจากสสารอื่นเพื่อให้ตนเองอยู่รอดได้ ถ้าเสียชีวิตร่างกายก็จะสามารถเป็นอาหาร/ปุ๋ย ให้กับสสารและสิ่งมีชีวิตอื่นได้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นควานตัม ที่😮😮😮
ไม่มีบังเอิญหรอก!!!พระะพุทธะ พระมหาศาสดาโลก #คือผู้รู้ ครับ
พระพุทธเจ้า 🙏🙏🙏รู้จริง-รู้แจ้งจึง..รู้โลกตามความเป็นจริง "วิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าทุกสิ่งรอบตัวเราเป็นอณูของสภาพพลังงานที่ควบแน่นจากพลังงานจึง เกิดขึ้นชั่วคราว-ตั้งอยู่ก็ชั่วคราว-แล้วก็สลายคืนกลับไปเป็นอนัตตา" ว่าความจริงของโลกคืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตาพระพุทธเจ้ารู้ว่าจักรวาลมีหลายจักรวาลหลายโลก หลายสภาพชีวิต ในอนันตจักรวาล😊😊😊จึงไม่มีอะไรบังเอิญ
ใกล้แล้วสินะมนุษย์เอ่ย ถ้าเจ้ารู้ว่าสิ่งรอบตัวมันเป็นเพียงสิ่งสมมุติเท่านั้น ไม่ว่ารูป รส กลิ่น เสียง ถ้าเจ้ารู้ความจริงเกี่ยวกับมันอย่างแท้จริงแล้ว อย่างที่พระพุทธโคตมทั่นทำได้ อย่าหลงเชื่อว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นอดีต แสงไม่ได้เป็นสะสารที่เร็วที่สุด แต่สิ่งที่เร็วที่สุกคือ จิต และการมองเห็น พวกเจ้าจะไปไหนมาได้ เพียง เสียววินาที ได้ทั้งกายหยาบ และกายละเอียด
ฟังตั้งนานไม่เข้าใจควานตงควานตั่ม เรียนมาน้อย แต่ฟังเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า เข้าใจสบายใจดีครับ😅😅 ขอบคุณ
คลิปช่องคุณเจ๋งมากๆครับ อยากให้ช่องโตไวๆ คงคุณภาพนี้ไว้น่ะครับ 🍻🌏
วิทยาศาสตร์ ยังตามหลังพระพุทธเจ้า หลายพันปี
ก็เป็น ทฤษฏีที่สนุกนะที่ทำมา 😊 แต่คนที่รู้ พูดออกมาอายุสั้นแน่นขอให้โชคดีกับการค้นหากันต่อไปนะ หวังว่าคงหาเจอในสัก200ปีเป็นอย่างเร็ว😅
อนุภาค และ คลื่น คือสิ่งเดียวกัน แล้วแต่ว่า ตัว ตรวจจับ จะสั่งให้มันเป็นอะไรนั่นคือหัวใจของพระพุทธศาสนา นั่นเองคือ เจตนา เป็น สิ่งที่มีพลังมหาศาล และ สร้างโลกนี้ขึ้นมาได้
ความรู้อื่นมีมากมายเหมือนใบไม้ในป่าใหญ่ แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้ามอบให้ดั่งใบไม้หยิบมือ ใบไม้หยิบมือนี้แหละที่ทำให้มนุษย์เราหลุดพ้น
บรรลุธรรมรู้ได้เท่ากัน เหมือนกันด้วยเราัเป็นสัจจธรรม มีเพียงสิ่งเดียว ไม่มีสอง หายสงสัย(วิจิกิจฉา) ด้วยชีวิตของทุกคนเท่าเทียมกัน
จิต มนุษย์ยึดว่าเป็นของเราจริงๆแล้ว มันไม่ใช้ อย่ายึด มัน เราต้องอยุ่กับลมหายใจไปเรื่อยๆ เรียนรู้ลมหายใจ ความว่าเปล่าว
ขอบคุณมากครับได้ความรู้ที่ดี จิตมโนวิญญาณคือสิ่งเดียวกัน คือธาตุรู้ เป็นนามธรรม ดวงหนึ่งเกิดขึ้นดวงหนึ่งดับไปตลอดวันตลอดคืน เป็นธาตุที่ไม่เที่ยง ไม่เป็นอมตะ แต่มีอยู่ทั่วเอกภพ เช่น เราอยู่กาแลคซี่อื่นหรือนอกกาแลคซี่ เราก็ยังมีอาการรู้ ตัวรู้นี้มีอยู่ในแต่ สังขตธรรม เท่านั้น คือมีธรรมชาติอาศัยซึ่งกันและกัน มีเกิดปรากฏ มีเสื่อมปรากฏ เมื่อตั้งอยู่ย่อมมีอาการอย่างอื่น ส่วนอสังขตธรรม หรือนิพพาน คือไม่ปรากฏการเกิด เสื่อมไม่ปรากฏ เมื่อตั้งอยู่ไม่มีอาการอย่างอื่น อสังขตธรรมนี้ ไม่ปรากฏสสารใดๆ นามก็ไม่ปรากฏ รูปก็ไม่ปรากฏ หลุมดำ ดาวเคราะห์ การแลคซี่ เอกภพ รังสี แสง เสียง คลื่นพลังงาน พระเจ้าก็ไม่ปรากฏ ตัวสร้างไม่ปรากฏ ตัวทำลายก็ไม่ปรากฏ เวลา อดีต อนาคตก็ไม่ปรากฏ นี้คืออสังขตธรรม คือจุดหมายสูงสุดของศาสนาพุทธ ถึงไม่ปรากฏสิ่งใดๆ แต่สิ่งๆนี้มีอยู่ (ต้องอาศัยปฏิบัติเพิ่มเติมจะเข้าใจถ่อยคำได้ลึกขึ้น)
🙏กราบพระโสดาบันครับผมรู้ว่าคุณเป็นอย่างต่ำคือโสดาบัน โดยที่ท่านกล่าวว่า"จิตเป็นธาตุรู้"ไม่ใช่เรื่องที่ปุถุชนจะเข้าใจ🙏
@sunflower-ny4we ผมกล่าวความว่างไว้ตรงไหน
@sunflower-ny4we เข้าใจอะไรผิดหรือป่าวครับ ลองอ่านช้าๆดูนะครับ
@sunflower-ny4we เข้าใจผิดแล้ว คุณน่ะ! 😄 เขากล่าวพระสูตรทั้งหมด งัดไม่ได้หรอกมันคือเรื่องจริง 😄
@sunflower-ny4weแสดงความโง่ไปทุกที่จริงๆ
วิทยาศาสตร์เป็นไปเพื่อทางโลกให้หวังผลจากวัตถุ เล็กไปก็มองไม่เห็นไกลไปก็ไปไม่ถึงคนหายก็หาไม่เจออยากได้อะไรก็ไม่สมหวังดังปรารถนาติดอยู่ภายใต้กฏของธรรมชาติเมื่อถึงเวลาต้องชดใช้กันตายก็เกิดทันที
ความรู้แจ้งเห็นจริงในสภาวะธรรม จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เราหลุดพ้น จากโลกสมมุตินี้ได้ และจิตวิญญาณดวงนี้ จะเป็นอิสระจากเครื่องร้อยรัด ที่ทำให้สัตว์ยังต้องวนเวียนอยู่ในวงจรเมทริกซ์ เวลาของจิตจะหยุดนิ่งและไร้กาลเวลา เราเรียกสิ่งนี้ว่า"นิพพาน"
ข้าพเจ้าได้สดับฟังมาแล้วอย่างนี้ : จิต มโน วิญญาณ : "ก็ถ้าว่าบุคคลย่อมไม่คิดถึงสิ่งใดด้วย ย่อมไม่ดำริถึงสิ่งใดด้วย และย่อมไม่มีจิตฝังลงไปในสิ่งใดด้วย ในกาลใด ในกาลนั้น (ปัจจุบันธรรม) สิ่งนั้นย่อมไม่เป็นอารมณ์เพื่อการตั้งอยู่แห่งวิญญาณได้เลย เมื่ออารมณ์ไม่มี ความตั้งขึ้นเฉพาะแห่งวิญญาณย่อมไม่มี เมื่อวิญญาณนั้นไม่ตั้งขึ้นเฉพาะ ไม่เจริญงอกงามแล้ว เครื่องนำไปสู่ภพใหม่ย่อมไม่มี เมื่อเครื่องนำไปสู่ภพใหม่ไม่มี การมาการไปย่อมไม่มี เมื่อการมาการไปไม่มี การเคลื่อนและการบังเกิดย่อมไม่มี"สูตรลัดสั่นๆ เกี่ยวกับ จิตมโนวิญญาณ ในพระไตรปิฎก พุทธวจน.หมายเหตุ : อารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณขันธ์👻จิตวิญญาณเป็นธาตุรู้อารมณ์ฯ@การให้ธรรมะชนะการให้ทั้งปวงฯ และการรับธรรมะก็ชนะการรับทั้งปวงเช่นเดียวกัน#ฆราวาสก็บรรลุธรรมได้ #อริยสัจ #สัมมาสติ #มหาสติปัฏฐานสูตร #ฌานสูตร #จิตมโนวิญญาณ #พระพุทธศาสนา #เซน #เจโตวิมุติ #ปัญญาวิมุติ #จิตเหนือโลก #ปฏิจจสมุปบาท #หยุดคิดปรุงแต่งอย่างสิ้นเชิงฯ #ความคิดคืออวิชา #วิญญาณธาตุรู้อารมณ์ #อัตราเจตนาตัณหา #ผู้ไม่มีความหวั่นไหวและไม่ถือมั่น #เมื่อเราไม่มี #จิตหลุดพ้น
การเดินตามรอยพระพุทธองค์ เป็นผู้ที่ได้พบกัลยาณมิตรครับ สาธุครับ☺️
@sunflower-ny4we อย่างนั้นคุณยังโง่อยู่ที่คิดว่าความว่าคงจะอยู่ตลอดไป นั่นเป็นความคิดที่ว่าตัวเองคิดถูกเสมอ นอกจากพระพุทธเจ้าแล้วไม่มีคำสอนของอาจารย์ไหนเป็นคำสอนที่ถูกต้องที่สุด ส่วนมากถ้าศึกษาไปจะเห็นความย้อนแย้งในตัวมันเอง อย่างเช่นที่คุณว่าคนที่คิดว่าตัวเองคิดถูกเสมอ นั่นก็รวมตัวคุณเข้าไปด้วย🤔
@sunflower-ny4weคุณยังโง่อยู่เยอะเลย..ขอถามหน่อยว่าอะไรบ้างที่เป็นของจริง..รูปทั้งหลายนามทั้งหลายล้วนแต่เป็นอนัตตาทั้งนั้น..
@sunflower-ny4weแต่ก็มีนักวิทหลายคนนะคับ ที่ไม่ได้เชื่อเรื่องพระเจ้าเพราะเขาพิสูทไม่ได้เลยว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างจริงๆหรอ
ทีมงานท่านผู้บรรยายคงทำงานหนักมากกว่าจะเรียบเรียงหลายอย่างมาประกอบกันเพื่ออธิบายให้ผู้คนรับฟัง เข้าใจในสิ่งที่ผู้บรรยายอยากสื่อสารขอบคุณมากนะครับ
สุดยอดครับ สนุกมาก และมันคือความจริงครับ🎉
ตื่นรู้อีกครั้ง ขอบคุณครับแอด😊😊😊 อยากแชร์ไว้ ตรงไหนสักแห่ง เอาตรงนี้เลยแล้วกัน..... ตื่นรู้ เท่ากับ (=) ตรัสรู้ ....และทั้งหมดทั้งมวล คือ ความว่างเปล่า .... เพิ่งคิดได้ตอนฟังคลิปของช่อง 😊😊😊😊
ยอดเยี่ยมกระเทียมเจียว ขอบคุณที่สร้างสรรขี้นมาครับ 🎉🎉🎉❤
พระพุทธศาสนา คือ ศาสนา ที่ดี ที่สุดของ โลก นั่น คือ เรื่องจริง ที่ได้รับ การ ยกย่องสรรเสริญ ยอมรับ จาก คนชั้นสุง ต่าง ศาสนา ทั่วโลก และ ที่สำคัญ ที่สุด คือ อัลเบิร์ตไอสไตร์ นักวิทยาศาสตร์ เอกของโลก ชาวยิว ผู้มี มันสมอง อัจฉริยะ ที่สุดในโลก ยอมรับ พระพุทธศาสนา คือ ของจริง เขา เป็น ชาวยิว ยังยอมรับ ชาวยิว รู้จัก เปิดใจ ยอมรับความจริง ยอมรับว่า พุทธศาสนา คือ ศาสนา วิทยาศาสตร์ มหาศาสดาโลก. เขายอมรับความจริงได้ ทั้งนั้น เพราะมันคือเรื่องจริง ครับ🇹🇭🇮🇱🙏🙏🙏
ไม่มีความบังเอิญในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็เห็นสิ่งนี้เป็นกฎอันเดียวกันในอดีตหลายแสนชาติของท่าน เหมือนหนึ่งชาตินี้ของเราจำได้หมดแล้วอีกหลายแสนชาติข้างหน้า เกิดใหม่เราก็ยังจำชาตินี้ได้ด้วยสติ สมาธิและปัญญา หรือจะเรียกเหมือนพุทธศาสนาว่า กฎแห่งกรรม ธรรมะ จิตว่าง ก็ได้😊
ความบังเอิญ คงไม่ใช่แน่นอน รู้ความมาที่หลัง บอกว่า ท่านที่รู้ก่อน เป็นความบังเอิญ ของความรู้ที่เรารู้วันนี้ ฉลาดจริง !เนาะ
เจอปั้บตามตามเลยคะชอบสารคดีแนวนี้
สิ่งที่พุทธเจ้านำมาสอนเปรียบ เป็นแค่ใบไม้แค่กำมือเดียว เมื่อเทียบกับทั้งป่า ใบไม้กำมือเดียวที่ทำให้เใจไร้ทุกข์ เราไม่ต้องเรียนรู้ใบไม้ทั้งป่า แค่ใบไม้กำมือเดียวที่พุทธเจ้านำมาสอน ใจไร้ทุกข์ มีความสุขกับปัจจุบัน ไม่กังวล เรื่องอนาคต เรื่องในอดีต อยู่กับปัจจุบัน สงบ เย็น และเป็นประโยชน์
เริ่มออกจากสังคมตั้งแต่ 3ปี ที่แล้ว และปีนี้ได้ตัดจากทุกอย่างจนรู้สึกว่าชีวิตเคว้งมาก ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว เหงาเปล่าเปลี่ยวมาก ไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิตต่อไป 😔🤍🕊
หาจากเหตุ และผลของวันนี้เหตุที่เลือกตัด และผลที่เคว้งคว้าง
ไม่แปลกใจเลยในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ แต่แปลกใจว่า พระพุทธองค์ ทรงรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร มันซับซ้อนมาก เกินกว่าคนปกติทั่วไปจะเข้าใจได้ง่ายๆ ผ่านไป 2500 ปี ยังไม่มีไครสามารถมาหักล้างคำสอนพระองค์ได้เลย เหลือเชื่อจริงๆ
ไม่เห็นต้องงง ก็คนแต่งเรื่องนี้ขึ้นมาตอนยุคปัจจุบันนี่แหละ แต่งเพื่อให้เรื่องราวมันดูเหมือนพระพุทธเจ้าเป็นผู้มหัศจรรย์
@@yingying1316 เรื่องปาฏิหารย์ ไม่เกี่ยวเลย ในพระอภิธรรม ไม่มีเรื่องแบบนี้ มีแต่ทฤษฎีและหลักปฏิบัติ เรื่องที่แต่งขึ้น มีแต่ใยพุทธประวัติ คนที่ศึกษาจริงจังจะรู้
@@MegaWinyoo ผมโอเครกับคำตอบคุณนะ... และจากการศึกษาเชิงลึก สิตธัตถะ มีความอัศจรรย์ในคำพูดและคำสอนอยู่นะ เพียงแค่ว่า คำสอนและคำสั่งสำคัญๆ คนพุทธยุคหลังกลับไม่ให้ความสนใจ และมุงไปที่คำสั่งห้ามของ สิทธัตถะแทน คือ การยึดติด ชาวพุทธยุคหลัง เน้นไปยึดติดกับตัวบุคคลคือ สิทธัตถะ การยึดติดตรงนี้ มันเป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลงและตัด บางส่วนของคำสอน คัมภีร์พระไตรปิฏกจึงต่างออกไปจากต้นฉบับ การสังคายนา ว่า ด้วยเรื่อง ปรับเปลี่ยนคำสอนให้สอดคล้องกับยุคสมัย ผมไม่เข้าใจ ชาวพุทธทำสิ่งนี้ไปทำไมและเพื่ออะไร ถ้าคำสอนของสิทธัตถะที่คุณบอกว่าไม่มีใครสามารถหักล้างได้ และ คำสอนที่คุณหมายถึง คือ คำสอนไตรปิฏกปัจจุบัน ... ผมแย้งครับ ข้อที่จะเอามาหักล้างและตั้งคำถาม มันมีเพียบครับ แต่มันก็ใช่เรื่อง ที่ผมจะไปแสดงออกว่าผมตั้งใจแน่วแน่ที่จะมาถามสงสัย แล้วให้ชาวพุทธมาชี้แจง ... เพราะการชี้แจงมันจะมาในลักษณะทัศนคติความเชื่อ ของผู้อธิบายและชี้แจง ซึ่งขอเดาว่า เราไม่น่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ ทั้งสองฝ่าย แค่แวะมาทักทาย ... และ อยากบอกว่าคำสุดท้ายที่คุณทิ้งไว้ ทัศนคติของผมที่ผมเห็นคือ ไม่เห็นด้วยครับ และ ไม่ได้หมายความว่า ผมจะเข้ามาให้คุณท้าผมพิสูจน์ เพราะผมผ่านตรงนั้นมาไกลแล้วครับ ไม่จำเป็นที่ผมจะต้องไปทำซ้ำ ... ผมไม่ชอบเม้นท์ที่คุณแขวนเอาไว้ แต่ก็ชอบเม้นท์ที่คุณตอบ
@@yingying1316 คุณยังไม่ได้ศึกษาศาสนาพุทธให้ถึงแก่นแท้ มีอวิชชาคือความไม่รู้ ที่จริงแล้วพุทธศาสนา ไม่ได้สอนให้ต้องยึดติดตัวบุคคลใดๆทั้งสิ้น นอกจากยึดคำสอนธรรมมะ เป็นสรณะ ให้รู้ว่าทุกอย่างในจักลวาลนี้ ไม่เที่ยง มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมดา เพื่อให้ปล่อยวางและเข้าใจสิ่งที่มันมีจริงอยู่ในโลกนี้อยู่แล้ว
@@yingying1316 ศาสนาพุทธ สอนให้รู้ถึงเรื่องกรรม คือการกระทำ และผลของกรรม ก็คือผลของการกระทำ ไม่มีใครมาดลบันดาลให้เราเป็นแบบนั้นแบบนี้ ทุกอย่างมันอยู่ที่การกระทำของเราเป็นหลัก คิดดีก็ได้ผลของการคิดดี คิดชั่วก็ได้ผลของการคิดชั่ว ไม่ช้าก็เร็วได้รับผลแน่นอน
นิพพานน่าจะเป็นสสารมืดมากกว่า คือสภาพนิพพานไม่มีกว้าง ยาว ลึก สว่าง มืด (ไม่มีทุกอย่างที่อายตนะเราสัมผัสได้เลย) เชื่อมต่อกันทั่วไม่มีขอบเขต ดังนั้นไม่มีเวลา แม้จิต(วิญญาณ)จะไปคิดสิ่งใด(สัตตาหรือผู้ยึดติด) ก็ยึดจับได้หมด ดังนั้นนิพพาน(หมดอวิชชาแล้ว)หรือผู้ยึดติด(ยังมีอวิชชา) จึงละเอียดแทรกทุกที่ในตังเราถึงจักรวาล เหมือนสสารมืด ที่หาตัวตนไม่ได้แต่รู้ว่ามันมีอยู่และเป็นส่วนใหญ่ของระบบจักรวาลนี้
มั่วมาก 555
คุณไม่รู้อะไรเลยแล้วยังมั่วสุดๆอีกด้วย..อยากรู้เรื่องพระนิพพานนั้นแนะนำให้ฟังคิริมานนทสูตรครับแล้วคุณจะหายโง่เอง
ไม่น่าบังเอิญ การรู้ทั่วโลกธาตุนี้ แต่ไม่สามารถที่จะอธิบายให้คนในยุค 2500 ปี เข้าใจได้ ทรงตัดสินพระทัยแล้วตัดสินพระทัยอีกว่าจะสอนดีไหม แต่ทรงเห็นว่าบัวมีหลายเหล่าย่อมมีคนเข้าใจ ทั้งฟิสิก ชีวะ เคมี และกฎธรรมชาติจึงทรงเรียกรวมว่า "ธรรมมะ" ที่แปลว่า "ธรรมชาติ" สิ่งที่พระองค์สอนอยู่คือกำลังอธิบายการทำงานของธรรมชาติ ทั้งแบบนามธรรม และ รูปธรรม
เยี่ยมครับ..คุณเป็นนักปราชญ์ได้สบายๆเลย
คนอธิบาย ช่างอ่านได้คล่องมากๆ แต่จิตใจ ห่างไกล !
เนื้อหาดี 👍 แต่อยากให้พูดจับจังหวะเพื่อเน้นความหมายจะดีมากๆ🙏🙏
จิตคือธาตุรู้ เกิดกับตลอด จิตไม่เวียนว่ายตายเกิด สัตตานังเป็นผู้เวียนว่ายตายเกิด จิตเป็นนาม มีอยู่ทั่วเอกภพ มีทุกอนูของเอกภพ มนุษย์หนึ่งคนไม่ได้มีจิตเดียว เช่น เราตบมือ ตัวนี้จิตเกิดขึ้นมีอาการรู้ว่าตบมือ มือเราหยุดตบมือ จิตที่รู้ว่าตบมือได้ดับไปแล้ว แต่มีจิตที่เกิดใหม่คือจิตที่รู้ว่าหยุดตบมือเกิดขึ้น เป็นต้น จิตเป็นสิ่งเกิดดับตลอดเวลา ตลอดวันตลอดคืน
เมื่อตายจิตจะรู้อะไรต่อ ถ้าเห็นจิตเกิดดับตายแล้ว จิตจะไม่เกิดอีกไหม
@@ธนวรรณอิ่ม ความเจริญงอกงามของจิตมีด้วยเหตุปัจจัยคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร "การมา การไป จุติ อุบัติ ความเจริญงอกงามแห่งวิญญาณ เว้นจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้" เมื่อตายไป จิตรู้(คิด)ถึงสิ่งใด สิ่งนั้นจะเป็นอารมณ์ที่ตั้งแห่งภพ 1จิตเปรียบเหมือนเมล็ดพืช 2พืนนาหรือกรรม เปรียบเสมือนภพ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร) น้ำคืออำนาจความเพลิน เมื่อครบองค์ประกอบ จึงมีการจุติ อุบัติ เป็นสัตฯ ในภพภูมิใหม่
@@ธนวรรณอิ่ม เหตุปัจจัยที่จิตจะไม่เกิดอีก เป็นกรณีของสัตฯอรหันตบุคคล เมื่อละสังขาร ความเพลินพอใจใน รูป เวทนา สัญญา สังขารนั้นไม่มีแล้ว เมื่อทำกาละ(ตาย) สัตฯไม่เพลิน ขันธ์5 เหตุปัจจัยให้เกิด จิต คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร การจุติ อุบัติ ในภพใหม่นั้นไม่มีอีกต่อไป นี้คือนิพพาน หรืออสังขตธรรม ....เหตุปัจจัยอะไรให้สัตเบื่อหน่ายคลายกำหนัดความเพลินพอใจในขันธ์จนไม่เหลือเชื้อที่ตั้งแห่งภพใหม่?
เมื่อใดที่จิตรู้ทุกข์เห็นทุกข์จนแจ้งแล้วจิตนั้นจะไม่อยากเกิดอีก เพราะรู้ว่าเกิดแล้วทุกข์😊
@@niranpharkphakorn4454 จิตรู้ไม่อยากเกิด ความไม่อยาก เป็นตัณหา ต้องมาเกิดอีก เพราะมีตัณหา จิตมันทำงานตลอด ให้เห็นแค่การทำงานของจิต เมื่อมันเกาะอารมณ์ใด ให้ดึงจิตมารู้ลมหายใจเข้าออก (อานาปานสติ) ทำแบบนี้เรื่อยๆ เกิดเป็นอนุสัยความเคยชิน จิตจึงเกิดความจางคลายในขันธ์ เมื่อตายจากโลกนี้ การเกิดในภพอื่นก็ไม่เกิดอีกต่อไป
เคยอ่านหนังสือเล่ม มีบทความเถียงกันว่า หากไม่มีมนุษย์ก็ไม่มีดวงจันทร์ ? ตอนนี้ผมได้คำตอบแล้ว ขอบคุณครับ
พระพุทธองค์ ไม่ใช่นักฟิสิกส์โดยบังเอิญ พระองค์ทรงรอบรู้ แต่ทรงไม่พูด เพราะพระองค์ทรงเห็นว่า ไม่มีประโยชน์
ขอบคุณขอบคุณขอบคุณสาธุ ❤สาธุ❤ สาธุค่ะ❤
การสื่อสารระหว่างวัตถุ จะเร็วกว่าแสงไม่ได้ครับไม่มีอะไรมีความเร็วกว่าแสงนี่คือกฏ
ขอบคุณครับ คลิปนีี้ได้ความรู้มากเลยครับ
ไอสไตล์ยังยอมรับศาสนาพุทธเลยครับ
พระพุทธเจ้าพยายามบอกพวกเรามานานแล้วเรื่องความไม่มีอยู่จริงของสิ่งที่เราเห็นว่ามันมีอยู่จริงๆแล้วที่เรารับรู้นั้นคือการสั่นสะเทือน ถ้าหยุดสั่นสะเทือนก็เหลือแต่ความว่างเปล่า อย่าลืมความจริงแล้วสิ่งเล้าภายนอกจะไม่เกิดผลกับเราเลยถ้าเราไม่รับมันมาสั่นสะเทือนภายในของเรา เมื่อไม่สั่นสะเทือน และแล้วมันก็ว่างเปล่า เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าพยายามบอกพวกเรา ทุกอย่าขึ้นกับตัวเราไม่ใช่คนอื่น หยุดสร้างก็ว่างเปล่า☺️
เป็นธรรมที่คมและลึกซึ้งมากครับ..👍👍👍
เรืองของธรรมมะต้องพิสูจน์ด้วยตนเองเรื่องของวิทยาศาสตร์สามารถแสดงให้ชัดเจนด้วยเครื่องมือผู้อื่นสามารถเข้าถึงได้ง่าย
ถ้าลองทำตามโดยไม่ต้องอาศัยความเชื่อนะเห็นผลเหมือนคำที่พุทธเจ้าบอกเลย ต่างจากศาสนาอื่นที่ต้องเลื่อเสียก่อน
ธรรมะก็คือวิทยาศาสตร์ของจักรวาล..ธรรมะก็คือกฏความจริงของธรรมชาตินั่นเอง..ธรรมะคือวิทยาศาสตร์..วิทยาศาสตร์คือธรรมะ..
ขอบคุณมากค่ะ❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤
อนุภาคในจักรวาลมีได้หลายสถานะไม่ว่าจะเป็นคลื่นหรืออะไรก็ตาม จนมันกลายเป็นอนุภาคที่มีทิศทางที่แน่นอน ก็ตอนที่เราเข้าไปสังเกตุมัน สิ่งนี้ในทางพุทธศาสนาเราเรียกมันว่า "เจตนา" ซึ่งก็คือเหตุแห่งการกระทำ ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ มันกลายเป็นอนุภาคที่เป็นไปในทิศทางที่แน่นนอนตามแรงแห่งเจตนา ซึ่งในทางพุทธศาสนาเราเรียกมันว่า ผลแห่งกรรม ผลแห่งการกระทำ ผลที่ตามมา ซึ่งมันก็คือ กฏแห่งกรรม กฏแห่งธรรมชาติที่เกิดขึ้นนั่นเอง ซึ่งมีอยู่ในสังสารวัฏฏะนี้ ที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ เมื่อ 2500 ปี ที่ผ่านมา หรือในทางวิทยาศาสตร์เรียกมันว่า "ทฤษฎีควอนตัม"แต่ถึงกระนั้น สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงแค่ ใบไม้ทั้งป่า ที่พระพุทธองค์มิได้ทรงให้สาระอะไร มีแค่ใบไม้ในกำมือเท่านั้น ที่พระพุทธองค์ได้ทรงนำมาสั่งสอน เพื่อให้เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้หลุดจากวังวนแห่งทุกข์เหล่านี้พระสัพพัญญุตญานนั้นไร้ขอบเขต เหล่าสัตว์ที่ยังมีกิเลสหนา ปัญญาเขลา จึงมิอาจจะเข้าใจได้ เริ่มแรกทรงตรัสรู้ใหม่ๆ เพราะทรงทราบว่าหลักธรรมเหล่านี้ละเอียดซับซ้อนและลึกซึ้งยิ่ง จึงทรงท้อพระทัยที่จะสั่งสอน แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธองค์ จึงทรงยอมเหน็ดเหนื่อย ที่จะพาเหล่าสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ไปด้วยกันกับพระองค์❤❤❤❤❤❤❤❤
สรุปความรู้คือสิ่งสำคัญ คนเราต้องศึกษาเรียนรู้ต่อไป ในทางพุทธหรือทางวิทย์ อย่าเชื่อจนกว่าจะพิสูจน์ให้สำเร็จ ปัตเจตตังเวทิติโพวินยูเหติ ส่วนทางวิทย์พิสูจสร้างเครื่องควอนตัม
คงมีแต่ผมมั๊ง ที่ยิ่งฟัง ยิ่งงง ยิ่งอธิบาย ยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งฟังคำอธิบายเปรียบเทียบ ยิ่งเห็นว่า ไม่มีอะไรที่เป็นความจริงในโลกของควอนตั้ม ควอนตั้มไม่สามารถอธิบายอะไรได้ และมนุษย์ก็สามารถคิดเอาเองได้ว่านี่คือควอนตั้ม ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือเลว มนุษย์ก็สามารถยืนยันว่านั่นคือควอนตั้ม สรุปตามความคิดที่ความฉลาดน้อยของผม อะไรที่เกิดขึ้น สามารถนับว่านั่นคือควอนตั้มได้
พุทธศาสตร์สามารถอธิบายวิทยาศาสตร์ได้.แต่ใครจะเข้าถึงจุดนี้ได้ ไอน์สไตน์ เคยกล่าวถึงศาสนา แห่งจักรวาล ที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่สุด ก็คือพุทธศาสตร์
ถูกต้องที่สุด
ทริป 5-meo-dmt ช่วยได้มาก ถ้าใครอยากเข้าถึงสิ่งนี้ แบบเดียวกับที่ พระพุทธเจ้า ไปถึง แนะนำให้ไป 2เดือน ครั้ง
…
ขอบคุณครับ ติดตามครับ
ชอบมาก Wow! 🔥✨🍷🤟✨🍷✨🔥
❤ เห็น ❤รู้❤ต่างกัน❤เห็นแจ้ง..ใช่❤🎉🎉🎉🎉
ชอบมากๆครับ แจ่มแจ้ง
สาระดีมาก อธิบายได้ดีครับ
อีกเรื่องหนึ่งตอนเรียนวิชา ศาสนาครูได้กล่าวถึงศาสนาพุทธว่าพระพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่าในอนาคต เราจะสามารถคุยกันได้เห็นหน้ากันได้แม้อยู่คนละที่ สมัยนั้นเป็นเด็กเลิกเรียนกลับมายังมาเถียงกับเพื่อนว่า อาจเป็นโทรศัพท์ ผมจึงแย้งไปว่ามันไม่เห็นหน้า อาจเป็นโทรทัศน์ แต่มันก็คุยกันไม่ได้อยู่ดี เมื่อได้เรียนมหาลัย เพื่อน Video Call ผ่าน QQ มา ผม เข้าใจ ในสิ่งนั้นทันที
❤❤❤ยอดเยี่ยม
ไม่มีความบังเอิญ แต่ในสมัยพุทธกาล ไม่เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ฟิสิกส์ควานตัม
ขอบคุณค่ะ น่าคิดๆ
ขอบคุณครับ
ขอบครับ ชอบมาก
วิทยาศาตร์ยิ่งก้าวหน้ามากเท่าไหร่ จะยิ่งเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้ามากขึ้น ควอนตัมค้นพบความลับของนามธรรมทั้งหลายของจักรวาล พระพุทธเจ้าเป็นนักวิทยาศาตร์แห่งจิตซึ่งละเอียดและลึกซึ้งกว่ามาก
ทุกสิ่งทุกอย่าง จะอิงอาศัยกัน จึงเกิดขึ้น พุทธศาสนา..
ชอบตอนจบมากเลยแอดพูดได้ดี
ขอบคุณคะๆๆ❤
ในทางพุทธศาสนา , ท่านเทศน์ เรื่อง ปัจจญากา ทุกสิ่ง เกิดขึ้น จากการ พึ่งพา อาศัย โดยไม่มีอะไร ที่เป็นของเรา จิต เราเป็นเพียงผู้อาศัยส่วนมาก ที่เห็นกันอยู่ , จะยกเรื่อง รถ มาแสดง เช่น รถยนต์ , ที่ประกอบไปด้วย สิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน ประตู , โครงสร้างของรถ , กระจก , ลูกสูบเครื่องยนต์ แบตเตอรี่ แผงวงจร ฯลฯ และสิ่งเหล่านี้ ต้องทำงาน อาศัยซึ่งกันและกัน เรียกว่า ปัจจญาหาร , ทุกสิ่ง ล้วนเป็นเพียง ภาพมายา , ไม่รู้ ตัวตน ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียง สิ่งสมมุติ , "อ้างอิง พุทธวจน, คำเทศนา ของพระพุทธเจ้า"---__-" ท่าน จบ ทั้ง 3 โลก รู้เห็น ด้วยญาณ แล้วนำมาบอก, ถ้า ในยุค เมื่อ 2,600 ปีก่อน ท่านบอกว่า "ดูหร ภิกษุทั้งหลาย ทุกสิ่ง เป็นเพียงภาพมายา ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงสิ่งสมมุติ , เกิดจาก อะตอม ที่ไปสัมผัส กับพลังงาน ของวัตถุ ทำให้เกิด ความรู้สึกถึงพลัง งาน ทำให้ เราเชื่อว่า เรา สัมผัส มัน" -__-" ใครจะเข้าใจ
🎉ซาร์ -หลู้ -เต้🎉....SALUTE....แด่...สุขขะภาพฯเที่ยงตรงเหนือกาลเวลาฯ ..NOON NIRANDON.
..✊..🌏🌈🌟ขอน้อม🙇♀️กราบ🙏🙏🙏สาธุ สาธุ สาธุค่ะ🧎♀️ *ปล.🙇♀️🙏ขอบคุณมากๆๆๆๆนะค่ะ👻⚰✌..🖐..
อันนี้บอกสำหรับคนที่หลุดมาอ่านก่อนนะครับว่าผมไม่ได้จะมาลบหลู่ความเชื่อทางพุทธศาสนาแต่อย่างใด ผมแค่จะมาซัดข้อมูลของควอนตัมฟิสิกส์จริงๆที่มันไม่ได้เอามาใส่มั่วๆเหมือนคลิปนี้ครับ บอกก่อนเลยว่าข้อมูลที่ผิดมานั้นมีเต็มไปหมดครับ แต่ผมจะมาซักแค่ที่ๆเห็นมาได้ชัดนะครับ1. ควอนตัมฟิสิกส์คือฟิสิกส์ที่นำมาใช้กับปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในขนาดที่เล็กระดับอะตอม ดังนั้นหลายอย่างที่คลิปนำทฤษฎีควอนตัมเค้าไม่เอามาใช้กับวัตถุที่มนุษย์สัมผัสหรือรู้สึกได้เหมือนในคลิปครับ เราใช้ฟิสิกส์คลาสสิคกับของที่เราสัมผัสปกติและใช้ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปกับจักรวาลครับ2. แสงกับอิเล็กตรอนเป็นคนละอย่างกันครับ คุณจะเอาผลการทดลองที่เกิดกับแสงคือโฟตรอนกับอิเล็กตรอนซึ่งเป็นอนุภาคมูลฐานคนละตัวมารวมกันไม่ได้นะครับ3. ควอนตัมไม่สามารถอธิบายจิตสำนึกของคนได้เพราะมันไม่ได้เอามาอธิบายเกี่ยวกับมนุษย์ครับ ต้องเอาการทำงานของสมองมาอธิบายเกี่ยวกับจิตใต้สำนึกของมนุษย์ครับผมขออธิบายแค่นี้นะครับ ใครหลุดมาอ่านแล้วจะมาถามหรือด่าก็เชิญเต็มที่ครับ
พุทธไม่ใช่ความเชื่อครับพุทธคือธรรมชาติคือความจริงความมีเหตุผลไม่งั้นทำไมถึงต้องมีกาลามสูตร 10
ผมหยุดอ่านและเข้าใจว่ามันยาก ที่จะอธิบาย ทุกๆสิ่ง ว่ามันคือ ธรรมชาติ มันคือสิ่งเดียวกัน การหยุดดู ว่าตัวเองไม่มีมันยังยากเลย
สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ยัง ไม่เข้าใจเหมือนเดิม
ความหมายในคลิปที่ควอนตัมอยากอธิบายคือ สสารทั้งหลายล้วนว่างเปล่า สิ่งที่เราสัมผัสใด้เกิดจากการรวมตัวกันของอะตอม ตรงกับพระพุทธศาสนาทีว่า สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นอนัตตาไร้ตัวตนที่แท้จริงคือประกอบกันขึ้นจากเหตุและปัจจัย
@@Hiran-n3c อันนี้ผมจะอธิบายตามความรู้ที่มีนะครับ ไม่พอใจยังไงก็ขออภัยด้วยนะครับ ผมเข้าใจตามหลักพุทธศาสนาในเรื่องทุกสิ่งนั้นเกิดจากความว่างเปล่านะครับ พอจะเรียนมาบ้างไม่มากก็น้อยและเปิดฟังความคิดเห็นทั้งหมดครับ แต่ถ้าพูดในทางควอนตัมฟิสิกส์จริงๆคือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีความว่างเปล่าในจักรวาลนี้ ในจักรวาล4 มิติที่เราอยู่ อะตอมที่ในคลิปบอกว่ามีความว่างเปล่าแท้จริงมันเต็มไปด้วยคลื่นของอิเล็กตรอนวนรอบนิวเคลียสครับ ไม่มีช่องว่างอย่างที่ในคลิปพูด และถึงจะอยู่ในสถานะสูญญากาศมันก็มีคลื่นพลังงานของอนุภาคมูลฐานเต็มไปหมดครับ ผมไม่มีปัญหากับการที่จะเผยแพร่หลักคำสอนของพระพุทธองค์หรอกครับ แค่ไม่อยากจะให้บิดเบือนกฎฟิสิกส์เพื่อที่จะทำให้หลักคำสอนของพระพุทธองค์ดูน่าเชื่อถือขึ้น มันจะทำให้คนที่มีความรู้ในวิทยาศาสตร์ยิ่งไม่เชื่อเข้าไปใหญ่ครับ คำสอนของพระองค์มันดีโดยที่ไม่ต้องพึ่งปัจจัยภายนอกอย่างวิทยาศาสตร์ที่มันเป็นวัตถุที่มนุษย์สามารถสัมผัสหรือตรวจสอบได้หรอกครับ
ความว่างศูนย์ตา.ว่างเปล่าคือซากศพ🙇
#ศาสนาพุทธพระธรรมคือพระพุทธผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองหลักสำคัญของพระพุทธก็คือกฏแห่งกรรมให้หวังผลจากการกระทำอนัตตาจึงเป็นหัวใจของพระพุทธอริยสัจสี่ - อมตะธรรม
ต้องไปศึกษาเรื่องจิตให้ดี วิถีจิต เจตสิกจิต อัญญาสมานเจตสิกจิต มหาปัฏฐาน สรรพจิตสาธารณะ กุศล อกุศลจิต มหัคตตาจิต ยุคลธรรม สมาธิจิต สติฯลฯ
ขอบคุณมากครับ!
ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่มีตัวตน nothingness เพราะไม่มีอะไรที่สามารถมีตัวตนได้ เป็นแค่จุดเล็กๆมารวมกันก่อให้เกิดสิ่งต่างๆ อันนีเข้าใจละแต่อยากรู้ว่า แล้วตัวที่ต้นกำเนิดแรกที่ทำให้เกิดการวนลูปแบบนี้มันเกิดขึ้นมายังไง แต่ก็นะเคยได้ยินมาว่า หาต้นชนปลายไม่ได้เพราะมันเยอะเกินไป พอหลุด/ดับไปแล้วจะยังไงต่อ
รอเรื่องนี้มานานมาก อ่านเกี่ยวกับควันตั้มอยู่
ไม่บังเอิญค่ะ การสื่อสารและการแปลงสาส์นที่แตกต่างตามยุคสมัย ต้องศึกษาทั้งพุทธศาสนาและฟิสิกส์แบบองค์รวมทั้งหมดแล้วใช้จินตนาการถึงจะเข้าใจได้ ปัจจุบันกฎฟิสิกส์ยังพิสูจน์ทฤษฎีบางอย่างไม่ได้ แต่ก็รู้ว่ามีเพราะมีตัวแปรที่ไม่แน่นอนเกิดขึ้นแต่อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ละเอียดพอที่จะจับได้
การพิสูจน์ศาสนาพุทธ จะต้องพืสูจน์ด้วยการไม่คิด ถ้าคุณห้ามความคิดได้คุณก็จะพิสูจน์ได้ แต่ถ้าคุณยิ่งคิดก็จะยิ่งห่างไกลจากการพิสูจน์
กว่าพระพุทธเจ้าจะค้นพบความจริงทางจิตวิญญาณ ก็ใช้เวลาค้นค้วาทดลองถึง 6.ปี เช่นเดียวกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์
ชอบดูครับ 😂😂😂😂😂
ร่างกายและจิตใจ
ท่านสอนให้พิจารณา โดยความเป็นธาตุ ธาตุ4 ธาตุว่าง ธาตุรู้
พุทธ = วิทยาศาสตร์วิทยาศาสตร์ = พุทธ
ขอถามชื่อหนังสือเล่มนี้ได้ไหมคับ
ไม่ใช่โดยบังเอิญ พระองค์รู้แจ้งเห็นจริง รู้จริงต่างหาก
...การตั้งอยู่ของธาตุแห่งไกวัลยธรรมสิ่งที่เรียกว่า "ธาตุแห่งไกวัลยธรรม" มีการตั้งอยู่โดย "ไม่มีการตั้งอยู่" เพราะว่า มันไม่มีการเกิดขึ้น และไม่มีการดับไป มันไม่แสดงอาการ ของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป อย่างสิ่งที่เป็นสังขตธรรม ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว และโลก ที่เราอาศัยอยู่ มันตั้งอยู่ใน กฏของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แต่ไกวัลยธรรม เป็นสิ่งที่ไม่มีการตั้งต้น จึงไม่มีการสิ้นสุด เป็นลักษณะแห่งความมี ของสิ่งๆหนึ่ง ซึ่งมีได้โดย "ไม่มีการตั้งต้นของความมี และไม่มีการสิ้นสุดของความมี" เรียกว่า "ความมี" ชนิดที่เป็นความมีของธาตุ ชนิดหนึ่ง."ความมี" ของธาตุชนิดนี้ เป็นสิ่งที่ไม่อาจกำหนดได้ ด้วยมาตราชั่งตวงวัด อย่างที่ฝ่ายมหายาน เรียกว่า "อมิตาภะ" มีแสงสว่างที่ตวงไม่ได้ วัดไม่ได้ คำนวณไม่ได้ และ "อมิตายุ" มีอายุที่วัดไม่ได้ คำนวณไม่ได้.การสนใจทำความเข้าใจในธาตุ แห่ง "ความมี" ด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมเป็นทาง นำให้เข้าถึง สิ่งที่เรียกว่า "โลกุตตรธรรม" หรือ "อสังขตธรรม" ได้โดยง่าย.ความมีอยู่จริงของธาตุที่เป็นไกวัลยธรรมความมีอยู่ของสิ่งทั้งปวงที่ปรากฏ เป็นสิ่งที่มิได้มีอยู่จริง หรือมีอยู่แต่ไม่จริง เพราะวันหนึ่ง จะต้องแตกดับศูนย์หายไป แม้ดวงอาทิตย์ที่มีอายุ นับด้วยล้านๆปี ในที่สุด ก็จะถึงวาระแห่งความไม่มี แต่ว่า ความมีอยู่แห่งสิ่งที่เรียกว่า "ธาตุ" ซึ่งเป็นไกวัลยธรรม เป็นสิ่งที่ "มีอยู่จริง" ตลอดกาล โดยไม่เปลี่ยนแปลง เป็นอย่างอื่น.โดยเหตุที่ "ธาตุแห่งความมี" จักหาพบได้จาก "ธาตุแห่งความไม่มี" ในเมื่อความมีเป็น "หนึ่งเดียว" ฉะนั้น ความไม่มีย่อมมี "มากมาย หลายสิ่ง" เพราะตรงข้ามกัน ในความหมายนี้ ทำให้กล่าวได้ว่า "สิ่งเดียวในทุกสิ่ง และ ทุกสิ่งในสิ่งเดียว" ดังนี้.ธาตุแห่งความไม่มีนั้น ตั้งอยู่ในฐานะที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อกำหนดดู ตามอาการ ของการปรุงแต่ง ย่อมจำแนกออก ได้อย่างมากมาย นับไม่ถ้วน เช่น ดีชั่ว บุญบาป สุขทุกข์ หญิงชาย เป็นต้น แต่ถ้ามองว่า เป็นเพียงสักว่า "ธาตุ" เท่านั้น มันก็มีเพียง "หนึ่งเดียว" คือ เหมือนกันหมด เมื่อเห็นได้อย่างนี้ จะทำให้ปล่อยวางความยึดถือ ในธาตุแห่ง "ความไม่มี" อันเป็นเหตุให้เข้าถึง ธาตุแห่ง "ความมี" ซึ่งมี "หนึ่งเดียว"
ยกตัวอย่างเช่น ความมีอยู่แห่ง กฏอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งมีอยู่ในทุกสิ่ง แต่มิได้หมายความว่า สิ่งทั้งปวงนั้น แต่งตั้งกฏเกณฑ์อันนี้ขึ้นมา ความไม่เที่ยง มีอยู่ในสังขารทั้งปวง แต่สังขารมิได้ปรุงแต่งความไม่เที่ยงขึ้นมา เพราะ ความไม่เที่ยงนั้น เป็นไปตาม กฏเกณฑ์ของตัวมันเอง แล้วมาครอบงำสิ่งทั้งปวง ในทำนองเดียวกัน เกี่ยวกับความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นต้น ก็รวมอยู่ในความหมายนั้น เราจะไปต่อสู้ต้านทานกระแสอันนี้ ให้หมุนกลับไม่ได้.แต่ทางออกจากสิ่งเหล่านี้มีอยู่ ในเมื่อทุกสิ่งมีคู่ ฉะนั้น สิ่งตรงกันข้ามคือ ความไม่เกิด ความไม่แก่ ความไม่เจ็บ ความไม่ตาย ก็ย่อมมี จะเข้าถึงสิ่งนี้ ได้ด้วยการอบรมจิต เสียใหม่ ให้พิจารณาเห็นความเปลี่ยนแปลง ตามเป็นจริง ด้วยปัญญา แล้วจิตจะถอยห่าง ปล่อยวางความยึดถือ ในความเปลี่ยนแปลงนั้น ทำให้บรรลุถึง ความไม่เปลี่ยนแปลง ในที่เดียวกัน นั่นเอง ได้แก่ เปลี่ยนจาก "สังขตธรรม" เป็น "อสังขตธรรม" หรือ เปลี่ยนจาก "โลกิยะ" เป็น "โลกุตตระ" นี่คือ วิธีการอบรมจิตใจ ให้ออกจากความเปลี่ยนแปลง อันหมายถึง ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เพื่อเข้าถึง ความไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เป็นการบรรลุถึง "อมตธรรม" นั่นเอง.อาจมีผู้เข้าใจผิดว่า ในเมื่อสังขตธรรม เป็นสิ่งที่มีอยู่ ฉะนั้น อสังขตธรรม คงเป็นสิ่งที่มิได้มีอยู่ ความจริง "อสังขตธรรม" ก็เป็นสิ่งที่ "มีอยู่" แต่ "มีโดยไม่ต้องมี" ดังพระพุทธภาษิตมีว่า "อตฺถิ ภิกฺขเว ตทายตานํ - ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้น มีอยู่" ดังนี้ คำว่า "อายตนะ" ในที่นี้ มิได้หมายถึง อายตนะ ๑๒ แต่หมายถึง สิ่งๆ หนึ่งที่อาจ "รู้ได้ เข้าถึงได้ รู้สึกได้" เมื่อมี การอบรมจิต ให้เกิดปัญญา ที่ถูกต้อง ดังที่เรียกกันว่า "ทำกรรมฐานภาวนา" สิ่งนั้นคือ "นิพพาน".ความทุกข์กับความดับทุกข์พบได้ในที่เดียวกันพระพุทธเจ้า ตรัสยืนยันว่า "สิ่งนั้นมีอยู่" หมายถึง "สิ่งที่มีอยู่ อย่างเป็น อันเดียวกันหมด" ซึ่งไม่ถูกจำกัด ด้วยกาลเวลา และสถานที่ อันได้นามว่า "ไกวัลยธรรม" เป็นสภาพที่พึงรู้ได้ด้วยการ "ปฏิเสธ" สิ่งที่เป็นสังขตะ หรือ เป็นฝ่ายโลกิยะ ดังพระพุทธภาษิต มีว่า "สิ่งนั้นไม่ใช่ธาตุดิน ไม่ใช่ธาตุน้ำ ไม่ใช่ธาตุไฟ ไม่ใช่ธาตุลม" ดังนี้ เพราะตัวจริงของ "สิ่งนั้น" ไม่อาจกำหนดว่า เป็นอย่างไร เพียงรับรู้ได้ว่า "สิ่งนั้นมีอยู่".เมื่อสิ่งทั้งปวงอยู่ในสภาวะแห่ง "ทุกข์" ครั้นทุกสิ่งถูกปฏิเสธ อย่างสิ้นเชิง ก็ย่อมกล่าวได้ว่า เป็นการเข้าถึง "ที่จุดจบแห่งความทุกข์ทั้งปวง" เมื่อถึงที่สุดแห่งทุกข์ ก็ย่อมว่างจากความทุกข์ สภาวะที่ว่างจากทุกข์ ที่ปรากฏขึ้น แทนความทุกข์นั่นเอง ที่หมายถึง อสังขตะ สุญญตา นิพพาน หรือ นิโรธธาตุ ซึ่งรวมเรียกว่า "ไกวัลยธรรม" ในที่นี้.
ข้อนี้เป็นการแสดงว่า "ความดับทุกข์" ย่อมปรากฏในที่เดียวกันกับ ความทุกข์ นั่นเอง เมื่อเข้าถึงความดับทุกข์ ย่อมรับรู้ได้ว่า "สิ่งนั้นมีอยู่" ในที่เดียวกัน และเวลาเดียวกัน สิ่งที่เรียกว่า "ความทุกข์" ก็ปรากฏเป็นสิ่งที่"ไม่มี" คือ "ว่างจากทุกข์".ทุกศาสนาเข้ากันได้ด้วยความหมายของไกวัลยธรรมถ้าเข้าใจความหมายของ "ไกวัลยธรรม" แล้ว จะได้เป็นเครื่องมืออันหนึ่ง ในอันที่จะทำความเข้าใจกันทั้งโลก ทุกเวลา ทุกสถานที่ และทุกศาสนา ความแตกต่าง ของสิ่งทั้งปวง อยู่ที่การ ถูกจำกัดด้วยกาลเวลา และสถานที่ ซึ่งจัดเป็นส่วนของ สังขตธรรม เมื่อใดอยู่เหนือกาลเวลา คือ ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ไม่มีปัจจุบัน และอยู่เหนือสถานที่ เมื่อนั้นย่อมหมายถึง การเข้าถึงธรรมชาติ เดิมแท้ แห่งสัจจธรรม เรียก "อสังขตธรรม" เป็นธรรมที่ไม่มีการปรุงแต่ง.ความจริงลักษณะแห่งสัจจธรรมนี้ ย่อมปรากฏอยู่ในทุกศาสนา แต่เนื่องจาก ศาสนิกแห่งศาสนา ไม่เข้าถึงศาสนาของตน จึงมีความเห็นแตกแยก ขัดแย้งกัน ในระหว่างศาสนา จนถึงกับมี การทะเลาะวิวาท กัน ด้วยศาสนา แม้ในศาสนาเดียวกัน ก็ยังมีความเห็นต่างกัน โดยมีการแยกเป็นนิกาย ทั้งนี้เป็นเพราะ การไม่เข้าถึง "ธรรมชาติเดิมแท้แห่งสัจจธรรม" นั่นเองรวมความว่า ใน "ไกวัลยธรรม" มีธาตุอยู่เพียง ๒ ธาตุ คือ สังขตธาตุ - ธาตุที่เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย และ อสังขตธาตุ - ธาตุที่ไม่เป็นไป ตามเหตุตามปัจจัย โดยเฉพาะ "อสังขตธาตุ" นั้น ศาสนาอื่น สมมติเอาเป็น "ตัวตนถาวร" แต่ในทางพุทธศาสนา พระพุทธเจ้า ทรงเรียกว่า มันเป็น "สักว่าธาตุ" อันหมายถึง สภาวะแห่ง "ไกวัลยธรรม". พุทธทาสภิกขุ พ.ศ. 2449-2536
เยี่ยมครับ
เพราะมีวิญญานเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะมีนามรูป จึงมีวิญญาณ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ จึงกล่าวเหตุปัจจัย หรือสมัยยนี้เรียกว่าทฤษฎีได้ครับ💙💓💞💜🧡💕💕❣️💋💛อย่าบอกว่าบังเอิญ กัยผู้ตรัสรู้เลยครับ💞💜🧡💕❣️💋
สุดครับ
นักปรัชญาก่อนหน้ายุคพระพุทธเจ้าก็คิดแบบแนวฟิสิกส์ควอนตัมนะ คือ หลักเหตุผลของพระพุทธเจ้านั้นยอดเยี่ยมที่สุดในทุกศาสนา แต่เรื่องอื่น ๆ รู้สึกว่าอวยกันมากเกินไป รวมถึงเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ด้วย โดยสรุปแล้วจิตสำนึกหรือ consciousness ของคนหลายยุคหลายสมัยค่อนข้างสัมผัสได้ถึงสภาวะที่แท้จริงของจักรวาล เพราะพวกเราทุกคนเชื่อมโยงอยู่กับสิ่งนี้ และอาจแชร์จิตสำนึกร่วมกันด้วยก็ได้ ดังนั้นไม่มีเรื่องของจิตใครตรัสรู้มากกว่าใคร มีเพียงแค่ แต่ละคนมีบทบาทคนละอย่างก็เท่านั้น ซึ่งการทำร้ายผู้อื่นก็เหมือนทำร้ายตนเองเป็นต้น และเมื่อศึกษาไปลึก ๆ ก็เหมือนจะไม่มีเรื่อง นรก สวรรค์ อีกด้วย คนที่เจอนรกหรือสวรรค์ตอนที่ตายแล้วฟื้นมาเล่า ก็เหมือนกับจิตของตนเองสร้างขึ้นมามากกว่า ยิ่งเชื่อเรื่องนี้เยอะ โอกาสเจอนรกก็ยิ่งสูง สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยให้คนอยากทำความดีก็คือ ความสามารถในการเรียนรู้ มากกว่ากลัวเรื่องนรก เพราะบางทีกลัวก็จริง แต่มันอดไม่ได้ เลยยอมทำชั่ว แต่ถ้าเป็นคนที่มีการเรียนรู้และพัฒนามาตลอด ไม่จำเป็นต้องอดทนอดกลั้นเลย มันไม่อยากทำเอง เพราะรู้อะไรควรทำอะไรไม่ควรทำตามหลักเหตุผล และมีตรรกะที่ดี แต่ปัญหาของสังคมส่วนใหญ่ก็คือ การไปเน้นสอนที่ความเชื่อ แต่ไม่เน้นสอนให้ฝึกคิดมีตรรกะ จนทำให้เกิดตรรกะที่ประหลาด ๆ ขึ้นมา แล้วการทำชั่วมันก็ตามมา ด้วยความไม่รู้ หรือความเข้าใจผิดใด ๆ ก็แล้วแต่ การที่พระพุทธเจ้าสอนให้ใช้หลักเหตุผล และหลักที่ไม่ให้หลงไปกับการเชื่อ มันก็เหมือนบ่งบอกกลาย ๆ นะ ว่าเมื่อถึงยุคแห่งปัญญา ไม่จำเป็นต้องมีศาสนาอีก บางประเทศคนมีความคิดมีตรรกะสูง สวัสดิการสังคมก็ดี มีการระบการศึกษาและการเมืองที่ดี ก็ไม่ได้คิดว่าต้องนับถือศาสนาไหน สังคมก็สงบสุขดี ไม่มีโจรผู้ร้าย ไม่มีการฆาตกรรม ไม่มีคอรัปชัน หรือถ้าจะมีก็น้อยมาก เทรนด์แบบนี้มันชัดเจนมาก จนเรียกว่าเป็น fact สำหรับเราเลย
เห็นด้วยเลยครับ ผมถูกสอนมาตั้งแต่เด็กว่า ถ้าทำชั่วจะตกนรก (ผู้ใหญ่ใช้ความกลัวในการสอนผม) ซึ่งผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ผมอยากให้สอนผมบนความเป็นจริงมากกว่า (ใจเขา ใจเรา)
@@AnoNymous-it8viใช่ครับตรงเลยเรื่อง ใจเขาใจเรา
สังคมที่ไม่มีศีลธรรมและเมตตาธรรมมันจะสงบสุขมิได้เลย..ฉะนั้นคนโง่จึงไม่รู้ตัวเอง
สมาธิ เพิ่มความจำ เพิ่มความไว เพิ่มความแม่นยำลดข้อผิดพลาด แทงทลุเกือบทุกปัญหา แก้ไขปัญหาได้อย่างต่อเนื่อง เพิ่มการตื่นตัวขยัน เพิ่มความสุขสงบใจครับ.ศีล 5 ขึ้นไปคือฝ่ายแสงอหิงสา ไม่เบียดเบียน.ละเมิดศีล 5 คือฝ่ายมืดหิงสา เบียดเบียน.Metavers = จักรวาลนฤมิตMultivers = จักรวาลคู่ขนานMetahuman = มนุษย์เสมือน
ไม่เกี่ยวกันเลย แล้วยังเอาคำต่างประเทศมาแปลไทยอีก
🙏🙏🙏
การฝึกจิต จนถึง การวางจิต จึงจะถึงธรรม...มันยากตรงขี้เกียจนี่แหละ...ค้นแบบวิทยาศาสตร์มันของภายนอก ต้องดูจิตตนเองมันถึงจะเห็น
อ่านเจอมา ทฤษฎีควอนตั้ม ทุกอย่างตกอยู่ภายใต้ความไม่แน่นอน ถึงแม้จะสร้างเหตุปัจจัยไว้อย่างดี
นี่ผมดูคลิบ ทฤษฎีฟิสิกส์อยู่ใช่มั้ย
ถ้าเป็นคนเรียนอภิธรรมมาจะเข้าใจได้มากขึ้นเลย โดยเฉพาะเรื่องจิต
คนที่เรียนพระอภิธรรมรู้มานานแล้ว..แต่อยากให้นักวิทยาศาสตร์..เข้าห้องเรียนพระอภิธรรม ที่ครูอาจารย์ ยังมีสอนอยุ่เยอะแยะ ในประเทศไทยครับ
ผมเชื่อว่าจิต และมนุษย์ คือเครื่องจักร ที่ไม่มีสิทธิ์คิดหรือทำอะไรเอง เป็นไปตามวัตถุดิบที่ถูกป้อนเข้าและส่งผลออกมาเป็นความคิด การพูด การกระทำ องค์ประกอบของมนุษย์ทั้งหมดคือเทคโนโลยีนวตกรรมที่ถูกพัฒนามาถึงจุดสูงสุดของจักรวาล จักรวาลที่เราอยู่เรียกว่า จักรวาลด้านปรากฏ แต่ยังมีจักรวาลด้านไม่ปรากฏที่เราสามารถเข้าถึงได้แต่ ไม่สามารถรับรู้ได้โดยสภาพมนุษย์ปกติ แต่พัฒนาให้เข้าถึงได้เหมือนเป็นโลกคู่ขนาน ผมเชื่อแบบนนี้มา20ปีแล้วสุดท้ายไม่มีอะไรที่ล้ำสมัยไปกว่าคำสอนของพระตถาคตอหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อีกแล้ว เป็นที่สุดแห่งทุกศาสตร์ สามารถพิสูจน์ตามหลักเหตุผลได้ และสามารถนำไปประยุคเพื่อแตกแขนงความรู้วิทยาการอื่นๆได้อีกมากมายลองไปเรียนวิชาของพุทธที่แท้จริงที่นี่ดูครับ มันอาจจะช่วยให้คุณถูกพัฒนา สู่ความจริงที่เป็นนิรันดร์www.buvec.org/
ความรู้ยังผิดอยู่มากแต่ที่ยกย่องพระพุทธเจ้านั้นถูกที่สุดเลย..
คนทำคลิปนี้จะเป็นผู้บรรลุธรรมในอนาคต ถึงสภาวะจิตจริงๆอาจยังไม่ได้ แต่ที่กล่าวมาก็ใกล้เคียงตามที่กล่าวมาเลย
พระพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ ถึง สัจจธรรม และ ธรรมชาติ ของทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เกิดขึ้น บนโลกใบนี้ "ทรงตรัสรู้ เห็นความเปนจริง ของสรรพสิ่งของโลกใบนี้ และ ธรรมชาติ ที่มันมีอยู่ เปนอยู่ เกิดอยู่ กับโลกใบนี้ มาตั้งแต่ มีโลกมีจักรวาล แล้ว
#ศาสนาพุทธเป็นศาสนา ประชาธิปไตย ไม่บังคับใครให้ศรัทธา#เป็นวิทยาศาสตร์ #เป็นธรรมชาติ
เยี่ยม
ในศาสนาพุทธไม่มีคำว่าบังเอิญ ทุกสิ่งเป็นเหตุและผลกัน
หนังสือเล่มนึงมีคนเขียนจับมาชนกัน จริงๆไม่ได้เป็นเรื่องควอนตัม แต่การอธิบายจิต คนเขียนนำมาโยงกับควอนตัม โดยหากอ่านเฉยๆ ไม่ได้เรียนวิทย์หรือศึกษามาและขาดความเข้าใจแก่นพระธรรม มันก็จะไม่เข้าใจ พาเตลิดหลุดโลกไปใหญ่... เรื่องเล็กๆกลายเป็นเวอร์วัง
ถ้ายังไหว้ศาล ราหู ตั้งขอเซ่นไหว้ เน้นการสวด การขอพร รูปปั้น เทวดา พญานาค สักยันต์ ของขลังก็ยังอีกไกล ที่เข้าใจพระธรรม...
แค่พ้นหาอารมณ์ว่างก็จบแล้วครับ
พระฉันข้าววันละ 2 หรือ 1 มื้อและมีนักวิจัย
การกินข้าววันละ 1 มื้อหรือ 2 มื้อส่งผลดีต่อสุขภาพ
เขาก็บอกอยู่ว่า เป็น สมมุติฐาน
พระพุทธเจ้าพูดถึงความจริงของจักรวาล ที่เป็นโลกสมมุติเกิดจากโปรแกรมคอมด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ดวงวิญญาณถูกเสียบปลั๊กเข้ามาเป็นผู้เล่น
ลองนึกภาพคร่าวๆ เอาการฝังชิพในสมอง+ เมตาเวิร์ส
พุทธะคือผู้รู้แจ้ง แต่ศาสนิกอื่นหรือผู้ฟังด้วยอคติอาจไม่เข้าใจ ...แต่หากฟังด้วยความว่างเปล่าจากความหมายแห่งความเป็นตัวตนก็จะลึกซึ้งยิ่งขึ้น และพอเข้าใจได้ เยี่ยมครับ👍
พุทธองค์ทรงค้นพบวิทยาศาตร์ทางนามธรรม
@@วิศรุต-ซ5ภมันไม่ใช่นามธรรมครับ เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงๆ
จะบอกให้ถอดสมองฟังงั้นหรอ😅😅😅
เราอย่าอวดอุตริว่า ศาสนาของข้านั้นเป็นผู้รู้แจ้งมากน้อยขนาดไหน แล้วอย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ศาสนาอื่่น นี่คือคุณสมบัติของพุทธศาสนิกชนที่แท้จริงครับ
@@วิศรุต-ซ5ภวิทยาศาสตร์ไม่มีนามธรรม
ตถาคต กล่าวถึงจักรวานอยู่ภายใต้
กฎๆเดียว คือ กฎอิทัปปัจจยตา
เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด
เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี
เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ
เป็นการอธิบายว่าทุกอย่างอาศัยกันและเกิดขึ้น
❤❤❤ใช่แล้วครับ ตัวเราเองก็เป็นแค่สสาร เมื่อสัมผัสกับสิ่งของอย่างอื่นก็เป็นการทำปฏิกิริยาของสสารกับสสาร ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่พึ่งพาอาศัยกันและกัน อย่างเข้าใจง่ายคือ สิ่งมีชีวิตต้องใช้อาหาร น้ำดื่ม ที่มาจากสสารอื่นเพื่อให้ตนเองอยู่รอดได้ ถ้าเสียชีวิตร่างกายก็จะสามารถเป็นอาหาร/ปุ๋ย ให้กับสสารและสิ่งมีชีวิตอื่นได้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นควานตัม ที่😮😮😮
ไม่มีบังเอิญหรอก!!!
พระะพุทธะ พระมหาศาสดาโลก #คือผู้รู้ ครับ
พระพุทธเจ้า 🙏🙏🙏รู้จริง-รู้แจ้งจึง..รู้โลกตามความเป็นจริง "วิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าทุกสิ่งรอบตัวเราเป็นอณูของสภาพพลังงานที่ควบแน่นจากพลังงานจึง เกิดขึ้นชั่วคราว-ตั้งอยู่ก็ชั่วคราว-แล้วก็สลายคืนกลับไปเป็นอนัตตา" ว่าความจริงของโลกคืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตาพระพุทธเจ้ารู้ว่าจักรวาลมีหลายจักรวาลหลายโลก หลายสภาพชีวิต ในอนันตจักรวาล😊😊😊จึงไม่มีอะไรบังเอิญ
ใกล้แล้วสินะมนุษย์เอ่ย ถ้าเจ้ารู้ว่าสิ่งรอบตัวมันเป็นเพียงสิ่งสมมุติเท่านั้น ไม่ว่ารูป รส กลิ่น เสียง ถ้าเจ้ารู้ความจริงเกี่ยวกับมันอย่างแท้จริงแล้ว อย่างที่พระพุทธโคตมทั่นทำได้ อย่าหลงเชื่อว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นอดีต แสงไม่ได้เป็นสะสารที่เร็วที่สุด แต่สิ่งที่เร็วที่สุกคือ จิต และการมองเห็น พวกเจ้าจะไปไหนมาได้ เพียง เสียววินาที ได้ทั้งกายหยาบ และกายละเอียด
ฟังตั้งนานไม่เข้าใจควานตงควานตั่ม เรียนมาน้อย แต่ฟังเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า เข้าใจสบายใจดีครับ😅😅 ขอบคุณ
คลิปช่องคุณเจ๋งมากๆครับ อยากให้ช่องโตไวๆ คงคุณภาพนี้ไว้น่ะครับ 🍻🌏
วิทยาศาสตร์ ยังตามหลังพระพุทธเจ้า หลายพันปี
ก็เป็น ทฤษฏีที่สนุกนะที่ทำมา 😊 แต่คนที่รู้ พูดออกมาอายุสั้นแน่นขอให้โชคดีกับการค้นหากันต่อไปนะ หวังว่าคงหาเจอในสัก200ปีเป็นอย่างเร็ว😅
อนุภาค และ คลื่น คือสิ่งเดียวกัน แล้วแต่ว่า ตัว ตรวจจับ จะสั่งให้มันเป็นอะไร
นั่นคือหัวใจของพระพุทธศาสนา นั่นเอง
คือ เจตนา เป็น สิ่งที่มีพลังมหาศาล และ สร้างโลกนี้ขึ้นมาได้
ความรู้อื่นมีมากมายเหมือนใบไม้ในป่าใหญ่ แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้ามอบให้ดั่งใบไม้หยิบมือ ใบไม้หยิบมือนี้แหละที่ทำให้มนุษย์เราหลุดพ้น
บรรลุธรรมรู้ได้เท่ากัน เหมือนกันด้วยเราัเป็นสัจจธรรม มีเพียงสิ่งเดียว ไม่มีสอง หายสงสัย(วิจิกิจฉา) ด้วยชีวิตของทุกคนเท่าเทียมกัน
จิต มนุษย์ยึดว่าเป็นของเราจริงๆแล้ว มันไม่ใช้ อย่ายึด มัน เราต้องอยุ่กับลมหายใจไปเรื่อยๆ เรียนรู้ลมหายใจ ความว่าเปล่าว
ขอบคุณมากครับได้ความรู้ที่ดี จิตมโนวิญญาณคือสิ่งเดียวกัน คือธาตุรู้ เป็นนามธรรม ดวงหนึ่งเกิดขึ้นดวงหนึ่งดับไปตลอดวันตลอดคืน เป็นธาตุที่ไม่เที่ยง ไม่เป็นอมตะ แต่มีอยู่ทั่วเอกภพ เช่น เราอยู่กาแลคซี่อื่นหรือนอกกาแลคซี่ เราก็ยังมีอาการรู้ ตัวรู้นี้มีอยู่ในแต่ สังขตธรรม เท่านั้น คือมีธรรมชาติอาศัยซึ่งกันและกัน มีเกิดปรากฏ มีเสื่อมปรากฏ เมื่อตั้งอยู่ย่อมมีอาการอย่างอื่น ส่วนอสังขตธรรม หรือนิพพาน คือไม่ปรากฏการเกิด เสื่อมไม่ปรากฏ เมื่อตั้งอยู่ไม่มีอาการอย่างอื่น อสังขตธรรมนี้ ไม่ปรากฏสสารใดๆ นามก็ไม่ปรากฏ รูปก็ไม่ปรากฏ หลุมดำ ดาวเคราะห์ การแลคซี่ เอกภพ รังสี แสง เสียง คลื่นพลังงาน พระเจ้าก็ไม่ปรากฏ ตัวสร้างไม่ปรากฏ ตัวทำลายก็ไม่ปรากฏ เวลา อดีต อนาคตก็ไม่ปรากฏ นี้คืออสังขตธรรม คือจุดหมายสูงสุดของศาสนาพุทธ ถึงไม่ปรากฏสิ่งใดๆ แต่สิ่งๆนี้มีอยู่ (ต้องอาศัยปฏิบัติเพิ่มเติมจะเข้าใจถ่อยคำได้ลึกขึ้น)
🙏กราบพระโสดาบันครับผมรู้ว่าคุณเป็นอย่างต่ำคือโสดาบัน โดยที่ท่านกล่าวว่า"จิตเป็นธาตุรู้"ไม่ใช่เรื่องที่ปุถุชนจะเข้าใจ🙏
@sunflower-ny4we ผมกล่าวความว่างไว้ตรงไหน
@sunflower-ny4we เข้าใจอะไรผิดหรือป่าวครับ ลองอ่านช้าๆดูนะครับ
@sunflower-ny4we เข้าใจผิดแล้ว คุณน่ะ! 😄 เขากล่าวพระสูตรทั้งหมด งัดไม่ได้หรอกมันคือเรื่องจริง 😄
@sunflower-ny4weแสดงความโง่ไปทุกที่จริงๆ
วิทยาศาสตร์
เป็นไปเพื่อทางโลก
ให้หวังผลจากวัตถุ
เล็กไปก็มองไม่เห็น
ไกลไปก็ไปไม่ถึง
คนหายก็หาไม่เจอ
อยากได้อะไรก็ไม่สมหวังดังปรารถนา
ติดอยู่ภายใต้กฏของธรรมชาติ
เมื่อถึงเวลาต้องชดใช้กัน
ตายก็เกิดทันที
ความรู้แจ้งเห็นจริงในสภาวะธรรม จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เราหลุดพ้น จากโลกสมมุตินี้ได้ และจิตวิญญาณดวงนี้
จะเป็นอิสระจากเครื่องร้อยรัด ที่ทำให้สัตว์ยังต้องวนเวียนอยู่ในวงจรเมทริกซ์ เวลาของจิตจะหยุดนิ่งและไร้กาลเวลา เราเรียกสิ่งนี้ว่า"นิพพาน"
ข้าพเจ้าได้สดับฟังมาแล้วอย่างนี้ : จิต มโน วิญญาณ : "ก็ถ้าว่าบุคคลย่อมไม่คิดถึงสิ่งใดด้วย ย่อมไม่ดำริถึงสิ่งใดด้วย และย่อมไม่มีจิตฝังลงไปในสิ่งใดด้วย ในกาลใด ในกาลนั้น (ปัจจุบันธรรม) สิ่งนั้นย่อมไม่เป็นอารมณ์เพื่อการตั้งอยู่แห่งวิญญาณได้เลย เมื่ออารมณ์ไม่มี ความตั้งขึ้นเฉพาะแห่งวิญญาณย่อมไม่มี เมื่อวิญญาณนั้นไม่ตั้งขึ้นเฉพาะ ไม่เจริญงอกงามแล้ว เครื่องนำไปสู่ภพใหม่ย่อมไม่มี เมื่อเครื่องนำไปสู่ภพใหม่ไม่มี การมาการไปย่อมไม่มี เมื่อการมาการไปไม่มี การเคลื่อนและการบังเกิดย่อมไม่มี"
สูตรลัดสั่นๆ เกี่ยวกับ จิตมโนวิญญาณ ในพระไตรปิฎก พุทธวจน.
หมายเหตุ : อารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณขันธ์👻จิตวิญญาณเป็นธาตุรู้อารมณ์ฯ
@การให้ธรรมะชนะการให้ทั้งปวงฯ และการรับธรรมะก็ชนะการรับทั้งปวงเช่นเดียวกัน
#ฆราวาสก็บรรลุธรรมได้ #อริยสัจ #สัมมาสติ #มหาสติปัฏฐานสูตร #ฌานสูตร #จิตมโนวิญญาณ #พระพุทธศาสนา #เซน #เจโตวิมุติ #ปัญญาวิมุติ #จิตเหนือโลก #ปฏิจจสมุปบาท #หยุดคิดปรุงแต่งอย่างสิ้นเชิงฯ #ความคิดคืออวิชา #วิญญาณธาตุรู้อารมณ์ #อัตราเจตนาตัณหา #ผู้ไม่มีความหวั่นไหวและไม่ถือมั่น #เมื่อเราไม่มี #จิตหลุดพ้น
การเดินตามรอยพระพุทธองค์ เป็นผู้ที่ได้พบกัลยาณมิตรครับ สาธุครับ☺️
@sunflower-ny4we อย่างนั้นคุณยังโง่อยู่ที่คิดว่าความว่าคงจะอยู่ตลอดไป นั่นเป็นความคิดที่ว่าตัวเองคิดถูกเสมอ นอกจากพระพุทธเจ้าแล้วไม่มีคำสอนของอาจารย์ไหน
เป็นคำสอนที่ถูกต้องที่สุด ส่วนมากถ้าศึกษาไปจะเห็นความย้อนแย้งในตัวมันเอง อย่างเช่นที่คุณว่าคนที่คิดว่าตัวเองคิดถูกเสมอ นั่นก็รวมตัวคุณเข้าไปด้วย🤔
@sunflower-ny4weคุณยังโง่อยู่เยอะเลย..ขอถามหน่อยว่าอะไรบ้างที่เป็นของจริง..รูปทั้งหลายนามทั้งหลายล้วนแต่เป็นอนัตตาทั้งนั้น..
@sunflower-ny4we
แต่ก็มีนักวิทหลายคนนะคับ ที่ไม่ได้เชื่อเรื่องพระเจ้า
เพราะเขาพิสูทไม่ได้เลย
ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างจริงๆหรอ
ทีมงานท่านผู้บรรยาย
คงทำงานหนักมากกว่าจะเรียบเรียงหลายอย่างมาประกอบกัน
เพื่ออธิบายให้ผู้คนรับฟัง เข้าใจในสิ่งที่ผู้บรรยายอยากสื่อสาร
ขอบคุณมากนะครับ
สุดยอดครับ สนุกมาก และมันคือความจริงครับ🎉
ตื่นรู้อีกครั้ง ขอบคุณครับแอด😊😊😊
อยากแชร์ไว้ ตรงไหนสักแห่ง เอาตรงนี้เลยแล้วกัน
..... ตื่นรู้ เท่ากับ (=) ตรัสรู้ ....และทั้งหมดทั้งมวล คือ ความว่างเปล่า .... เพิ่งคิดได้ตอนฟังคลิปของช่อง 😊😊😊😊
ยอดเยี่ยมกระเทียมเจียว ขอบคุณที่สร้างสรรขี้นมาครับ 🎉🎉🎉❤
พระพุทธศาสนา คือ ศาสนา ที่ดี ที่สุดของ โลก นั่น คือ เรื่องจริง ที่ได้รับ การ ยกย่องสรรเสริญ ยอมรับ จาก คนชั้นสุง ต่าง ศาสนา ทั่วโลก และ ที่สำคัญ ที่สุด คือ อัลเบิร์ตไอสไตร์ นักวิทยาศาสตร์ เอกของโลก ชาวยิว ผู้มี มันสมอง อัจฉริยะ ที่สุดในโลก ยอมรับ พระพุทธศาสนา คือ ของจริง เขา เป็น ชาวยิว ยังยอมรับ ชาวยิว รู้จัก เปิดใจ ยอมรับความจริง ยอมรับว่า พุทธศาสนา คือ ศาสนา วิทยาศาสตร์ มหาศาสดาโลก. เขายอมรับความจริงได้ ทั้งนั้น เพราะมันคือเรื่องจริง ครับ🇹🇭🇮🇱🙏🙏🙏
ไม่มีความบังเอิญในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็เห็นสิ่งนี้เป็นกฎอันเดียวกันในอดีตหลายแสนชาติของท่าน เหมือนหนึ่งชาตินี้ของเราจำได้หมดแล้วอีกหลายแสนชาติข้างหน้า เกิดใหม่เราก็ยังจำชาตินี้ได้ด้วยสติ สมาธิและปัญญา หรือจะเรียกเหมือนพุทธศาสนาว่า กฎแห่งกรรม ธรรมะ จิตว่าง ก็ได้😊
ความบังเอิญ คงไม่ใช่แน่นอน รู้ความมาที่หลัง บอกว่า ท่านที่รู้ก่อน เป็นความบังเอิญ ของความรู้ที่เรารู้วันนี้ ฉลาดจริง !เนาะ
เจอปั้บตามตามเลยคะชอบสารคดีแนวนี้
สิ่งที่พุทธเจ้านำมาสอนเปรียบ เป็นแค่ใบไม้แค่กำมือเดียว เมื่อเทียบกับทั้งป่า ใบไม้กำมือเดียวที่ทำให้เใจไร้ทุกข์ เราไม่ต้องเรียนรู้ใบไม้ทั้งป่า แค่ใบไม้กำมือเดียวที่พุทธเจ้านำมาสอน ใจไร้ทุกข์ มีความสุขกับปัจจุบัน ไม่กังวล เรื่องอนาคต เรื่องในอดีต อยู่กับปัจจุบัน สงบ เย็น และเป็นประโยชน์
เริ่มออกจากสังคมตั้งแต่ 3ปี ที่แล้ว และปีนี้ได้ตัดจากทุกอย่างจนรู้สึกว่าชีวิตเคว้งมาก ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว เหงาเปล่าเปลี่ยวมาก ไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิตต่อไป 😔🤍🕊
หาจากเหตุ และผลของวันนี้
เหตุที่เลือกตัด และผลที่เคว้งคว้าง
ไม่แปลกใจเลยในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ แต่แปลกใจว่า พระพุทธองค์ ทรงรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร มันซับซ้อนมาก เกินกว่าคนปกติทั่วไปจะเข้าใจได้ง่ายๆ ผ่านไป 2500 ปี ยังไม่มีไครสามารถมาหักล้างคำสอนพระองค์ได้เลย เหลือเชื่อจริงๆ
ไม่เห็นต้องงง ก็คนแต่งเรื่องนี้ขึ้นมาตอนยุคปัจจุบันนี่แหละ แต่งเพื่อให้เรื่องราวมันดูเหมือนพระพุทธเจ้าเป็นผู้มหัศจรรย์
@@yingying1316 เรื่องปาฏิหารย์ ไม่เกี่ยวเลย ในพระอภิธรรม ไม่มีเรื่องแบบนี้ มีแต่ทฤษฎีและหลักปฏิบัติ เรื่องที่แต่งขึ้น มีแต่ใยพุทธประวัติ คนที่ศึกษาจริงจังจะรู้
@@MegaWinyoo ผมโอเครกับคำตอบคุณนะ... และจากการศึกษาเชิงลึก สิตธัตถะ มีความอัศจรรย์ในคำพูดและคำสอนอยู่นะ เพียงแค่ว่า คำสอนและคำสั่งสำคัญๆ คนพุทธยุคหลังกลับไม่ให้ความสนใจ และมุงไปที่คำสั่งห้ามของ สิทธัตถะแทน คือ การยึดติด ชาวพุทธยุคหลัง เน้นไปยึดติดกับตัวบุคคลคือ สิทธัตถะ การยึดติดตรงนี้ มันเป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลงและตัด บางส่วนของคำสอน คัมภีร์พระไตรปิฏกจึงต่างออกไปจากต้นฉบับ การสังคายนา ว่า ด้วยเรื่อง ปรับเปลี่ยนคำสอนให้สอดคล้องกับยุคสมัย ผมไม่เข้าใจ ชาวพุทธทำสิ่งนี้ไปทำไมและเพื่ออะไร ถ้าคำสอนของสิทธัตถะที่คุณบอกว่าไม่มีใครสามารถหักล้างได้ และ คำสอนที่คุณหมายถึง คือ คำสอนไตรปิฏกปัจจุบัน ... ผมแย้งครับ ข้อที่จะเอามาหักล้างและตั้งคำถาม มันมีเพียบครับ แต่มันก็ใช่เรื่อง ที่ผมจะไปแสดงออกว่าผมตั้งใจแน่วแน่ที่จะมาถามสงสัย แล้วให้ชาวพุทธมาชี้แจง ... เพราะการชี้แจงมันจะมาในลักษณะทัศนคติความเชื่อ ของผู้อธิบายและชี้แจง ซึ่งขอเดาว่า เราไม่น่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ ทั้งสองฝ่าย แค่แวะมาทักทาย ... และ อยากบอกว่าคำสุดท้ายที่คุณทิ้งไว้ ทัศนคติของผมที่ผมเห็นคือ ไม่เห็นด้วยครับ และ ไม่ได้หมายความว่า ผมจะเข้ามาให้คุณท้าผมพิสูจน์ เพราะผมผ่านตรงนั้นมาไกลแล้วครับ ไม่จำเป็นที่ผมจะต้องไปทำซ้ำ ... ผมไม่ชอบเม้นท์ที่คุณแขวนเอาไว้ แต่ก็ชอบเม้นท์ที่คุณตอบ
@@yingying1316 คุณยังไม่ได้ศึกษาศาสนาพุทธให้ถึงแก่นแท้ มีอวิชชาคือความไม่รู้ ที่จริงแล้วพุทธศาสนา ไม่ได้สอนให้ต้องยึดติดตัวบุคคลใดๆทั้งสิ้น นอกจากยึดคำสอนธรรมมะ เป็นสรณะ ให้รู้ว่าทุกอย่างในจักลวาลนี้ ไม่เที่ยง มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมดา เพื่อให้ปล่อยวางและเข้าใจสิ่งที่มันมีจริงอยู่ในโลกนี้อยู่แล้ว
@@yingying1316 ศาสนาพุทธ สอนให้รู้ถึงเรื่องกรรม คือการกระทำ และผลของกรรม ก็คือผลของการกระทำ ไม่มีใครมาดลบันดาลให้เราเป็นแบบนั้นแบบนี้ ทุกอย่างมันอยู่ที่การกระทำของเราเป็นหลัก คิดดีก็ได้ผลของการคิดดี คิดชั่วก็ได้ผลของการคิดชั่ว ไม่ช้าก็เร็วได้รับผลแน่นอน
นิพพานน่าจะเป็นสสารมืดมากกว่า คือสภาพนิพพานไม่มีกว้าง ยาว ลึก สว่าง มืด (ไม่มีทุกอย่างที่อายตนะเราสัมผัสได้เลย) เชื่อมต่อกันทั่วไม่มีขอบเขต ดังนั้นไม่มีเวลา แม้จิต(วิญญาณ)จะไปคิดสิ่งใด(สัตตาหรือผู้ยึดติด) ก็ยึดจับได้หมด ดังนั้นนิพพาน(หมดอวิชชาแล้ว)หรือผู้ยึดติด(ยังมีอวิชชา) จึงละเอียดแทรกทุกที่ในตังเราถึงจักรวาล เหมือนสสารมืด ที่หาตัวตนไม่ได้แต่รู้ว่ามันมีอยู่และเป็นส่วนใหญ่ของระบบจักรวาลนี้
มั่วมาก 555
คุณไม่รู้อะไรเลยแล้วยังมั่วสุดๆอีกด้วย..อยากรู้เรื่องพระนิพพานนั้นแนะนำให้ฟังคิริมานนทสูตรครับแล้วคุณจะหายโง่เอง
ไม่น่าบังเอิญ การรู้ทั่วโลกธาตุนี้ แต่ไม่สามารถที่จะอธิบายให้คนในยุค 2500 ปี เข้าใจได้ ทรงตัดสินพระทัยแล้วตัดสินพระทัยอีกว่าจะสอนดีไหม แต่ทรงเห็นว่าบัวมีหลายเหล่าย่อมมีคนเข้าใจ ทั้งฟิสิก ชีวะ เคมี และกฎธรรมชาติจึงทรงเรียกรวมว่า "ธรรมมะ" ที่แปลว่า "ธรรมชาติ" สิ่งที่พระองค์สอนอยู่คือกำลังอธิบายการทำงานของธรรมชาติ ทั้งแบบนามธรรม และ รูปธรรม
เยี่ยมครับ..คุณเป็นนักปราชญ์ได้สบายๆเลย
คนอธิบาย ช่างอ่านได้คล่องมากๆ แต่จิตใจ ห่างไกล !
เนื้อหาดี 👍 แต่อยากให้พูดจับจังหวะเพื่อเน้นความหมายจะดีมากๆ🙏🙏
จิตคือธาตุรู้ เกิดกับตลอด จิตไม่เวียนว่ายตายเกิด สัตตานังเป็นผู้เวียนว่ายตายเกิด จิตเป็นนาม มีอยู่ทั่วเอกภพ มีทุกอนูของเอกภพ มนุษย์หนึ่งคนไม่ได้มีจิตเดียว เช่น เราตบมือ ตัวนี้จิตเกิดขึ้นมีอาการรู้ว่าตบมือ มือเราหยุดตบมือ จิตที่รู้ว่าตบมือได้ดับไปแล้ว แต่มีจิตที่เกิดใหม่คือจิตที่รู้ว่าหยุดตบมือเกิดขึ้น เป็นต้น จิตเป็นสิ่งเกิดดับตลอดเวลา ตลอดวันตลอดคืน
เมื่อตายจิตจะรู้อะไรต่อ ถ้าเห็นจิตเกิดดับตายแล้ว จิตจะไม่เกิดอีกไหม
@@ธนวรรณอิ่ม ความเจริญงอกงามของจิตมีด้วยเหตุปัจจัยคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร "การมา การไป จุติ อุบัติ ความเจริญงอกงามแห่งวิญญาณ เว้นจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้" เมื่อตายไป จิตรู้(คิด)ถึงสิ่งใด สิ่งนั้นจะเป็นอารมณ์ที่ตั้งแห่งภพ 1จิตเปรียบเหมือนเมล็ดพืช 2พืนนาหรือกรรม เปรียบเสมือนภพ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร) น้ำคืออำนาจความเพลิน เมื่อครบองค์ประกอบ จึงมีการจุติ อุบัติ เป็นสัตฯ ในภพภูมิใหม่
@@ธนวรรณอิ่ม เหตุปัจจัยที่จิตจะไม่เกิดอีก เป็นกรณีของสัตฯอรหันตบุคคล เมื่อละสังขาร ความเพลินพอใจใน รูป เวทนา สัญญา สังขารนั้นไม่มีแล้ว เมื่อทำกาละ(ตาย) สัตฯไม่เพลิน ขันธ์5 เหตุปัจจัยให้เกิด จิต คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร การจุติ อุบัติ ในภพใหม่นั้นไม่มีอีกต่อไป นี้คือนิพพาน หรืออสังขตธรรม ....เหตุปัจจัยอะไรให้สัตเบื่อหน่ายคลายกำหนัดความเพลินพอใจในขันธ์จนไม่เหลือเชื้อที่ตั้งแห่งภพใหม่?
เมื่อใดที่จิตรู้ทุกข์เห็นทุกข์จนแจ้งแล้ว
จิตนั้นจะไม่อยากเกิดอีก เพราะรู้ว่าเกิดแล้วทุกข์😊
@@niranpharkphakorn4454 จิตรู้ไม่อยากเกิด ความไม่อยาก เป็นตัณหา ต้องมาเกิดอีก เพราะมีตัณหา จิตมันทำงานตลอด ให้เห็นแค่การทำงานของจิต เมื่อมันเกาะอารมณ์ใด ให้ดึงจิตมารู้ลมหายใจเข้าออก (อานาปานสติ) ทำแบบนี้เรื่อยๆ เกิดเป็นอนุสัยความเคยชิน จิตจึงเกิดความจางคลายในขันธ์ เมื่อตายจากโลกนี้ การเกิดในภพอื่นก็ไม่เกิดอีกต่อไป
เคยอ่านหนังสือเล่ม มีบทความเถียงกันว่า หากไม่มีมนุษย์ก็ไม่มีดวงจันทร์ ? ตอนนี้ผมได้คำตอบแล้ว ขอบคุณครับ
พระพุทธองค์ ไม่ใช่นักฟิสิกส์โดยบังเอิญ พระองค์ทรงรอบรู้ แต่ทรงไม่พูด เพราะพระองค์ทรงเห็นว่า ไม่มีประโยชน์
ขอบคุณ
ขอบคุณ
ขอบคุณ
สาธุ ❤
สาธุ❤ สาธุค่ะ❤
การสื่อสารระหว่างวัตถุ จะเร็วกว่าแสงไม่ได้ครับ
ไม่มีอะไรมีความเร็วกว่าแสง
นี่คือกฏ
ขอบคุณครับ คลิปนีี้ได้ความรู้มากเลยครับ
ไอสไตล์ยังยอมรับศาสนาพุทธเลยครับ
พระพุทธเจ้าพยายามบอกพวกเรามานานแล้วเรื่องความไม่มีอยู่จริงของสิ่งที่เราเห็นว่ามันมีอยู่
จริงๆแล้วที่เรารับรู้นั้นคือการสั่นสะเทือน ถ้าหยุดสั่นสะเทือนก็เหลือแต่ความว่างเปล่า อย่าลืมความจริงแล้วสิ่งเล้าภายนอก
จะไม่เกิดผลกับเราเลยถ้าเราไม่รับมันมาสั่นสะเทือนภายในของเรา เมื่อไม่สั่นสะเทือน และแล้วมันก็ว่างเปล่า เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าพยายามบอกพวกเรา ทุกอย่าขึ้นกับตัวเราไม่ใช่คนอื่น หยุดสร้างก็ว่างเปล่า☺️
เป็นธรรมที่คมและลึกซึ้งมากครับ..👍👍👍
เรืองของธรรมมะต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง
เรื่องของวิทยาศาสตร์สามารถแสดงให้ชัดเจนด้วยเครื่องมือ
ผู้อื่นสามารถเข้าถึงได้ง่าย
ถ้าลองทำตามโดยไม่ต้องอาศัยความเชื่อนะเห็นผลเหมือนคำที่พุทธเจ้าบอกเลย ต่างจากศาสนาอื่นที่ต้องเลื่อเสียก่อน
ธรรมะก็คือวิทยาศาสตร์ของจักรวาล..ธรรมะก็คือกฏความจริงของธรรมชาตินั่นเอง..ธรรมะคือวิทยาศาสตร์..วิทยาศาสตร์คือธรรมะ..
ขอบคุณมากค่ะ❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤
อนุภาคในจักรวาลมีได้หลายสถานะไม่ว่าจะเป็นคลื่นหรืออะไรก็ตาม จนมันกลายเป็นอนุภาคที่มีทิศทางที่แน่นอน ก็ตอนที่เราเข้าไปสังเกตุมัน สิ่งนี้ในทางพุทธศาสนาเราเรียกมันว่า "เจตนา" ซึ่งก็คือเหตุแห่งการกระทำ ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ มันกลายเป็นอนุภาคที่เป็นไปในทิศทางที่แน่นนอนตามแรงแห่งเจตนา ซึ่งในทางพุทธศาสนาเราเรียกมันว่า ผลแห่งกรรม ผลแห่งการกระทำ ผลที่ตามมา ซึ่งมันก็คือ กฏแห่งกรรม กฏแห่งธรรมชาติที่เกิดขึ้นนั่นเอง ซึ่งมีอยู่ในสังสารวัฏฏะนี้ ที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ เมื่อ 2500 ปี ที่ผ่านมา หรือในทางวิทยาศาสตร์เรียกมันว่า "ทฤษฎีควอนตัม"
แต่ถึงกระนั้น สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงแค่ ใบไม้ทั้งป่า ที่พระพุทธองค์มิได้ทรงให้สาระอะไร มีแค่ใบไม้ในกำมือเท่านั้น ที่พระพุทธองค์ได้ทรงนำมาสั่งสอน เพื่อให้เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้หลุดจากวังวนแห่งทุกข์เหล่านี้
พระสัพพัญญุตญานนั้นไร้ขอบเขต เหล่าสัตว์ที่ยังมีกิเลสหนา ปัญญาเขลา จึงมิอาจจะเข้าใจได้ เริ่มแรกทรงตรัสรู้ใหม่ๆ เพราะทรงทราบว่าหลักธรรมเหล่านี้ละเอียดซับซ้อนและลึกซึ้งยิ่ง จึงทรงท้อพระทัยที่จะสั่งสอน แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธองค์ จึงทรงยอมเหน็ดเหนื่อย ที่จะพาเหล่าสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ไปด้วยกันกับพระองค์❤❤❤❤❤❤❤❤
สรุปความรู้คือสิ่งสำคัญ คนเราต้องศึกษาเรียนรู้ต่อไป ในทางพุทธหรือทางวิทย์ อย่าเชื่อจนกว่าจะพิสูจน์ให้สำเร็จ ปัตเจตตังเวทิติโพวินยูเหติ ส่วนทางวิทย์พิสูจสร้างเครื่องควอนตัม
คงมีแต่ผมมั๊ง ที่ยิ่งฟัง ยิ่งงง ยิ่งอธิบาย ยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งฟังคำอธิบายเปรียบเทียบ ยิ่งเห็นว่า ไม่มีอะไรที่เป็นความจริงในโลกของควอนตั้ม ควอนตั้มไม่สามารถอธิบายอะไรได้ และมนุษย์ก็สามารถคิดเอาเองได้ว่านี่คือควอนตั้ม ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือเลว มนุษย์ก็สามารถยืนยันว่านั่นคือควอนตั้ม สรุปตามความคิดที่ความฉลาดน้อยของผม อะไรที่เกิดขึ้น สามารถนับว่านั่นคือควอนตั้มได้
พุทธศาสตร์สามารถอธิบาย
วิทยาศาสตร์ได้.แต่ใครจะเข้าถึงจุดนี้ได้ ไอน์สไตน์ เคยกล่าวถึงศาสนา แห่งจักรวาล ที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่สุด ก็คือพุทธศาสตร์
ถูกต้องที่สุด
ทริป 5-meo-dmt ช่วยได้มาก ถ้าใครอยากเข้าถึงสิ่งนี้ แบบเดียวกับที่ พระพุทธเจ้า ไปถึง แนะนำให้ไป 2เดือน ครั้ง
…
ขอบคุณครับ ติดตามครับ
ชอบมาก Wow! 🔥✨🍷🤟✨🍷✨🔥
❤ เห็น ❤รู้❤ต่างกัน❤เห็นแจ้ง..ใช่❤🎉🎉🎉🎉
ชอบมากๆครับ แจ่มแจ้ง
สาระดีมาก อธิบายได้ดีครับ
อีกเรื่องหนึ่งตอนเรียนวิชา ศาสนาครูได้กล่าวถึงศาสนาพุทธว่าพระพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่าในอนาคต เราจะสามารถคุยกันได้เห็นหน้ากันได้แม้อยู่คนละที่ สมัยนั้นเป็นเด็กเลิกเรียนกลับมายังมาเถียงกับเพื่อนว่า อาจเป็นโทรศัพท์ ผมจึงแย้งไปว่ามันไม่เห็นหน้า อาจเป็นโทรทัศน์ แต่มันก็คุยกันไม่ได้อยู่ดี เมื่อได้เรียนมหาลัย เพื่อน Video Call ผ่าน QQ มา ผม เข้าใจ ในสิ่งนั้นทันที
❤❤❤ยอดเยี่ยม
ไม่มีความบังเอิญ แต่ในสมัยพุทธกาล ไม่เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ฟิสิกส์ควานตัม
ขอบคุณค่ะ น่าคิดๆ
ขอบคุณครับ
ขอบครับ ชอบมาก
วิทยาศาตร์ยิ่งก้าวหน้ามากเท่าไหร่ จะยิ่งเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้ามากขึ้น ควอนตัมค้นพบความลับของนามธรรมทั้งหลายของจักรวาล พระพุทธเจ้าเป็นนักวิทยาศาตร์แห่งจิตซึ่งละเอียดและลึกซึ้งกว่ามาก
ทุกสิ่งทุกอย่าง จะอิงอาศัยกัน จึงเกิดขึ้น
พุทธศาสนา
..
ชอบตอนจบมากเลยแอดพูดได้ดี
ขอบคุณคะๆๆ❤
ในทางพุทธศาสนา , ท่านเทศน์ เรื่อง ปัจจญากา ทุกสิ่ง เกิดขึ้น จากการ พึ่งพา อาศัย โดยไม่มีอะไร ที่เป็นของเรา จิต เราเป็นเพียงผู้อาศัย
ส่วนมาก ที่เห็นกันอยู่ , จะยกเรื่อง รถ มาแสดง เช่น รถยนต์ , ที่ประกอบไปด้วย สิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน ประตู , โครงสร้างของรถ , กระจก , ลูกสูบเครื่องยนต์ แบตเตอรี่ แผงวงจร ฯลฯ และสิ่งเหล่านี้ ต้องทำงาน อาศัยซึ่งกันและกัน เรียกว่า ปัจจญาหาร ,
ทุกสิ่ง ล้วนเป็นเพียง ภาพมายา , ไม่รู้ ตัวตน ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียง สิ่งสมมุติ ,
"อ้างอิง พุทธวจน, คำเทศนา ของพระพุทธเจ้า"
--
-__-" ท่าน จบ ทั้ง 3 โลก รู้เห็น ด้วยญาณ แล้วนำมาบอก, ถ้า ในยุค เมื่อ 2,600 ปีก่อน ท่านบอกว่า
"ดูหร ภิกษุทั้งหลาย ทุกสิ่ง เป็นเพียงภาพมายา ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงสิ่งสมมุติ , เกิดจาก อะตอม ที่ไปสัมผัส กับพลังงาน ของวัตถุ ทำให้เกิด ความรู้สึกถึงพลัง งาน ทำให้ เราเชื่อว่า เรา สัมผัส มัน"
-__-" ใครจะเข้าใจ
🎉ซาร์ -หลู้ -เต้🎉....SALUTE....
แด่...สุขขะภาพฯ
เที่ยงตรงเหนือกาลเวลาฯ ..NOON NIRANDON.
..✊..🌏🌈🌟ขอน้อม🙇♀️กราบ🙏🙏🙏สาธุ สาธุ สาธุค่ะ🧎♀️ *ปล.🙇♀️🙏ขอบคุณมากๆๆๆๆนะค่ะ👻⚰✌..🖐..
อันนี้บอกสำหรับคนที่หลุดมาอ่านก่อนนะครับว่าผมไม่ได้จะมาลบหลู่ความเชื่อทางพุทธศาสนาแต่อย่างใด ผมแค่จะมาซัดข้อมูลของควอนตัมฟิสิกส์จริงๆที่มันไม่ได้เอามาใส่มั่วๆเหมือนคลิปนี้ครับ บอกก่อนเลยว่าข้อมูลที่ผิดมานั้นมีเต็มไปหมดครับ แต่ผมจะมาซักแค่ที่ๆเห็นมาได้ชัดนะครับ
1. ควอนตัมฟิสิกส์คือฟิสิกส์ที่นำมาใช้กับปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในขนาดที่เล็กระดับอะตอม ดังนั้นหลายอย่างที่คลิปนำทฤษฎีควอนตัมเค้าไม่เอามาใช้กับวัตถุที่มนุษย์สัมผัสหรือรู้สึกได้เหมือนในคลิปครับ เราใช้ฟิสิกส์คลาสสิคกับของที่เราสัมผัสปกติและใช้ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปกับจักรวาลครับ
2. แสงกับอิเล็กตรอนเป็นคนละอย่างกันครับ คุณจะเอาผลการทดลองที่เกิดกับแสงคือโฟตรอนกับอิเล็กตรอนซึ่งเป็นอนุภาคมูลฐานคนละตัวมารวมกันไม่ได้นะครับ
3. ควอนตัมไม่สามารถอธิบายจิตสำนึกของคนได้เพราะมันไม่ได้เอามาอธิบายเกี่ยวกับมนุษย์ครับ ต้องเอาการทำงานของสมองมาอธิบายเกี่ยวกับจิตใต้สำนึกของมนุษย์ครับ
ผมขออธิบายแค่นี้นะครับ ใครหลุดมาอ่านแล้วจะมาถามหรือด่าก็เชิญเต็มที่ครับ
พุทธไม่ใช่ความเชื่อครับพุทธคือธรรมชาติคือความจริงความมีเหตุผลไม่งั้นทำไมถึงต้องมีกาลามสูตร 10
ผมหยุดอ่าน
และเข้าใจว่ามันยาก ที่จะอธิบาย ทุกๆสิ่ง ว่ามันคือ ธรรมชาติ มันคือสิ่งเดียวกัน การหยุดดู ว่าตัวเองไม่มีมันยังยากเลย
สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ยัง ไม่เข้าใจเหมือนเดิม
ความหมายในคลิปที่ควอนตัมอยากอธิบายคือ สสารทั้งหลายล้วนว่างเปล่า สิ่งที่เราสัมผัสใด้เกิดจากการรวมตัวกันของอะตอม ตรงกับพระพุทธศาสนาทีว่า สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นอนัตตาไร้ตัวตนที่แท้จริงคือประกอบกันขึ้นจากเหตุและปัจจัย
@@Hiran-n3c อันนี้ผมจะอธิบายตามความรู้ที่มีนะครับ ไม่พอใจยังไงก็ขออภัยด้วยนะครับ ผมเข้าใจตามหลักพุทธศาสนาในเรื่องทุกสิ่งนั้นเกิดจากความว่างเปล่านะครับ พอจะเรียนมาบ้างไม่มากก็น้อยและเปิดฟังความคิดเห็นทั้งหมดครับ แต่ถ้าพูดในทางควอนตัมฟิสิกส์จริงๆคือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีความว่างเปล่าในจักรวาลนี้ ในจักรวาล4 มิติที่เราอยู่ อะตอมที่ในคลิปบอกว่ามีความว่างเปล่าแท้จริงมันเต็มไปด้วยคลื่นของอิเล็กตรอนวนรอบนิวเคลียสครับ ไม่มีช่องว่างอย่างที่ในคลิปพูด และถึงจะอยู่ในสถานะสูญญากาศมันก็มีคลื่นพลังงานของอนุภาคมูลฐานเต็มไปหมดครับ ผมไม่มีปัญหากับการที่จะเผยแพร่หลักคำสอนของพระพุทธองค์หรอกครับ แค่ไม่อยากจะให้บิดเบือนกฎฟิสิกส์เพื่อที่จะทำให้หลักคำสอนของพระพุทธองค์ดูน่าเชื่อถือขึ้น มันจะทำให้คนที่มีความรู้ในวิทยาศาสตร์ยิ่งไม่เชื่อเข้าไปใหญ่ครับ คำสอนของพระองค์มันดีโดยที่ไม่ต้องพึ่งปัจจัยภายนอกอย่างวิทยาศาสตร์ที่มันเป็นวัตถุที่มนุษย์สามารถสัมผัสหรือตรวจสอบได้หรอกครับ
ความว่างศูนย์ตา.ว่างเปล่าคือซากศพ🙇
#ศาสนาพุทธ
พระธรรมคือพระพุทธ
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา
ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
หลักสำคัญของพระพุทธก็คือกฏแห่งกรรม
ให้หวังผลจากการกระทำ
อนัตตาจึงเป็นหัวใจของพระพุทธ
อริยสัจสี่ - อมตะธรรม
ต้องไปศึกษาเรื่องจิตให้ดี วิถีจิต เจตสิกจิต อัญญาสมานเจตสิกจิต มหาปัฏฐาน สรรพจิตสาธารณะ กุศล อกุศลจิต มหัคตตาจิต ยุคลธรรม สมาธิจิต สติฯลฯ
ขอบคุณมากครับ!
ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่มีตัวตน nothingness เพราะไม่มีอะไรที่สามารถมีตัวตนได้ เป็นแค่จุดเล็กๆมารวมกันก่อให้เกิดสิ่งต่างๆ อันนีเข้าใจละ
แต่อยากรู้ว่า แล้วตัวที่ต้นกำเนิดแรกที่ทำให้เกิดการวนลูปแบบนี้มันเกิดขึ้นมายังไง แต่ก็นะเคยได้ยินมาว่า หาต้นชนปลายไม่ได้เพราะมันเยอะเกินไป พอหลุด/ดับไปแล้วจะยังไงต่อ
รอเรื่องนี้มานานมาก อ่านเกี่ยวกับควันตั้มอยู่
ไม่บังเอิญค่ะ การสื่อสารและการแปลงสาส์นที่แตกต่างตามยุคสมัย ต้องศึกษาทั้งพุทธศาสนาและฟิสิกส์แบบองค์รวมทั้งหมดแล้วใช้จินตนาการถึงจะเข้าใจได้ ปัจจุบันกฎฟิสิกส์ยังพิสูจน์ทฤษฎีบางอย่างไม่ได้ แต่ก็รู้ว่ามีเพราะมีตัวแปรที่ไม่แน่นอนเกิดขึ้นแต่อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ละเอียดพอที่จะจับได้
การพิสูจน์ศาสนาพุทธ จะต้องพืสูจน์ด้วยการไม่คิด ถ้าคุณห้ามความคิดได้คุณก็จะพิสูจน์ได้ แต่ถ้าคุณยิ่งคิดก็จะยิ่งห่างไกลจากการพิสูจน์
กว่าพระพุทธเจ้าจะค้นพบความจริงทางจิตวิญญาณ ก็ใช้เวลาค้นค้วาทดลองถึง 6.ปี เช่นเดียวกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์
ชอบดูครับ 😂😂😂😂😂
ร่างกายและจิตใจ
ท่านสอนให้พิจารณา โดยความเป็นธาตุ ธาตุ4 ธาตุว่าง ธาตุรู้
พุทธ = วิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์ = พุทธ
ถูกต้องที่สุด
ขอถามชื่อหนังสือเล่มนี้ได้ไหมคับ
ไม่ใช่โดยบังเอิญ พระองค์รู้แจ้งเห็นจริง รู้จริงต่างหาก
...การตั้งอยู่ของธาตุแห่งไกวัลยธรรม
สิ่งที่เรียกว่า "ธาตุแห่งไกวัลยธรรม" มีการตั้งอยู่โดย "ไม่มีการตั้งอยู่" เพราะว่า มันไม่มีการเกิดขึ้น และไม่มีการดับไป มันไม่แสดงอาการ ของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป อย่างสิ่งที่เป็นสังขตธรรม ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว และโลก ที่เราอาศัยอยู่ มันตั้งอยู่ใน กฏของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แต่ไกวัลยธรรม เป็นสิ่งที่ไม่มีการตั้งต้น จึงไม่มีการสิ้นสุด เป็นลักษณะแห่งความมี ของสิ่งๆหนึ่ง ซึ่งมีได้โดย "ไม่มีการตั้งต้นของความมี และไม่มีการสิ้นสุดของความมี" เรียกว่า "ความมี" ชนิดที่เป็นความมีของธาตุ ชนิดหนึ่ง.
"ความมี" ของธาตุชนิดนี้ เป็นสิ่งที่ไม่อาจกำหนดได้ ด้วยมาตราชั่งตวงวัด อย่างที่ฝ่ายมหายาน เรียกว่า "อมิตาภะ" มีแสงสว่างที่ตวงไม่ได้ วัดไม่ได้ คำนวณไม่ได้ และ "อมิตายุ" มีอายุที่วัดไม่ได้ คำนวณไม่ได้.
การสนใจทำความเข้าใจในธาตุ แห่ง "ความมี" ด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมเป็นทาง นำให้เข้าถึง สิ่งที่เรียกว่า "โลกุตตรธรรม" หรือ "อสังขตธรรม" ได้โดยง่าย.
ความมีอยู่จริง
ของธาตุที่เป็นไกวัลยธรรม
ความมีอยู่ของสิ่งทั้งปวงที่ปรากฏ เป็นสิ่งที่มิได้มีอยู่จริง หรือมีอยู่แต่ไม่จริง เพราะวันหนึ่ง จะต้องแตกดับศูนย์หายไป แม้ดวงอาทิตย์ที่มีอายุ นับด้วยล้านๆปี ในที่สุด ก็จะถึงวาระแห่งความไม่มี แต่ว่า ความมีอยู่แห่งสิ่งที่เรียกว่า "ธาตุ" ซึ่งเป็นไกวัลยธรรม เป็นสิ่งที่ "มีอยู่จริง" ตลอดกาล โดยไม่เปลี่ยนแปลง เป็นอย่างอื่น.
โดยเหตุที่ "ธาตุแห่งความมี" จักหาพบได้จาก "ธาตุแห่งความไม่มี" ในเมื่อความมีเป็น "หนึ่งเดียว" ฉะนั้น ความไม่มีย่อมมี "มากมาย หลายสิ่ง" เพราะตรงข้ามกัน ในความหมายนี้ ทำให้กล่าวได้ว่า "สิ่งเดียวในทุกสิ่ง และ ทุกสิ่งในสิ่งเดียว" ดังนี้.
ธาตุแห่งความไม่มีนั้น ตั้งอยู่ในฐานะที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อกำหนดดู ตามอาการ ของการปรุงแต่ง ย่อมจำแนกออก ได้อย่างมากมาย นับไม่ถ้วน เช่น ดีชั่ว บุญบาป สุขทุกข์ หญิงชาย เป็นต้น แต่ถ้ามองว่า เป็นเพียงสักว่า "ธาตุ" เท่านั้น มันก็มีเพียง "หนึ่งเดียว" คือ เหมือนกันหมด เมื่อเห็นได้อย่างนี้ จะทำให้ปล่อยวางความยึดถือ ในธาตุแห่ง "ความไม่มี" อันเป็นเหตุให้เข้าถึง ธาตุแห่ง "ความมี" ซึ่งมี "หนึ่งเดียว"
ยกตัวอย่างเช่น ความมีอยู่แห่ง กฏอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งมีอยู่ในทุกสิ่ง แต่มิได้หมายความว่า สิ่งทั้งปวงนั้น แต่งตั้งกฏเกณฑ์อันนี้ขึ้นมา ความไม่เที่ยง มีอยู่ในสังขารทั้งปวง แต่สังขารมิได้ปรุงแต่งความไม่เที่ยงขึ้นมา เพราะ ความไม่เที่ยงนั้น เป็นไปตาม กฏเกณฑ์ของตัวมันเอง แล้วมาครอบงำสิ่งทั้งปวง ในทำนองเดียวกัน เกี่ยวกับความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นต้น ก็รวมอยู่ในความหมายนั้น เราจะไปต่อสู้ต้านทานกระแสอันนี้ ให้หมุนกลับไม่ได้.
แต่ทางออกจากสิ่งเหล่านี้มีอยู่ ในเมื่อทุกสิ่งมีคู่ ฉะนั้น สิ่งตรงกันข้ามคือ ความไม่เกิด ความไม่แก่ ความไม่เจ็บ ความไม่ตาย ก็ย่อมมี จะเข้าถึงสิ่งนี้ ได้ด้วยการอบรมจิต เสียใหม่ ให้พิจารณาเห็นความเปลี่ยนแปลง ตามเป็นจริง ด้วยปัญญา แล้วจิตจะถอยห่าง ปล่อยวางความยึดถือ ในความเปลี่ยนแปลงนั้น ทำให้บรรลุถึง ความไม่เปลี่ยนแปลง ในที่เดียวกัน นั่นเอง ได้แก่ เปลี่ยนจาก "สังขตธรรม" เป็น "อสังขตธรรม" หรือ เปลี่ยนจาก "โลกิยะ" เป็น "โลกุตตระ" นี่คือ วิธีการอบรมจิตใจ ให้ออกจากความเปลี่ยนแปลง อันหมายถึง ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เพื่อเข้าถึง ความไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เป็นการบรรลุถึง "อมตธรรม" นั่นเอง.
อาจมีผู้เข้าใจผิดว่า ในเมื่อสังขตธรรม เป็นสิ่งที่มีอยู่ ฉะนั้น อสังขตธรรม คงเป็นสิ่งที่มิได้มีอยู่ ความจริง "อสังขตธรรม" ก็เป็นสิ่งที่ "มีอยู่" แต่ "มีโดยไม่ต้องมี" ดังพระพุทธภาษิตมีว่า "อตฺถิ ภิกฺขเว ตทายตานํ - ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้น มีอยู่" ดังนี้ คำว่า "อายตนะ" ในที่นี้ มิได้หมายถึง อายตนะ ๑๒ แต่หมายถึง สิ่งๆ หนึ่งที่อาจ "รู้ได้ เข้าถึงได้ รู้สึกได้" เมื่อมี การอบรมจิต ให้เกิดปัญญา ที่ถูกต้อง ดังที่เรียกกันว่า "ทำกรรมฐานภาวนา" สิ่งนั้นคือ "นิพพาน".
ความทุกข์กับความดับทุกข์
พบได้ในที่เดียวกัน
พระพุทธเจ้า ตรัสยืนยันว่า "สิ่งนั้นมีอยู่" หมายถึง "สิ่งที่มีอยู่ อย่างเป็น อันเดียวกันหมด" ซึ่งไม่ถูกจำกัด ด้วยกาลเวลา และสถานที่ อันได้นามว่า "ไกวัลยธรรม" เป็นสภาพที่พึงรู้ได้ด้วยการ "ปฏิเสธ" สิ่งที่เป็นสังขตะ หรือ เป็นฝ่ายโลกิยะ ดังพระพุทธภาษิต มีว่า "สิ่งนั้นไม่ใช่ธาตุดิน ไม่ใช่ธาตุน้ำ ไม่ใช่ธาตุไฟ ไม่ใช่ธาตุลม" ดังนี้ เพราะตัวจริงของ "สิ่งนั้น" ไม่อาจกำหนดว่า เป็นอย่างไร เพียงรับรู้ได้ว่า "สิ่งนั้นมีอยู่".
เมื่อสิ่งทั้งปวงอยู่ในสภาวะแห่ง "ทุกข์" ครั้นทุกสิ่งถูกปฏิเสธ อย่างสิ้นเชิง ก็ย่อมกล่าวได้ว่า เป็นการเข้าถึง "ที่จุดจบแห่งความทุกข์ทั้งปวง" เมื่อถึงที่สุดแห่งทุกข์ ก็ย่อมว่างจากความทุกข์ สภาวะที่ว่างจากทุกข์ ที่ปรากฏขึ้น แทนความทุกข์นั่นเอง ที่หมายถึง อสังขตะ สุญญตา นิพพาน หรือ นิโรธธาตุ ซึ่งรวมเรียกว่า "ไกวัลยธรรม" ในที่นี้.
ข้อนี้เป็นการแสดงว่า "ความดับทุกข์" ย่อมปรากฏในที่เดียวกันกับ ความทุกข์ นั่นเอง เมื่อเข้าถึงความดับทุกข์ ย่อมรับรู้ได้ว่า "สิ่งนั้นมีอยู่" ในที่เดียวกัน และเวลาเดียวกัน สิ่งที่เรียกว่า "ความทุกข์" ก็ปรากฏเป็นสิ่งที่"ไม่มี" คือ "ว่างจากทุกข์".
ทุกศาสนาเข้ากันได้
ด้วยความหมายของไกวัลยธรรม
ถ้าเข้าใจความหมายของ "ไกวัลยธรรม" แล้ว จะได้เป็นเครื่องมืออันหนึ่ง ในอันที่จะทำความเข้าใจกันทั้งโลก ทุกเวลา ทุกสถานที่ และทุกศาสนา ความแตกต่าง ของสิ่งทั้งปวง อยู่ที่การ ถูกจำกัดด้วยกาลเวลา และสถานที่ ซึ่งจัดเป็นส่วนของ สังขตธรรม เมื่อใดอยู่เหนือกาลเวลา คือ ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ไม่มีปัจจุบัน และอยู่เหนือสถานที่ เมื่อนั้นย่อมหมายถึง การเข้าถึงธรรมชาติ เดิมแท้ แห่งสัจจธรรม เรียก "อสังขตธรรม" เป็นธรรมที่ไม่มีการปรุงแต่ง.
ความจริงลักษณะแห่งสัจจธรรมนี้ ย่อมปรากฏอยู่ในทุกศาสนา แต่เนื่องจาก ศาสนิกแห่งศาสนา ไม่เข้าถึงศาสนาของตน จึงมีความเห็นแตกแยก ขัดแย้งกัน ในระหว่างศาสนา จนถึงกับมี การทะเลาะวิวาท กัน ด้วยศาสนา แม้ในศาสนาเดียวกัน ก็ยังมีความเห็นต่างกัน โดยมีการแยกเป็นนิกาย ทั้งนี้เป็นเพราะ การไม่เข้าถึง "ธรรมชาติเดิมแท้แห่งสัจจธรรม" นั่นเอง
รวมความว่า ใน "ไกวัลยธรรม" มีธาตุอยู่เพียง ๒ ธาตุ คือ สังขตธาตุ - ธาตุที่เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย และ อสังขตธาตุ - ธาตุที่ไม่เป็นไป ตามเหตุตามปัจจัย โดยเฉพาะ "อสังขตธาตุ" นั้น ศาสนาอื่น สมมติเอาเป็น "ตัวตนถาวร" แต่ในทางพุทธศาสนา พระพุทธเจ้า ทรงเรียกว่า มันเป็น "สักว่าธาตุ" อันหมายถึง สภาวะแห่ง "ไกวัลยธรรม".
พุทธทาสภิกขุ พ.ศ. 2449-2536
เยี่ยมครับ
เพราะมีวิญญานเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะมีนามรูป จึงมีวิญญาณ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ จึงกล่าวเหตุปัจจัย หรือสมัยยนี้เรียกว่าทฤษฎีได้ครับ💙💓💞💜🧡💕💕❣️💋💛อย่าบอกว่าบังเอิญ กัยผู้ตรัสรู้เลยครับ💞💜🧡💕❣️💋
สุดครับ
นักปรัชญาก่อนหน้ายุคพระพุทธเจ้าก็คิดแบบแนวฟิสิกส์ควอนตัมนะ คือ หลักเหตุผลของพระพุทธเจ้านั้นยอดเยี่ยมที่สุดในทุกศาสนา แต่เรื่องอื่น ๆ รู้สึกว่าอวยกันมากเกินไป รวมถึงเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ด้วย โดยสรุปแล้วจิตสำนึกหรือ consciousness ของคนหลายยุคหลายสมัยค่อนข้างสัมผัสได้ถึงสภาวะที่แท้จริงของจักรวาล เพราะพวกเราทุกคนเชื่อมโยงอยู่กับสิ่งนี้ และอาจแชร์จิตสำนึกร่วมกันด้วยก็ได้ ดังนั้นไม่มีเรื่องของจิตใครตรัสรู้มากกว่าใคร มีเพียงแค่ แต่ละคนมีบทบาทคนละอย่างก็เท่านั้น ซึ่งการทำร้ายผู้อื่นก็เหมือนทำร้ายตนเองเป็นต้น และเมื่อศึกษาไปลึก ๆ ก็เหมือนจะไม่มีเรื่อง นรก สวรรค์ อีกด้วย คนที่เจอนรกหรือสวรรค์ตอนที่ตายแล้วฟื้นมาเล่า ก็เหมือนกับจิตของตนเองสร้างขึ้นมามากกว่า ยิ่งเชื่อเรื่องนี้เยอะ โอกาสเจอนรกก็ยิ่งสูง สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยให้คนอยากทำความดีก็คือ ความสามารถในการเรียนรู้ มากกว่ากลัวเรื่องนรก เพราะบางทีกลัวก็จริง แต่มันอดไม่ได้ เลยยอมทำชั่ว แต่ถ้าเป็นคนที่มีการเรียนรู้และพัฒนามาตลอด ไม่จำเป็นต้องอดทนอดกลั้นเลย มันไม่อยากทำเอง เพราะรู้อะไรควรทำอะไรไม่ควรทำตามหลักเหตุผล และมีตรรกะที่ดี แต่ปัญหาของสังคมส่วนใหญ่ก็คือ การไปเน้นสอนที่ความเชื่อ แต่ไม่เน้นสอนให้ฝึกคิดมีตรรกะ จนทำให้เกิดตรรกะที่ประหลาด ๆ ขึ้นมา แล้วการทำชั่วมันก็ตามมา ด้วยความไม่รู้ หรือความเข้าใจผิดใด ๆ ก็แล้วแต่ การที่พระพุทธเจ้าสอนให้ใช้หลักเหตุผล และหลักที่ไม่ให้หลงไปกับการเชื่อ มันก็เหมือนบ่งบอกกลาย ๆ นะ ว่าเมื่อถึงยุคแห่งปัญญา ไม่จำเป็นต้องมีศาสนาอีก บางประเทศคนมีความคิดมีตรรกะสูง สวัสดิการสังคมก็ดี มีการระบการศึกษาและการเมืองที่ดี ก็ไม่ได้คิดว่าต้องนับถือศาสนาไหน สังคมก็สงบสุขดี ไม่มีโจรผู้ร้าย ไม่มีการฆาตกรรม ไม่มีคอรัปชัน หรือถ้าจะมีก็น้อยมาก เทรนด์แบบนี้มันชัดเจนมาก จนเรียกว่าเป็น fact สำหรับเราเลย
เห็นด้วยเลยครับ ผมถูกสอนมาตั้งแต่เด็กว่า ถ้าทำชั่วจะตกนรก (ผู้ใหญ่ใช้ความกลัวในการสอนผม) ซึ่งผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ผมอยากให้สอนผมบนความเป็นจริงมากกว่า (ใจเขา ใจเรา)
@@AnoNymous-it8viใช่ครับตรงเลยเรื่อง ใจเขาใจเรา
สังคมที่ไม่มีศีลธรรมและเมตตาธรรมมันจะสงบสุขมิได้เลย..ฉะนั้นคนโง่จึงไม่รู้ตัวเอง
สมาธิ เพิ่มความจำ เพิ่มความไว เพิ่มความแม่นยำลดข้อผิดพลาด แทงทลุเกือบทุกปัญหา แก้ไขปัญหาได้อย่างต่อเนื่อง เพิ่มการตื่นตัวขยัน เพิ่มความสุขสงบใจครับ.
ศีล 5 ขึ้นไปคือฝ่ายแสงอหิงสา ไม่เบียดเบียน.
ละเมิดศีล 5 คือฝ่ายมืดหิงสา เบียดเบียน.
Metavers = จักรวาลนฤมิต
Multivers = จักรวาลคู่ขนาน
Metahuman = มนุษย์เสมือน
ไม่เกี่ยวกันเลย แล้วยังเอาคำต่างประเทศมาแปลไทยอีก
🙏🙏🙏
การฝึกจิต จนถึง การวางจิต จึงจะถึงธรรม...มันยากตรงขี้เกียจนี่แหละ...ค้นแบบวิทยาศาสตร์มันของภายนอก ต้องดูจิตตนเองมันถึงจะเห็น
อ่านเจอมา ทฤษฎีควอนตั้ม ทุกอย่างตกอยู่ภายใต้ความไม่แน่นอน ถึงแม้จะสร้างเหตุปัจจัยไว้อย่างดี
นี่ผมดูคลิบ ทฤษฎีฟิสิกส์อยู่ใช่มั้ย
ถ้าเป็นคนเรียนอภิธรรมมาจะเข้าใจได้มากขึ้นเลย โดยเฉพาะเรื่องจิต
คนที่เรียนพระอภิธรรมรู้มานานแล้ว..แต่อยากให้นักวิทยาศาสตร์..เข้าห้องเรียนพระอภิธรรม ที่ครูอาจารย์ ยังมีสอนอยุ่เยอะแยะ ในประเทศไทยครับ
ผมเชื่อว่าจิต และมนุษย์ คือเครื่องจักร ที่ไม่มีสิทธิ์คิดหรือทำอะไรเอง เป็นไปตามวัตถุดิบที่ถูกป้อนเข้าและส่งผลออกมาเป็นความคิด การพูด การกระทำ องค์ประกอบของมนุษย์ทั้งหมดคือเทคโนโลยีนวตกรรมที่ถูกพัฒนามาถึงจุดสูงสุดของจักรวาล จักรวาลที่เราอยู่เรียกว่า จักรวาลด้านปรากฏ แต่ยังมีจักรวาลด้านไม่ปรากฏที่เราสามารถเข้าถึงได้แต่ ไม่สามารถรับรู้ได้โดยสภาพมนุษย์ปกติ แต่พัฒนาให้เข้าถึงได้เหมือนเป็นโลกคู่ขนาน ผมเชื่อแบบนนี้มา20ปีแล้ว
สุดท้ายไม่มีอะไรที่ล้ำสมัยไปกว่าคำสอนของพระตถาคตอหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อีกแล้ว เป็นที่สุดแห่งทุกศาสตร์ สามารถพิสูจน์ตามหลักเหตุผลได้ และสามารถนำไปประยุคเพื่อแตกแขนงความรู้วิทยาการอื่นๆได้อีกมากมาย
ลองไปเรียนวิชาของพุทธที่แท้จริงที่นี่ดูครับ มันอาจจะช่วยให้คุณถูกพัฒนา สู่ความจริงที่เป็นนิรันดร์
www.buvec.org/
ความรู้ยังผิดอยู่มากแต่ที่ยกย่องพระพุทธเจ้านั้นถูกที่สุดเลย..
คนทำคลิปนี้จะเป็นผู้บรรลุธรรมในอนาคต ถึงสภาวะจิตจริงๆอาจยังไม่ได้ แต่ที่กล่าวมาก็ใกล้เคียงตามที่กล่าวมาเลย
พระพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ ถึง สัจจธรรม และ ธรรมชาติ ของทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เกิดขึ้น บนโลกใบนี้ "ทรงตรัสรู้ เห็นความเปนจริง ของสรรพสิ่งของโลกใบนี้ และ ธรรมชาติ ที่มันมีอยู่ เปนอยู่ เกิดอยู่ กับโลกใบนี้ มาตั้งแต่ มีโลกมีจักรวาล แล้ว
#ศาสนาพุทธเป็นศาสนา ประชาธิปไตย ไม่บังคับใครให้ศรัทธา#เป็นวิทยาศาสตร์ #เป็นธรรมชาติ
เยี่ยม