EP.5 ครั้นถึงเวลา ทั่วฟ้าจบดิน ก็ต้านเจ้าไม่อยู่ คำเทศนา " สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี " (จบตอน)
ฝัง
- เผยแพร่เมื่อ 24 เม.ย. 2024
- EP.5 ครั้นถึงเวลา ทั่วฟ้าจบดิน ก็ต้านเจ้าไม่อยู่ คำเทศนา " สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี " รู้งี้เปิดดูตั้งนานแล้ว (จบตอน)
.
" บุญเราไม่เคยสร้างใครที่ไหนจะมาช่วยเจ้า "
.
ลูกเอ๋ย !!! ก่อนจะไปเที่ยวขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด
เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง คือ บารมีของตนลงทุนไปก่อน
เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอ จึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย
มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด
.
เพราะหนี้สินบุญบารมี ที่เที่ยวไปขอยืมมาจนพ้นตัวเมื่อทำบุญทำกุศลได้บารมีมา
ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด
ไม่มีอะไรเหลือติดตัว
แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า
.
" หมั่นสร้างบารมีไว้ แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง "
.
จงจำไว้นะ.. เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเจ้าองค์ใด
จะคิดช่วยเจ้าไม่ได้
“ ครั้นถึงเวลา ทั่วฟ้าจบดิน ก็ต้านเจ้าไม่อยู่ ”
จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลย
จะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า
.
นี่คือ คำเทศนา ของเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์
โต พรหมรังสี ที่ได้โปรดชี้ธรรมไว้ในนิมิต
หลังจากที่ล่วงลับไปแล้ว เมื่อประมาณ 100 กว่าปีก่อน
อันเป็นปฐมเหตุที่ พวกเราต้องสร้างความดี อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
.
มีท่านใด “ไม่เข้าใจ” คำเทศนา
ของเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์
โต พรหมรังสี นี้หรือไม่ ? ครับ
.
ลองอ่านดูอีกรอบหนึ่งนะครับ
.
บุญเราไม่เคยสร้างใครที่ไหนจะมาช่วยเจ้า
ลูกเอ๋ย !!! ก่อนจะไปเที่ยวขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง
คือ บารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอ
จึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด
.
เพราะหนี้สินบุญบารมีที่เที่ยวไปขอยืมมาจนพ้นตัว
เมื่อทำบุญทำกุศลได้บารมีมา ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด
ไม่มีอะไรเหลือติดตัว แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า
หมั่นสร้างบารมีไว้ แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง
.
จงจำไว้นะ.. เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้
ครั้นถึงเวลา ทั่วฟ้าจบดิน ก็ต้านเจ้าไม่อยู่
จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดินเมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลย
จะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า
.
หากเราไปอธิบาย คำเทศนาของสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี
ให้เด็ก 10 ขวบฟัง เด็ก ๆ ส่วนมากก็อาจจะยังไม่เข้าใจบทคำเทศนา
เนื่องจากว่าเด็ก ๆ ในวัยนี้ ยังมีความรู้ประสบการณ์ในการใช้ชีวิตมาน้อยมาก และประกอบกับเด็กในวัยนี้กำลัง มีความสนใจแต่ในเรื่องความสนุกสนานจึงไม่แปลกครับ ที่เด็กในวัยประมาณนี้
จะไม่เข้าใจคำเทศนา ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี
.
ที่นี้ ทำไม ? กระผมถึงถามคุณว่า
มีใครไม่เข้าใจ “คำเทศนา” นี้หรือไม่ ?
.
คุณเคยได้ยินคำว่า “บัว 4 เหล่า” หรือไม่ครับ ?
กระผมเชื่อว่าพวกเราส่วนมากทราบดี และเคยได้ยินมาบ้าง
.
“บัว 4 เหล่า” ก็คือ สิ่งเปรียบเทียบ “มนุษย์” อย่างพวกเราทุกคน
ที่พระพุทธเจ้าได้คิดวิเคราะห์ว่า “ธรรม” ที่พระองค์ตรัสรู้นี้ ลึกซึ้งมาก
ยากที่สัตว์อื่นจะรู้ตาม จึงได้พิจารณาจำแนกเหล่าบุคคล
ที่จะสามารถรับ “พระสัทธรรม” ได้ หรือ รับไม่ได้
(พระสัทธรรม เป็นคำสอนที่เป็นไปเพื่อสงบจากกิเลสทั้งหลายทั้งปวง)
.
มีอยู่ 4 จำพวก เปรียบได้ดังดอกบัวสี่เหล่า
อันหมายถึง ปัญญา วาสนา บารมี และอุปนิสัย
ที่สร้างสมมาแต่อดีตของบุคคล
.
ขยายความคำว่า ปัญญา วาสนา บารมี
และอุปนิสัย ที่สร้างสมมาแต่อดีตของบุคคล
.
หากเป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ การที่แต่ละบุคคล จะมีนิสัยใจคอ
ไม่เหมือนกันนั้น ก็จะมาจากการเติบโต การเลี้ยงดู ที่แตกต่างกันไป
ตามบริบทครอบครัว สังคม จึงทำให้แต่ละคนมีนิสัยไม่เหมือนกัน
.
แต่หากเป็นไปตามความเชื่อในหลักพระพุทธศาสนา การที่เรามี
ปัญญา วาสนา บารมี และอุปนิสัย ที่แตกต่างกันนั้น เกิดจากการสะสมบุญบารมีมาแต่ชาติปางก่อน หรือ สะสมมาหลายหลายภพหลายชาติ
.
ฉนั้น พระพุทธเจ้าทรงเข้าใจว่า แต่ละบุคคลจึงมี
ปัญญา วาสนา บารมี และอุปนิสัย ที่ไม่เท่ากัน
.
พระองค์จึงได้จำแนก “มนุษย์” ออกเป็น 4 จำพวก
เปรียบได้ดังดอกบัวสี่เหล่า นั้นเองครับ
.
มาดูบัวประเภทที่ 1 “ดอกบัวที่พ้นน้ำแล้ว”
เพียงรอแสงพระอาทิตย์จะบานทันทีวันนี้
.
บัวประเภทที่ 1. อุคฆฏิตัญญู
คือ กลุ่มที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว
เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว
เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ
เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที
.
บัวประเภทที่ 2 “ดอกบัวที่ปริ่มน้ำ” จะบานวันพรุ่งนี้
.
บัวประเภทที่ 2. วิปจิตัญญู คือ กลุ่มที่มีสติปัญญาปานกลาง เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติมจะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า
เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป
.
บัวประเภทที่ 3 “ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ” ยังอีก 3 วันจึงจะบาน
.
บัวประเภทที่ 3. เนยยะ คือกลุ่มที่มีสติปัญญาไม่มากเท่าที่ควร
เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ
มีสติมั่นประกอบด้วยศรัทธา
.
ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า
เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อย ๆ โผล่ขึ้น
เบ่งบานได้ในวันหนึ่ง
.
บัวประเภทที่ 4 “ดอกบัวที่เพิ่งงอกใหม่จากเหง้าในน้ำ”
จะยังไม่พ้นภัยจากเต่าและปลา
.
บัวประเภทที่ 4. ปทปรมะ คือ กลุ่มที่ไม่มีสติปัญญา
แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้
ทั้งยังขาดศรัทธา ไร้ซึ่งความเพียร
.
เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน
.
บุคคลที่เปรียบได้กับดอกบัวดอกที่ 1, 2, 3 นั้น
เมื่อได้รับความรู้ถึงจุดหนึ่งแล้ว
สามารถบรรลุมรรคผลนิพพาน ได้เร็วช้า แตกต่างกันออกไป
ก็ด้วยปัญญา วาสนา บารมี และอุปนิสัย ที่ต่างกันในอดีต
.
ส่วนบุคคลซึ่งเปรียบเป็นบัวประเภทที่ 4
ไม่สามารถบรรลุอะไ