ขนาดวิดีโอ: 1280 X 720853 X 480640 X 360
แสดงแผงควบคุมโปรแกรมเล่น
เล่นอัตโนมัติ
เล่นใหม่
เข้าใจที่ท่านอาจารย์บรรยายค่ะ🙏 บางท่านอาจคิดเห็นขัดแย้งกันก็เป็นเรื่องธรรมดา ส่วนตัวเห็นว่าการเปิดใจรับฟังหลากหลายแนวทางหรือต่างศาสนาแล้วนำส่วนที่มีประโยชน์มาใช้เพื่อการดำรงชีวิตที่สงบสันติ และอาจถึงได้ประจักษ์ความจริงสูงสุด เป็นสิ่งที่ดี เรื่องที่ปัญญายังไปไม่ถึงขอฟังไว้ก่อนไม่ตัดสินถูกผิด ท่านอจ.บรรยายให้เข้าใจง่าย ใจเบา ไม่เคร่งเครียดกับเรื่องปฏิบัติอย่างที่เคยทำมา ซึ่งทำด้วยความโลภที่อยากบรรลุ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ค่ะ🙏
สวัสดีปีใหม่ท่านอาจารย์์ ครับ..จะรู้ได้อย่างไร?อาจารย์สอนธรรมะที่ไหน..รู้ได้อย่างไร? ติดต่ออาจารย์ได้อย่างไรครับ.
ขอบพระคุณมากๆค่ะ อาจารย์เป็นบุคคลากรที่หาได้ยากดีใจที่ได้เข้ามาเรียนรู้ค่ะ❤
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ทวีศักดิ์เป็นอย่างสูง และผู้เผยแผ่พระธรรมสู่โซเชียล กราบอนุโมทนาสาธุๆๆค่า🌹🌹🌹
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ น้อมอนุโมทนาสาธุธรรมคะ
สาธุครับ หาข้อมูลด้านนี้ตั้งนาน แทบไม่เจอเลยครับ
อ. สอนได้ดีมันก็เป็นไปตามนั้นค่ะ อ. อธิบายได้ดีมากค่ะ สาธุค่ะ
สาธุครับอาจารย์
กราบอนุโมทนา สาธุ ขอบพระคุณค่ะ
น้อมกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ทวีศักดิ อนุโมทนาสาธุสาธุคะ
กราบขอบคุณท่านอาจารย์ครับ จะขอเข้าไปเรียนได้อย่างไรครับ
กราบสวัสดีอาจารย์ค่ะ🙏
ไม่ต้องรู้มากขนาดนั้นก็ได้ รู้แล้ววางและไม่ทุกข์เพราะความไม่เที่ยงของธรรมชาติก็พอแล้ว แต่ก็สาธุขอรับ🙏🙏🙏
เขาเป็นอาจารย์
กราบขอบคุณอาจารย์ค่ะ..รู้สึกเป็นผู้โชคดีได้ฟังได้พบครูอาจารย์ผู้มีความรู้มีปัญยามากค่ะ❤😊
อนุโมทนาสาธุ
สวัสดีค่ะท่านอาจารย์ขอให้ท่านมีความสุขในปี2024.Stay blessed!
รอฟังค่ะ ชอบฟังพระสูตรที่เป็นเพลงบทนี้
กราบขอบพระคุณอาจารย์🙏🏼
ขอบคุณครับ
**แสวงหาตรัสรู้ แทบตายกลับแอบอยู่ในกาย ร่างนี้ญานเล็กใหญ่อุบาย ตามจริตปารมิตาชี้ ลึกซึ้งปัญญา
🙏🙏
ความเห็นที่5)ที่อาจารย์ว่า”นิพพาน มีแต่สภาวะที่เป็นกลางเท่านั้น” ก็ผิดพลาดไปมากครับโลกิยญาณชั้นสูงสุดคือ”สังขารุเปกขาญาณ” ที่มีสภาวะเป็นกลางต่อสังขาร เมื่อได้สังขารุเปกขาญาณแล้ว ญาณนั้นก็รวมกับอนุโลมญาณและโคตรภูญาณ เรียกว่า”วุฏฐานคามินีวิปัสสนา” เข้าสู่มรรคญาณ สภาวะของนิพานที่เห็นนั้น คือความว่างอันไร้ขอบเขตทั้ง 10ทิศ ไม่มีพระจันทร์ พระอาทิตย์ และดวงดาวทั้งหลาย แต่มีความสว่าง ไม่มีสังขารทั้งปวง ไม่มีรูปพรหม ไม่มีอรูปพรหม ไม่มีจิตอื่นๆ ไม่มีฟ้า ไม่มีพสุธา ไม่มี ดิน น้ำ ไฟ ลม ฉะนั้นแล้ว เมื่อไม่มีสังขารทั้งปวง จึงไม่มี ความเป็นกลาง และไม่มีความไม่เป็นกลางอาจารย์พยายามเอาสังขารไปบรรยายสภาวะของนิพพาน จึงผิดพลาดทั้งหมด ถ้ายังไม่ทิ้งสังขารอย่างหมดจดก็ไม่เห็นนิพพาน เมื่อไม่เห็นนิพพานแล้ว ก็ไม่มีทางบรรยายถูก ก็ได้แต่อนุมานคาดเดาไปตามที่ได้ฟังได้อ่านมาเท่านั้น
อาจารย์แกก็บอกก่อนอยู่แล้วว่า สมมุติ" คือ อธิบาย บอก ให้ คนมันเข้าใจตามภาษาสมมุติแบบชาวโลกๆ ไป ก่อน หรือเปล่าครับท่าน หรือจะอธิบายอีกแบบว่า นิพพาน แปลว่า เย็น นิโรธ แปลว่า ดับสนิท (ดับเย็น) อนัตตา ไร้อัตรา เมื่อเราไม่มี นั้นแหละจบเหตุ.
ทั้งชื่อญานต่างๆ แม้แต่ชื่อนิพพาน โน่น นี่ นั้น ที่อธิบายล้วนเป็นคำสมมุติขึ้นทั้งสิ้น แท้จริงแล้วไม่มีอะไรเลย คุณสามารถเขียนได้อย่างมากมายก็ล้วนเป็นคำสมมุติที่ถูก เขียนขึ้น แต่งขึ้นถ้าไม่มีคำสมมุติเหล่านี้ อ.จะสอนไม่ได้ อ. จึงต้องอธิบายเป็นภาษาสมมุติก่อน ต้องมีอัตตา หรือความมีตัวตน ของภาษก่อน เพื่อให้เข้าใจและนำไปสู่ ความเป็นอนัตตาหรือสูญญตา คือความไม่มี มีแต่ สภาวะของธรรมชาติที่รู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น อ.เคยสอนว่า "ของจริงนิ่งเป็นใบ้ " ของพูดได้นั้นไม่จริง " เช่น หิว หรือ อิ่ม ( พูดได้) สื่อสารกันให้รู้ว่าฉันหิวแล้ว มันจึงเป็นแค่คำสมมุติ ความจริงคุณรู้ได้ด้วยตัวเองว่า ความรู้สึกหิวเป็นยังไงมันเป็นสภาวะของธรรมชาติจริงๆ ส่วนคำว่าหิว ที่คนไทยพูดได้ทุกคน มันจึงเป็นแค่ภาษาสมมุติ ถ้าไม่มีคำว่าหิว คุณลองนั่งคิดเล่นๆ ดูว่าจะอธิบายยากไหมจะสื่อสารให้ผู้คนรู้ได้ยังไงถึงความรู้สึกหิว แม้คำว่าพระพุทธเจ้า พระรัตนตรัย พระไตรปิฏก และคำที่พูดทุกๆคำที่ใช้กันจนเป็นประโยคสื่อสารได้ทั้ง ชื่อผู้คนพ่อแม่ เรื่องราวต่างๆล้วนแต่สมมุติไม่มีอยู่จริงมันน่ากลัวตรงที่คนในโลกนี้ล้วนยึดติดในสมมุติคิดว่ามันมีอยู่จริง ทำให้คนต้องมาเกิดอีกแท้จริงทุกสิ่งล้วนมีแต่ความว่างเปล่า มันไม่เคยมีมาก่อน - มี - กับไปไม่มี เเม้แต่ตัวเราก็เป็นสิ่งสมมุติเหมือนกันคนก็มาจากธรรมชาติ ชีวิตแค่ชั่วคราว แต่ช่วงที่คนเราหาเงินได้มักถูกกิเลสหลอกต้องหรูดูดีทำให้มีความเพลินไม่คิดว่าเราจะตายสุดท้ายที่แก่งแย่งกันกับไม่มีใครได้อะไรไป ไปมือเปล่าๆทุกคน นี่คือความจริงที่ไม่ใช่สมมุติ.
คัมภีร์สมมุติ ยังยึดคัมภีร์ ยังยึดสมมุติ
สาธุ สาธุ สาธุอนุโมทามิเจ้าค่ะ
ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาบุญกับอาจารย์ด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
แล้วนิกายเซน มายังไงครับ
เอาศาสนามาสอน โดยแฝงอคติภายในตัวตีความเองโดยอติ จะพาผู้อื่นหลงทางจากบุญก็จะเป็นบาป อย่าตัดสินอะไรที่ไม่ได้เข้าสัมผัสจนถึงแก่น การสอนผู้คนจะการการอ่านมาก ฟังมามาก ทุกสิ่งล้วนเป็นความรู้ ไม่ใช่ปัญญาซึ่งต้องมาจากการปฎิบัติเท่านั้น การอ้างตำราจากการอ่านจากการฟัง ล้วนแต่เป็นวีถีของบัวเหล่า4ทั้งสิ้นกาลามสูตร10ที่พุทธองค์ให้ไว้พึงพิจารณา เป็นตัวกำหนดเหล่าชั้นและผู้ที่เราตัดสินได้ว่าเขาเป็นแค่ผู้รู้ หรือเป็นผู้มีปัญญา รู้เป็นได้ทั้งผิดและถูก แต่ปัญญามีแค่หนึ่งเดียว
เรียนท่านอาจารย์ครับ การสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ 2 นั้น เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ 100 ครับ และ การแตกแยกนิกายนั้น ก็ยังคงเป็นนิกายเถรวาท ซึ่งต่อมา นิกายเถรวาทแยกออกมาถึง 18 นิกายส่วนนิกายมหายานนั้น ก่อกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ 500ปี หลังจากพุทธปรินิพพาน การก่อตั้งขึ้นก็เพื่อมาต่อกรกับศาสนาพราหมณ์นิกายเถรวาทนั้น เหมาะสมกับผู้มีปัญญามากเท่านั้น ต้องประพฤติปฏิบัติด้วยความเพียรเพื่อบรรลุธรรม คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญญา จึงไปนับถือศาสนาพราหมณ์ซึ่งมีเทพเจ้ามากมาย จะขออะไรก็ได้ เหตุนี้ศาสนาพุทธจึงอ่อนแอหาคนมานับถือยาก มหายานจึงตั้งขึ้นมา มีองค์โพธิสัตว์จำนวนมากเช่นกัน ที่มีคนนับถือมากมี เจ้าแม่กวนอิมเป็นต้น จะขออะไรก็ขอได้ แถมมีเครื่องลางของขลังอีกมากมายไว้แจก มหายานตั้งขึ้นเพื่อมหาชน จะเป็นผู้มีปัญญามากเช่นท่านนาคารชุน หรือชาวบ้านชาวนาที่ไม่มีปัญญาเลย ก็มานับถือได้ เพียงเอ่ยนามพระโพธิสัตว์ที่นับถือ ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ใหม้ฯลฯ
ท่านผู้รู้ทั้งหลายจะได้สร้างโอกาสให้ได้สนทนาธรรมกันเพื่อสร้างความเข้าใจในสาระแห่งพระธรรมของพระพุทธองค์ให้ตรงกันได้ไหม เพื่อให้การเรียนรู้ที่ตรงไม่ผิดเพี้ยนเสียหายไปคราวละนิดละหน่อย ผู้บรรยายให้สาระแฉลบออกไปคนละนิดละหน่อย นานไปก็ขัดแย้งกัน หรือไม่หนอ
ความเห็นที่4) พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่า ไม่มีตัวตน พระพุทธองค์ทรงสอนว่า ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของของตนอาจารย์แยกแยะไม่เป็นครับ สมมุติก็เป็นสมมุติ ปรมัติก็เป็นปรมัติที่เรียกว่าเป็นปรมัตินั้น เพราะมีสภาวะและลักษณะให้รู้ได้ ซึ่งมีอยู่ 4 คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เว้นจากนิพพานแล้ว จิต เจตสิก และรูป รวมกันเข้าก็เป็นขันธ์ 5คือ รูป เวทนา(เจตสิก) สัญญา(เจตสิก) สังขาร(เจตสิกที่เหลืออีก 50) วิญญาณ(จิต 89ดวง นับโดยพิศดารก็เป็น 121)ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว ก็ต้องแยก ปรมัติและสมมุติได้ ยกตัวอย่าง พระนางวิสาขา บรรลุโสดาบันตั้งแต่อายุแค่ 8 ขวบ ยังแต่งงานและมีลูกถึง 20คนอีกประการหนึ่ง อนัตตานั้นนอกจากมีความหมายว่า ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของของตนแล้ว ยังมีความหมายอีกอย่างว่า สิ่งนั้นเกิดจากเหตุปัจจัย และดับเมื่อปัจจัยดับ เกิดขึ้นด้วยตัวเองไม่ได้ และไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง
❤
ความเห็นที่3)เนื่องเพราะจิตมีสามัญลักษณะคือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาและมีลักษณะพิเศษคือ ๑. โน้มไปรู้อารมณ์ ๒. เกิดดับสืบต่อกันอย่างไม่ขาดสาย ๓. เป็นประธาน คือเป็นหัวหน้าของเจตสิก ๔. มีนามรูปเป็นเหตุใกล้ฉะนั้นแล้ว เมื่อจิตทิ้งอารมณ์ทั้งปวงที่เป็นสังขารแล้ว ก็จำต้องเอานิพพานมาเป็นอารมณ์นั่นเองนิพพานนั้นจึงเป็นสภาวะธรรมที่ โคตรภูญาณ มรรคญาณและผลญาณ ต้องหน่วงเอามาเป็นอารมณ์ที่พระพุทธเจ้าชี้ว่า นิพพานเป็น”อายตนะ”นั้น พระพุทธองค์ทรงชี้ชัดว่า นิพพานเป็น”ธัมมายตนะ”นั่นเองนิพพานเที่ยง เพราะ ผู้ที่ทิ้งสังขารทั้งปวงแล้ว จะต้องเห็นนิพพานทุกรายไปนิพพานเป็นสุข เพราะเมื่อทิ้งสังขารคือความทุกข์ทั้งสิ้นแล้ว ในเมื่อไม่มีทุกข์จึงว่าเป็นสุขนิพพานเป็นอนัตตา เพราะนิพพานเกิดเพราะเหตุปัจจัยและดับเพราะปัจจัยดับ อธิบายว่า นิพพานเกิดเพราะจิตทิ้งสังขาร จิตจึงเห็นนิพพาน เมื่อ จิต 4 ดวงนั้น(ที่ทิ้งสังขาร)ดับไปแล้ว นิพพานก็ดับตามไปด้วยถ้าจะอริยเจ้าท่านแล้วต้องการมีนิพพานเป็นอารมณ์อีก ก็ต้องเข้า”ผลสมาบัติ”ตามขั้นที่บรรลุนั้นๆ ในพระไตรปิฏก ไม่มีว่า”นิพพานนั้น นอกเหตุเหนือผล” เห็นจะมีท่านหลวงพ่อชา(ขอกราบแทบเท้าท่าน)ที่ใช้คำว่า”นอกเหตุเหนือผล” แต่ในที่นี้ผมไม่ได้ว่า ท่านพูดว่า”นิพพานนั้น นอกเหตุเหนือผล” ต้องฟังเทศนานั้นให้ชัด อีกสักครู่ผมจะฟังว่า ท่านหมายถึงอะไร?
มีวิธีหลุดออกจากขัน5ป่าวคับโปรดนำกุสนมาให้ผมทีสาธุๆๆๆ🙏🙏🙏😇😇😇
เสียงอาจารย์เหมือนตัวละครในซีรีส์ปรมาจารย์ลัทธิมารเลยค่ะ🙏🙏🙏
ความเห็นที่2)ที่ท่านอาจารย์พูดว่า “ นิพพานอยู่นอกเหตุเหนือผล” นั้น เป็นความเข้าใจผิดของท่านอย่างมากครับ พื้นฐานของพระพุทธศาสนานั้น ตั้งอยู่บนเหตุปัจจัย ยกตัวอย่าง อริยสัจ4 ก็เกิดจากเหตุและมีผลตามมา ว่าทุกข์ อุปาทานขันธ์5คือตัวทุกข์ (นี้เป็นผล)สมุทัย คือเหตุให้เกิดทุกข์ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยสังขารจึงมี เพราะสังขารเป็นปัจจัยวิญญาณจึงมี เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยนามรูปจึงมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัยสฬายตนะจึงมี เพราะ…………………เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะโสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัสและอุปายาสจึงมี ความทุกข์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นด้วยเหตุเพียงเท่านี้นิโรธ ความดับทุกข์(ผล) เพราะอวิชชาดับสังขารจึงดับ………. เพราะชาติดับ ชรามรณะโสกะปริเทวะทุกข์โทมนัสและอุปปายาสจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ เกิดขึ้นเพราะเหตุเพียงเท่านี้มรรค(เหตุ) อริยมรรคอันมีองค์8 คือ สัมมาทิฏฐิ………….สัมมาสมาธินิพพานเป็นผล เหตุคือการปฏิบัติถูกต้องตามธรรม ครบจบโพธิปักขิยธรรมทั้ง37ประการ และเมื่ออินทรีย์ทั้ง5 ได้ส่วนเสมอกันแล้ว สัมมาสมาธิจะเป็นประธานรวบรวมเอาโพธิปักขิยธรรมทั้ง37ประการมาประชุมกัน เมื่อนั้น มรรควิถีจะเกิดขึ้นดังนี้คือ จิตดวงที่1 เป็นอนุโลมญาณ จิตดวงที่ 2เป็นอนุโลมญาณ จิตดวงที่ 3 เป็นอนุโลมญาณ จิตดวงที่ 4 เป็นโคตรภูญาณ หน่วงเอานิพพานเป็นอารมณ์ จิตดวงที่ 5 เป็นมรรคญาณ หน่วงเอานิพพานเป็นอารมณ์ด้วย อีกทั้งประหารกิเลสตามกำลังแห่งองค์มรรคนั้นๆด้วย จิตดวงที่ 6เป็นผลญาณ จิตโคจรอยู่ในพระนิพพาน จิตดวงที่ 7 เป็นผลญาณ จิตโคจรอยู่ในพระนิพพานจะเห็นได้ว่า “นิพพานนั้น อยู่ในเหตุและในผล” อย่างสมบูรณ์แบบ
หลวงพ่อชาท่านกล่าวไว้ว่า " .. ธรรมที่พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้ "ต้องอยู่นอกเหตุเหนือผล นอกสุขเหนือทุกข์ นอกเกิดเหนือตาย" ธรรมนี้เป็นธรรมที่ระงับ “
@@prakriti7894 พึงรู้ไว้การอ้างถึงคนนี้พูด ตำรานี้เขียน กาลามสูตร10พุทธองค์บอกเป็นวิถีของบัวเหล่า4
@@prakriti7894 ความหมายที่องค์หลวงพ่อชาท่านกล่าวไว้ว่า”นิพพานนั้นอยู่นอกเหตุเหนือผล”นั้น หมายเอาว่า นิพพานนั้นไม่สามารถเอาเหตุและผลมาวิเคราะห์วิจัยและวิจารณ์เพื่อให้ไปถึงหรือรู้เห็นสภาวะของนิพพานได้ แต่ผมก็ได้อธิบายตามข้างบนนี้แล้วว่า “นิพพานนั้น อยู่ในเหตุและผลเช่นใด” ซึ่งไม่ได้ขัดกันกับสิ่งที่หลวงพ่อชากล่าวไว้เลยครับ พูดกันคนละมุม คนละขั้นกันครับ ส่วนที่ว่า”นอกสุขเหนือทุกข์”นั้น ก็หมายเอาว่า เมื่อบรรลุนิพพานแล้วความทุกข์ทั้งหมดก็หมดไป และความสุขในสังขารย่อมไม่มี ตามแบบที่เกิดในสมาธิ เพราะในเมื่อทิ้งสังขารทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว และในเมื่อไม่มี”เวทนา”แล้ว ความสุขจะมีได้อย่างไร? นี้ก็ไม่ขัดกับที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า”นิพพานเป็นบรมสุข” นี้ก็พูดคนละมุมกัน ที่ว่า”นิพพานเป็นบรมสุขนั้น”เพราะในเมื่อไม่มีความสุขเลย ก็คือสุขอย่างยิ่งนั่นเอง แต่ความสุขนี้และความทุกข์นี้ก็ไม่มีอะไรมาเสวย(หมายเอาทางจิต)เมื่อยังทรงธาตุขันธ์อยู่ คือจิตอยู่เหนือความทุกข์ทางกายนั่นเอง ส่วนคำว่า”นอกเกิดเหนือตาย” ก็เข้าใจง่ายอยู่แล้ว เมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว “ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี” ในเมื่อไม่เกิดอีก ความตายย่อมไม่มีดังนี้แล
@@prakriti7894 ขอแก้ไขข้อความข้างบนนี้เป็น”ในเมื่อไม่มีความทุกข์เลย ก็คือสุขอย่างยิ่ง”
@@pornanant9558 ตรงนี้ผมคิดว่าก็เข้าใจเหมือนท่านนะครับ คือเมื่อถึงนิพพานก็จะเข้าใจถึงธรรมชาติที่อยู่นอกเหนือเรื่องของเหตุผล อยู่โพ้นในมิติของสังขารธรรม ไม่สุขไม่ทุกข์แบบโลกๆ แต่เป็นแบบบรมสุข แล้วประโยคต้นที่ท่านบอกว่าอาจารย์เข้าใจผิดคือยังไงนะครับ
รู้สึกเป็นศูนย์ อ.อริยเจ้า
ทำไม เอาเรื่องวัตถุ 10 ที่เป็นเหตุสังคายนา ครั้งที่ 2 มาปนกับเรื่อง สังคายนาครั้งที่ 1 ... ผู้บรรยายสับสนหรือไม่
ท่าน ทราบยัง,,ธรรม,,คืออะไร,,ศาสนาพุทธ ไม่มีสายใดๆครับ
พระพุทธองค์ไม่เคยสอนให้แตกแยก แต่บอกว่าการทำให้สงฆ์แตกแยกเป็นอนันตริยกรรม พาผู้คนหลงทางพาศาสนาให้เสื่อมไวขึ้น สายป่าบ้างอะไรบ้างพาแตกแยกไปหมด
สิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้นั้นคือพระองค์ท่านทรงเห็นโทษไว้แล้วถ้าทำสิ่งนี้ๆจะได้รับทุกข์โทษอย่างไรแบบไหนนั่นเองจึงทรงบอกกล่าวบัญญัติไว้.....ญานเล็ก..เพื่อการตรัสรู้เร็ว..บำเพ็ญเพียรระดับต่ำสุดแสนกัลป์เป็นเอนก..แต่...เมื่อบำเพ็ญตนบรรลุเป็นอรหันต์แล้ว..คุณความเป็นพระอรหันต์..นั้นสามารถช่วยเหลือผู้คนได้..เช่น..ถ้าใครคนใดคนนึง..ที่ได้ใส่บาตรทำบุญกับพระอรหันต์ที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติในวันนั้นจะร่ำรวยทันทีภายในวันนั้นตัวอย่างในพระไตรปิฎกมีมากมายในปัจจุบันก็เห็นว่ามีอดีตนายกทักษิณไงที่ไปทำบุญกับหลวงตามหาบัวที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติแล้วก็ได้เป็นนายกในยุคนั้น..องค์หลวงจึงได้ด่าสาดเสียเทเสียที่เห็นในคลิปที่เผยแพร่ออกมาท่านลืมเล็งว่าทักษิณจะเข้ามาโกงบ้านโกงเมืองนี่แหละการช่วยผู้คนสัตว์โลกในพุทธเถรวาท
คุณรู้ได้อย่างไรครับว่าหลวงตามหาบัวบรรลุอรหันต์แล้ว ถึงได้รับรอง ถึงได้กล่าวยกย่องสรรเสริญถึงเพียงนั้น สิ่งนี้คุณรู้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งของตนเองจริงๆหรือ หรือเพียงการสัณฐานคาดเดาเอาเอง หรือเชื่อด้วยการบอกเล่าจากบุคคลอื่น ด้วยสิ่งนี้เป็นปัจจัตตัง คือรู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น หากแม้นหลวงตามหาบัวบรรลุอรหันต์จริง ท่านก็หลุดพ้นไปแล้วด้วยดีเฉพาะตน หรือหากแม้นเน่าในลวงโลกก็ตกนรกหมกไหม้ทุกข์ทรมานตลอดชั่วกาลนานเฉพาะตนเช่นกัน ควรแล้วหรือที่จะเอาคอไปพาดเขียงหาโทษโดยใช่เหตุ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ละครับ บุคคลไม่พึงประมาณในบุคคล ผู้ประมาณในบุคคลย่อมขุดรากคุณงามความดีของตน ย่อมประสบกับบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก เว้นไว้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือผู้ที่เหมือนพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่พึงประมาณในบุคคลได้ พยากรณ์ได้เป็นหนึ่งไม่มีสอง เป็นสัจธรรมความจริงแน่แท้เป็นอกาลิโก หากการกล่าวปรามาสพระอรหันต์นั้นย่อมประสบกับบาป มีโทษให้ผลเป็นวิบากเป็นอันมาก การกล่าวยกย่องสรรเสริญว่าบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นอรหันต์โดยที่มิใช่สัจจะความจริงนั้นก็ย่อมให้ผลเช่นเดียวกัน เช่น หลายๆคนกล่าวยกย่องสรรเสริญว่า หลวงพ่อฤาษีลิงดําเป็นพระอรหันต์ แต่หลวงพ่อฤาษีลิงดำก็ยังกระทำซึ่งเดรัจฉานวิชชา หาเลี้ยงชีพในทางมิชอบอยู่เห็นปานนั้น นอกจากจะไม่อาจบรรลุมรรคผลใดๆได้แล้ว นั้นยังเป็นความเห็นผิด ตั้งมั่นอยู่ในมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งคติที่ไปเมื่อละกายตายจากโลกนี้ไปแล้วก็คือ นรกหรือเดรัจฉานเท่านั้น เมื่อกล่าวยกย่องสรรเสริญ ย่อมชักนำมหาชนให้เข้าสู่มิจฉาทิฏฐิเป็นอันมาก ตนเองก็มีความเห็นผิดอยู่แล้ว ยังชักนำมหาชนให้หลงผิดไปด้วย เมื่อคนเหล่านั้นต้องร่วงลงไปสู่ทุคติ คือ นรกและเดรัจฉานเป็นอันมาก แล้วคนที่ชักชวนนั้นจะต้องตกนรกหรือได้กำเนิดเดรัจฉานอีกยาวนานกว่ามหาชนคนเหล่านั้นอีกสักเท่าไหร่ หากไม่เข้าข้างตนเองจนเกินไป ก็น่าจะพอเทียบตามตรรกะได้ไม่มากก็น้อย นี้จึงได้ชื่อว่าคนเลวยิ่งกว่าคนเลวนั่นละครับ
@@เชาวฤทธิ์ขัดสี วรรคสุดท้ายที่ยกตัวอย่างเช่น...นั่นแหละเป็นตัวอย่างของพระรัตนตรัยข้อนึงที่คุณคงพร่ำบ่นเพ้อท่องเป็นประจำว่า สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ แปลว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าปฏิบัติดีแล้ว หมายถึง พระสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติตามทางสายกลาง (มัชฌิมปฏิปทา) ไม่หย่อนนัก ไม่ตึงนัก ปฏิบัติไม่ถอยหลัง ปฏิบัติกลมเกลียวกับพระศาสดา ไม่ปฏิบัติเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน...แล้วองค์หลวงตาย่อหย่อนขอวัตรปฏิบัติตรงไหนบอกมาซิ..และด้วยความมีเมตตาต่อสัตว์โลก..องค์ท่านเพิ่งมาเสียวัตรตอน..ปี40..หาเงินและทองเข้าคลังหลวง..แล้วไง..คุณเคยรู้เรื่องราวเหล่านี้หรือป่าว..หรือมีแต่คอยเพ่งโทษ..ใครต่อใคร..การที่รู้ว่าเป็นอริยะหรือไม่อีกแบบนึงคือ..คุณได้เคยสัมผัสด้วยตัวเองหรือไม่กับสิ่งเหล่านี้..วิชชา 3...หูทิพย์ตาทิพย์รู้ใจคน...หรือแม้ความมีเมตตา..หรืออะไรก็แล้วแต่ของพระอริยะ..พอเราอยู่ในรัศมีใกล้ท่านเราจะรู้สึกเย็นวาบสบายกายใจปิติ..นั่นคือพลังแห่งคุณ..หรือความมีเมตตาต่อสัตว์โลก..เกิดมาเป็นคนคุณเคยได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้กับใครหรือไม่...ที่เขาเรียกกันว่าเป็นพระอริยะ..มันพอจะทำให้ในตนรู้ได้ว่า..ใครคือผู้มีศีลวัตรอันดีงาม..และที่แน่เรามีครูอาจารย์ผู้เป็นโพธิสัตว์ผู้สร้างบารมีมายาวนานมากมีความสามาถมีความรู้ในธรรมทั้งปวงที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และนำมาสอน84000หัวข้อนี้อย่างละเอียดยิบซึ่งในโลกมนุษย์ขณะนี้ไม่มีใครสามารถอธิบายธรรมได้อย่างสาแก่ใจเราแม้แต่องค์หลวงตาหรือพระสายหลวงปู่มั่นก็เถอะเราแสดงความเสียใจด้วยนะที่คุณไม่ได้สร้างบารมีมาเพื่อเกี่ยวข้องกับท่านอาจารย์ของเราจึงไม่รู้จักและได้ลิ้มรสของธรรมทั้งปวงอย่างลึกซึ้ง..มาตรแม้นถ้าเราได้สร้างบารมีมาเต็มแล้วในชาตินี้คงฟังธรรมจากท่านอธิบายแล้วบรรลุได้เลยแต่อย่าลืม..ขั้นต่ำๆในการสร้างความหลุดพ้นแห่งจิตตน..เป็นแค่อรหันต์สุขวิปัสโก..ต้องสร้างเวลาถึงแสนกัลป์เป็นเอนกจึงหลุดพ้นได้..ต่อให้เข้าใจธรรมเห็นธรรมก็จริงเวลายังไม่ถึงก็วิมุติไม่ได้เช่นกัน..และการเข้ามาฟังกับอาจารย์ท่านนี้เราชอบท่านอธิบายธรรมเป็นภาษาปัจจุบันชอบท่านอธิบายเป็นภาษาวิทยาศาสตร์และภาษาอังกฤษ..ท่านเก่งมากๆทั้งที่ท่านไม่ได้จบทางวิทย์มาเลยแต่ท่านอธิบายเก่งแต่ในธรรมที่ท่านอธิบายอันที่เรารู้เราก็แย้งในใจอยู่นะ...ถามจริง.บทสวดอิติปิโส..แปลว่าอะไรและได้เคยสัมผัสจริงในตนจริงป่าว.....ถ้าได้สัมผัสจริงด้วยตนจะไม่ถามใครหรืองงกับใครนะ🤣🤣🤣
@@เชาวฤทธิ์ขัดสี พระพุทธเจ้าสอนวิธีสอบสวนว่าใครเป็นอริยะ ...เคยอ่านบ้างป่ะพระไตรปิฎกเล่ม 22 พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ หน้าที่ 213๒. ฉวิโสธนสูตรหลักการตรวจสอบจิตที่พ้นจากอาสวะ..............
@@เชาวฤทธิ์ขัดสีพระไตรปิฎก เล่ม 33พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 423สูตรที่ ๖ว่าด้วยบุคคล ๒ จำพวก เมื่อฟ้าผ่าไม่สะดุ้ง[๓๐๒] ๕๖. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๒ จำพวกนี้ เมื่อฟ้าผ่าย่อมไม่สะดุ้ง ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ พระภิกษุขีณาสพ ๑ ช้างอาชาไนย ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๒ จำพวกนี้แล เมื่อฟ้าผ่าย่อมไม่สะดุ้ง.จบสูตรที่ ๖.....พระไตรปิฎกเล่ม 22 พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ หน้าที่ 213๒. ฉวิโสธนสูตรหลักการตรวจสอบจิตที่พ้นจากอาสวะ..............
@@เชาวฤทธิ์ขัดสี คุณเห็นกิเลสตัณหาในจิตใจของคนอื่น แล้วคุณเห็นอะไรในความคิดของคุณไหม
แก้ไข: 1. สัมมาสังกัมมันตะ 2. สัมมาสังกัปปะ
เมืองไทยนักวิจารณ์เยอะ..
ถ้าสัพเพธรรมาอนัตตาทุกสิ่งล้วนเป็นอนัตตาแล้วฉนั้นนิพพานก็ยังไม่เที่ยงอยู่ดีเพราะทุกอย่างล้วนคืออนัตตา#
บทนี้หมายถึงขัน5เท่านั้น ยกบทนี้มาเต็มๆซิอย่าตัดตอนมา
นิพพานอยู่นอกเหนือกฎทุกสรรพสิ่ง
@@sopanut33บทนี้รวมทุกสิ่งแล้วครับ ทั้งสังขารและนิพพานล้วนเป็นอนัตตา แต่ผู้โพสต์ข้อความไม่เข้าใจ เลยไปเหมาเอาทั้งสังขารและนิพพานว่าไม่เที่ยงครับ ก็อย่างที่คุณรู้อยู่ว่า นิพพานเที่ยง เป็นสุข และเป็นอนัตตา
สัพเพ สังขารา อนิจจาสัพเพ สังขารา ทุกขาสัพเพ ธัมมา อนัตตานิพพานัง ปรมัง สุขัง
ถ้ามีลูกโลก เอามานั่งดูหรือเปิด nasa live มองดูโลกจากนอกโลก..
ช่องสอนศาสนาแต่โฆษณาเพี้ยบ น่าจะไม่มีเป็นธรรมทานแต่ยังไงก็ขอบคุณกับความรู้
จะเข้ากิจกรรมรับฟังแบบนี้ตามข่าวได้ที่ไหนครับ
เข้าใจที่ท่านอาจารย์บรรยายค่ะ🙏 บางท่านอาจคิดเห็นขัดแย้งกันก็เป็นเรื่องธรรมดา ส่วนตัวเห็นว่าการเปิดใจรับฟังหลากหลายแนวทางหรือต่างศาสนาแล้วนำส่วนที่มีประโยชน์มาใช้เพื่อการดำรงชีวิตที่สงบสันติ และอาจถึงได้ประจักษ์ความจริงสูงสุด เป็นสิ่งที่ดี เรื่องที่ปัญญายังไปไม่ถึงขอฟังไว้ก่อนไม่ตัดสินถูกผิด ท่านอจ.บรรยายให้เข้าใจง่าย ใจเบา ไม่เคร่งเครียดกับเรื่องปฏิบัติอย่างที่เคยทำมา ซึ่งทำด้วยความโลภที่อยากบรรลุ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ค่ะ🙏
สวัสดีปีใหม่ท่านอาจารย์์ ครับ..จะรู้ได้อย่างไร?อาจารย์สอนธรรมะที่ไหน..รู้ได้อย่างไร? ติดต่ออาจารย์ได้อย่างไรครับ.
ขอบพระคุณมากๆค่ะ อาจารย์เป็นบุคคลากรที่หาได้ยากดีใจที่ได้เข้ามาเรียนรู้ค่ะ❤
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ทวีศักดิ์เป็นอย่างสูง และผู้เผยแผ่พระธรรมสู่โซเชียล กราบอนุโมทนาสาธุๆๆค่า🌹🌹🌹
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ น้อมอนุโมทนาสาธุธรรมคะ
สาธุครับ หาข้อมูลด้านนี้ตั้งนาน แทบไม่เจอเลยครับ
อ. สอนได้ดีมันก็เป็นไปตามนั้นค่ะ อ. อธิบายได้ดีมากค่ะ สาธุค่ะ
สาธุครับอาจารย์
กราบอนุโมทนา สาธุ ขอบพระคุณค่ะ
น้อมกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ทวีศักดิ อนุโมทนาสาธุสาธุคะ
กราบขอบคุณท่านอาจารย์ครับ จะขอเข้าไปเรียนได้อย่างไรครับ
กราบสวัสดีอาจารย์ค่ะ🙏
ไม่ต้องรู้มากขนาดนั้นก็ได้ รู้แล้ววางและไม่ทุกข์เพราะความไม่เที่ยงของธรรมชาติก็พอแล้ว แต่ก็สาธุขอรับ🙏🙏🙏
เขาเป็นอาจารย์
กราบขอบคุณอาจารย์ค่ะ..รู้สึกเป็นผู้โชคดีได้ฟังได้พบครูอาจารย์ผู้มีความรู้มีปัญยามากค่ะ❤😊
อนุโมทนาสาธุ
สวัสดีค่ะท่านอาจารย์ขอให้ท่านมีความสุขในปี2024.Stay blessed!
รอฟังค่ะ ชอบฟังพระสูตรที่เป็นเพลงบทนี้
กราบขอบพระคุณอาจารย์🙏🏼
ขอบคุณครับ
**
แสวงหาตรัสรู้ แทบตาย
กลับแอบอยู่ในกาย ร่างนี้
ญานเล็กใหญ่อุบาย ตามจริต
ปารมิตาชี้ ลึกซึ้งปัญญา
🙏🙏
ความเห็นที่5)
ที่อาจารย์ว่า”นิพพาน มีแต่สภาวะที่เป็นกลางเท่านั้น” ก็ผิดพลาดไปมากครับ
โลกิยญาณชั้นสูงสุดคือ”สังขารุเปกขาญาณ” ที่มีสภาวะเป็นกลางต่อสังขาร เมื่อได้สังขารุเปกขาญาณแล้ว ญาณนั้นก็รวมกับอนุโลมญาณและโคตรภูญาณ เรียกว่า”วุฏฐานคามินีวิปัสสนา” เข้าสู่มรรคญาณ สภาวะของนิพานที่เห็นนั้น คือความว่างอันไร้ขอบเขตทั้ง 10ทิศ ไม่มีพระจันทร์ พระอาทิตย์ และดวงดาวทั้งหลาย แต่มีความสว่าง ไม่มีสังขารทั้งปวง ไม่มีรูปพรหม ไม่มีอรูปพรหม ไม่มีจิตอื่นๆ ไม่มีฟ้า ไม่มีพสุธา ไม่มี ดิน น้ำ ไฟ ลม ฉะนั้นแล้ว เมื่อไม่มีสังขารทั้งปวง จึงไม่มี ความเป็นกลาง และไม่มีความไม่เป็นกลาง
อาจารย์พยายามเอาสังขารไปบรรยายสภาวะของนิพพาน จึงผิดพลาดทั้งหมด ถ้ายังไม่ทิ้งสังขารอย่างหมดจดก็ไม่เห็นนิพพาน เมื่อไม่เห็นนิพพานแล้ว ก็ไม่มีทางบรรยายถูก ก็ได้แต่อนุมานคาดเดาไปตามที่ได้ฟังได้อ่านมาเท่านั้น
อาจารย์แกก็บอกก่อนอยู่แล้วว่า สมมุติ" คือ อธิบาย บอก ให้ คนมันเข้าใจตามภาษาสมมุติแบบชาวโลกๆ ไป ก่อน หรือเปล่าครับท่าน หรือจะอธิบายอีกแบบว่า นิพพาน แปลว่า เย็น นิโรธ แปลว่า ดับสนิท (ดับเย็น) อนัตตา ไร้อัตรา เมื่อเราไม่มี นั้นแหละจบเหตุ.
ทั้งชื่อญานต่างๆ แม้แต่ชื่อนิพพาน โน่น นี่ นั้น ที่อธิบายล้วนเป็นคำสมมุติขึ้นทั้งสิ้น แท้จริงแล้วไม่มีอะไรเลย คุณสามารถเขียนได้อย่างมากมายก็ล้วนเป็นคำสมมุติที่ถูก เขียนขึ้น แต่งขึ้นถ้าไม่มีคำสมมุติเหล่านี้ อ.จะสอนไม่ได้ อ. จึงต้องอธิบายเป็นภาษาสมมุติก่อน ต้องมีอัตตา หรือความมีตัวตน ของภาษก่อน เพื่อให้เข้าใจและนำไปสู่ ความเป็นอนัตตาหรือสูญญตา คือความไม่มี มีแต่ สภาวะของธรรมชาติที่รู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น อ.เคยสอนว่า "ของจริงนิ่งเป็นใบ้ " ของพูดได้นั้นไม่จริง " เช่น หิว หรือ อิ่ม ( พูดได้) สื่อสารกันให้รู้ว่าฉันหิวแล้ว มันจึงเป็นแค่คำสมมุติ ความจริงคุณรู้ได้ด้วยตัวเองว่า ความรู้สึกหิวเป็นยังไง
มันเป็นสภาวะของธรรมชาติจริงๆ ส่วนคำว่าหิว ที่คนไทยพูดได้ทุกคน มันจึงเป็นแค่ภาษาสมมุติ ถ้าไม่มีคำว่าหิว คุณลองนั่งคิดเล่นๆ ดูว่าจะอธิบายยากไหมจะสื่อสารให้ผู้คนรู้ได้ยังไงถึงความรู้สึกหิว แม้คำว่าพระพุทธเจ้า พระรัตนตรัย พระไตรปิฏก และคำที่พูดทุกๆคำที่ใช้กันจนเป็นประโยคสื่อสารได้ทั้ง ชื่อผู้คนพ่อแม่ เรื่องราวต่างๆล้วนแต่สมมุติไม่มีอยู่จริงมันน่ากลัวตรงที่คนในโลกนี้ล้วนยึดติดในสมมุติคิดว่ามันมีอยู่จริง ทำให้คนต้องมาเกิดอีกแท้จริงทุกสิ่งล้วนมีแต่ความว่างเปล่า มันไม่เคยมีมาก่อน - มี - กับไปไม่มี เเม้แต่ตัวเราก็เป็นสิ่งสมมุติเหมือนกันคนก็มาจากธรรมชาติ ชีวิตแค่ชั่วคราว แต่ช่วงที่คนเราหาเงินได้มักถูกกิเลสหลอกต้องหรูดูดีทำให้มีความเพลินไม่คิดว่าเราจะตายสุดท้ายที่แก่งแย่งกันกับไม่มีใครได้อะไรไป ไปมือเปล่าๆทุกคน นี่คือความจริงที่ไม่ใช่สมมุติ.
คัมภีร์สมมุติ ยังยึดคัมภีร์ ยังยึดสมมุติ
สาธุ สาธุ สาธุอนุโมทามิเจ้าค่ะ
ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาบุญกับอาจารย์ด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
แล้วนิกายเซน มายังไงครับ
เอาศาสนามาสอน โดยแฝงอคติภายในตัวตีความเองโดยอติ จะพาผู้อื่นหลงทางจากบุญก็จะเป็นบาป อย่าตัดสินอะไรที่ไม่ได้เข้าสัมผัสจนถึงแก่น การสอนผู้คนจะการ
การอ่านมาก ฟังมามาก ทุกสิ่งล้วนเป็นความรู้ ไม่ใช่ปัญญาซึ่งต้องมาจากการปฎิบัติเท่านั้น การอ้างตำราจากการอ่านจากการฟัง ล้วนแต่เป็นวีถีของบัวเหล่า4ทั้งสิ้น
กาลามสูตร10ที่พุทธองค์ให้ไว้พึงพิจารณา เป็นตัวกำหนดเหล่าชั้นและผู้ที่เราตัดสินได้ว่าเขาเป็นแค่ผู้รู้ หรือเป็นผู้มีปัญญา รู้เป็นได้ทั้งผิดและถูก แต่ปัญญามีแค่หนึ่งเดียว
เรียนท่านอาจารย์ครับ การสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ 2 นั้น เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ 100 ครับ และ การแตกแยกนิกายนั้น ก็ยังคงเป็นนิกายเถรวาท ซึ่งต่อมา นิกายเถรวาทแยกออกมาถึง 18 นิกาย
ส่วนนิกายมหายานนั้น ก่อกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ 500ปี หลังจากพุทธปรินิพพาน การก่อตั้งขึ้นก็เพื่อมาต่อกรกับศาสนาพราหมณ์
นิกายเถรวาทนั้น เหมาะสมกับผู้มีปัญญามากเท่านั้น ต้องประพฤติปฏิบัติด้วยความเพียรเพื่อบรรลุธรรม คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญญา จึงไปนับถือศาสนาพราหมณ์ซึ่งมีเทพเจ้ามากมาย จะขออะไรก็ได้ เหตุนี้ศาสนาพุทธจึงอ่อนแอหาคนมานับถือยาก
มหายานจึงตั้งขึ้นมา มีองค์โพธิสัตว์จำนวนมากเช่นกัน ที่มีคนนับถือมากมี เจ้าแม่กวนอิมเป็นต้น จะขออะไรก็ขอได้ แถมมีเครื่องลางของขลังอีกมากมายไว้แจก มหายานตั้งขึ้นเพื่อมหาชน จะเป็นผู้มีปัญญามากเช่นท่านนาคารชุน หรือชาวบ้านชาวนาที่ไม่มีปัญญาเลย ก็มานับถือได้ เพียงเอ่ยนามพระโพธิสัตว์ที่นับถือ ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ใหม้ฯลฯ
ท่านผู้รู้ทั้งหลายจะได้สร้างโอกาสให้ได้สนทนาธรรมกันเพื่อสร้างความเข้าใจในสาระแห่งพระธรรมของพระพุทธองค์ให้ตรงกันได้ไหม เพื่อให้การเรียนรู้ที่ตรงไม่ผิดเพี้ยนเสียหายไปคราวละนิดละหน่อย ผู้บรรยายให้สาระแฉลบออกไปคนละนิดละหน่อย นานไปก็ขัดแย้งกัน หรือไม่หนอ
ความเห็นที่4) พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่า ไม่มีตัวตน พระพุทธองค์ทรงสอนว่า ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของของตน
อาจารย์แยกแยะไม่เป็นครับ สมมุติก็เป็นสมมุติ ปรมัติก็เป็นปรมัติ
ที่เรียกว่าเป็นปรมัตินั้น เพราะมีสภาวะและลักษณะให้รู้ได้ ซึ่งมีอยู่ 4 คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน
เว้นจากนิพพานแล้ว จิต เจตสิก และรูป รวมกันเข้าก็เป็นขันธ์ 5
คือ รูป เวทนา(เจตสิก) สัญญา(เจตสิก) สังขาร(เจตสิกที่เหลืออีก 50) วิญญาณ(จิต 89ดวง นับโดยพิศดารก็เป็น 121)
ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว ก็ต้องแยก ปรมัติและสมมุติได้ ยกตัวอย่าง พระนางวิสาขา บรรลุโสดาบันตั้งแต่อายุแค่ 8 ขวบ ยังแต่งงานและมีลูกถึง 20คน
อีกประการหนึ่ง อนัตตานั้นนอกจากมีความหมายว่า ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของของตนแล้ว ยังมีความหมายอีกอย่างว่า สิ่งนั้นเกิดจากเหตุปัจจัย และดับเมื่อปัจจัยดับ เกิดขึ้นด้วยตัวเองไม่ได้ และไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง
❤
ความเห็นที่3)
เนื่องเพราะจิตมีสามัญลักษณะคือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
และมีลักษณะพิเศษคือ ๑. โน้มไปรู้อารมณ์ ๒. เกิดดับสืบต่อกันอย่างไม่ขาดสาย ๓. เป็นประธาน คือเป็นหัวหน้าของเจตสิก ๔. มีนามรูปเป็นเหตุใกล้
ฉะนั้นแล้ว เมื่อจิตทิ้งอารมณ์ทั้งปวงที่เป็นสังขารแล้ว ก็จำต้องเอานิพพานมาเป็นอารมณ์นั่นเอง
นิพพานนั้นจึงเป็นสภาวะธรรมที่ โคตรภูญาณ มรรคญาณและผลญาณ ต้องหน่วงเอามาเป็นอารมณ์
ที่พระพุทธเจ้าชี้ว่า นิพพานเป็น”อายตนะ”นั้น พระพุทธองค์ทรงชี้ชัดว่า นิพพานเป็น”ธัมมายตนะ”นั่นเอง
นิพพานเที่ยง เพราะ ผู้ที่ทิ้งสังขารทั้งปวงแล้ว จะต้องเห็นนิพพานทุกรายไป
นิพพานเป็นสุข เพราะเมื่อทิ้งสังขารคือความทุกข์ทั้งสิ้นแล้ว ในเมื่อไม่มีทุกข์จึงว่าเป็นสุข
นิพพานเป็นอนัตตา เพราะนิพพานเกิดเพราะเหตุปัจจัยและดับเพราะปัจจัยดับ อธิบายว่า นิพพานเกิดเพราะจิตทิ้งสังขาร จิตจึงเห็นนิพพาน เมื่อ จิต 4 ดวงนั้น(ที่ทิ้งสังขาร)ดับไปแล้ว นิพพานก็ดับตามไปด้วย
ถ้าจะอริยเจ้าท่านแล้วต้องการมีนิพพานเป็นอารมณ์อีก ก็ต้องเข้า”ผลสมาบัติ”ตามขั้นที่บรรลุนั้นๆ
ในพระไตรปิฏก ไม่มีว่า”นิพพานนั้น นอกเหตุเหนือผล” เห็นจะมีท่านหลวงพ่อชา(ขอกราบแทบเท้าท่าน)ที่ใช้คำว่า”นอกเหตุเหนือผล” แต่ในที่นี้ผมไม่ได้ว่า ท่านพูดว่า”นิพพานนั้น นอกเหตุเหนือผล” ต้องฟังเทศนานั้นให้ชัด อีกสักครู่ผมจะฟังว่า ท่านหมายถึงอะไร?
มีวิธีหลุดออกจากขัน5ป่าวคับโปรดนำกุสนมาให้ผมทีสาธุๆๆๆ🙏🙏🙏😇😇😇
เสียงอาจารย์เหมือนตัวละครในซีรีส์ปรมาจารย์ลัทธิมารเลยค่ะ🙏🙏🙏
ความเห็นที่2)
ที่ท่านอาจารย์พูดว่า “ นิพพานอยู่นอกเหตุเหนือผล” นั้น เป็นความเข้าใจผิดของท่านอย่างมากครับ
พื้นฐานของพระพุทธศาสนานั้น ตั้งอยู่บนเหตุปัจจัย ยกตัวอย่าง อริยสัจ4 ก็เกิดจากเหตุและมีผลตามมา ว่า
ทุกข์ อุปาทานขันธ์5คือตัวทุกข์ (นี้เป็นผล)
สมุทัย คือเหตุให้เกิดทุกข์ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยสังขารจึงมี เพราะสังขารเป็นปัจจัยวิญญาณจึงมี เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยนามรูปจึงมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัยสฬายตนะจึงมี เพราะ…………………เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะโสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัสและอุปายาสจึงมี ความทุกข์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นด้วยเหตุเพียงเท่านี้
นิโรธ ความดับทุกข์(ผล) เพราะอวิชชาดับสังขารจึงดับ………. เพราะชาติดับ ชรามรณะโสกะปริเทวะทุกข์โทมนัสและอุปปายาสจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ เกิดขึ้นเพราะเหตุเพียงเท่านี้
มรรค(เหตุ) อริยมรรคอันมีองค์8 คือ สัมมาทิฏฐิ………….สัมมาสมาธิ
นิพพานเป็นผล เหตุคือการปฏิบัติถูกต้องตามธรรม ครบจบโพธิปักขิยธรรมทั้ง37ประการ และเมื่ออินทรีย์ทั้ง5 ได้ส่วนเสมอกันแล้ว สัมมาสมาธิจะเป็นประธานรวบรวมเอาโพธิปักขิยธรรมทั้ง37ประการมาประชุมกัน เมื่อนั้น มรรควิถีจะเกิดขึ้นดังนี้คือ จิตดวงที่1 เป็นอนุโลมญาณ จิตดวงที่ 2เป็นอนุโลมญาณ จิตดวงที่ 3 เป็นอนุโลมญาณ จิตดวงที่ 4 เป็นโคตรภูญาณ หน่วงเอานิพพานเป็นอารมณ์ จิตดวงที่ 5 เป็นมรรคญาณ หน่วงเอานิพพานเป็นอารมณ์ด้วย อีกทั้งประหารกิเลสตามกำลังแห่งองค์มรรคนั้นๆด้วย จิตดวงที่ 6เป็นผลญาณ จิตโคจรอยู่ในพระนิพพาน จิตดวงที่ 7 เป็นผลญาณ จิตโคจรอยู่ในพระนิพพาน
จะเห็นได้ว่า “นิพพานนั้น อยู่ในเหตุและในผล” อย่างสมบูรณ์แบบ
หลวงพ่อชาท่านกล่าวไว้ว่า " .. ธรรมที่พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้ "ต้องอยู่นอกเหตุเหนือผล นอกสุขเหนือทุกข์ นอกเกิดเหนือตาย" ธรรมนี้เป็นธรรมที่ระงับ “
@@prakriti7894 พึงรู้ไว้การอ้างถึงคนนี้พูด ตำรานี้เขียน กาลามสูตร10พุทธองค์บอกเป็นวิถีของบัวเหล่า4
@@prakriti7894 ความหมายที่องค์หลวงพ่อชาท่านกล่าวไว้ว่า”นิพพานนั้นอยู่นอกเหตุเหนือผล”นั้น หมายเอาว่า นิพพานนั้นไม่สามารถเอาเหตุและผลมาวิเคราะห์วิจัยและวิจารณ์เพื่อให้ไปถึงหรือรู้เห็นสภาวะของนิพพานได้ แต่ผมก็ได้อธิบายตามข้างบนนี้แล้วว่า “นิพพานนั้น อยู่ในเหตุและผลเช่นใด” ซึ่งไม่ได้ขัดกันกับสิ่งที่หลวงพ่อชากล่าวไว้เลยครับ พูดกันคนละมุม คนละขั้นกันครับ
ส่วนที่ว่า”นอกสุขเหนือทุกข์”นั้น ก็หมายเอาว่า เมื่อบรรลุนิพพานแล้วความทุกข์ทั้งหมดก็หมดไป และความสุขในสังขารย่อมไม่มี ตามแบบที่เกิดในสมาธิ เพราะในเมื่อทิ้งสังขารทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว และในเมื่อไม่มี”เวทนา”แล้ว ความสุขจะมีได้อย่างไร? นี้ก็ไม่ขัดกับที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า”นิพพานเป็นบรมสุข” นี้ก็พูดคนละมุมกัน ที่ว่า”นิพพานเป็นบรมสุขนั้น”เพราะในเมื่อไม่มีความสุขเลย ก็คือสุขอย่างยิ่งนั่นเอง แต่ความสุขนี้และความทุกข์นี้ก็ไม่มีอะไรมาเสวย(หมายเอาทางจิต)เมื่อยังทรงธาตุขันธ์อยู่ คือจิตอยู่เหนือความทุกข์ทางกายนั่นเอง
ส่วนคำว่า”นอกเกิดเหนือตาย” ก็เข้าใจง่ายอยู่แล้ว เมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว “ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี” ในเมื่อไม่เกิดอีก ความตายย่อมไม่มีดังนี้แล
@@prakriti7894 ขอแก้ไขข้อความข้างบนนี้เป็น”ในเมื่อไม่มีความทุกข์เลย ก็คือสุขอย่างยิ่ง”
@@pornanant9558 ตรงนี้ผมคิดว่าก็เข้าใจเหมือนท่านนะครับ คือเมื่อถึงนิพพานก็จะเข้าใจถึงธรรมชาติที่อยู่นอกเหนือเรื่องของเหตุผล อยู่โพ้นในมิติของสังขารธรรม ไม่สุขไม่ทุกข์แบบโลกๆ แต่เป็นแบบบรมสุข
แล้วประโยคต้นที่ท่านบอกว่าอาจารย์เข้าใจผิดคือยังไงนะครับ
รู้สึกเป็นศูนย์ อ.อริยเจ้า
ทำไม เอาเรื่องวัตถุ 10 ที่เป็นเหตุสังคายนา ครั้งที่ 2 มาปนกับเรื่อง สังคายนาครั้งที่ 1 ... ผู้บรรยายสับสนหรือไม่
ท่าน ทราบยัง,,ธรรม,,คืออะไร
,,ศาสนาพุทธ ไม่มีสายใดๆครับ
พระพุทธองค์ไม่เคยสอนให้แตกแยก แต่บอกว่าการทำให้สงฆ์แตกแยกเป็นอนันตริยกรรม พาผู้คนหลงทางพาศาสนาให้เสื่อมไวขึ้น สายป่าบ้างอะไรบ้างพาแตกแยกไปหมด
สิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้นั้นคือพระองค์ท่านทรงเห็นโทษไว้แล้วถ้าทำสิ่งนี้ๆจะได้รับทุกข์โทษอย่างไรแบบไหนนั่นเองจึงทรงบอกกล่าวบัญญัติไว้..
...ญานเล็ก..เพื่อการตรัสรู้เร็ว..บำเพ็ญเพียรระดับต่ำสุดแสนกัลป์เป็นเอนก..แต่...เมื่อบำเพ็ญตนบรรลุเป็นอรหันต์แล้ว..คุณความเป็นพระอรหันต์..นั้นสามารถช่วยเหลือผู้คนได้..
เช่น..ถ้าใครคนใดคนนึง..ที่ได้ใส่บาตรทำบุญกับพระอรหันต์ที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติในวันนั้นจะร่ำรวยทันทีภายในวันนั้นตัวอย่างในพระไตรปิฎกมีมากมายในปัจจุบันก็เห็นว่ามีอดีตนายกทักษิณไงที่ไปทำบุญกับหลวงตามหาบัวที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติแล้วก็ได้เป็นนายกในยุคนั้น..องค์หลวงจึงได้ด่าสาดเสียเทเสียที่เห็นในคลิปที่เผยแพร่ออกมาท่านลืมเล็งว่าทักษิณจะเข้ามาโกงบ้านโกงเมืองนี่แหละการช่วยผู้คนสัตว์โลกในพุทธเถรวาท
คุณรู้ได้อย่างไรครับว่าหลวงตามหาบัวบรรลุอรหันต์แล้ว ถึงได้รับรอง ถึงได้กล่าวยกย่องสรรเสริญถึงเพียงนั้น สิ่งนี้คุณรู้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งของตนเองจริงๆหรือ หรือเพียงการสัณฐานคาดเดาเอาเอง หรือเชื่อด้วยการบอกเล่าจากบุคคลอื่น ด้วยสิ่งนี้เป็นปัจจัตตัง คือรู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น หากแม้นหลวงตามหาบัวบรรลุอรหันต์จริง ท่านก็หลุดพ้นไปแล้วด้วยดีเฉพาะตน หรือหากแม้นเน่าในลวงโลกก็ตกนรกหมกไหม้ทุกข์ทรมานตลอดชั่วกาลนานเฉพาะตนเช่นกัน ควรแล้วหรือที่จะเอาคอไปพาดเขียงหาโทษโดยใช่เหตุ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ละครับ บุคคลไม่พึงประมาณในบุคคล ผู้ประมาณในบุคคลย่อมขุดรากคุณงามความดีของตน ย่อมประสบกับบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก เว้นไว้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือผู้ที่เหมือนพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่พึงประมาณในบุคคลได้ พยากรณ์ได้เป็นหนึ่งไม่มีสอง เป็นสัจธรรมความจริงแน่แท้เป็นอกาลิโก
หากการกล่าวปรามาสพระอรหันต์นั้นย่อมประสบกับบาป มีโทษให้ผลเป็นวิบากเป็นอันมาก การกล่าวยกย่องสรรเสริญว่าบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นอรหันต์โดยที่มิใช่สัจจะความจริงนั้นก็ย่อมให้ผลเช่นเดียวกัน เช่น หลายๆคนกล่าวยกย่องสรรเสริญว่า หลวงพ่อฤาษีลิงดําเป็นพระอรหันต์ แต่หลวงพ่อฤาษีลิงดำก็ยังกระทำซึ่งเดรัจฉานวิชชา หาเลี้ยงชีพในทางมิชอบอยู่เห็นปานนั้น นอกจากจะไม่อาจบรรลุมรรคผลใดๆได้แล้ว นั้นยังเป็นความเห็นผิด ตั้งมั่นอยู่ในมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งคติที่ไปเมื่อละกายตายจากโลกนี้ไปแล้วก็คือ นรกหรือเดรัจฉานเท่านั้น เมื่อกล่าวยกย่องสรรเสริญ ย่อมชักนำมหาชนให้เข้าสู่มิจฉาทิฏฐิเป็นอันมาก ตนเองก็มีความเห็นผิดอยู่แล้ว ยังชักนำมหาชนให้หลงผิดไปด้วย เมื่อคนเหล่านั้นต้องร่วงลงไปสู่ทุคติ คือ นรกและเดรัจฉานเป็นอันมาก แล้วคนที่ชักชวนนั้นจะต้องตกนรกหรือได้กำเนิดเดรัจฉานอีกยาวนานกว่ามหาชนคนเหล่านั้นอีกสักเท่าไหร่ หากไม่เข้าข้างตนเองจนเกินไป ก็น่าจะพอเทียบตามตรรกะได้ไม่มากก็น้อย นี้จึงได้ชื่อว่าคนเลวยิ่งกว่าคนเลวนั่นละครับ
@@เชาวฤทธิ์ขัดสี วรรคสุดท้ายที่ยกตัวอย่างเช่น...นั่นแหละเป็นตัวอย่างของพระรัตนตรัยข้อนึงที่คุณคงพร่ำบ่นเพ้อท่องเป็นประจำว่า สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ แปลว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าปฏิบัติดีแล้ว หมายถึง พระสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติตามทางสายกลาง (มัชฌิมปฏิปทา) ไม่หย่อนนัก ไม่ตึงนัก ปฏิบัติไม่ถอยหลัง ปฏิบัติกลมเกลียวกับพระศาสดา ไม่ปฏิบัติเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
...แล้วองค์หลวงตาย่อหย่อนขอวัตรปฏิบัติตรงไหนบอกมาซิ..และด้วยความมีเมตตาต่อสัตว์โลก..องค์ท่านเพิ่งมาเสียวัตรตอน..ปี40..หาเงินและทองเข้าคลังหลวง..แล้วไง..คุณเคยรู้เรื่องราวเหล่านี้หรือป่าว..หรือมีแต่คอยเพ่งโทษ..ใครต่อใคร..การที่รู้ว่าเป็นอริยะหรือไม่อีกแบบนึงคือ..คุณได้เคยสัมผัสด้วยตัวเองหรือไม่กับสิ่งเหล่านี้..วิชชา 3...หูทิพย์ตาทิพย์รู้ใจคน...หรือแม้ความมีเมตตา..หรืออะไรก็แล้วแต่ของพระอริยะ..พอเราอยู่ในรัศมีใกล้ท่านเราจะรู้สึกเย็นวาบสบายกายใจปิติ..นั่นคือพลังแห่งคุณ..หรือความมีเมตตาต่อสัตว์โลก..เกิดมาเป็นคนคุณเคยได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้กับใครหรือไม่...ที่เขาเรียกกันว่าเป็นพระอริยะ..มันพอจะทำให้ในตนรู้ได้ว่า..ใครคือผู้มีศีลวัตรอันดีงาม..และที่แน่เรามีครูอาจารย์ผู้เป็นโพธิสัตว์ผู้สร้างบารมีมายาวนานมากมีความสามาถมีความรู้ในธรรมทั้งปวงที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และนำมาสอน84000หัวข้อนี้อย่างละเอียดยิบซึ่งในโลกมนุษย์ขณะนี้ไม่มีใครสามารถอธิบายธรรมได้อย่างสาแก่ใจเราแม้แต่องค์หลวงตาหรือพระสายหลวงปู่มั่นก็เถอะเราแสดงความเสียใจด้วยนะที่คุณไม่ได้สร้างบารมีมาเพื่อเกี่ยวข้องกับท่านอาจารย์ของเราจึงไม่รู้จักและได้ลิ้มรสของธรรมทั้งปวงอย่างลึกซึ้ง..มาตรแม้นถ้าเราได้สร้างบารมีมาเต็มแล้วในชาตินี้คงฟังธรรมจากท่านอธิบายแล้วบรรลุได้เลยแต่อย่าลืม..ขั้นต่ำๆในการสร้างความหลุดพ้นแห่งจิตตน..เป็นแค่อรหันต์สุขวิปัสโก..ต้องสร้างเวลาถึงแสนกัลป์เป็นเอนกจึงหลุดพ้นได้..ต่อให้เข้าใจธรรมเห็นธรรมก็จริงเวลายังไม่ถึงก็วิมุติไม่ได้เช่นกัน..และการเข้ามาฟังกับอาจารย์ท่านนี้เราชอบท่านอธิบายธรรมเป็นภาษาปัจจุบันชอบท่านอธิบายเป็นภาษาวิทยาศาสตร์และภาษาอังกฤษ..ท่านเก่งมากๆทั้งที่ท่านไม่ได้จบทางวิทย์มาเลยแต่ท่านอธิบายเก่งแต่ในธรรมที่ท่านอธิบายอันที่เรารู้เราก็แย้งในใจอยู่นะ...ถามจริง.บทสวดอิติปิโส..แปลว่าอะไรและได้เคยสัมผัสจริงในตนจริงป่าว.....ถ้าได้สัมผัสจริงด้วยตนจะไม่ถามใครหรืองงกับใครนะ🤣🤣🤣
@@เชาวฤทธิ์ขัดสี พระพุทธเจ้าสอนวิธีสอบสวนว่าใครเป็นอริยะ ...เคยอ่านบ้างป่ะ
พระไตรปิฎกเล่ม 22
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ หน้าที่ 213
๒. ฉวิโสธนสูตร
หลักการตรวจสอบจิตที่พ้นจากอาสวะ
..............
@@เชาวฤทธิ์ขัดสีพระไตรปิฎก เล่ม 33
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 423
สูตรที่ ๖
ว่าด้วยบุคคล ๒ จำพวก เมื่อฟ้าผ่าไม่สะดุ้ง
[๓๐๒] ๕๖. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๒ จำพวกนี้ เมื่อฟ้าผ่าย่อมไม่สะดุ้ง
๒ จำพวกเป็นไฉน คือ พระภิกษุขีณาสพ ๑ ช้างอาชาไนย ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๒ จำพวกนี้แล เมื่อฟ้าผ่าย่อมไม่สะดุ้ง.
จบสูตรที่ ๖
.....
พระไตรปิฎกเล่ม 22
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ หน้าที่ 213
๒. ฉวิโสธนสูตร
หลักการตรวจสอบจิตที่พ้นจากอาสวะ
..............
@@เชาวฤทธิ์ขัดสี คุณเห็นกิเลสตัณหาในจิตใจของคนอื่น แล้วคุณเห็นอะไรในความคิดของคุณไหม
แก้ไข:
1. สัมมาสังกัมมันตะ
2. สัมมาสังกัปปะ
เมืองไทยนักวิจารณ์เยอะ..
ถ้าสัพเพธรรมาอนัตตาทุกสิ่งล้วนเป็นอนัตตาแล้วฉนั้นนิพพานก็ยังไม่เที่ยงอยู่ดีเพราะทุกอย่างล้วนคืออนัตตา#
บทนี้หมายถึงขัน5เท่านั้น ยกบทนี้มาเต็มๆซิอย่าตัดตอนมา
นิพพานอยู่นอกเหนือกฎทุกสรรพสิ่ง
@@sopanut33บทนี้รวมทุกสิ่งแล้วครับ ทั้งสังขารและนิพพานล้วนเป็นอนัตตา แต่ผู้โพสต์ข้อความไม่เข้าใจ เลยไปเหมาเอาทั้งสังขารและนิพพานว่าไม่เที่ยงครับ ก็อย่างที่คุณรู้อยู่ว่า นิพพานเที่ยง เป็นสุข และเป็นอนัตตา
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ สังขารา ทุกขา
สัพเพ ธัมมา อนัตตา
นิพพานัง ปรมัง สุขัง
ถ้ามีลูกโลก เอามานั่งดูหรือเปิด nasa live มองดูโลกจากนอกโลก..
ช่องสอนศาสนาแต่โฆษณาเพี้ยบ น่าจะไม่มีเป็นธรรมทานแต่ยังไงก็ขอบคุณกับความรู้
จะเข้ากิจกรรมรับฟังแบบนี้ตามข่าวได้ที่ไหนครับ