ขนาดวิดีโอ: 1280 X 720853 X 480640 X 360
แสดงแผงควบคุมโปรแกรมเล่น
เล่นอัตโนมัติ
เล่นใหม่
#สำหรับผู้ไม่สะดวกรับฟังด้วยเสียง#คนชอบสาบานทั้งที่รู้ว่าจะไม่ทำตาม จะมีผลหรือไม่ถามถ้าบุคคลชอบสาบานเพื่อให้คนอื่นเชื่อ ถ้าไม่เป็นจริง มีผลต่อผู้พูดมากน้อยแค่ไหนคะ มากกว่าศีลข้อมุสาหรือไม่?ตอบเจตนากล่าวไม่ตรงกับความจริงทั้งที่รู้อยู่ เรียกว่า “สัมปชานมุสาวาท”ฉะนั้น ผู้ที่สาบานโดยรู้อยู่ว่าจะไม่ทำตามนั้น จึงเป็น”สัมปชานมุสาวาท” การสาบานนั้น โดยทั่วไป ย่อมมีการตั้งเงื่อนไขเพื่อสาปแช่งตนเองร่วมอยู่ด้วยว่า “ถ้าไม่ทำขอให้เป็นเช่นนั้นเช่นนี้” ฉะนั้น ผู้สาบานโดยมีการสาปแช่งตนร่วมอยู่ด้วย ผลที่ได้เมื่อไม่ทำตามนั้นคือ ตนของตนย่อมสำนึกได้ถึงการสาปแช่งตนเอง โดยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่กล่าวอ้างบางอย่างเป็นแรงผลักดันให้สำเร็จ ฉะนั้น เมื่อกล่าวถึงบาปในการสาบานร่วมกับคำสาปแช่ง โดยตั้งใจจะไม่ทำอยู่แล้ว ย่อมให้ผล ๒ ประการคือ๑. การอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อยืนยันคำสัตย์ทั้งที่รู้ว่าเป็นเท็จ เจตนาให้พูดเท็จย่อมมั่นคงกว่า มีผลต่อจิตใจมากกว่า ด้วยดูแคลนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าไม่มี วิบากแห่งกรรมไม่มี หรือไม่อาจบันดาลผล เป็นต้น ซึ่งเป็นเหตุให้จิตปราศจากความละอายและเกรงกลัวต่อบาปอย่างมั่นคง (โลภมูลจิต ทิฏฐิคตสัมปยุตตัง อสังขาริกัง) ด้วยเหตุนี้ บาปในการมุสาวาทจึงรุนแรงมากตามอกุศลเจตนาที่มั่นคงนั่นเอง
๒. ตนของตนย่อมสาปแช่งตนของตนอยู่เนืองๆ ด้วยรู้อยู่ว่า ตนได้กล่าวคำใดออกไป และผลของกรรมควรเป็นเช่นไร ฉะนั้น ตนนั่นแลย่อมดึงเอาอกุศลสัญญา ความทรงจำนั้นขึ้นมาเตือนจิตตนเสมอ เป็นเหตุชักนำให้อกุศลวิบากนั้นๆ เกิดขึ้นตามมาได้เร็วขึ้น และหนักหน่วงยิ่งขึ้น ตามแต่จิตที่ระลึกถึงอกุศลวิบากอันควรจะปรากฏได้อยู่เนืองๆฉะนั้น การสาบานร่วมกับการสาปแช่งตนทั้งรู้อยู่ว่าจักไม่ทำตามจึงเป็นบาปมาก และให้ผลต่อชีวิตของผู้นั้นอย่างแน่นอน ทว่า ขึ้นอยู่กับกุศลกรรม(บุญ)ในอดีตหรือปัจจุบันที่กระทำอยู่ ว่ามีกำลังเพียงใดที่จะชิงให้ผลก่อน หรือปิดกั้นให้คำสาปแช่งนั้นจักยังให้ผลไม่ได้ ตราบใดที่กุศลกรรมในอดีตที่กำลังส่งผลและกุศลกรรมที่กำลังกระทำอยู่ในปัจจุบันถอยกำลังลง เมื่อนั้น อกุศลวิบากอันเผ็ดร้อนย่อมรอลำดับแห่งการให้ผลตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นเอง…ถามการสาบานกับ การอธิษฐานจิต เหมือนกันมั้ย เช่นว่าสาบานว่าจะนั่งสมาธิไม่ขยับตัว ถ้าผิดไปจากนี้ขอให้ … หรือถ้าทำได้ขอให้ …กับอธิษฐานจิตว่าจะนั่งสมาธิไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจะไม่ขยับตัว แล้วตอนท้ายผิดคำสาบานหรือตอนท้ายผิดคำอธิษฐานจิต ผลจะเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ?พอถามแบบนี้เเล้วจึงยิ่งทำให้สงสัยเพิ่มขึ้นอีกสัญญา สาบาน อธิษฐานจิต 3 คำนี้ต่างกันอย่างไรตามศัพท์และผลจากการตั้งจิตในการสัญญา ผลการตั้งจิตในการสาบาน ผลการตั้งจิตในการอธิษฐานทั้งสามอย่างนี้ต่างกันอย่างไร?ตอบพึงเข้าใจความหมายที่แตกต่างระหว่างคำทั้ง ๓ ครับ๑. คำว่า สาบาน หมายถึง การปฏิญญาว่าจะทำสิ่งใด หรือการประกาศสัจวาจาว่า สิ่งใดคือความจริง แล้วสำทับด้วยการอ้างอิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ถ้าผิดไปจากนี้ ขอให้ความวิบัติจงเกิดขึ้นแก่ตนเช่น “ข้าฯ ขอสาบานว่า ข้าฯ ไม่ได้โกงเงินโรงเรียน ถ้าผิดจากคำนี้ ขอให้เทวดาอารักษ์ลงโทษให้วิบัติใน ๗ วัน” เป็นต้น หรือ“ข้าฯ ขอสาบานว่า คำนี้เป็นคำจริง ถ้าข้าโกหก ขอให้เทพเจ้าลงโทษ” เป็นต้น๒. คำว่า อธิษฐาน หมายถึง การตั้งจิตมั่น ว่าจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ลุล่วงให้ได้ จะอ้างอิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ก็ได้ หรืออาจมีการขอพรร่วมด้วยก็ได้ (ตามความนิยม)เช่น “ข้าฯ ขอตั้งจิตรักษาศีล ๕ให้บริสุทธิ์ จนตลอดชีวิต นับแต่บัดนี้” หรือ“ในพรรษานี้ตลอด ๓ เดือน ข้าฯ จะไม่ดื่มสุราเป็นเด็ดขาด ด้วยผลแห่งบุญนี้ ขอข้าฯ จงได้งานทำด้วยเถิด” เป็นต้น๓.คำว่า สัญญา หมายถึง การให้คำมั่นแก่อีกบุคคลหนึ่ง ว่าจะทำอะไร โดยไม่มีการอ้างอิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือคำสาปแช่งใดๆเช่น “หนูขอสัญญาว่า หนูจะไม่หนีไปเล่นน้ำโดยที่ไม่บอกแม่อีก” หรือ“ข้าฯ ขอสัญญาว่า จะซื่อสัตย์กับเธอแม้เพียงคนเดียวเท่านั้น”เป็นต้นต่อเมื่อในบางกรณี ผู้รับคำสัญญายังไม่พอใจเพียงคำสัญญานั้น กลับให้สาบานสำทับอีกชั้นก็ได้เช่น หญิง “ถ้าพี่รักน้องจริง น้องขอให้พี่สาบานได้ไหม”ชาย “พี่ขอสาบานว่า หากพี่ไม่ซื่อสัตย์กับเธอ ขอให้จมน้ำตาย” เป็นต้น อันนี้เป็นการอ้างอิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือกรรมนั่นเอง ว่าให้ส่งผลเช่นนั้น
#อโหสิกรรมไม่ใช่การแก้กรรม ไม่มีอำนาจใดๆจะมาหักล้าง”กรรมได้”วันนี้มีคนถามเรื่องการอโหสิกร-รมเข้ามา ข้าพเจ้าเห็นว่ามีประโยชน์มาก จึงขอนำมาให้ทุกคนได้อ่านกันการขออโหสิกร รมไม่ใช่การ “แก้กร รม”“กร รม” นั้นแก้ไขไม่ได้ ไม่มีอำนาจใดๆจะมาหักล้าง “กร รมได้”“การขออโหสิกร-รม” ขอขมา จึงเป็นการเริ่มต้นที่จิตเรา ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีในการสำนึกผิดกับสิ่งที่เคยกระทำลงไปแม้เราจะเพียรพยายามขออโหสิกร-รม เจ้ากรรมนายเวรจะยกโท ษให้หรือไม่นั้นก็อยู่ที่ ‘จิต’ ของเขาเท่านั้นสิ่งที่เจ้ากร-รมนายเวร หรือคนที่เราไปผูกเวรสร้างกร-รมกับเขา ต้องการจากเรามากที่สุดคือ1.เราได้ชดใช้ในสิ่งที่เราเคยทำ เฉกเช่นเดียวกันกับเขา2.คือการสำนึกผิดกลับตัวกลับใจเสียใหม่ เป็นการสำนึกผิดจริงๆ จากใจจริง สำนึกรู้แล้วว่าสิ่งที่เราได้กระทำลงไปนั้น ผิด-บาปการสำนึกผิดต้องสำนึกตื่นรู้จริงๆ ว่าสิ่งที่ทำกับผู้อื่น สร รพสั ตว์ทั้งหลาย นั้นสร้างความทุกข์กาย-ใจให้คนอื่นมากเพียงใดและบัดนี้จิตเราได้รับรู้ ได้สำนึกแล้วว่าเป็นบๅป เป็นเรื่องไปเบีย ดเบี ยนเขา ทั้ง กาย วาจา ใจ เป็นเรื่องที่เราไปก่อเวรภัยกับเขาหากเราอยากให้เขายกโท ษให้ ให้เขาให้อภัยเรา ปลดปล่อยเราจากการจองเวร ปลดปล่อยเราจากความทุกข์ กาย-ใจ เราแค่เอ่ยปากหรือขออโหสิก รรมอย่างเดียวไม่พอควรจะอุทิศบุญกุศลทุกครั้งให้กับเจ้ากรรมนา ยเวรทุกครั้งที่ทำบุญ ไม่ว่าจะเป็นบุญเล็กหรือบุญใหญ่แม้จะยากแต่ก็ต้องทำ โดยการสร้างกร รมดีให้มากขึ้นทำกร รมดีมากขึ้นในทุกๆ วัน ละบๅปให้ได้ ด้วยแรงบุญ เจตนาดีจะทำให้ชีวิตเราดีได้บุญยิ่งทำยิ่งดี จากนั้นขออุทิศบุญกุศลให้เจ้ากร รมนๅยเวรบ่อยครั้งให้เขาลดแรงอๅ ฆ ๅ ต พ ยๅบาทภายในใจ หากทำได้ทุกวันก็ยิ่งดีกร รมแม้จะยังอยู่แต่ก็จะเบาบางลงมาก แม้เขาจะอโหสิกร รมไม่ผูกใจเจ็ บแล้ว แต่เราก็ยังจะได้รับผลของกร รมนั้นอยู่ดี นี่แหละ “กร รมจึงเป็นของน่ากลัวที่เราหนี้ไม่พ้น เป็นเหมือนเงาตามตัวที่รอให้ผล”
#คำพูดเป็นแค่ “ลมปาก” การกระทำต่างหาก “พิสูจน์” ค่าของคนคนที่จิตใจสูงส่ง จะพูดถึงคนอื่นน้อยที่สุดคนที่จิตใจบริสุทธิ์ จะคิดกับคนอื่นในแง่ที่ดีที่สุดมนุษย์ส่วนใหญ่.. ไม่ค่อยเอนเอียงไปทางแง่ที่ดีเพราะ.. การมองในแง่ร้ายมันทำให้พวกเขามีเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นกว่าจงเป็นให้เหมือน “สิงโต” ที่… เงียบอย่าเป็นเหมือน “สุนัข” ที่… เห่าดัง !! อยากทำอะไรให้สำเร็จ “ทำเลย” ไม่ต้อง “พูด”เพราะคนที่เอาแต่พูดว่าจะทำโน่นทำนี่มักได้แต่ “พูด” แต่ไม่ค่อยได้ลงมือ “ทำ”“ความสำเร็จ” พูดได้ดังกว่า… “คำพูด”และ คำพูดจะไม่มีค่าอะไรถ้าคุณไม่ “สำเร็จ”เสียเวลา “พูด” มานานแค่ไหนถ้าเอาเวลานั้นไป “ทำ” อย่างที่พูด คุณ “สำเร็จ” ไปแล้วเคยเห็นสิงโตเวลาออกล่าไหม…?สิงโตจะ “เงียบ” เวลาจะ “ล่าเหยื่อ”เพราะมันคิดจะ “ล่า” จริงๆโลกจะรู้จาก “การล่าเหยื่อ” ของมันไม่ใช่ “เสียงขู่” ของมัน“คำพูด” เป็นแค่ “ลมปาก”“การกระทำ” ต่างหาก “พิสูจน์” ค่าของคนการ “ลงมือทำ” ดีกว่า “คำพูดที่สวยหรู”..พูดให้น้อยพูดมากไม่ดีตรงไหน คนช่างพูดน่าคบหาด้วย..ตรงนี้ต้องแยกให้ออกก่อนว่า “พูดมาก” กับ “พูดเก่ง” เป็นคนละเรื่องกันพูดมาก คือ พูดไปเรื่อย พูดจาเพ้อเจ้อ ไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสาร เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง นึกอยากจะพูดก็พูด โดยไม่สนใจหรือใส่ใจกับอะไรและใครทั้งนั้นส่วนพูดเก่ง คือ การรู้จักพูด เป็นการพูดด้วยปัญญาถ่ายทอดเรื่องราวออกมาเป็นคำพูดได้อย่างดี รู้ว่าอะไรควร-ไม่ควรพูดแบบเป็นเหตุเป็นผล มีสาระและน่าฟังโบราณท่านว่า “จะดูคนว่าโง่หรือฉลาด ดูได้จากคำพูดนี่แหละ” ดังนั้นคนพูดมากไม่จำเป็นต้องเป็นคนพูดเก่ง และคนพูดเก่ง ก็ไม่จำเป็นต้องพูดมาก ข้อเสียเปรียบของการพูดมากก็คือ คุณจะไม่รู้จักฟัง ตั้งหน้าตั้งตาที่จะพูดอย่างเดียวจนลืมสนใจและใส่ใจที่จะฟัง ทำให้พลาดอะไรดี ๆ ไป ที่สำคัญพอพูดมาก ๆ เข้า สมาธิที่จะโฟกัสสิ่งต่าง ๆก็น้อยลงทำให้คนพูดมากมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จได้น้อยกว่า ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนพูดมาก ก็ต้องตั้งสติให้ดีแล้วลองหัดเปลี่ยนตัวเองดู พูดแต่เรื่องที่ดีที่จะนำประโยชน์มาให้ หรือเปลี่ยนจากการพูดเป็นการคิด การปฏิบัติ หรือการฟังแทนแล้วการใช้ชีวิตของคุณจะดีขึ้นอีกเยอะฟังให้มากรู้หรือไม่?? การฟังสร้างความสำเร็จได้ดีกว่าการพูด คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะฟังมากกว่าพูดและเมื่อสำเร็จแล้วเขาจึงค่อยพูดเพื่อสร้างความสำเร็จให้กับคนอื่นอีกทอดหนึ่ง แค่นี้ก็รู้แล้วว่า การฟังสำคัญมากแค่ไหน เพราะการฟังทำให้เกิดพลังได้หลายอย่างแต่ต้องไม่ใช่แค่ได้ยินแล้วผ่านไป ต้องเป็นการฟังอย่างตั้งใจ ฟังแล้วคิดตามถึงจะเรียกว่าเป็นการฟังที่เกิดประโยชน์พึงระลึกไว้เสมอว่าการฟังไม่ใช่ความเงียบ แต่เป็นการให้ความสนใจกับสิ่งที่กำลังฟังนอกจากจะลึกซึ้งกับสิ่งที่ฟังมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการเข้าถึงคนพูดได้มากขึ้นด้วยข้อดีและประโยชน์เยอะขนาดนี้ หันมาฝึกตัวเองให้พูดน้อยลงด้วยการฟังให้มากขึ้นเพราะถ้ามัวแต่พูดก็หมดโอกาสที่จะฟัง อย่าลืมว่าการฟังสร้างความสำเร็จได้ดีกว่าการพูดมาเปลี่ยนตัวเองให้พูดน้อยลงและฟังมากขึ้นกันดีกว่าครับ#ขอให้ได้พิจารณาด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยภูมิธรรม คุณพระรักษาเทวดาคุ้มครอง ขอให้มีความเจริญในธรรม ทุกท่าน ทุกคนครับ
ขอบพระคุณมากค่ะ ในปัจจุบัน ก็รับผลกรรมค่ะ มีโรคใาก หูไม่ได้ยิน แต่ก็ยินดีที่ได้รับผลกรรมนั้นค่ะ ทึกวันนี้ก็อธิษฐานจิตให้กับเจ้ากรรมนายเวรตลอดค่ะ❤❤❤❤
กราบอนุโมทนาสาธุครับ
้🙏สวัสดีค่ะคุณอานนท์และทีมงานค่ะ *คำบนบาน /การให้สัญญาอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผิดคำพูด* ขอน้อมขอบพระคุณนะค่ะ ที่ช่วยให้ได้รับความรู้ค่ะ สาธุค่ะ
กราบสาธุเจ้าค่ะ
สวัสดีค่ะคุณอานนท์เล่าเรื่องจงอยู่อย่างสงบอย่าไปสร้างเวรกรรมต่อกันและกันเลย.ขอบคุณมากค่ะ.🙏🌻🌻🌻
กราบอนุโมทนา สาธุค่ะ😊
สวัสดีครับอนุโมทนาสาธุครับ🙏________ขอบพระคุณมากครับธรรมะในเย็นนี้ ครับ__🌻🌻🌼 🌼🌻🌻 🌻 🌼 🌼 🌻_____________________ 🌄🌈🌻🏞️🌌✨🙏🙏🙏
สวัสดีค่ะอนุโมทนาสาธุๆค่ะ
กราบสาธุ สาธุ สาธุค่ะ
สาธุๆๆอนุโมทนาคนวันจันทร์ครับ
เป็นเช่นนั้นครับ อย่าคิดว่าสิ่งนี้เท่านั้นจริงๆอื่นเปล่าถ้าท่านอาจารย์เคยได้ยินได้ฟังพระสูตรเกี่ยวกับมิจฉาทิฏฐิท่านจะไม่เชื่อเรื่องบนบานศาลกล่าว เพราะไม่มีอะไรในโลกใบนี้บันดาลทุกข์หรือสุขให้ใครได้ครับเพราะพระพุทธเจ้าสั่งสอนว่าสัตว์โลกเป็นไปตามกรรมไม่ได้เป็นไปตามคำขอคำบนบานศาลกล่าวครับ
..✊..🌏🌈🌟ขอน้อม🙇♀️กราบ🙏🙏🙏สาธุ สาธุ สาธุค่ะ🧎♀️ *ปล.🙇♀️🙏ขอบคุณมากๆๆๆนะค่ะ👻⚰✌..🖐..
🙏🙏🙏
หนูบนบานไว้ว่าจะตั้งเครื่องเซ่นไหว้หากสำเร็จตามที่ขอไว้ แต่กลับไม่ได้ไปแก้บน แต่ตอนหนูไปปฏิบัติธรรมแล้วขอขมาอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่ท่านๆที่ได้บนบานไว้หากท่านรับคำขอขมาจะหลุดร่วงไปใช่ใหมคะ
ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งสิ้นครับคำสอนของพระพุทธเจ้าคือสัตว์โลกไปเป็นไปตามกรรมการบนบานศาลกล่าวไม่ไม่เป็นความจริงไม่มีใครดลบันดาลอะไรให้ใครได้ไม่มีความผิดอะไรทั้งสิ้นครับเพราะไม่มีใครบันดาลอะไรให้คุณสิ่งที่คุณได้คุณทำด้วยความเพียรของคุณเองคับ
#สำหรับผู้ไม่สะดวกรับฟังด้วยเสียง
#คนชอบสาบานทั้งที่รู้ว่าจะไม่ทำตาม จะมีผลหรือไม่
ถาม
ถ้าบุคคลชอบสาบานเพื่อให้คนอื่นเชื่อ ถ้าไม่เป็นจริง มีผลต่อผู้พูดมากน้อยแค่ไหนคะ มากกว่าศีลข้อมุสาหรือไม่?
ตอบ
เจตนากล่าวไม่ตรงกับความจริงทั้งที่รู้อยู่ เรียกว่า “สัมปชานมุสาวาท”ฉะนั้น ผู้ที่สาบานโดยรู้อยู่ว่าจะไม่ทำตามนั้น จึงเป็น”สัมปชานมุสาวาท” การสาบานนั้น โดยทั่วไป ย่อมมีการตั้งเงื่อนไขเพื่อสาปแช่งตนเองร่วมอยู่ด้วยว่า “ถ้าไม่ทำขอให้เป็นเช่นนั้นเช่นนี้” ฉะนั้น ผู้สาบานโดยมีการสาปแช่งตนร่วมอยู่ด้วย ผลที่ได้เมื่อไม่ทำตามนั้นคือ ตนของตนย่อมสำนึกได้ถึงการสาปแช่งตนเอง โดยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่กล่าวอ้างบางอย่างเป็นแรงผลักดันให้สำเร็จ ฉะนั้น เมื่อกล่าวถึงบาปในการสาบานร่วมกับคำสาปแช่ง โดยตั้งใจจะไม่ทำอยู่แล้ว ย่อมให้ผล ๒ ประการคือ
๑. การอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อยืนยันคำสัตย์ทั้งที่รู้ว่าเป็นเท็จ เจตนาให้พูดเท็จย่อมมั่นคงกว่า มีผลต่อจิตใจมากกว่า ด้วยดูแคลนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าไม่มี วิบากแห่งกรรมไม่มี หรือไม่อาจบันดาลผล เป็นต้น ซึ่งเป็นเหตุให้จิตปราศจากความละอายและเกรงกลัวต่อบาปอย่างมั่นคง (โลภมูลจิต ทิฏฐิคตสัมปยุตตัง อสังขาริกัง) ด้วยเหตุนี้ บาปในการมุสาวาทจึงรุนแรงมากตามอกุศลเจตนาที่มั่นคงนั่นเอง
๒. ตนของตนย่อมสาปแช่งตนของตนอยู่เนืองๆ ด้วยรู้อยู่ว่า ตนได้กล่าวคำใดออกไป และผลของกรรมควรเป็นเช่นไร ฉะนั้น ตนนั่นแลย่อมดึงเอาอกุศลสัญญา ความทรงจำนั้นขึ้นมาเตือนจิตตนเสมอ เป็นเหตุชักนำให้อกุศลวิบากนั้นๆ เกิดขึ้นตามมาได้เร็วขึ้น และหนักหน่วงยิ่งขึ้น ตามแต่จิตที่ระลึกถึงอกุศลวิบากอันควรจะปรากฏได้อยู่เนืองๆ
ฉะนั้น การสาบานร่วมกับการสาปแช่งตนทั้งรู้อยู่ว่าจักไม่ทำตามจึงเป็นบาปมาก และให้ผลต่อชีวิตของผู้นั้นอย่างแน่นอน ทว่า ขึ้นอยู่กับกุศลกรรม(บุญ)ในอดีตหรือปัจจุบันที่กระทำอยู่ ว่ามีกำลังเพียงใดที่จะชิงให้ผลก่อน หรือปิดกั้นให้คำสาปแช่งนั้นจักยังให้ผลไม่ได้ ตราบใดที่กุศลกรรมในอดีตที่กำลังส่งผลและกุศลกรรมที่กำลังกระทำอยู่ในปัจจุบันถอยกำลังลง เมื่อนั้น อกุศลวิบากอันเผ็ดร้อนย่อมรอลำดับแห่งการให้ผลตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นเอง…
ถาม
การสาบานกับ การอธิษฐานจิต เหมือนกันมั้ย เช่นว่าสาบานว่าจะนั่งสมาธิไม่ขยับตัว ถ้าผิดไปจากนี้ขอให้ … หรือถ้าทำได้ขอให้ …กับอธิษฐานจิตว่าจะนั่งสมาธิไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจะไม่ขยับตัว แล้วตอนท้ายผิดคำสาบานหรือตอนท้ายผิดคำอธิษฐานจิต ผลจะเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ?
พอถามแบบนี้เเล้วจึงยิ่งทำให้สงสัยเพิ่มขึ้นอีกสัญญา สาบาน อธิษฐานจิต 3 คำนี้ต่างกันอย่างไรตามศัพท์และผลจากการตั้งจิตในการสัญญา ผลการตั้งจิตในการสาบาน ผลการตั้งจิตในการอธิษฐานทั้งสามอย่างนี้ต่างกันอย่างไร?
ตอบ
พึงเข้าใจความหมายที่แตกต่างระหว่างคำทั้ง ๓ ครับ
๑. คำว่า สาบาน หมายถึง การปฏิญญาว่าจะทำสิ่งใด หรือการประกาศสัจวาจาว่า สิ่งใดคือความจริง แล้วสำทับด้วยการอ้างอิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ถ้าผิดไปจากนี้ ขอให้ความวิบัติจงเกิดขึ้นแก่ตนเช่น “ข้าฯ ขอสาบานว่า ข้าฯ ไม่ได้โกงเงินโรงเรียน ถ้าผิดจากคำนี้ ขอให้เทวดาอารักษ์ลงโทษให้วิบัติใน ๗ วัน” เป็นต้น หรือ“ข้าฯ ขอสาบานว่า คำนี้เป็นคำจริง ถ้าข้าโกหก ขอให้เทพเจ้าลงโทษ” เป็นต้น
๒. คำว่า อธิษฐาน หมายถึง การตั้งจิตมั่น ว่าจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ลุล่วงให้ได้ จะอ้างอิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ก็ได้ หรืออาจมีการขอพรร่วมด้วยก็ได้ (ตามความนิยม)เช่น “ข้าฯ ขอตั้งจิตรักษาศีล ๕ให้บริสุทธิ์ จนตลอดชีวิต นับแต่บัดนี้” หรือ“ในพรรษานี้ตลอด ๓ เดือน ข้าฯ จะไม่ดื่มสุราเป็นเด็ดขาด ด้วยผลแห่งบุญนี้ ขอข้าฯ จงได้งานทำด้วยเถิด” เป็นต้น
๓.คำว่า สัญญา หมายถึง การให้คำมั่นแก่อีกบุคคลหนึ่ง ว่าจะทำอะไร โดยไม่มีการอ้างอิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือคำสาปแช่งใดๆเช่น “หนูขอสัญญาว่า หนูจะไม่หนีไปเล่นน้ำโดยที่ไม่บอกแม่อีก” หรือ“ข้าฯ ขอสัญญาว่า จะซื่อสัตย์กับเธอแม้เพียงคนเดียวเท่านั้น”เป็นต้นต่อเมื่อในบางกรณี ผู้รับคำสัญญายังไม่พอใจเพียงคำสัญญานั้น กลับให้สาบานสำทับอีกชั้นก็ได้เช่น หญิง “ถ้าพี่รักน้องจริง น้องขอให้พี่สาบานได้ไหม”ชาย “พี่ขอสาบานว่า หากพี่ไม่ซื่อสัตย์กับเธอ ขอให้จมน้ำตาย” เป็นต้น อันนี้เป็นการอ้างอิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือกรรมนั่นเอง ว่าให้ส่งผลเช่นนั้น
#อโหสิกรรมไม่ใช่การแก้กรรม ไม่มีอำนาจใดๆจะมาหักล้าง”กรรมได้”
วันนี้มีคนถามเรื่องการอโหสิกร-รมเข้ามา ข้าพเจ้าเห็นว่ามีประโยชน์มาก จึงขอนำมาให้ทุกคนได้อ่านกัน
การขออโหสิกร รมไม่ใช่การ “แก้กร รม”
“กร รม” นั้นแก้ไขไม่ได้ ไม่มีอำนาจใดๆจะมาหักล้าง “กร รมได้”
“การขออโหสิกร-รม” ขอขมา จึงเป็นการเริ่มต้นที่จิตเรา ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีในการสำนึกผิดกับสิ่งที่เคยกระทำลงไป
แม้เราจะเพียรพยายามขออโหสิกร-รม เจ้ากรรมนายเวรจะยกโท ษให้หรือไม่นั้นก็อยู่ที่ ‘จิต’ ของเขาเท่านั้น
สิ่งที่เจ้ากร-รมนายเวร หรือคนที่เราไปผูกเวรสร้างกร-รมกับเขา ต้องการจากเรามากที่สุดคือ
1.เราได้ชดใช้ในสิ่งที่เราเคยทำ เฉกเช่นเดียวกันกับเขา
2.คือการสำนึกผิดกลับตัวกลับใจเสียใหม่ เป็นการ
สำนึกผิดจริงๆ จากใจจริง สำนึกรู้แล้วว่าสิ่งที่เราได้กระทำลงไปนั้น ผิด-บาป
การสำนึกผิดต้องสำนึกตื่นรู้จริงๆ ว่าสิ่งที่ทำกับผู้อื่น สร รพสั ตว์ทั้งหลาย นั้นสร้างความทุกข์กาย-ใจให้คนอื่นมากเพียงใด
และบัดนี้จิตเราได้รับรู้ ได้สำนึกแล้วว่าเป็นบๅป เป็นเรื่องไปเบีย ดเบี ยนเขา ทั้ง กาย วาจา ใจ เป็นเรื่องที่เราไปก่อเวรภัยกับเขา
หากเราอยากให้เขายกโท ษให้ ให้เขาให้อภัยเรา ปลดปล่อยเราจากการจองเวร ปลดปล่อยเราจากความทุกข์ กาย-ใจ เราแค่เอ่ยปากหรือขออโหสิก รรมอย่างเดียวไม่พอ
ควรจะอุทิศบุญกุศลทุกครั้งให้กับเจ้ากรรมนา ยเวรทุกครั้งที่ทำบุญ ไม่ว่าจะเป็นบุญเล็กหรือบุญใหญ่
แม้จะยากแต่ก็ต้องทำ โดยการสร้างกร รมดีให้มากขึ้นทำกร รมดีมากขึ้นในทุกๆ วัน ละบๅปให้ได้ ด้วยแรงบุญ เจตนาดีจะทำให้ชีวิตเราดีได้
บุญยิ่งทำยิ่งดี จากนั้นขออุทิศบุญกุศลให้เจ้ากร รมนๅยเวรบ่อยครั้งให้เขาลดแรงอๅ ฆ ๅ ต พ ยๅบาทภายในใจ หากทำได้ทุกวันก็ยิ่งดี
กร รมแม้จะยังอยู่แต่ก็จะเบาบางลงมาก แม้เขาจะอโหสิกร รมไม่ผูกใจเจ็ บแล้ว แต่เราก็ยังจะได้รับผลของกร รมนั้นอยู่ดี นี่แหละ “กร รมจึงเป็นของน่ากลัวที่เราหนี้ไม่พ้น เป็นเหมือนเงาตามตัวที่รอให้ผล”
#คำพูดเป็นแค่ “ลมปาก” การกระทำต่างหาก “พิสูจน์” ค่าของคน
คนที่จิตใจสูงส่ง จะพูดถึงคนอื่นน้อยที่สุด
คนที่จิตใจบริสุทธิ์ จะคิดกับคนอื่นในแง่ที่ดีที่สุด
มนุษย์ส่วนใหญ่.. ไม่ค่อยเอนเอียงไปทางแง่ที่ดี
เพราะ.. การมองในแง่ร้ายมันทำให้
พวกเขามีเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นกว่า
จงเป็นให้เหมือน “สิงโต” ที่… เงียบ
อย่าเป็นเหมือน “สุนัข” ที่… เห่าดัง !!
อยากทำอะไรให้สำเร็จ “ทำเลย” ไม่ต้อง “พูด”
เพราะคนที่เอาแต่พูดว่าจะทำโน่นทำนี่
มักได้แต่ “พูด” แต่ไม่ค่อยได้ลงมือ “ทำ”
“ความสำเร็จ” พูดได้ดังกว่า… “คำพูด”
และ คำพูดจะไม่มีค่าอะไรถ้าคุณไม่ “สำเร็จ”
เสียเวลา “พูด” มานานแค่ไหน
ถ้าเอาเวลานั้นไป “ทำ” อย่างที่พูด
คุณ “สำเร็จ” ไปแล้ว
เคยเห็นสิงโตเวลาออกล่าไหม…?
สิงโตจะ “เงียบ” เวลาจะ “ล่าเหยื่อ”
เพราะมันคิดจะ “ล่า” จริงๆ
โลกจะรู้จาก “การล่าเหยื่อ” ของมัน
ไม่ใช่ “เสียงขู่” ของมัน
“คำพูด” เป็นแค่ “ลมปาก”
“การกระทำ” ต่างหาก “พิสูจน์” ค่าของคน
การ “ลงมือทำ” ดีกว่า “คำพูดที่สวยหรู”
..
พูดให้น้อย
พูดมากไม่ดีตรงไหน คนช่างพูดน่าคบหาด้วย..ตรงนี้ต้องแยกให้ออกก่อนว่า “พูดมาก” กับ “พูดเก่ง” เป็นคนละเรื่องกัน
พูดมาก คือ พูดไปเรื่อย พูดจาเพ้อเจ้อ ไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสาร เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง
นึกอยากจะพูดก็พูด โดยไม่สนใจหรือใส่ใจกับอะไรและใครทั้งนั้น
ส่วนพูดเก่ง คือ การรู้จักพูด เป็นการพูดด้วยปัญญา
ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาเป็นคำพูดได้อย่างดี รู้ว่าอะไรควร-ไม่ควร
พูดแบบเป็นเหตุเป็นผล มีสาระและน่าฟัง
โบราณท่านว่า “จะดูคนว่าโง่หรือฉลาด ดูได้จากคำพูดนี่แหละ” ดังนั้นคนพูดมาก
ไม่จำเป็นต้องเป็นคนพูดเก่ง และคนพูดเก่ง ก็ไม่จำเป็นต้องพูดมาก
ข้อเสียเปรียบของการพูดมากก็คือ คุณจะไม่รู้จักฟัง ตั้งหน้าตั้งตาที่จะพูดอย่างเดียว
จนลืมสนใจและใส่ใจที่จะฟัง ทำให้พลาดอะไรดี ๆ ไป ที่สำคัญพอพูดมาก ๆ เข้า สมาธิที่จะโฟกัสสิ่งต่าง ๆ
ก็น้อยลงทำให้คนพูดมากมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จได้น้อยกว่า
ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนพูดมาก ก็ต้องตั้งสติให้ดีแล้วลองหัดเปลี่ยนตัวเองดู พูดแต่เรื่องที่ดี
ที่จะนำประโยชน์มาให้ หรือเปลี่ยนจากการพูดเป็นการคิด การปฏิบัติ หรือการฟังแทนแล้วการใช้ชีวิตของคุณจะดีขึ้นอีกเยอะ
ฟังให้มาก
รู้หรือไม่?? การฟังสร้างความสำเร็จได้ดีกว่าการพูด คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะฟังมากกว่าพูด
และเมื่อสำเร็จแล้วเขาจึงค่อยพูดเพื่อสร้างความสำเร็จให้กับคนอื่นอีกทอดหนึ่ง
แค่นี้ก็รู้แล้วว่า การฟังสำคัญมากแค่ไหน เพราะการฟังทำให้เกิดพลังได้หลายอย่าง
แต่ต้องไม่ใช่แค่ได้ยินแล้วผ่านไป ต้องเป็นการฟังอย่างตั้งใจ ฟังแล้วคิดตามถึงจะเรียกว่าเป็นการฟังที่เกิดประโยชน์
พึงระลึกไว้เสมอว่าการฟังไม่ใช่ความเงียบ แต่เป็นการให้ความสนใจกับสิ่งที่กำลังฟัง
นอกจากจะลึกซึ้งกับสิ่งที่ฟังมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการเข้าถึงคนพูดได้มากขึ้นด้วย
ข้อดีและประโยชน์เยอะขนาดนี้ หันมาฝึกตัวเองให้พูดน้อยลงด้วยการฟังให้มากขึ้น
เพราะถ้ามัวแต่พูดก็หมดโอกาสที่จะฟัง อย่าลืมว่าการฟังสร้างความสำเร็จได้ดีกว่าการพูด
มาเปลี่ยนตัวเองให้พูดน้อยลงและฟังมากขึ้นกันดีกว่า
ครับ
#ขอให้ได้พิจารณาด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยภูมิธรรม คุณพระรักษาเทวดาคุ้มครอง ขอให้มีความเจริญในธรรม ทุกท่าน ทุกคนครับ
ขอบพระคุณมากค่ะ ในปัจจุบัน ก็รับผลกรรมค่ะ มีโรคใาก หูไม่ได้ยิน แต่ก็ยินดีที่ได้รับผลกรรมนั้นค่ะ ทึกวันนี้ก็อธิษฐานจิตให้กับเจ้ากรรมนายเวรตลอดค่ะ❤❤❤❤
กราบอนุโมทนาสาธุครับ
้🙏สวัสดีค่ะคุณอานนท์และทีมงานค่ะ *คำบนบาน /การให้สัญญาอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผิดคำพูด* ขอน้อมขอบพระคุณนะค่ะ ที่ช่วยให้ได้รับความรู้ค่ะ สาธุค่ะ
กราบสาธุเจ้าค่ะ
สวัสดีค่ะคุณอานนท์เล่าเรื่องจงอยู่อย่างสงบอย่าไปสร้างเวรกรรมต่อกันและกันเลย.ขอบคุณมากค่ะ.🙏🌻🌻🌻
กราบอนุโมทนา สาธุค่ะ😊
สวัสดีครับอนุโมทนา
สาธุครับ🙏________
ขอบพระคุณมากครับ
ธรรมะในเย็นนี้ ครับ__
🌻🌻🌼 🌼🌻🌻
🌻 🌼 🌼 🌻
_____________________
🌄🌈🌻🏞️🌌✨
🙏🙏🙏
สวัสดีค่ะอนุโมทนาสาธุๆค่ะ
กราบสาธุ สาธุ สาธุค่ะ
สาธุๆๆอนุโมทนาคนวันจันทร์ครับ
เป็นเช่นนั้นครับ อย่าคิดว่าสิ่งนี้เท่านั้นจริงๆอื่นเปล่า
ถ้าท่านอาจารย์เคยได้ยินได้ฟังพระสูตรเกี่ยวกับมิจฉาทิฏฐิ
ท่านจะไม่เชื่อเรื่องบนบานศาลกล่าว เพราะไม่มีอะไรในโลกใบนี้บันดาลทุกข์หรือสุขให้ใครได้ครับเพราะพระพุทธเจ้าสั่งสอนว่าสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม
ไม่ได้เป็นไปตามคำขอคำบนบานศาลกล่าวครับ
..✊..🌏🌈🌟ขอน้อม🙇♀️กราบ🙏🙏🙏สาธุ สาธุ สาธุค่ะ🧎♀️ *ปล.🙇♀️🙏ขอบคุณมากๆๆๆนะค่ะ👻⚰✌..🖐..
🙏🙏🙏
หนูบนบานไว้ว่าจะตั้งเครื่องเซ่นไหว้หากสำเร็จตามที่ขอไว้ แต่กลับไม่ได้ไปแก้บน แต่ตอนหนูไปปฏิบัติธรรมแล้วขอขมาอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่ท่านๆที่ได้บนบานไว้หากท่านรับคำขอขมาจะหลุดร่วงไปใช่ใหมคะ
ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งสิ้นครับ
คำสอนของพระพุทธเจ้าคือสัตว์โลกไปเป็นไปตามกรรม
การบนบานศาลกล่าวไม่ไม่เป็นความจริงไม่มีใครดลบันดาลอะไรให้ใครได้ไม่มีความผิดอะไรทั้งสิ้นครับเพราะไม่มีใครบันดาลอะไรให้คุณสิ่งที่คุณได้คุณทำด้วยความเพียรของคุณเองคับ