ขนาดวิดีโอ: 1280 X 720853 X 480640 X 360
แสดงแผงควบคุมโปรแกรมเล่น
เล่นอัตโนมัติ
เล่นใหม่
กราบนมัสการพระอาจารย์ เป็นลาภอันประเสริฐแท้ที่ได้เข้ามาฟังธรรมอันละเอียด(สายปฏิบัติ)จึงขอเขียนบันทึกไว้เพื่อประโยชน์ต่อผู้ที่ได้เข้ามาอ่านวิปัสสนูปกิเลส10 คือ(ความสุขอันละเอียด)ควรละวางเมื่อเห็นแล้ว1.โอภาส แปลว่า แสงสว่าง ที่ปรากฎในใจเรา โดยนิมิตอารมณ์แสดงปฏิกิริยาต่อจิต ผลพวงมาจากวิปัสสนาอ่อนๆ ควรปล่อยมันไป อย่ายึดเอา2.ญาณ แปลว่า การเห็นด้วยจิต เห็นด้วยตาปัญญา(หยั่งรู้) ผลพวงจากวิปัสสนา ควรปล่อยวาง อย่ายึดเอา อย่าหลงมันทิ้งรู้นี้ซะ3.ปิติ แปลว่า อาการอิ่ม เต็มอิ่ม เป็นอารมณ์ของจิต เป็นผลพวงจากวิปัสสนา อย่าไปหลงยึดเอา ปล่อยวางเสีย4. ปัทสัทธิ แปลว่า ความสงบมั้นคง เย็นใจไม่มีอะไรเข้าถึงใจภายในได้เลย อย่าไปหลงยึดเอามัน ปล่อยวางเสีย5.สุข แปลว่า ความสุขกาย สบายใจ กายเบา ใจเบา มีความยิ้มแย้มอิ่มเอิบ ผลพวงของวิปัสสนา อย่าไปหลงยึดเอามัน ปล่อยวางเสีย6.อธิโมกข์ แปลว่า ความน้อมใจเชื่อ ความศรัทธาแก่กล้า เป็นอารมณ์ของจิต อย่าหลงอารมณ์ใจ ปล่อยวางเสีย7.ปะคหะ แปลว่าความพอใจ สรรเสริญตัวเอง ชมตัวเอง ชื่นชมตัวเอง อย่าไปยึดเอามัน ปล่อยวางเสีย8.อุปฐาน แปลว่า สติแก่กล้า สติปัฏฐาน คิดตรึกนึกระลึกได้ชัดเจนทั้งรูป&นาม อย่าไปหลงยึดเอา ปล่อยวางเสีย9.อุเบกขา แปลว่า จิตที่เป็นกลาง ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน ไม่ยึดทางใดทางหนึ่ง จิตมีอารมณ์เป็นกลาง อย่าไปหลงมัน ปล่อยวางเสีย10.นิกัณติ แปลว่า พอใจมี ความติดใจ ความพอใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา เป็นการทวนอารมณ์ทั้งปวงที่เกิดขึ้นทั้งหมดในใจ อย่าไปหลงเพลินกับมันนะ ปล่อยวางเสีย(เขียนจากคำบรรยายของท่านพระอจ.)ทั้งหมดคือ ธรรมมารมณ์ ที่เกิดขึ้นในผู้ปฏิบัติ เจริญมรรคแปด รวมความแล้ววิปัสสนูปกิเลสคือ อารมณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อให้เราแค่รับทราบ และรู้สึกตัวเฉยๆ อย่าไปยึดเอา ทิ้งซะปล่อยวางให้หมดเลยตอบกลับ
กราบนมัสการพระคุณเจ้าทั้งสององค์ ด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ อุปกิเลสแบบนี้ โยมเคยเป็นมาแล้ว คืออหังการมะมังการเกือบจะเสียหลักในการปฏิบัติไปแล้ว คือก่อนที่ปฏิบัติมีจิตใจคือไม่โกรธจะสามารถรู้อารมณ์ อยู่มาวันหนึ่งคืออยากทดลองวิชา คือสกดจิตคนให้ลองไปดูนรกสวรรค์ คือทำได้จริง คนที่โยมสะกดจิตถามอะไรเขาจะตอบหมด เลยไปเล่าให้อาจารย์ฟัง ท่านบอกว่าอย่าทำอีกนั่นไม่ไช่หนทาง อย่าไปแวะ เดินต่อไปอีก ตอนนี้เอาแล้วรู้สึกไม่พอใจที่อาจารย์เตือน ยังตำหนิท่าน ในใจ'ว่าท่านทำไม่ได้น่ะสิถึงมาห้าม แล้วยังนึกในใจอีกว่าเราคงบรรลุแล้วไม่ต้องปฏิบัติอีกแล้ว แล้วก็หยุดไปสักพัก คราวนี้เหตุการณ์มันเกิดขึ้นกับตัวเอง คือมีอะไรมากระทบสิ่งที่ไม่พอใจมันโกรธ เลยสำนึกได้ว่าสิ่งแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเรา เอาล่ะสิ กิเลสท่วมท้นแล้วครูบาอาจารย์เตือนยังไม่ฟัง โอ้นรกจะกินหัว เลยเข้าไปกราบท่านพระอาจารย์ ขออโหสิกรรมที่ผิดไป คือความไม่รู้ ท่านเลยสอนว่าหนทางไปนิพพานนี้ มันมีสิ่งล่อใจให้แวะชม คนจะติดอยู่ในกับดักพวกอภินิหารนี้มีเยอะ ตั้งแต่นั้นมาก็กลับมาปฏิบัติ จะไม่ให้ได้หลงทางอีกแล้ว เจ้าค่ะ จนได้มาฟังท่านอาจารย์ทั้งสองแสดงธรรม เลยรู้แจ้งชัดขึ้นไปอีก แล้วจะไม่เป็นคนอุตริมนุสธรรม อีกแล้วในเรื่องธรรม รู้เท่าไหร่จะพูดเท่านั้น แต่ปัญญาในการแก้ไขปัญหา ความเป็นอยู่ในสภาพที่สิ่งมากระทบ กายจิตก็จะสั่งให้สงบบางอย่างไม่ต้องตอบทุกคำ อะไรที่มันเกิดขึ้นมันก็คือความถูกต้องของมันจริงๆ มันเป็นเช่นนั้นเอง เหรียญย่อมมี สองด้านเสมอ กราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทั้งสองด้วยความเคารพอย่างยิ่ง เป็นเนื้อนาบุญของโลกโดยแท้ ที่มานำทางให้พ้นทุกข์ ตามรอยบาทพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบสาธุ สาธุ สาธุ เจ้าค่ะ
กราบอนุโมทนา สาธุค่ะ ตรง เปิดเผย ไม่บิดเบือน ของแท้ คือพระธรรมคำสอน สาธุสาธุ❤
กราบสาธุในธรรมเจ้าค่ะ
กราบอนูโมทนาสาธูๆๆคะ
สาธุเจ้าค่ะ
สาธุสาธุคะ❤
สาธุ สาธุ สาธุขอให้ข้าพเจ้าได้รู้แจ้งในอริยสัจสี่และดับได้ทุกข์ได้ในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ จนถึงเข้าสู่พนิพานในชาติปัจุบันนี้ด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
สาธุๆๆ
### วิปัสสนูปกิเลสก็คือกิเลส หรือไตรลักษณ์ เหลืออยู่บางๆ / แต่มันสามารถทำให้จิตเศร้าหมองได้ , ยังเข้าไม่ถึงจิตเดิมแท้ เช่น - โอภาสหรือแสงสว่าง จะเกิดกับผู้ที่จิตเป็นฌาน จิตเริ่มสงบ เริ่มเห็นนิมิต / ถ้าไปยึดถือเอา ก็เรียกว่าจิตมีอวิชชา ขณะเกิดแสงสว่างมันมีความสุข แม้สุขนั้นก็เกิดดับ สุขก็ห้ามยึด / จิตเดิมแท้นั้นมันเป็นสักว่ารู้...มันไม่ใช่แสงสว่าง ไม่ใช่สุข การเห็นนิมิตต่างๆ ถ้าไปหลงในลาภสักการะ สิ่งเหล่านี้ก็เสื่อมได้ กลับมาเป๊นเหมือนปุถุชนทั่วไป - ปิติ มันเพลิน ยิ้มกลุ้มกลิ่มนิด ๆ มันอารมณ์ดี ไม่โต้เถียงกับใคร / นี่ก็ไตรลักษณ์ ที่มันประกอบอยู่กับจิต / ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นสุข เบาใจ เหมือนมันหมดความทุกข์แล้ว ให้อภัยคนได้ง่ายขึ้น - อธิโมกข์ คือความน้อมใจเชื่อว่านี่เป็นที่สุดแห่งธรรมแล้ว - อุเบกขา คือใจวางเฉยได้ / ไม่ยินดีไม่ยินร้าย / ใจไม่ค่อยหวั่นไหว - นิกันติ คือพอใจยินดีอยู่ในแสงสว่าง ในปิติ สุข อุเบกขา ที่มันเกิดดับได้ / ติดอยู่ พอสิ่งเหล่านี้หายไป ความเศร้าหมองก็มาครอบงำจิตได้อีก คือติดอยู่ในรูปฌานสี่นั่นเอง@ โคตรภูญาณคือ จิตที่มันเริ่มจะถอนออกจากรูปนาม ออกจากเครื่องหมาย(นิมิต) ที่บันทึกไว้ในสัญญา เริ่มข้ามจากจิตแบบปุถุชน ไปเป็นพระอริยะเจ้า@ มรรคญาณ คือรูปนามขันธ์ห้า ที่กระทบทางตาหูจมูกลิ้นกาย ในปัจจุบันขณะ / แล้วจิตมันสามารถถอนออกได้เลย ไม่เอาไปบันทึกในสัญญา@ จิตที่หลุดพ้น / มันไม่เกี่ยวกับความวิเศษอะไร ที่เป็นเรื่องขององค์ฌาน@ คำสอน หรือพระธรรม ก็คือตัวพระพุทธเจ้า
สาธุ สาธุ สาธุ
สรุปจากคลิปนี้..✨"รู้สึกตัว" คือ ประตูนิพพาน ✨ ฉะนั้น การปฏิบัติให้เกาะติดการรู้สึกตัวเข้าไว้ จะสอบผ่านตลอดสาย รู้สึกตัว = ไม่เพ่ง,ไม่เผลอ✨🙏🏻🙏🏻🙏🏻✨กราบสาธุ สาธุ สาธุ
🙏🙏🙏
ผมฟังแต่พระอาจารยทั้งวันแถมกลางคืนก็ฟังที่ไม่ใด้ฟังก็ตอนหลับครับ
กราบนมัสการขอบพระคุณในความเมตตาของพระอาจารย์ทั้งสองท่านค่ะ โยมเป็นผู้ฟังใหม่ยังเข้าไม่ถึง แต่ก็เข้าใจในวิธีการอธิบายบรรยายธรรมของพระอาจารย์ทั้งสองที่สื่อความเมตตากรุณาถึงผู้ฟังและผู้ฟังใหม่เยี่ยงโยมก็รับถึงความรู้สึกนั้นได้จึงฟังด้วยความบรรเทิงในธรรม กราบนมัสการขอบพระคุณอย่างสูงยิ่งค่ะ
แนะนำให้ฟังตั้งแต่ep1 ไล่ไปตามลำดับจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ไม่เท่าเราลงมือปฏิบัติ
เข้าชมไลฟ์สดยังไงหราครับ
เฟสบุ๊ค อาศรมบัณฑิตาราม
🕯️16-04-67🙏✍️
กราบนมัสการพระอาจารย์ เป็นลาภอันประเสริฐแท้ที่ได้เข้ามาฟังธรรมอันละเอียด(สายปฏิบัติ)จึงขอเขียนบันทึกไว้เพื่อประโยชน์ต่อผู้ที่ได้เข้ามาอ่าน
วิปัสสนูปกิเลส10 คือ(ความสุขอันละเอียด)ควรละวางเมื่อเห็นแล้ว
1.โอภาส แปลว่า แสงสว่าง ที่ปรากฎในใจเรา โดยนิมิตอารมณ์แสดงปฏิกิริยาต่อจิต ผลพวงมาจากวิปัสสนาอ่อนๆ ควรปล่อยมันไป อย่ายึดเอา
2.ญาณ แปลว่า การเห็นด้วยจิต เห็นด้วยตาปัญญา(หยั่งรู้) ผลพวงจากวิปัสสนา ควรปล่อยวาง อย่ายึดเอา อย่าหลงมันทิ้งรู้นี้ซะ
3.ปิติ แปลว่า อาการอิ่ม เต็มอิ่ม เป็นอารมณ์ของจิต เป็นผลพวงจากวิปัสสนา อย่าไปหลงยึดเอา ปล่อยวางเสีย
4. ปัทสัทธิ แปลว่า ความสงบมั้นคง เย็นใจไม่มีอะไรเข้าถึงใจภายในได้เลย อย่าไปหลงยึดเอามัน ปล่อยวางเสีย
5.สุข แปลว่า ความสุขกาย สบายใจ กายเบา ใจเบา มีความยิ้มแย้มอิ่มเอิบ ผลพวงของวิปัสสนา อย่าไปหลงยึดเอามัน ปล่อยวางเสีย
6.อธิโมกข์ แปลว่า ความน้อมใจเชื่อ ความศรัทธาแก่กล้า เป็นอารมณ์ของจิต อย่าหลงอารมณ์ใจ ปล่อยวางเสีย
7.ปะคหะ แปลว่าความพอใจ สรรเสริญตัวเอง ชมตัวเอง ชื่นชมตัวเอง อย่าไปยึดเอามัน ปล่อยวางเสีย
8.อุปฐาน แปลว่า สติแก่กล้า สติปัฏฐาน คิดตรึกนึกระลึกได้ชัดเจนทั้งรูป&นาม อย่าไปหลงยึดเอา ปล่อยวางเสีย
9.อุเบกขา แปลว่า จิตที่เป็นกลาง ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน ไม่ยึดทางใดทางหนึ่ง จิตมีอารมณ์เป็นกลาง อย่าไปหลงมัน ปล่อยวางเสีย
10.นิกัณติ แปลว่า พอใจมี ความติดใจ ความพอใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา เป็นการทวนอารมณ์ทั้งปวงที่เกิดขึ้นทั้งหมดในใจ อย่าไปหลงเพลินกับมันนะ ปล่อยวางเสีย
(เขียนจากคำบรรยายของท่านพระอจ.)
ทั้งหมดคือ ธรรมมารมณ์ ที่เกิดขึ้นในผู้ปฏิบัติ เจริญมรรคแปด รวมความแล้ววิปัสสนูปกิเลสคือ อารมณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อให้เราแค่รับทราบ และรู้สึกตัวเฉยๆ อย่าไปยึดเอา ทิ้งซะปล่อยวางให้หมดเลย
ตอบกลับ
กราบนมัสการพระคุณเจ้าทั้งสององค์ ด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ อุปกิเลสแบบนี้ โยมเคยเป็นมาแล้ว คืออหังการมะมังการเกือบจะเสียหลักในการปฏิบัติไปแล้ว คือก่อนที่ปฏิบัติมีจิตใจคือไม่โกรธจะสามารถรู้อารมณ์ อยู่มาวันหนึ่งคืออยากทดลองวิชา คือสกดจิตคนให้ลองไปดูนรกสวรรค์ คือทำได้จริง คนที่โยมสะกดจิตถามอะไรเขาจะตอบหมด เลยไปเล่าให้อาจารย์ฟัง ท่านบอกว่าอย่าทำอีกนั่นไม่ไช่หนทาง อย่าไปแวะ เดินต่อไปอีก ตอนนี้เอาแล้วรู้สึกไม่พอใจที่อาจารย์เตือน ยังตำหนิท่าน ในใจ'ว่าท่านทำไม่ได้น่ะสิถึงมาห้าม แล้วยังนึกในใจอีกว่าเราคงบรรลุแล้วไม่ต้องปฏิบัติอีกแล้ว แล้วก็หยุดไปสักพัก คราวนี้เหตุการณ์มันเกิดขึ้นกับตัวเอง คือมีอะไรมากระทบสิ่งที่ไม่พอใจมันโกรธ เลยสำนึกได้ว่าสิ่งแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเรา เอาล่ะสิ กิเลสท่วมท้นแล้วครูบาอาจารย์เตือนยังไม่ฟัง โอ้นรกจะกินหัว เลยเข้าไปกราบท่านพระอาจารย์ ขออโหสิกรรมที่ผิดไป คือความไม่รู้ ท่านเลยสอนว่าหนทางไปนิพพานนี้ มันมีสิ่งล่อใจให้แวะชม คนจะติดอยู่ในกับดักพวกอภินิหารนี้มีเยอะ ตั้งแต่นั้นมาก็กลับมาปฏิบัติ จะไม่ให้ได้หลงทางอีกแล้ว เจ้าค่ะ จนได้มาฟังท่านอาจารย์ทั้งสองแสดงธรรม เลยรู้แจ้งชัดขึ้นไปอีก แล้วจะไม่เป็นคนอุตริมนุสธรรม อีกแล้วในเรื่องธรรม รู้เท่าไหร่จะพูดเท่านั้น แต่ปัญญาในการแก้ไขปัญหา ความเป็นอยู่ในสภาพที่สิ่งมากระทบ กายจิตก็จะสั่งให้สงบบางอย่างไม่ต้องตอบทุกคำ อะไรที่มันเกิดขึ้นมันก็คือความถูกต้องของมันจริงๆ มันเป็นเช่นนั้นเอง เหรียญย่อมมี สองด้านเสมอ กราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทั้งสองด้วยความเคารพอย่างยิ่ง เป็นเนื้อนาบุญของโลกโดยแท้ ที่มานำทางให้พ้นทุกข์ ตามรอยบาทพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบสาธุ สาธุ สาธุ เจ้าค่ะ
กราบอนุโมทนา สาธุค่ะ ตรง เปิดเผย ไม่บิดเบือน ของแท้ คือพระธรรมคำสอน สาธุสาธุ❤
กราบสาธุในธรรมเจ้าค่ะ
กราบอนูโมทนาสาธูๆๆคะ
สาธุเจ้าค่ะ
สาธุสาธุคะ❤
สาธุ สาธุ สาธุขอให้ข้าพเจ้าได้รู้แจ้งในอริยสัจสี่และดับได้ทุกข์ได้ในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ จนถึงเข้าสู่พนิพานในชาติปัจุบันนี้ด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
สาธุๆๆ
### วิปัสสนูปกิเลสก็คือกิเลส หรือไตรลักษณ์ เหลืออยู่บางๆ / แต่มันสามารถทำให้จิตเศร้าหมองได้ , ยังเข้าไม่ถึงจิตเดิมแท้ เช่น
- โอภาสหรือแสงสว่าง จะเกิดกับผู้ที่จิตเป็นฌาน จิตเริ่มสงบ เริ่มเห็นนิมิต / ถ้าไปยึดถือเอา ก็เรียกว่าจิตมีอวิชชา
ขณะเกิดแสงสว่างมันมีความสุข แม้สุขนั้นก็เกิดดับ สุขก็ห้ามยึด / จิตเดิมแท้นั้นมันเป็นสักว่ารู้...มันไม่ใช่แสงสว่าง ไม่ใช่สุข
การเห็นนิมิตต่างๆ ถ้าไปหลงในลาภสักการะ สิ่งเหล่านี้ก็เสื่อมได้ กลับมาเป๊นเหมือนปุถุชนทั่วไป
- ปิติ มันเพลิน ยิ้มกลุ้มกลิ่มนิด ๆ มันอารมณ์ดี ไม่โต้เถียงกับใคร / นี่ก็ไตรลักษณ์ ที่มันประกอบอยู่กับจิต / ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นสุข เบาใจ เหมือนมันหมดความทุกข์แล้ว ให้อภัยคนได้ง่ายขึ้น
- อธิโมกข์ คือความน้อมใจเชื่อว่านี่เป็นที่สุดแห่งธรรมแล้ว
- อุเบกขา คือใจวางเฉยได้ / ไม่ยินดีไม่ยินร้าย / ใจไม่ค่อยหวั่นไหว
- นิกันติ คือพอใจยินดีอยู่ในแสงสว่าง ในปิติ สุข อุเบกขา ที่มันเกิดดับได้ / ติดอยู่ พอสิ่งเหล่านี้หายไป ความเศร้าหมองก็มาครอบงำจิตได้อีก คือติดอยู่ในรูปฌานสี่นั่นเอง
@ โคตรภูญาณคือ จิตที่มันเริ่มจะถอนออกจากรูปนาม ออกจากเครื่องหมาย(นิมิต) ที่บันทึกไว้ในสัญญา เริ่มข้ามจากจิตแบบปุถุชน ไปเป็นพระอริยะเจ้า
@ มรรคญาณ คือรูปนามขันธ์ห้า ที่กระทบทางตาหูจมูกลิ้นกาย ในปัจจุบันขณะ / แล้วจิตมันสามารถถอนออกได้เลย ไม่เอาไปบันทึกในสัญญา
@ จิตที่หลุดพ้น / มันไม่เกี่ยวกับความวิเศษอะไร ที่เป็นเรื่องขององค์ฌาน
@ คำสอน หรือพระธรรม ก็คือตัวพระพุทธเจ้า
สาธุ สาธุ สาธุ
สรุปจากคลิปนี้..
✨"รู้สึกตัว" คือ ประตูนิพพาน ✨
ฉะนั้น การปฏิบัติให้เกาะติดการรู้สึกตัวเข้าไว้ จะสอบผ่านตลอดสาย
รู้สึกตัว = ไม่เพ่ง,ไม่เผลอ
✨🙏🏻🙏🏻🙏🏻✨
กราบสาธุ สาธุ สาธุ
🙏🙏🙏
ผมฟังแต่พระอาจารยทั้งวันแถมกลางคืนก็ฟังที่ไม่ใด้ฟังก็ตอนหลับครับ
กราบนมัสการขอบพระคุณในความเมตตาของพระอาจารย์ทั้งสองท่านค่ะ โยมเป็นผู้ฟังใหม่ยังเข้าไม่ถึง แต่ก็เข้าใจในวิธีการอธิบายบรรยายธรรมของพระอาจารย์ทั้งสองที่สื่อความเมตตากรุณาถึงผู้ฟังและผู้ฟังใหม่เยี่ยงโยมก็รับถึงความรู้สึกนั้นได้จึงฟังด้วยความบรรเทิงในธรรม กราบนมัสการขอบพระคุณอย่างสูงยิ่งค่ะ
แนะนำให้ฟังตั้งแต่ep1 ไล่ไปตามลำดับจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ไม่เท่าเราลงมือปฏิบัติ
เข้าชมไลฟ์สดยังไงหราครับ
เฟสบุ๊ค อาศรมบัณฑิตาราม
🕯️16-04-67🙏✍️