23 พฤษภาคม ค.ศ. 2024
ฝัง
- เผยแพร่เมื่อ 21 พ.ค. 2024
- การรู้ทันจิตที่เคลื่อนไป
สิ่งที่ได้คือ "สติ"
มีกรรมฐานอันหนึ่งที่ง่าย ๆ
ที่หลวงพ่อสอนพวกที่ชอบดูจิตดูใจ
คือการรู้ทันจิตที่เคลื่อนไป
ที่บอกให้ซ้อมดูบ่อย ๆ
ถ้าเรารู้ทันจิตที่เคลื่อนบ่อย ๆ
ต่อไปจิตจำสภาวะที่เคลื่อนได้แม่น
พอเคลื่อนปุ๊บ สติจะเกิดเอง
งั้นแค่หัดดูจิตที่เคลื่อนเนี่ย สิ่งที่ได้คือ "สติ"
ถ้าจิตเคลื่อนไปแล้ว เราไม่รู้ทัน
ราคะ โทสะ เกิด มันจะไปครอบงำจิต
ราคะ โทสะ ครอบงำจิตได้ จะผิดศีลได้
ถ้าจิตเคลื่อนแล้วรู้ ๆ "ศีลอัตโนมัติ"จะเกิด
เพราะว่า..จะไม่ทำผิดศีล
ถ้าจิตเคลื่อนนั้น
เคลื่อนด้วยกำลังของความฟุ้งซ่าน
ถ้าเรารู้ว่าจิตเคลื่อน
จิตจะตั้งมั่นโดยไม่ได้เจตนาให้ตั้งมั่น
"สมาธิ"จะเกิด
ถ้าจิตเคลื่อน เราเห็นจิตมันเมื่อกี้
รู้ ตอนนี้เคลื่อนนะ
เดี๋ยวเคลื่อนไป แล้วก็กลับมารู้
เคลื่อน รู้ เคลื่อนไปแล้วรู้ สลับกัน
จิตรู้ก็ไม่เที่ยง
จิตเคลื่อนเองก็ไม่เที่ยง
นี่แสดง"ปัญญา"แล้ว
แสดง"อนิจจัง"
รู้ก็ไม่ได้เจตนาจะรู้
เคลื่อนก็ไม่ได้เจตนาจะเคลื่อน
มันเป็นเอง นี่ดู"อนัตตา"
งั้นแค่เราเห็นจิตกระดิกกลิ๊ก ๆ ๆ แค่นี้นะ
ได้ทั้งสติ ได้ทั้งศีล ได้ทั้งสมาธิ ได้ทั้งปัญญา
ถ้าทำได้ ก็ทำ
ทำไม่ได้ ก็เล่นของที่หยาบลงมานะ
ดูราคะ โทสะ อะไร ก็ดูไป
ดูราคะ โทสะ ไปนะ อย่างน้อยก็ไม่ผิดศีล
แต่ว่ายังฟุ้งซ่าน สมาธิไม่พอได้อีก ใจยังฟุ้งซ่านได้อีก
แต่ถ้าเราเห็นจิตไหวตัว
ต่อไปมันไม่ได้ไหวแบบวื้ด ๆ อย่างนี้นะ
ไม่ได้วิ่งไปไกล ๆ นะ มันกระดิกอยู่กลางหน้าอกนี้เอง
กลิ๊ก ๆ ๆ ๆ อยู่กลางหน้าอกนี้เอง มันไหวอยู่แค่นี้เอง
งั้นเราเห็นจิตไหวกระดิกตัว กลิ๊ก ๆ ๆ เนี่ย
พอมันไหว ต่อไป รู้โดยไม่เจตนาจะรู้
"สติตัวจริง" เกิด
มันไหวกลิ๊กเนี่ย เรารู้
การไหวขาดสะบั้นแล้ว
ความปรุงแต่งขาดสะบั้นแล้ว
"ศีลอัตโนมัติ" เกิดเลย
"สมาธิ" ก็เกิดเลย
เพราะว่าไม่เคลื่อนไปไหนเลยแล้ว
ถ้าดูไปดูเป็นนะ
บางคนไปดูผิด
ไปดูตรงตัวสภาวะ ไปดูที่มันไหว กลิ๊ก ๆ ๆ ๆ
ไปจ้องลงไปในสภาวะ
ไม่ได้ให้ดูตัวสภาวะอย่างนั้น
ให้ดูไตรลักษณ์
ไตรลักษณ์ มันแนบอยู่ที่สภาวะ
ถ้าเราเห็นไหวอยู่นี่นะ
ใจเราเป็นกลางอยู่
เออ.!.มันไหวเองเว๊ย มันไม่ใช่เราหรอก
เห็น"อนัตตา"นะ เห็นอนัตตา
ที่หลวงพ่อหัดภาวนานะ หลวงพ่อดูแค่นี้เอง
แต่ตอนแรก ก่อนที่มันจะมาดูเห็น
มันกระดิก ๆ อยู่กลางหน้าอกเนี่ย
ก็เห็นมันวิ่งไปวิ่งมาอย่างนี้แหละ เหมือนที่พวกเราเห็น
ก็เห็นโลภ เห็นโกรธ เห็นหลง
เห็นสุข เห็นทุกข์
เห็นสารพัดจะเห็น
เห็นสารพัดไปเลย
นี้พอสติ สมาธิ เราเข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ
จิตมันตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมาแล้วเนี่ย
เห็นมันผุดขึ้นมากลางอกนี้เอง
เรารู้เลยว่า
นามธรรมทั้งหลายผุดขึ้นมาจากความว่าง ๆ
ผุดขึ้นมาจากกลาง ๆ
กลาง ๆ อยู่ตรงไหนพูดยาก
จะว่ากลางอกมันก็ไม่เชิง เพราะอกมันเป็นรูปธรรม
มันเป็นความรู้สึกที่มันผุดขึ้นมาจากส่วนที่เป็นกลางๆ
ผุดขึ้นมาจากความว่าง
แล้วก็สลายตัวไปในความว่าง
ความปรุงแต่งผุดขึ้นในความว่าง
แล้วก็สลายไปในความว่าง
ไม่มีอะไร
เนี่ย..ค่อย ๆ ดูไป
สุดท้ายมันเห็น ไม่มีเรา
ไม่มีเราที่ไหนเลย
มีแต่ความปรุงแต่ง
สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดับ
เห็นอยู่แค่นั้น
ลองไปดูนะ กรรมฐานมีสารพัด
สิ่งที่หลวงพ่อสอนให้วันนี้นะ
ที่ดูจิตไหวเนี่ย มันครอบคลุมกรรมฐานตัวอื่น
ไว้เยอะเลยในขั้นการเจริญปัญญานะ
แต่ถ้าในขั้นของสมถะนะ
ตัวที่ครอบคลุมได้มากที่สุดของสมถะนะคือ อานาปานสติ
อานาปานสติ เราเรียกว่าเป็นตัวพ่อตัวแม่ของสมถะ
เป็นตัวพ่อตัวแม่
ส่วนการเจริญปัญญาเนี่ยขั้นสุดขีดของมัน
มันคือการเห็น"อริยสัจ"
อันที่เห็นจิตมันไหวขึ้นมาเนี่ย
มันสร้าง"ภพ"ขึ้นมาตรงนี้เอง
มันจะรู้อริยสัจขึ้นตรงนี้เอง
รู้ปฏิจจสมุปบาท
ถ้าไหวขึ้นมาแล้ว..ยังไม่รู้ทันเนี่ย
มันจะขึ้นมาปรุงเป็นสายของปฏิจจสมุปบาททั้งสายเลย
~ งั้นจุดสุดขีดเลยนะของสมถะนะ
ตัวพ่อตัวแม่ของสมถะคือ ตัว
อานาปานสติ
~ ถ้าตัวพ่อตัวแม่ของตัววิปัสสนานะ คือ
ปฏิจจสมุปบาท หรือ อริยสัจ
แต่ถ้าทำไม่ได้ เราก็เล่นตัวลูกตัวหลาน
เราสู้กับหัวโจกไม่ไหว
เล่นตัวลูกตัวหลานไป
เท่าที่เราดูได้
พระธรรมเทศนาหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
10 พ.ค. 58