ในโลกนี้มีเรื่องที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้เป็นล้านๆ อย่าง แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องฟันธงไปเลยว่า สิ่งที่วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้คือเรื่องเหนือธรรมชาติ 100% บางทีคำตอบอาจเป็นอะไรอย่างอื่นที่เรายังพิสูจน์ไม่ได้หรือแค่ยังไม่รู้คำตอบเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องด่วนสรุปไปว่า A ไม่เท่ากับ B แสดงว่า A ต้องเป็น C เท่านั้น
น้ำเสียงอาจารย์จริงจังมากค่ะ ฟังแล้วเหมือนกำลังเรียนอยู่เลย อาจจะเป็นเพราะภาษาทางการเยอะด้วยมั้งคะ
เราว่าอาจารย์อาจจะไม่ได้ไม่พยายามหาคำตอบวิทยาศาสตร์แต่อาจจะเล่าในมุมมองของชาวบ้าน ว่าทำไมชาวบ้านถึงเชื่อแบบนี้
บวกกับเป็นคนอีสาน และไปสัมภาษณ์มาด้วย เลยอาจจะดูเข้าข้างทางความปอปไปนิดนึง
กำลังจะหลับตาสว่างเลย ชอบมากการศึกษาด้านมานุษยวิทยา มันมีเสน่ห์ในการทำความเข้าใจผู้คน เห็นมิติของสังคม-วัฒนธรรม เพราะบางครั้งเราเหมือนจะรู้จักเขาแต่ความจริงแล้วมันห่างเหินมาก ถ้าไม่มีมานุษยวิทยามาเชื่อมเราคงแทบจะไม่เข้าใจ หรือเข้าใจผิด มีอคติ ที่จะนำไม่สู่การตีตรากลุ่มคน (สังคม-วัฒนธรรมนั้น)
หลายประเด็นไม่เห็นด้วยกับแขกรับเชิญ
อจ.พูดเหมือนเป็นตัวแทนชาวบ้านอย่างเดียวเลย
เช่นประเด็นความเห็นการวินิจฉัยโรคของบุคลากรทางการแพทย์ กับ ความเห็นของชาวบ้าน นาทีที่ 35 กว่าๆฟังแล้วตะหงิดๆมาก
เรื่องหญิงแก่ด้วย ไม่พูดถึงผู้ชายสักนิด พูดถึงแค่ผู้หญิง
สิ่งทื่อาจารย์พูด เรื่องราวมันขัดแย้งกันเอง
คุณตีความว่าความเชื่อ ไม่ก่อให้เกดควารุนแรงในหลายๆเคส แต่คุณพูดได้ เพราะเราอยู่ในยุคปัจจุบันที่ความเชื่อมันเบาบางลงมากแล้ว
หลายกรณีที่ชี้ให้เห็นมา แสดงให้เห็นว่าความเชื่อแบบนี้นำไปสู่ปัญหาได้
1.กรณีที่บอกว่า เราไม่ขับไล่เขาออก เพราะเขาก็มี social network ของแล้ว ถามกลับว่า แล้วถ้าใครสักคนไม่มีเพื่อนสนิทมิตรสหาย แปลว่าขับไล่ได้หรือไม่ หรือจะหาเหตุผลอื่นมาอ้างแทนอีก
2.ที่บอกว่าการตรวจจับโดยใช้วิธีเอาไม้ชี้อะไรนั่น ถึงจะบอกว่าดูบริบท แต่มันแสดงให้เห็นชัดเจนว่าการตรวจจับ แค่อาศัย bias ของเครื่องมือประกอบกับคนตัดสิน
3.ที่บอกว่าปอป มาจากคนที่เล่นคาถาอาคม อันนี้แปลดี เพราะคนที่ถูกกล่าวหา เห็นหลายคนเป็นคนป่วยมากกว่าคนเล่นของ รายละเอียดแสดงให้เห็นว่า คนในพื้นที่จะพูดอะไรก็ได้ให้ตนเองดูดี แต่พฤติกรรมสะท้อนอย่างชัดเจนว่า การกระทำใช้หลักที่แตกต่างออกไปจากสิิ่งที่พูด
4.อยากรู้ว่าถ้ามีใครสักคนป่วย เห็นคนที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น ไม่เข้าวัดเข้าวา หรือนับถือศาสนา จะยังเหลืออะไรให้ชาวบ้านถอนคำกล่าวหาหรือไม่ อันที่จริง การกล่าวหาไม่ควรจะมีแต่แรก ใช่หรือไม่ ไม่ใช่กล่าวหาแล้วพยายามหาอะไรมาถอนคำกล่าวหา หรือกล่าวหาแล้วยกตัวเองเป็นคนดีว่าตนไม่ไปทำร้ายคนที่ตนเองกล่าวหา (แค่อาจจะเลือกปฏิบัติ)
5.เวลาที่อาจารย์พูดถึงเคสในอดีต ทุกอย่างที่พูดมาไม่มีหลักฐาน เป็นความเห็น ไม่มีความน่าเชื่อถือ เนื้อหาส่วนนี้ต้องระวังในคลิป เนื้อหาหลายส่วนมาจากความเห็น จากคนที่สัมผัสกับหมู่บ้านที่เชื่อเรื่องผีปอป "ในปัจจุบัน"
6. ที่พูดว่าคนที่เชื่อเรื่องปอปต้องคิดมากกว่าคนที่เชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์ และพูดว่าการพูดเรื่องโรคจิตเภทเป็นวาทกรรมทางวิทยศาสตร์ สำหรับคนที่อธิบายสิ่งเห็นเชิงประจักษ์ไม่ได้ อันนี้... อาจจะเสียมารยาทบ้าง แต่ต้องบอกว่า "ตรรกะโคตรป่วย"
7. ที่บอกว่าวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าแค่ไหน ก็จะมีสิ่งที่อธิบายไม่ได้ และการกดวิทยาศาสตร์ลงมาเป็นทางเลือกหนึ่งในการอธิบายความจริง ที่ฟังแล้วเหมือนจะลงมาเลเวลเดียวกับความเชื่อเรื่องปอป
ตรงนี้เป็นการย้ำในตรรกะป่วยข้างต้น และเหมือนตอกฝนโลงให้ตัวเอง เพราะ ถ้ามองทุกสิ่งเป็นเรื่องที่มีเหตุและผลทางธรรมชาติ สิ่งต่างๆจะอธิบายได้ในที่สุดในวันนึง ว่ามันเกิดโรคหรืออะไรขึ้น ในคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นปอป
สุดท้าย ผมขอบคุณและชอบคลิปนี้ เพียงแต่ผมไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่อาจารย์พูด และพยายามปกป้องแทน โดยเฉพาะตอนท้ายคลิป มันเป็นตรรกะที่ยอมรับไม่ได้ เป็นความเชื้อที่พาไปสู่ปัญหาในสังคมได้
ในโลกนี้มีเรื่องที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้เป็นล้านๆ อย่าง แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องฟันธงไปเลยว่า สิ่งที่วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้คือเรื่องเหนือธรรมชาติ 100% บางทีคำตอบอาจเป็นอะไรอย่างอื่นที่เรายังพิสูจน์ไม่ได้หรือแค่ยังไม่รู้คำตอบเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องด่วนสรุปไปว่า A ไม่เท่ากับ B แสดงว่า A ต้องเป็น C เท่านั้น
เห็นด้วยมากๆ แอบรู้สึกว่าโลจิคแปลกๆเยอะ แต่ความหลากหลายก็เป็นเรื่องดีเนาะครับ
ความเชื่อเรื่องผีปอบที่มีนตาย ทุกวันนี้วิทยาศาสตร์ตอบได้แล้วนะ เราเคยฟังคำอธิบายจาก witcast อะ. แล้วคนที่ดูปรกติเหมือนไม่มีปัญหาทางจิตเวช ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอาการทางจิตเวช เค้าก็สช้ขีวิตปรกติเหมือนคนอื่นนั่นแหละ ..และอาการทางจิตเวชมันไม่ได้แปลว่าต้องมีทางบ้าๆบอๆ ..อีกอย่างคำอธิบายทางวิยาศาสตร์ ก็มีความเป็นไปได้หลายอย่างมากๆ มากกว่าที่จะบอกว่าวิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้ อาจจะต้องตอบว่าหรือเรายังมีความรู้เรื่องทางวิทยาศาสตร์ไม่มากพอมากกว่า ..อีกอย่างเครื่องมือแบบปอบ นี่คือ ลองนึกภาพว่าเราคือคนที่โดนกล่าวหาว่าเป็นปอบ แล้วโดนกดดันจนต้องย้ายออกจากบ้านตัวเอง ไม่ความรุนแรงทางร่างกาย แต่สภาพจิตใจหละ เราว่า อาจารย์กัญญา ไม่รู้จักวิทยาศาสตร์จริงๆด้วยซ้ำ แต่ตีความทุกอย่างเข้าข้างไปในความเชื่อ ดูจากใช้คำต่างๆ ..ที่ออกจะโจมตีทางวิทยาศาสตร์ ..น่าผิดหวังที่เป็นนักวิชาการ แต่มองอะไรแคบมาก ใจกว้างกับสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่ด่วนสรุปไปแล้วว่าวิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ ..ทั้งๆที่ไสยศาสตร์ต่างหาก ที่ไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองให้ชัดเจนอะไรได้เลย ..การปลาอยให้แนวคิดปอบมีอยู่ไปเรื่อย มันจะทำร้ายคนในชุมชนที่ไม่เป็นไปตามคาดหวังของคนอื่นในสังคม เช่นถ้าคุณเข้าสังคมไม่เก่งชอบอยู่คนเดียว ก็อาจจะโดนกล่าวหาได้ แล้วไม่มีใครช่วย แค่นี้เหรอ ..มันไม่ได้
การไม่รู้เรื่องวิทยาศาสตร์ทั้งหมดก็ไม่ใช่ความโง่เขลา ก็แค่ยังไม่รู้ แต่การด่วนสรุปไปแล้วว่าวิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ อันนี้คือไม่โอเค ถามมาใช้คำด้อยค่า คนที่พูดถึงวิทยาศาสตร์อีก
ตอนเเรกก็โอเครนะ หลังๆเราฟังไป กุมหัวไป นี่พวกเรา.... งมงายวิทยาศาสตร์กันใช่มะ 555555
เหมือนศึกษาและอินเรื่องนึงมาก ๆ จนไม่เข้าใจเรื่องอื่น
นึกถึงเคสนึงของหมอปลา มีคนไปใส่ร้ายว่าผญ.คนนึงเป็นปอบ เอาชาวบ้านมารุมทำร้าย เอาคนมาไล่ จนแกต้องย้ายออกไปอยู่ที่อื่น สุดท้ายพอย้ายออกไปจนลูกชายได้รับราชการ กลับมาที่หมู่บ้าน คนก็ยังรังเกียจอยู่อีก จนคนโดนใส่ร้ายแทบจะฆ่าตัวตาย สงสารเคสนั้นมากๆ
Witcast ตอนที่เท่าไรหรอครับ ?
ในฐานะคนที่จบสายสังคมวิทยาและมานุษยวิทยามา เราอินกับ ep. นี้นะคะ (และแอบเสียดายนิด ๆ แฮะที่ตอนเรียนไม่ได้ลงเรียนคติชนวิทยา แต่เราก็ลง minority group แถมด้วยวิชาบังคับแบบ cultural anthropology เพราะงั้นเราเลย get กับสิ่งที่อาจารย์อธิบาย) เหมือนได้ย้อนวันวานตอนเรียนเลยค่ะ ตอนที่ฟังก็คือสิ่งที่เคยเรียนวิ่งวนอยู่ในหัวเต็มไปหมด หลายคนอาจจะกังขานิด ๆ กับการลง field ในมุมมองของคนในของอาจารย์ แต่ถ้าได้สัมผัสกับงานวิจัยแบบ autoethnography (ซึ่งสายสังคมศาสตร์กระแสหลัก ก็ยังรู้สึกอิหยังวะ) แล้วล่ะก็ งานของอาจารย์คือเป็นวิจัยทั่วไปของสายเราเลยล่ะค่ะ
.
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคำถามให้ถามอาจารย์เพิ่มเติมนะคะ เพราะวันนี้มันเหมือนมาฟังนำเสนองานวิจัยของอาจารย์ เราก็อยากรู้ในส่วนของการลง field ด้วย ไม่ได้อยากรู้เฉพาะคำตอบที่อาจารย์หามาได้ อันนี้อาจจะเป็นมุมมองจากคนสายเราล่ะมั้งคะ
ส่วนตัวฟังแล้วมีบางจุดที่ “หื้ม” แต่ก็ถือว่าได้รับสาร ความคิดเห็นจากหลายๆมุม ยกตัวอย่างเรื่องความเจ็บป่วยจนเกิดการเสียชีวิต เราบอกไม่ได้เลยนะครับว่าคนที่วันนี้ยังเดินอยู่ดีๆ ลึกๆสุขภาพเค้ามีอะไรแอบแฝงเป็นโรคประจำตัวรึเปล่าที่ไม่ได้มีอาการนำ ที่พาเค้ามารพ. ยังไม่ได้ Investigate จนนำไปสู่ Sudden death หรือการเสียชีวิตกระทันหัน รวมไปถึงการเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ในพื้นที่ชุมชน อาจจะ(นะครับ)มีประเด็นเรื่องอาหาร แหล่งน้ำ สาธารณูปโภค ส่วนรวมที่มีปัญหารึเปล่า จากที่กล่าวมา อาจจะบอกได้เลยว่าส่วนตัวยังเชื่อถือในวิทยาศาสตร์ที่พยายามหาเหตุมาsupportผล ปฏิเสธไม่ได้ครับตอนนี้วิทยาศาสตร์ยังอธิบายทุกอย่างไม่ได้ แต่วิทยาศาสตร์ยังพัฒนาหาทางแก้ไข หาทางอธิบายอยู่ในทุกๆวัน ทุกๆชั่วโมง สวนทางกับความเชื่อที่มักหยุดนิ่ง หรือเสื่อมถอยลง สุดท้ายก็ยังยืนยันครับว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่ได้แลกเปลี่ยน เปิดใจรับฟังครับ ด้วยความเคารพอาจารย์ ขอบคุณครับ : )
ด้วยความเคารพนะครับ ในฐานะที่ผมเรียนวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสุขภาพ เราสามารถอธิบายเหตุการณ์เหล่านี้ผ่านการ 1การเป็นโรคติดต่อ 2การได้รับสารบางอย่างท่อยู่ในแหล่งนำ้หรือแหล่งอาหารของชุมชน เช่น แร่ธาตุหนัก ครับ แต่ผมไม่ได้ตัดสินกับสิ่งที่คุณพยายามจะอธิบายด้วยวิธีอื่นแต่คุนก็ไม่ควรจะdiscredits วิชาที่คุณไม่รู้อย่างละเอียดนะครับ
เพราะอยู่ห่างไกลสังคมในชนบทแบบนั้นมากๆๆๆ เลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว ทำไมเค้าถึงเชื่อเรื่องพวกนี้ แต่พอมาฟังก็เหมือนจะเข้าใจได้บ้างในบางแง่มุม แต่ติดเล็กน้อยที่บอกว่า คนๆนี้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นปอป ไม่น่าใช่อาการทางจิต เพราะเห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ คือ อาการทางจิตเวช ไม่จำเป็นต้องแสดงออกมาก็ได้นะคะ เราไม่สามารถแปะป้ายว่าคนๆนี้ไม่น่าเป็นแบบนี้ เพียงเพราะอยู่ด้วยกันมา เห็นกันมาตลอด เค้าดูไม่ใช่คนเครียดอะไรแบบนี้ 5555555555 แต่เราก็พยายามจะเข้าใจบริบทของชุมชนนั้นๆ (ไม่อยากตัดสินจากความคิดตัวเองฝ่ายเดียว) ;-;
เห็นด้วยจัง
เห็นด้วยเลยค่ะ เราฟังแล้วก็ติดตรงประเด็นนี้เหมืิอนกัน
เห็นด้วย ฟังอันนี้แล้วรู้สึกแปลกๆ เพราะเรื่องเครียดไม่เครียดมันปัจเจกมากๆ
ผมคิดแบบแบบเดียวกันเลยครับ ตั้งแต่อ.เค้าอธิบายเลย เรารู้ Background คนนั้นก็จริง แต่ยังไงก็ไม่มีทางรู้ภายในใจจิตใจอยู่ดี
เห็นด้วยมากๆ เพราะอาการทางจิตไม่ใช่เราจะสามารถสังเกตได้จากประวัติหรือสภาพทางสังคม เช่นปัจจุบันคนที่มีอาการซึมเศร้าหลายๆคนภายนอกยังดูเป็นคนมีความสุขทั่วไปเลยค่ะ
เท่าที่เคยคุยกับคนแก่ตามต่างจังหวัดมาเยอะ ความเชื่อเรื่องปอบจะตรงกับที่อาจารย์เล่าเลยครับ และวิธีแก้มันจะต่างกันแบบเคสบายเคส นี่ว่าอาจารย์หาข้อมูลมาได้ดีระดับนึง จนจะมีช่วงยุคนึงที่ความเชื่อเรื่องปอบเปลี่ยนไปเพราะสื่อ จนกลายเป็นภาพจำ ( ยายทวดผมโดนกล่าวหาว่าเป็นปอบ แต่ได้พาไปวัดเพื่อรักษา ชาวบ้านไม่ได้ไล่เพราะแกเป็นคนที่ชาวบ้านรักครับ ส่วนบางคนโดนไล่ออกไปเลยเพราะไม่ค่อยน่ารัก ) ในแง่ที่อาจารย์พูดจะคุยในทาง folkloristics มีวิทย์มากลาง ๆ มาทางความเชื่ออีกกลาง ๆ ทางผมเข้าใจแต่มันฟังแล้วขัดแย้งกัน อีกอย่างการพูดแบบนี้ทำให้คนทั้งสองกลุ่มไม่โอเค ทั้งกลุ่มที่ชอบวิทย์และชอบเรื่องความเชื่อ แต่เข้าใจ Context ที่อาจารย์สื่อนะครับ
สนุกและได้ความรู้มากค่ะ ทำให้เข้าใจกลุ่มคนที่มีความเชื่อที่แตกต่างจากเราได้ดีขึ้นว่าความเชื่อเหล่านั้นมีเหตุมีผลและมีที่มาที่ไป
ผมแทบจะมั่นใจ 100% เลยว่าเป็นอาการทางจิตเวช และเกิดอุปทานหมู่ เพราะประสบการณ์เชิงประจักษ์ที่อาจารย์บอกมันไม่ได้บอกตัวตนหรือสภาวะทางจิคใจได้ขนาดนั้นนะครับ
บางคนเป็นโรคจิตเวชแต่ไม่แสดงอาการให้ผู้อื่นเห็นก็มีนะครับ มันไม่ Make sense เลย แล้ววิทยาศาสตร์ที่พูดบอกดักดานนี่ทำไมถึงต้องพูดขนาดนั้น พูดเหมือนชวนเชื่อให้คนอื่นงมงาย
ผมว่าโรคจิตเวชทุกคนควรศึกษาให้เยอะมากๆ เพราะเราจะได้ไม่เอาสิ่งที่เราเชื่อผิดๆไปตัดสินคนอื่น
เพิ่งได้มาฟังอีพีนี้ในยูทูปถึงเห็นคอมเมนท์ไปในแนวไม่เห็นด้วยกันเยอะมาก อยากให้ทุกคนแยกแยะว่าแต่ละศาสตร์มีวิธีการศึกษาที่แตกต่างกัน อันที่จริงเราเรียนสายสังคมวิทยาและมานุษยวิทยามาก็พอเข้าใจสิ่งที่อาจารย์เขาจะสื่อนะคะ ก่อนอื่นคืออยากให้เข้าใจก่อนว่าการศึกษาทางมานุษยวิทยาที่ใช้วิธีการแบบชาติพันธุ์วรรณาหรือการจุ่มตัวศึกษาจำเป็นต้องอธิบายจากมุมมองของคนในสังคมนั้น ๆ ว่าเขาคิดแบบไหน เชื่อแบบไหน และทำไมถึงเชื่อแบบนั้น ซึ่งต่อให้เรารู้อยู่เต็มอกว่าวิทยาศาสตร์มันมีคำตอบให้เรื่องนี้ว่ายังไง แต่ตามความเชื่อและการตีความของคนในชุมชนนั้น ๆ เขามองแบบนี้ เราก็ต้องถ่ายทอดออกมาแบบนี้ หรือให้อธิบายง่าย ๆ คือวิธการศึกษาแบบมานุษยวิทยาจะต่างไปจากการอธิบายแบบจิตวิทยาและวิทยาศาสตร์ เพราะเราศึกษาสังคมและวัฒนธรรมของมนุษย์ที่มีกรอบความคิดบางอย่างอยู่เบื้องหลังค่ะ
เลิ้ป ๆ
เกินครึ่งไม่เห็นด้วยกับอาจารย์ ผมไม่แน่ใจว่าอาจารย์เข้าใจวิทยาศาสตร์มากน้อยแต่ไหน สำหรับผมมันคือ logic และเหตุผล มันไม่ใช่ความเชื่ออีกแขนงนะครับ วิทยาศาสตร์ไม่มีคำตอบกับทุกเรื่องแน่ๆเพราะถ้ายังไม่แน่ใจหรือมันไม่ชัดเจน วิทยาศาสตร์จะบอกว่า "ไม่รู้" ซึ่งก็ไม่ได้แปลกอะไร ในขณะเดียวกันถ้ามีอีกวิธีคิดที่มีคำตอบกับทุกอย่าง ผมว่มันก็แปลกๆเพราะมันไปรู้ขนาดนั้นได้ยังไงครับ
จริงครับ ที่บอกว่าเพราะวิทยาศาสตร์แมสเลยผลักความเชื่ออย่างอื่นเป็นชายขอบ หรือที่บอกว่าในเมื่อมันอธิบายทุกอย่างไม่ได้ทำไมต้องดึงดันเชื่อมัน คืออิหยังวะมากๆ กว่าวิทยาศาสตร์จะแมสมันพิสูจน์ตัวเองมานานมาก และมันไม่เคยสรุปอะไรโดยปราศจากการพิสูจน์ หรือเปิดให้คนตั้งคำถามหักล้างมันเสมอ ในขณะที่อย่างอื่นด่วนสรุปกว่ามากๆ บางอย่างพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นเชิงประจักษ์ไม่ได้จนต้องอ้างว่าประสบการณ์ใครประสบการณ์มัน อีกเหตุผลที่วิทยาศาสตร์แมสก็เพราะมันสร้างเทคโนโลยีหลายอย่างที่ใช้ได้จริง ความเชื่อต่างๆที่เคยแมสกว่ามันเลยมาแข่งตรงนี้ไม่ได้เลย แม้คนจะอยากเชื่ออย่างอื่นกว่าวิทยาศาสตร์ แต่ก็พอโลกพัฒนาไป คนเหล่านั้นก็ต้องยอมรับวิทยาศาสตร์ โดยปริยาย
บางทีผมว่าอาจารย์ก็ปิดกั้นมากเกินไปจนไม่ศึกษาให้ละเอียดก็เป็นได้นะครับ ผมว่าต้องใช้หมอจิตเวชต่างชาติที่เป็นระดับหัวๆมาวินิจฉัย ผมไม่ได้อยากอวยพวกต่างชาติหรอกนะครับ แต่ทุกวันนี้โลกเราทั้งโลกที่มีเทคโนโลยีมาช่วยเหลือก็ริเริ่มมาจากพวกนี้จริงๆ แล้วอีกอย่างเรื่องที่วิทยาศาสตร์คนไม่ได้มันก็จะเป็นเรื่องที่เว่อร์เกินบรรยาย
ถ้าผมบอกว่าโลกเราใบนี้เขียนด้วยโค้ดโปรแกรมคอมพิวเตอร์(เพราะจริงๆในตัวเรามีรหัสพันธุกรรม DNA)คุณจะเชื่อไหมครับ วิทยาศาสตร์อธิบายได้ไหมครับ 555555
เพิ่งย้อนกลับมาฟังตอนนี้ เป็นตอนที่น่าสนใจมากๆ ครับ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในคนที่เติบโตมาในกรอบความคิดวิทยาศาสตร์เป็นใหญ่ ถ้าฟังคลิปนี้เมื่อก่อนคงมีปฏิกิริยาต่อต้านแน่ๆ แต่หลังๆ เริ่มตระหนักได้ว่าวิทยาศาสตร์มันก็คือกรอบคิดหนึ่ง และเมื่อก่อนคนเราก็มีกรอบคิดที่ยึดว่าศาสนาเป็นความจริง คือศาสนาถืออำนาจนำ จนกระทั่งถูกวิทยาศาสตร์เบียดออกไป คนสมัยก่อนก็คงไม่ตระหนักว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น ในทำนองเดียวกันท้ายที่สุดวิทยาศาสตร์อาจจะถูกชุดความคิดอื่นมาแย่งชิงอำนาจนำในอนาคตก็ได้ และเราในฐานะคนที่อาศัยอยู่ในโลกที่วิทยาศาสตร์มีอำนาจนำ เราก็คงนึกภาพไม่ออกว่ากรอบความคิดใดที่จะมาแทนที่วิทยาศาสตร์
ถ้ามองแบบนี้แล้ว เราจะตระหนักได้ว่าชุดความคิดหนึ่งๆ อาจไม่ได้มีความหมายสูงกว่ากรอบความคิดอื่นๆ แต่ละกรอบความคิดมีคุณค่าและรับใช้บางสิ่งบางอย่างในสังคมนั้นๆ
เรื่องนี้สามารถเทียบได้กับวิชาคณิตศาสตร์ คิดว่าหลายๆ คนอาจมองว่าคณิตศาสตร์คือสิ่งที่เป็นจริงที่สุดอย่างหนึ่งในโลกนี้ เป็นความจริงที่ไม่เกี่ยวข้องกับความเชื่อเลย แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย คณิตศาสตร์ทั้งหมดที่เรียนกันเป็นความจริงภายใต้ชุดข้อความ (สัจพจน์) ที่เรา "สมมติ" ให้เป็นจริงต่างหาก และมีหลายชุดสัจพจน์ที่เราสามารถใช้งานได้ ซึ่งแต่ละชุดมันจะให้โลกคณิตศาสตร์ที่แตกต่างกันขึ้นมา และไม่ได้มีชุดสัจพจน์ไหนที่ดีกว่าชุดไหนด้วย
ก็แปลกดีที่เรียนคณิตศาสตร์ไปมากๆ แล้วทำให้รู้สึกสนใจ เข้าใจและเห็นคุณค่าของแนวคิดเชิงสังคม, ประวัติศาสตร์, มานุษยวิทยามากขึ้น 555 เมื่อก่อนนี่ไม้เบื่อไม้เมาเลย
กำลังอ่านเซเปียนส์อยู่เลย เลยอินกับหัวข้อนี้มากๆ ชอบ Grey Area มากค่ะ 🥰
ค่อนข้างผิดหวังกับEpisodeนี้ ฟังบางอย่างที่อาจารย์พูดแล้วดูขัดๆในหลายๆเรื่อง แต่ก็ขอบคุณอาจารย์ที่มาพูดคุยในEpisodeนี้นะครับ
ย้อนแย้งหลายอย่างมาก นางรู้จักวิทยาศาสตร์จริงๆไหมเนี่ย
ผมกลับชอบมาก เหมือนได้เปิดสิ่งที่เราไม่อยากจะเชื่อ แน่นอนสำหรับผมจากการฟังตัวแปลที่อาจารย์ใช้ตัดสินแล้ว อาจารย์รู้จักวิทยสศาสตร์แน่นอนครับ
@@BATHROOMAmatyakul ผมว่าคนเรามีความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้ครับ ส่วนเรื่องที่อาจารย์รู้จักวิทยาศาสตร์จริงๆมั้ย อันนี้ผมไม่สามารถตัดสินได้ เพราะว่าผมเองก็ไม่ได้มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มากมายขนาดนั้นที่จะไปตัดสินคนอื่น
จากหลายความคิดเห็น อาจไม่เข้าใจสิ่งที่อาจารย์พูด แต่ในฐานะคนที่จบด้านสังคมวิทยาและเคยเรียนคติชน คิดว่าอาจารย์อธิบายได้ดีมากตามหลักวืชาการ อธิบายได้ดีในทุกๆ คำถามด้วย อย่าลืมว่าอาจารย์ในร่มของสายคติชน
Ep นี้ดีมาก ขอบคุณที่เชิญอ.มาค่ะ
เข้าใจชาวบ้าน ว่าเพราะอะไร ถึงเชื่อเรื่องปอบ แต่ไม่เข้าใจ ดร ว่าทำไม เชื่อเรื่อปอบ ของชาวบ้านง่ายๆ โดย ไม่หาเหตุผล ทางอื่นๆ ที่มันก็ประจักษ์ ชัดเหมือนกัน
ตอนนี้ดีมาก ชอบมากค่ะ ฟังเพลิน และสนุกมาก
อ.กัญญาสุดยอด ได้คำตอบของคำถามที่Make sense.ที่สุดกับเรื่องพวกนี้แล้ว
ฟังepนี้แล้วอึดอัด หลายประเด็นขัดแย้งกันไปหมดตัวอจเองอธิบายไปงงๆในเรื่องที่พูดไป
เป็นอีพีที่ฟังไปเอ๊ะไป
ฟังไปทำงานไปรู้สึกว่าเรื่องมัน controversial กับคนในเมืองแน่ๆเลยเลื่อนดูคอมเม้นท์ก็มีคนเดือดร้อนเวลา อ.ยกมาพูดว่าวิทยาศาสตร์มันหาคำตอบให้ไม่ได้ (อาจเป็นเพราะไม่ได้ลงไปศึกษาอย่างถี่ถ้วน) นั่นก็เป็นปัญหาที่ อ.นำเสนอรึเปล่านะ คือ "ถ้าใช้วิทยาศาสตร์แบบเป็นเรื่องเป็นราวชาวบ้านรุ่นหลังก็จะสลัดความเชื่อในชุมชนที่แน่นแฟ้นได้ และการใช้วิทยาศาสตร์สร้างข้อสันนิษฐานใหม่ยังผลักดันให้คนคิดต่างกับเรื่องนี้มากขึ้นไม่ยึดโยงกับเรื่อง urban ๆ มากจนเกินไป เรียกว่าหัวก้าวหน้าเลยก็ได้ถ้านำข้อพิสูจน์ใหม่ๆมาหักล้างปัญหาในชุมชนที่ไม่สามารถ define ปรากฏการณ์เหล่านี้จนต้องหาคำอธิบายกันเอาเองเป็นอีกเส้นทางหนึ่ง"
ซึ่งเราจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเส้นทางไหนถูกต้อง คือต้องดูที่ผลลัพท์จริงๆว่าอะไรจะชนะ ซึ่งตามหลักสถิติถ้าทุกอย่างได้รับการพิสูจน์เป็นรูปธรรมทั้งหมดมันก็จะไม่มีพื้นที่ให้กับความเชื่อเองเพราะว่าไม่มีปัญหาชุมชนหรือข้อสงสัยหลงเหลืออยู่อีกต่อไป จึงไม่รู้จะยึดแนวคิดเหล่านั้นไปทำไม เหมือนกับปรากฏการณ์เล็กๆน้อยๆที่ตัดสินจากประสบการณ์ได้ว่าเป็นเรื่องแหกตา แต่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ให้แน่ชัดว่าเกิดจากอะไร ในทีวีก็จะมีนักวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ให้ดูจนพ่อหมอร่างทรงหน้าแตกกันทุกอาทิตย์ ชุมชนที่ อ.ว่าก็ควรถูกพิสูจน์ให้กระจ่างไปเลย จะได้ไม่มารู้สึกไม่ดีกับการนำเสนอคติในชุมชน ย้ำว่านำเสนอไม่ได้ชักจูงสักคำ ผมว่าคนในสังคมแค่รู้สึกแย่นั่นแหละว่ามันเหลื่อมล้ำเหลือเกินระหว่างชนบทกับในเมือง ทำไมไม่เอาพวกเราเป็นแบบอย่าง (คงคิดกันประมาณนี้ถึงพิมพ์ออกมาในลักษณะปกป้องวิทยาศาสตร์และต่อต้านคติชุมชนไปในตัว) ผมรู้สึกว่าสิ่งที่เขานำเสนอมันก็แค่ข้อเท็จจริงเองว่าวิทยาศาสตร์ทำงานไม่เต็มที่ สิ่งที่ต้องทำคือลงแรงกับมันให้มากกว่านี้ ชาวบ้านจะได้ไม่นำมาเชื่ออีกต่อไป
อ.กัญญา ใข้ภาษาสวยมาก สมกับเป็นเด็กอักษร ฟังแล้วนอกจากจะกระตุ้นให้คิด ยังได้ความเพลิดเพลินจากความงามของภาษาอีกด้วย
เรารู้สึกว่าตอนนี้เจ๋งมากเลย คือฟังแบบไม่ได้คอนเฟิร์มหรือคิดล่วงหน้าอะไรทั้งนั้น ฟังแล้วก็ได้แง่มุมอีกด้านของสิ่งที่เราเองก็ไม่เคยรู้เพราะก็ไม่ได้ไปศึกษาเรื่องความเชื่อพื้นบ้าน แล้วก็ไม่ได้คิดว่าเสียหายถ้าในหัวเราจะมีช่องว่างเผื่อไว้ให้อะไรบางอย่างที่ไม่ได้พูดในแง่วิทยาศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้ harmful เราว่าคนเรามันก็มีวิธีตอบรับสิ่งต่างๆ ต่างกันไปแหละ สิ่งที่ดูจะสื่อในตอนนี้ได้ดีคือมองให้กว้าง อย่าเพิ่ง judge ไปว่าวิธีการตอบรับเหตุการณ์ต่างๆ ของใครมันด้อยกว่าเพียงแค่มันไม่ใช่แนวทางที่เราเชื่อ ตราบใดที่มันไม่ได้ harmful น่ะนะ (ส่วนเรื่องใช้ social sanction นี่ มันก็ harmful แหละ แต่มันไม่ได้มีในเฉพาะพื้นที่ที่เชื่อในเรื่องที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ มันก็มีทุกที่ เพราะงั้นจะไปบอกว่าเพราะเชื่อเรื่องนี้ถึงได้ทำแบบนี้ก็คงไม่ได้)
อ่านเม้นละเหมือนบางคนไม่เข้าใจคำว่าวิจัยเชิงคุณภาพ กับคำว่าคติชนวิทยา มันคือการศึกษาในเชิงลึกเกี่ยวกับความเชื่อพื้นบ้าน อ.เลยนำเสนอในมุมมองที่ชาวบ้านเชื่อค่ะ (สังคม+วัฒนธรรมพื้นบ้าน) ไม่ได้มาทำวิจัยพิสูจน์ว่าปอบมีจริงรึไม่จริง
แต่อาจารย์พยายามอ้างวิทยาศาสตร์ ตลอดเวลาคือ? เท่าที่ฟัง อาจารย์กำลังบลูลี่วิทยาศาสตร์อยู่คะ เพื่อชูวิจัยเชิงลึกของตัวเองให้น่าเชื่อถือ..(จากคนที่เชื่อวิทยาศาสตร์ มากกว่าความเชื่อ) หรือหลักมนุษยวิทยา คือการอธิบายเรื่องความเชื่อเรื่องผีปอปของมนุษย์กลุ่มนึงไม่ใช่หรอ แต่เท่าที่ฟังคือ เอาหลักวิทยาศาสตร์ มาอ้างแบบ อิหยังวะมากก
@@bth1147 แอบรู้สึกเหมือนกันค่ะว่าถ้าไปในทางความเชื่อเต็ม 100 ไปเลย แบบไม่ต้องหาคำตอบเชิงวิทยาศาสตร์ น่าจะเป็นงานสายคติชนวิทยาเชิงลึกที่น่าสนุกขึ้นค่ะ
งงว่าถ้าใช้วิธีโบราณหาปอบแล้วต้องพิจารณาข้ออื่นอีกเช่น สังคม เพื่อนฝูง งั้นการใช้วิธีโบราณก็ชี้ชัดแล้วว่ามันไม่100% มันเสี่ยงต่อการทำลายชีวิตคนอื่น แล้วยังใช้วิธีนั้นกันทำไม
เหมือนการล่าแม่มดเลย พฤติกรรมผิดแปลกก็โบ้ยว่าเป็นปอบ
จริง ๆ หลายเรื่องวิทยาศาสตร์ก็พอจะมีคำตอบนะครับ แต่บางทีเราเองอาจจะไม่ได้ศึกษามากพอ จนคิดว่ามันไม่ตอบโจทย์
ไม่น่าเชื่อว่าเนื้อหาแบบนี้ทำให้จบดร.ได้ด้วย แต่ก็ฟังดีนะ มุมมองแปลกดี สมมุติถ้ามองอีกด้าน ผมวิจัยในแง่ที่ว่า ที่จริงแล้วปอปมีจริงๆ แล้วคนที่ไม่เชื่อทำไมถึงไม่เชื่อทำไมมองว่าเป็นปัญหาทางจิต วิจัยจะออกมาแบบไหนนะ คือผมคิดว่าปอปมีจริงหรือไม่มีจริงไม่สำคัญเลย ถ้ามีจริงก้เป็นสันชาตญาณของสิ่งมีชีวิตมั้ยคือต้องกินเพื่อมีชีวิตต่อตายเป็นผีก้ต้องกินตามสัญชาตญาณ แต่ที่แน่ๆกรรมสิของจริง คนที่มีประสบการณ์เยอะๆคนมีอายุใช้ชีวิตมานานๆจะเริ่มรู้ตัวว่ากรรมสิของจริง พอแก่ตัวเริ่มเข้าวัดเข้าวาทำบุญทำทาน ผมรู้จักหลายคนเลยตอนเป็นผู้ใหญ่โกงกินเอาเปรียบสัตว์เอาเปรียบคนอื่น พอกรรมตามทันจะเริ่มเข้าวัดเข้าหาพระแบบว่ากลัวกรรมกลัวตาย ทั้งๆที่ตอนเป็นหนุ่มเป็นสาวไม่สนใจศาสนาเลย...
ปัญหาคืออ.แก่เชื่อมากเกินไปจนไม่ความรู้เกี่ยวกับวิทย์ศาสตร์เลยมากกว่า จากที่ฟังมาอ.แกพูดแต่ความเชื่อล้วนๆ ผมติดตรงที่ว่า.คนในหมูบ้านรู้ประวัติ/เห็นมาตั้งแต่เด็กแล้วไม่เห็นว่าจะมีอาการป่วยทางจิต ผมขอถามหน่อยครับว่าคนที่ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับจิตเภทเขาตอบมาได้เต็มปากได้ไงว่าไม่มีทางเป็นหรอกเอาจริงๆนะครับขนาดคนในบ้านบ้างทียังไม่รู้เลยว่าใครเป็นโรคซึมเศร้าหรืออะไรเพราะว่าอย่างโรคซึมเซ้าเองบ้างทีเจ้าตัวก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรอาจจะคิดว่าแค่เศร้าเองไม่มีอะไรหรอก แล้วถ้ายิ่งอยู่ในสังคมที่มีความเชื่อเรื่องพวกนี้ก็จะถูกปลูกฝั่งมาตั้งแต่เด็กว่ามันมีอยู่จริงเลยอาจจะคิดที่ตัวเองเป็นอาจจะโดนผีเข้าก็ได้ และอย่าลืมนะครับว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความรู้เรื่องจิตเวชขนาดอ.ที่มาพูดเองก็ยังไม่เข้าใจเลยฟังจากที่แกพูดมาแล้วยังใช้วาทกรรมเกี่ยวกับความเชื่อว่าก็วิทย์ศาสตร์ยังหาข้อสรุปไม่ได้เลย มันฟังดูอคติเกี่ยวนี้นะครับ ไม่ต่างจากที่อ.แกบอกวิทย์ศาสตร์ด้อยค่าเรื่องพวกนี้เลย
เป็นอีกหนึ่งวิธีการมองเพื่อศึกษาเหตุการณ์มากกว่าครับ วิทยาศาสตร์เองก็เป็นศาสตร์หนึ่งในการทำความเข้าใจธรรมชาติ สังคมศาสตร์ มนุษยวิทยา คติชนวิทยาเองก็เป็นอีกหลายๆ มุมมองในการมองเหตุการณ์ครับ จะว่าใช้วิทยาศาสตร์จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ก็คงจะพูดได้ยาก เป็นคนละศาสตร์กันมากกว่าครับ
เหมือนรักษาโรคด้วยแพทย์แผนปัจจุบัน หรือแพทย์แผนจีน เราจะบอกว่าแผนจีนผิด ก็อาจจะพูดได้ยาก เพราะมันก็มีศาสตร์ของมันเหมือนกันครับ
เป็นวิจัยที่แลดูเป็นการ บลูลี่ วิทยาศาสตร์ แบบสุดๆ..ด้อยค่า จากคำพูดที่ว่า "เหตุการณ์บางอย่าง วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ เคยมีนักวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์แล้วหรอ?" ได้แต่แอบคิดในใจว่าอยากให้นักวิทยาศาสตร์จริงจากอเมริกามาพิสูจน์มาก แบบนี้จะเรียกวิจัยได้จริงๆหรอ ดร. 🧘
ติดตามทุกepเลยครับ ชอบมากฟังทุกวันก่อนนอน
แอบรู้สึกว่าที่อาจารย์ไปหาข้อมูลมาเขาดีเฟ้นท์หรือปกป้องตัวเองไหมว่าวิธีการที่สังคมของจัดการกับปอปไม่ได้รุนแรงแบบนั้นแต่จริงๆแล้วทำ อย่างบอกปราบม็อบตามกระบวนการ แต่จริงๆแล้วแอบรุนแรงตลอดอะไรแบบนี้
การตายติดๆกันอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้ แต่มันอธิบายด้วยคณิตศาสตร์ได้ด้วยหลักความน่าจะเป็น
อาจารย์พูดคำว่า "ใช่ไหมคะ" กี่ครั้ง
แล้วทำไมต้องถามพิธีกรตลอด ว่า "ใช่ไหมคะๆๆๆ"
ฟังไป ''เอ๊ะไป'' ยิ่งฟัง ยิ่งรู้สึกว่ามันขัดแย้งกันเอง และไม่สอดคล้องกัน หลายอย่างอาจารย์ก็แลดูเอียงไปทางไสยศาสตร์แบบมากๆๆ
อีพีนี้ดูมีสาระอีกแบบ เลิฟฟฟฟ
กำลังรออยู่เลย ขอบคุณค้าบบ😍
ชอบหัวข้อนี้มากเลยค่ะ👍👍👍
บางทีความรู้ของคนฟังก็สำคัญนะครับ
แขกรับเชิญ ทางวิชาการมา 2 ท่านละ เราว่า เราฟังคุณยช พูดไม่เข้าใจมาทั้ง 2 เทปเลย เวลาถามคำถามหรือพูดอะไรในมุมมองตัวเอง อาจจะเป็นที่เราไม่เข้าใจเองมั้ง และการใช้ภาษาอังกฤษบางคำของคุณยช บางครั้งก็ดูไม่เข้ากับเนื้อหาในประโยคที่กำลังพูดเลย นี่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องใช้คำนั้น เพราะในภาษาไทยบางคำมันอธิบายชัดๆตรงๆได้ (แต่บางคำต้องใช้ภาษาอังกฤษไปเลยจริงๆเพราะแปลไทยแล้วมันไม่ตรง) ส่วนคุณธัญ เราเข้าใจว่าการจบ รศ. มา + ทำสื่อ ทำให้ภาษาในการสื่อสารมันลื่นไหลกว่ามาก เวลาพูดคุยกับแขกรับเชิญวิชาการ ทั้ง 2 เทป เข้าใจว่า รศ. ก็ต้องมีอ่านเปเปอร์ หรือ ทบทวนวรรณกรรม ในส่วนงานที่ต้องเขียนบทความ หรือ ทำ วพ. คุณธัญ ดูเข้าใจมากๆว่าตรงไหนควรพูดอะไร ไม่ควรพูดอะไร และปล่อยให้แขกรับเชิญโซโล่เต็มที ก่อนจะถามหรือพูดกลับแบบคนที่ตั้งใจฟัง และเข้าใจฟังจริงๆ อันนี้ชื่นชมคุณธัญ
ด้วยวัยและประสบการณ์ทั้งการเรียนและการทำงานย่อมทำให้คุณธัญและคุณยชทำงานได้แตกต่างกันอยู่แล้วค่ะ คุณธัญโตแล้ว จบรัฐศาสตร์และเป็นนักข่าว ต่างจากคุณยชที่น่าจะ 20 ต้นๆ จบศิลปะและทำงานเป็นครีเอทีฟโฆษณา ก็ต้องนำเสนอได้ต่างกัน และสังเกตเทปที่มีนักวิชาการมาคุณธัญก็จะดำเนินรายการเป็นหลักอยู่แล้ว ส่วนเรื่องไทยคำอังกฤษคำ เข้าใจได้ในแง่ของคนที่เสพย์สื่อหรือหนังสือภาษาอื่นมากๆก็อาจจะหลุดพูดคำของภาษานั้นๆออกมาอัตโนมัติ อันนี้เราเข้าใจได้เพราะเราเองก็เป็น คือบทสรุปทั้งหมดคือวัยและความเก๋าประสบการณ์ของคุณยชยังอยู่ในช่วงกำลังเก็บเกี่ยว สังเกตจากเทปพิเศษที่พาคุณวิชัยและทีมงานเบื้องหลังมาพูดก็พอจะนึกออกว่าแต่ละเทปมีการกรองสคริปต์ก่อน มีการตัดต่อ มีการเบรกของคุณธัญบ้าง แต่อันนี้มันกึ่งๆสัมภาษณ์สดเลย เด็กจบใหม่ ทำงานที่ไม่ใช่สายพูดคุย มาเจอนักวิชาการอีก ก็อาจจะประหม่าหรือพูดอะไรงงๆไปบ้าง ก็พอที่จะเข้าใจได้นะคะ แต่ถ้าเป็นอีพีหลัก คุณยชทำได้ดีเลยทีเดียวเพราะเป็นคนเขียนสคริปต์และเล่าเรื่องตื่นเต้น เรื่องผจญภัยเก่งมากๆ
คิดเหมือนกันว่าเวลาที่มีแขกรับเชิญ(คนนอก) มาออกรายการไม่ว่าจะเป็นย่อยไหนของ uc ยชจะเหมือนคนพูดไม่รู้เรื่อง / ถามคำถามอะไรที่ค่อนข้างประหลาด ไม่เข้ากับบริบท เหมือนเป็นคำถามที่ตัวเองไปทำการบ้านมาแล้วก็สงสัย แต่ไม่ได้ฟังเนื้อหาขณะนั้นว่าไหลไปทางไหน แล้วก็เอาแต่ถามสิ่งที่ตัวเองสงสัย ส่วนเรื่องภาษาไม่ค่อยแปลกใจ น่าจะเพราะจบนอก ใช้ภาษาไทยบางทียังไม่ตรงความหมายเลย แต่อันนี้เข้าใจแหล่ะ และก็อย่างที่คนในคอมเม้นท์พูดคือถ้าเป็นตอนที่ได้เขียนสคริปมาก็จะทำได้ดีไม่มีปัญหา อันนี้ติเพื่อก่อนะคะอยากให้เข้าใจ เพราะส่วนตัวเองก็ชอบเทสการเลือกเรื่องของยชเสมอมา
เราว่าด้วยคำตอบของอาจารย์เองที่ยังตอบไม่เคลียร์หรือเล่าแล้วมีข้อขัดแย้งอะไรบางอย่าง คุณยชเลยอาจตั้งคำถามดูเพื่อเช็คความแน่ใจหรืออยากรู้ Inside จากผู้รู้ที่ศึกษามาโดยมีคำถามมาอยู่แล้วในใจ มันอาจจะขัดหูไปหน่อยแต่เราว่าน่าสนใจดีนะ ด้วยคำตอบที่มันไม่เคลียร์เป็นเราก็คงไม่ปล่อยข้ามไปหรอก อาจจะเป็นเรื่องของ Gen หรือ ด้วยวิธีคิดที่ต่างกัน คำถามแบบนี้เราว่ามันเป็นคำถามต่อยอดคำตอบให้ชัดเจนขึ้นไปอีก
ผมเชื่อในวิทยาศาสตร์แบบเต็มตัว แต่ก็ยอมรับว่าสมัยเด็กๆเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เหมือนกัน คือสัตว์ที่อยู่รอบๆโรงเรียน เช่นไก่เป็ดหรือแม้กระทั่งหมาจรจัดในโรงเรียน มีช่วงนึงที่อยู่ดีๆก็ตายพร้อมกัน ตอนนั้นกินสัตว์เน่าเหม็นมาก โรงเรียนอยู่ติดป่า พวกคุณพี่ป 6 ก็จะคอยตรวจอยู่ในป่าเพื่อหาซากสัตว์เน่า แล้วก็มีข่าวลือว่า ยายแก่ๆที่บ้านแกติดอยู่กับโรงเรียนแล้วแกอยู่คนเดียวเป็นปอบ
ชอบตอนนี้มากเลยครับ สนุกมาก
ชอบ gray area มากครับ
การทำพิธีปักเสา ก็เหมือนเป็นการประจาณ/social sanction รึเปล่า
เข้าใจนะว่าอ.มาพูดในมุมมองของคนที่"มีความเชื่อ" ไม่แปลกที่ ข้อมูลของอ.จะเอนเอียงไปทางเชื่อว่ามีจริง แต่การอ้างอิงว่าวิทยาศาสตร์ตอบได้ไม่หมดอาจจะเพราะผู้พูดไม่ได้รู้ทั้งหมดของวิทยาศาสตร์หรือเปล่า? ทั้งหมดที่ฟังมาสงสัยว่า ที่บอกมีคนตายติดๆกันเป็น10คนในหมู่บ้าน เคยชันสูตรอย่างจริงๆจังๆกับศพผู้เสียชีวิตเหล่านั้นเพื่อหาความเชื่อมโยงหรือไม่ ก่อนสรุปว่าวิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้ (อย่างเรื่องผีแม่ม่ายหรืออาการไหลตายที่เกิดเฉพาะในผู้ชายเอเชีย ยังโยงไปถึงเรื่องพันธุ์กรรม เรื่องยีนได้)
.
แต่ก็ไม่แปลกที่การหาข้อมูลของอ.จะปรากฎว่าไม่มีการใช้ความรุนแรงทางร่างกายในการขับไล่ผีปอป และก็ไม่ใช่จะไล่กันง่ายๆ"อีกแล้ว" เพราะยุคสมัยเปลี่ยนไป ผู้คนมีความรู้เชิงวิทยาศาสตร์มากขึ้น มีกฎหมายที่ไม่ใช่กฎหมู่ และการเดินทาง การสื่อสารสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น
.
แต่เอาจริงๆ ถ้าผีปอปจะเอาไว้ตอบสิ่งที่หาคำตอบจากวิทยาศาสตร์ไม่ได้ คงต้องไปเทียบกับเรื่องเอเลี่ยนUFOแหละ XD
ฟังแล้วมันรู้สึกขัดลอจิคแปลกๆ แฮะ
เหมือนอาจารย์แค่เลือกคำผิด (คำว่า ดักดานใช้) คนเลยตีความคำพูดกลายเป็นคนขาดความเข้าใจอะไรไปหรือเปล่า?
ฟังแล้วผมคิดว่า
ไม่ว่าดำเนินการต่าง ๆ เรื่องปอบแล้วจะได้ผลบวกหรือผลลบ ล้วนเป็นการเสียพลังงานไปฟรี ๆ เพราะมันไม่ยึดโยงกับเหตุผล
ธรรมชาติคัดสรร
แง่มุมที่พูดดีมากเลย ep นี้ อาจารย์พูดได้แบบใหม่ แบบสับ มาก
ถือว่าเป็นความรู้ใหม่เลยครับว่ามนุษย์(ชาวบ้าน)อยู่กันเป็นกลุ่มอย่างมีอารยธรรมมากกว่าที่ผมเคยเข้าใจแต่ก่อน
พิธีกรพยายามถามโดยใช้อคติไปนิดว่าคนที่มีความเชื่อเรื่องพวกนี้หัวโบราณ งมงาย
แม่เรามีภาวะเครียด แต่ไม่ยอมรับหรือรู้ตัวว่าเครียด เวลาเป็นมากๆจะวูบ สลบไปเลย ไปหาหมอทุกทางtcแสกน หาข้อสรุปไม่ได้ แต่รักษาตามอาการ เราเป็นซึมเศร้า แต่รู้เลยว่าที่แม่เป็น คือความเครียด
ขออนุญาตครับคือ ปู่ผมก็โดนครับหาว่ามีเสียงข้าวใหลตกใส่ยุ้งข้าว ว่าแกมีมนต์เรียกข้าวใด้และว่าแกเป็นปอบ นั่นละ คำพูดของคนขี้อิจฉา บ่นหาว่าเมื่อไรจะมีคนตายสักทีจะใด้เล่นไพ่เล่นไฮโล เฮ้อทีปู่ผมทำนาแต่ตี4-5เลิกทุ่ม2ทุ่มเขาไม่เคยพยายามจะมองเห็นด้วยซํ้าไป เอาเป็นว่าลูกหลานกลัวความขยันของปู่กับย่าเลยกันดีกว่า ขอบคุณครับทุกท่าน
ปากคนยาวกว่าปากกา โกรธเกลียด ขัดผลประโยชน์
ถ้าเราเรียนกับอาจารย์คนนี้แล้วเบื่อ ก็คงจะไม่ผิด ใช่มั้ยคะ 😂😂
ที่ขัดใจเรามากสุดคือ การที่อาจารย์"สรุป"ว่า ผู้วิจัยท่านอื่น ไม่เข้าไปคลุกคลี เลย"สรุป"แบบผิดๆ
การแสดงออกแบบ mass hysteria ไม่ได้เกิดกับคนที่เจ็บป่วยทางจิตนะคะ อาจารย์ควรจะอ่านและทำความเข้าใจการเรื่องนี้ก่อนจะไปตัดสินคนอื่นค่ะ
การทำวิจัยของอาจารย์คนนี้ *น่าจะ* เรียกว่าการศึกษาในคนกลุ่มนี้(หมู่บ้าน/ชุมชนนี้) แต่เราฟังแล้วเหมือนอาจารย์จะสรุปว่า สิ่งที่อาจารย์"พบ" คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกชุมชน แอพพลายได้กับทุกชุมชน
ชอบแนวทางของช่องและรายการครับติดตามดูครบทุกอีพีแล้ว แต่อยากติเพื่อก่อนะครับ เช่นอีพีนี้อาจารย์พยายายามจะพูดและสื่อสารกับทุกคนด้วยภาษาไทยที่เข้าใจง่ายแต่พวกคุณก็ยังจะพยายามฟุดฟิดฟอไฟโชว์ภูมิกันอยู่อยากติตั้งแต่อีพีแรกจนถึงอีพีนี้ถ้าพูดภาษาไทยได้ก็จะดีนะครับเข้าใจคุณทั้งรายการเป็นคนรุ่นใหม่
Alan Turing
อาจารย์ได้ทุนมาได้ครับ
กันยา ตุลา ft อ.ดร กัญญา ไปอินเดียนา และก็มีสะระ า
สายมนุดเค้าคุยกัน สายอื่นเข้าไม่ถึงเลยครับ
โคตรบังเอิณตายแบบพิศดาร
มันหลอกคนหาแพะ
วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ อืมมมมมม ประเทศไทยเจริญเท่านักวิทยาศาสตร์อเมริการึยังก่อน...วิจัยไม่ใช่วิทยาศาสตร์นะแม่ป้า🙄
ใช้คำว่าโบ้ยด้วย
ฟังแล้วไม่ใช่แค่ชาวบ้านเชื่อหรอก อาจารย์นั่นแหละที่เชื่อว่ามีผีปอป😂
พูดไปคือไม่มีความเป็นกลางเลย มีแต่ความรู้สึกงมงายของตัวอาจารย์เอง...ตลกดี🙄🤣🤣
เหมือนนางพยามบลูลี่วิทยาศาสตร์ ให้ด้อยค่ายังไงไม่รู้
มาเเล้ววว🤍🤍
ขำอะไร
cum อะไร
คุณเสรี คุณ cum อะไร
แวมไพใง
ขาดธาตุเหล็กอะดิ
ทฤษฎี สัมพันธภาพไงพี่
เป็นอะไรกับตัว R
อเมริกาอีก
เพราะชาตินิยมโง่เง่าหรือเพิ่งสร้างชาติและความเป็นไทยซึ่งเหมือนจำยัดสิ่งต่างๆรวมกันมาและความเป็นภาคอีสานคือลาวซึ่งแม่งถูกตราหน้าให้เป็นพวกโง่จนเจ็บความเชื่อเรื่องราวพื้นบ้านเลยถูกชนชั้นกลางมองว่าเป็นเรื่องงมงายซึ่งตัวเองนั่นแหละติดกับดักชุดความคิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าเขาซึ่งความจริงไม่ได้แตกต่างกันมากแค่โอกาสและความเจริญที่ไม่สามารถเขาถึงคนอย่างทั่วถึง…… ซึ่งการพูดไทคำอังกฤษคำเนี่ยไม่ทำให้คุณดูมีการศึกษาและ(ส่วนตัวนะครับ)คือผมฟังไม่รู้เรื่องและไม่ได้แปลว่าผมด้อยกว่าคุณแค่ผมไม่มีทางได้รับสิ่งต่างๆแบบคุณมากกว่าถึงตอนนี้จะสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้มากมายแต่มันก็สายเกินไป
จริงๆควรศึกษาผีผ่านมานุษวิทยาสังคมวิทยา มัวแต่ไปหาพลังงานสสารไรอยู่นั่น เลอะเทอะ
ทำไม่มนุษย์ถึงคิดไปเองว่ารู้ไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง