พุทธวจน พระอาจารย์คึกฤทธิ์บรรยายจิตหลุดพ้นชัดเจนมาก(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) โดยพระอาจารย์คึกฤทธิ์
ฝัง
- เผยแพร่เมื่อ 21 ก.ค. 2022
- พุทธวจน พระอาจารย์คึกฤทธิ์บรรยายจิตหลุดพ้นชัดเจนมาก(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)
บรรยายโดยพระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตถิผโล วัดนาป่าพง
ศึกษา ปฎิบัติและเผยแผ่แต่คำสอนของพระพุทธเจ้า
#พุทธวจน #พระอาจารย์คึกฤทธิ์ #วัดนาป่าพง #ธรรมะ #ฟังธรรม
น้อม,กราบ,พระธรรม,วินัย,คํา,สอน,พระศาสดาสาธุ,เจ้า
อนุโมทนาสาธุค่ะ
น้อมกราบสาธุเจ้าค่ะ
กราบอนุโมทนา สาธุ เจ้าค่ะ
สาธุค่ะ
กราบอนุโมทนาสาธุ
น้อมสาธุครับ
แสนสุข จิตโตภาส กราบสาธุค่ะพระอาจารย์
อนุโมทนาสาธุค่ะ
สาธุสาธุสาธุครับ
กราบสาธุ"ค่ะ
ลูกเพิ่งทราบวันนี้เองว่านิพพานไม่ใช่อนัตตาเพราะเหตุไม่มีอนิจจังไม่มีทุกขังจึงไม่ใช่อนัตตากราบขอบพระคุณพระอาจารย์เจ้าค่ะขอน้อมกราบองค์พระศาสดาเจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ
สาธุ
น้อมกราบสาธุเจ้าค่ะ ท่านพระอาจารย์ ผู้มีพระคุณมากในทางธรรมเจ้าค่ะ
อนุโมทนาสาธุค่ะ
สาธุค่ะ
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะขอบคุณค่ะ❤😊
อนุโมทนาสาธุค่ะ
ฃฃ
สาธุๆ
สาธุครับ
น้อมกราบขอบพระคุณ พระอาจารย์ผู้มีอุปการะคุณเป็นอันมากครับ
กราบนมัสการพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้า พระธรรมของพระพุทธเจ้า พระสาวกของพระพุทธเจ้า สาธุ ๆ ๆ
กราบสาธุสาธุสาธุครับ
กราบสาธุเจ้าค่ะ อนุโมทนาสาธุกับท่านผู้เจริญ
อธิบายเปนขั้นเปนตอนได้ละเอียดมาก สาธุๆ
☆น้อมนมัสการครับท่านสมณสากยปุตติยะ
บุคคลผู้มีอุปการะมากต่อบุคคล วัดนาป่าพง
ตถาคเต เอกนฺตคโต อภิปฺปสนฺโน
เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว
อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของพระตถาคต
ปาฏิหาริย์คำตรัสสอน สอนให้ปุถุชน เป็น อริยะ
☆☆เราเป็นบุตร เป็นโอรส เกิดจากพระโอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เกิดโดยธรรม เนรมิตโดยธรรม เป็นทายาทโดยธรรม-บาลี.ปา.ที.๑๑/๙๑/๕๕.
สาธุค่ะ
น้อมกราบอนุโมทสาธุเจ้าค่ะ
สาธุสาธสาธุครับ
สาธุค่ะ ยิ่งฟังพระอาจารย์โยมยิ่งอยากมากราบพระอาจารย์ โยมปฏิบัติจนเห็นสัตว์ตายังปล่อยจิต
กราบสาธุเจ้าค่ะ
ท่านใดมีคลิปต้นฉบับที่เป็นวีดีโอบ้างครับ
เข้า พุทธวจนเรียล BBK: Pra Kukrit Savasdiphol อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
การเปลี่ยนคืออนิจจัง ขณะที่มีการเปลี่ยนคือการทนอยู่ในสภาพเดิมได้อยากนั้นคือทุกข์ การเปลี่ยนทำให้รูปเดิมมันหายไปเป็นรูปใหม่รูปเก่านั้นดับไปแล้วนั้นรูปใหม่ปรากฎ รูปเก่าคืออัตตาแล้ว ความเด็ก หรือความเป็นวานนี้ หรือแม้แต่ความเป็นห้าวินาทีที่ผ่านมารูปนั้นเป็นอนัตตาไปแล้ว นี้คือความเห็นในความหมาย พอจะเป็นไปไก้ไหม ความเกิดคือความเปลี่ยน(อนิจจัง)มีความเกิดคือมีการไม่ดำรงอยู่ในสภาพเดิม(ทุกข์)ความเกิดอุบัติพ้อมนั่นแหละความเกิดมันผ่านแล้ว(อนัตตา) ขบวนการนี้คือเกิดดับ ทุกวินาทีเป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ขบวนการนี้มันคือคุณสมบัติของสรรพสิ่ง ทุกๆวินาทีสิ่งนั้นนั้นปรากฎการเกิดการเปลี่ยนความทุกข์และความเป็นอนัตตาปรากฎ ถ้าความเกิดไม่ปรากฏ ความเปลี่ยนจะไม่มี ความทุกข์จะไม่มี ความเป็นอนัตตาจะมีหรือไม่มีมีค่าเท่ากัน เพราะมันไม่มีสิ่งที่จะดับ จะเอาความดับมาจากไหน จะเอาอนัตตามาจากไหน นิพพาน
การอธิบาย เรื่องไตรลักษณ์ซึ่งเป็นคุณลักษณะ กับกฎอิทัปปัจจยตาและปฏิจสมุปบาท ซึ่งเป็นขบวนการเกิด(ขบวนการดำเนินไป)มาอธิบายเหมือนกันและปนกันไม่ได้ เพราะจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า เหมือนกัน แต่แท้ที่จริงไตรลักษณ์เป็นเอกเทศของมันเอง แค่คุณสมบัติทั้ง3คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทำหน้าที่สนับสนุนส่งเสริมขบวนการทั้ง2 ให้ดำเนินไปได้เท่านั้น แต่ไม่เกี่ยวข้องกัน
1 ไตรลักษณ์ เป็นคุณลักษณะประจำของทุกๆสรรพสิ่งในโลกนี้ซึ่งรวมไปทั้งในจักรกาลและเอกภพ ไป็นลักษณะเฉพาะตัว ที่ไม่ใช่ขบวนการเกิด กล่าวคือ ตราบใดที่ทุกๆสรรพสิ่งยังอยู่ในกรอบของโลกีย์ธรรม สิ่งนั้นๆ ไม่ว่าจะมีวิญญาณครอง(คือนาม)หรือไม่มีวิญญาณครอง ก็จะต้องมีคุณสมบัติไตรลักษณ์นี้ทั้งสิ้น มันไม่ใช่ขบวนการ แต่มันเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เกิดขบวนการนั้น
2 กฎอิทัปปัจจยตาเป็นขบวนการที่อธิบายถึงการดำเนินไปของทุกๆสรรพสิ่ง ทั้งมีวิญญาณครองและไม่มีวิญญาณครอง โดยมีไตรลักษณ์(คุณลักษณ์เฉพาะ3ประการ)เป็นตัวช่วยทำให้ขบวนการนี้ดำเนินไปได้(ไม่ใช่กฎอิทัปปัจจยตาเป็นตัวทำให้เกิดไตรลักษณ์)
3 กฎปฏิจสมุปบาท เป็นขบวนการเกิดเฉพาะสรรพสิ่งที่มีวิญญาณครอง เช่นมนุษย์และสัตว์เป็นต้น เป็นขบวนการดำเนินไป โดยมีกฎแห่งกรรมสอดแทรกอยู่ในขบวนการนี้ตามพฤติกรรมของสัตว์นั้นๆ โดยมีสามัญลักษณ์3ประการคือไตรลักษณ์เป็นตัวช่วยให้ กฎปฏิจสมุปบาทและกฎแห่งกรรมดำเนินไปได้
ดังนั้น กฎไตรลักษณ์ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะกฎอิทัปปัจจยตา และกฎปฏิจสมุปบาท แต่ไตรลักษณ์คือสามัญลักษณะของทุกๆสรรพสิ่งที่ปรากฎในโลกีย์ธรรม ตราบใดที่ทุกสรรพสิ่งไม่สามารถหลุดพ้นจากโลกีย์ธรรม ตราบนั้นก็ต้องตกอยู่ในสภาพที่มีไตรลักษณ์เป็นสามัญลักษณะ ที่ทำให้ขบวนการทั้งหลายคือกฎอิทัปปัจจยตา กฎปฏิจสมุปบาท กฎแห่งกรรม ดำเนินต่อไปเป็นวัฏฏะ ต่อเมื่อทำลายขบวนการเกิด(เฉพาะตามกฎปฏิจสมุปบาทเพราะในทีนี้จะกล่าวถึงสิ่งที่มีวิญญาณครองเท่านั้น)ได้แล้ว ก็ถือว่าพ้นจากอำนาจของโลกีย์ธรรม ก็เป็นอันหมดสิ้นคุณลักษณะเฉพาะที่เรียกว่าไตรลักษณ์เช่นกัน
@@adketpower3624 ขอบคุณ มาก ๆ ครับ
กราบนมัสการเจ้าค่ะ
อนุโมทนาสาธุเจ้าค่ะ
กราบนมัสการสาธุเจ้าค่ะ
🙏🏼🙏🏼🙏🏼🙏🏼🙏🏼🙏🏼🙏🏼🙏🏼🙏🏼🙏🙏
สาธุเจ้าค่ะ
กราบนมัสการค่ะพระอาจารย์
น้อมกราบนมัสการพระอาจารย์เจ้าค่ะสาธุสาธุสาธุค่ะ
น้อมกราบสาธุสาธุเจ้าค่ะพระอาจารย์เจ้าค่ะ
สาธุค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุครับ
สาธุๆๆเจ้าค่ะ
สาธุๆๆ
น้อมกราบสาธุสาธุสาธุครับผม
กราบสาธุค่ะ
สาธุสาธุสาธุค่ะ
🙏🙏🙏
สาธุค่ะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สาธุค่ะ
ค
อ
น้อมกราบคำสอนด้วยเศียรเกล้า
....กราบพระอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูงเจ้าค่ะ
🙏🙏🙏🙏🙏
สาธุๆๆครับผม
🙏🙏🙏❤
❤️❤️❤️🙏🙏🙏
สาธุ สาธุ สาธุ ครับพระอาจารย์
ด้วยความเคารพในธรรมของพอจ.คึกฤทธิ์
คงต้องขอแย้งในการอธิบายขยายความของท่านพอจ.ในเรื่องไตรลักษณ์ ดังนี้
1 ไตรลักษณ์คือสามัญลักษณะของสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาล (ไม่เพียงแต่ในโลก) ดังนั้น ไตรลักษณ์ เป็นเรื่องของคุณลักษณะเฉพาะตัว ไม่ใช่ขบวนการ จึงไม่สามารถนำเอากฎธรรมชาติข้ออื่นๆ เช่นกฎอิทัปปัจยตาหรือปฏิจสมุปบาทซึ่งเป็นกฎธรรมชาติว่าด้วยขบวนการมีเปรียบเทียบหรือครอบคุมได้ เพราะจะทำให้ผู้ฟังเขาใจว่า สามัญลักษณะเป็นขบวนการเช่นกัน
2 ดังนั้นเมื่อไตรลักษณ์ไม่ใช่ขบวนการ จึงไม่มีลักษณะของการเกิดเรียงลำดับกันไป ดังที่ท่านพอจ.อธิบายคือ ซึ่งมีทั้งข้อถูกและข้อผิดดังนี้
ข้อถูก - เพราะมีการเกิดขึ้นของรูปนาม ไตรลักษณ์จึงเกิด
ข้อผิด- ไม่ใช่มีอนิจจังเกิดก่อนแล้วทุกขังกับอนัตตาจึงเกิดเรียงตามกันมา
กฎไตรลักษณ์เป็นลักษณะเฉพาะที่สามัญลักษณะทั้ง3ต้องเกิดขึ้นพร้อมกันทันที่ที่รูปนามเกิด
ไม่ใช่เรียงลำดับว่า อนิจจังเกิดแล้ว ทุกขังเกิดตาม แล้วตามด้วยอนัตตา
3 ตามพระสูตรที่ว่า สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นก็เป็นทุกขัง สิ่งใดเป็นทุกขังสิ่งนั้นย่อมเป็นอนัตตา พอจ.แปลเองตามความเข้าใจของท่าน ในรูปแบบของขบวนการ ซึ่งเขียนเป็นสัญญลักษณฺได้ดังนี้
1อนิจจัง --------2 ทุกขัง --------3 อนัตตา
ซึ่งผู้เขียนคิดว่าไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ควรเป็นแบบนี้คือ
อนิจจัง=ทุกขัง=อนัตตา
เพราะธรรมทั้ง3นั้นให้ผลในเรื่องเดียวกัน แค่คนละลักษณะ แล้วแต่ใครจะเห็นในมุมไหนชัดกว่า หรือเห็นก่อนมุมอื่น เช่นบางคนเห็น อนิจจังชัด ก็จะเห็นอนิจจังก่อน บางคนเห็นทุกขังชัด ก็จะเห็นทุกขังก่อน บางคนเห็นอนัตตาชัดก็จะเห็นอนัตตาก่อน แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นกับอุปนิสัยของตน และได้เทคนิควิธีฝึกตามความรู้ความชำนาญของครูที่เป็นพอจ.ของตนเองว่า ถนัดสอนให้เห็นลักษณะไหนก่อน แต่ในที่สุด เมื่อฝึกเป็นแล้วก็จะเห็นได้ทั้ง3ลักษณะ ในเวลาเดียวกันแล้วแต่เจ้าตัวจะเลือกดู
4 ความจริงในไตรลักษณ์นั้นคุณลักษณะที่มีอิทธิผลและกำกับให้อีก2ลักษณะเกิดขึ้นตามทันที่คือ ทุกขัง
ทุกขังในไตรลักษณ์ไม่ได้หมายถึงว่าทุกข์อย่างที่เราเข้าใจ ที่มุ่งไปยังความหมายถึงทุกขเวทนา ทั้งทางรูป(กาย)นาม(ใจ)แต่เป็นเป็นสมุททัยของทุกขเวทนาเหล่านั้น (ตามปฏิจสมุปบาท ที่รวบรวมชนิดของความทุกข์เอาไว้ว่า โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิทุกขา)
ดังนั้นทุกขังในไตรลักษณ์จึงแปลว่า การบีบคั้น เพราะมีการบีบคั้น รูป นามจึงต้องแปรเปลี่ยนตลอดเวลา(อนิจจังจึงเกิดขึ้นทันที่พร้อมๆกับอนัตตาเพราะรูปเดิมหายไปเปลี่ยนเป็นรูปใหม่) ลักษณะนี้จึงเรียกว่าสามัญลักษณะที่มีประจำ ในรูปนาม ไม่ไช่ขบวนการ
(สรุปคือ ทุกขังไม่ใช่ทุกขเวทนา แต่เป็นเหตุให้เกิดทุกขเวทนา)และไม่ควรแปลว่าความเสื่อม เพราะทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงอาจจะนำมาซึ่งความกลัวความไม่พอใจเป็นส่วนใหญ่ ทั้งๆที่การเปลี่ยนแปลงนั้นอาจทำให้เกิดความพอใจก็ได้ ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างความน่าพอใจ เช่นเด็กทารกถูกบีบคั้นให้โตขึ้นน่ารักน่าเอ็นดู ผู้หญิงถูกบีบคั้นด้วยวัยให้สวย(ตามวัย)ขึ้น ลูกถูกบีบคั้น(เพราะโตขึ้น)ให้เรียนเก่งขึ้นเป็นต้น
5 ตราบใดที่ยังต้องเวียนเกิดในวัฏฏะสงสาร ก็ต้องได้รูปนามที่มีสามัญลักษณะประกอบอยู่ตลอดไปโดยมีชีวิตดำนินไปตามกฎธรรมชาติ3ข้อคือ 1 กฎแห่งกรรม 2 กฎอิทัปปัจจยตา 3 กฎปฏิจสมุปบาท ตลอดไปจนกว่าจะสร้างปัญญามาทำลายอวิชชาคือความไม่รู้ในกฎธรรมชาติเหล่านี้ลงได้สำเร็จ จนเข้านิพพาน
ส่วนข้อนิพพาน เป็นอนัตตา ใช่หรือไม่นั้น ผู้เขียนก็ส่งสัยและอยากจะตีความไปแบบที่ท่านพอจ.อธิบายไว้ว่า ไม่น่าจะใช่อนัตตา เพียงแต่ไม่ทราบว่า คำอธิบายว่า"นิพพานเป็นอนัตตา"นั้นเป็นคำแต่งใหม่ของสาวกตามที่พอจ.กล่าวอ้างรึเปล่า จึงไม่กล้าประมาทต่อ หลักธรรมอันสำคัญนี้
แต่ถึงกระนั้นการเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่ดี เมื่อมีข้อสงสัยในหลักธรรมข้อใด ก็จำต้องศึกษาค้นคว้าหาความจริงด้วยตนเองโดยมีหลักยึดที่เหมาะสม ที่ตนเองจะต้องวางเอาไว้เพื่อมิให้ตนเองกระทำสิ่งอันผิดพลาดประมาทล่วงเกินไปอันจะสร้างผลกรรมเป็นวิบากอันแสบร้อนในภายภาคหน้า จะขอเล่าว่าตัวผู้เขียนมีหลักเกณฑ์อย่างไร เมื่อเกิดความสงสัยเผื่อไว้ให้ผู้มีปัญหาข้อสงสัยในเรื่องแบบนี้ได้ลองนำไปใช้เป็นตัวอย่างสร้างขั้นตอนดูการศึกษาค้นคว้าเฉพาะของตนเองดู
1 พิจารณาข้อธรรมนั้นไปอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยตนเอง หากมีข้อสงสัยระหว่างทางแตกแขนงออกไป ก็เก็บบันทึกไว้ อาจจะเป็นข้อเขียนหรือเป็นความทรงจำ)ซึ่งปกติผู้ฝึกตนจะไม่ลืมหรอกแม้ไม่ได้จดไว้
2 ต้องประเมินถึงความสำคัญของข้อธรรมนั้นว่ามากน้อยแค่ไหน อย่างในกรณีนี้คือ นิพพาน ซึ่งมีความสำคัญมาก จึงไม่ควรที่จะตัดสินเชื่อว่าใช่หรือไม่ใช่เพราะในเรื่องนี้ ต้องคิดก่อนว่า มีแต่ผู้เข้าถึงพระนิพพานแล้วเท่านั้นจึงจะบอกความจริงได้ (แล้วในยุคนี้จะเป็นใครละ)
ดังนั้นเราจึงต้องค้นหาพิสูจน์ความจริงด้วยตัวเราเองโดยยังไม่ตัดสินใดๆ เพราะยังไมใช่เรื่องสำคัญสำหรับเราที่จะต้องรู้ในเวลานี้ ยังมีหน้าที่ภารกิจในการสร้างปัญญารออยู่ และเมื่อถึงเวลาที่ปัญญามีมากพอ เราก็จะเข้าใจได้เอง นิพพานเป็นอนัตตาหรือไม่
3 ในระหว่างทำภารกิจสร้างปัญญาอยู่นั้น บางครั้ง ปัญญาที่เพิ่มพูนขึ้น ก็จะนำเอาหลักธรรมที่เราสงสัยและเก็บไว้ในความทรงจำ ยกขึ้นมาทบทวนดูว่า ผู้ฝึกมีปัญญามากพอจะเข้าใจรึยัง หากยัง ข้อสงสัยนั้นก็จะถูกเก็บกลับไป แต่ถ้าปัญญาดูเหมือนจะสามารถตีความเข้าใจได้บ้าง ความรู้ในเรื่องนั้นๆที่สงสัยก็จะค่อยๆจางลง แม้จะยังสรุปฟันธงลงไปไม่ได้แต่ก็จะค่อยๆเข้าใจมากขึ้นกว่าเดิม ก่อนที่จะถูกเก็บไว้ต่อไปเพื่อรอเวลาถูกนำกลับมาพิจารณาในครั้งต่อไป
4 นำหลักธรรมนั้นๆมาพิจารณาเทียบเคียงกับหลักธรรมในข้ออื่นๆที่เกี่ยวข้องกัน แล้วตั้งสมมติฐาน หรือข้อสงสัยความน่าจะเป็นเอาไว้อย่างคราวๆ อย่างในกรณีนี้คือ "นิพพานคืออนัตตา" มีข้อธรรม2ข้อ คือ 1 นิพพาน
2 อนัตตา
พิจารณาคุณสมบัติของนิพพานว่ามีหลักฐานทางพระสูตรใดๆแสดงไว้อย่างบ้างที่อาจเชื่อมกับคำว่าอนัตตา เท่าที่เห็นก็น่าจะเป็น คำว่าสูญญตา ไร้รูปนาม ซึ่งอนัตตา ก็อาจแปลได้ว่า ไม่มีจริงหรือเป็นสูญญตาเหมือนกัน
แล้วอนัตตาในไตรลักษณ์ละ แปลว่าอะไร แปลว่าไม่มีตัวตนอย่างแท้จริงเช่นกัน ตย.เช่น ปัจจุบันใครคนหนึ่งอายุ70 แล้วเขาตอนอายุ20 มีอยู่จริงไหม มันเคยมีอยู่จริงแต่ปัจจุบันไม่มีตัวตนนั้นแล้ว ไม่สามารถจะไปหากลับมาได้ ดังนั้นรูปเมื่ออายุ20จึงเป็นอนัตตา แต่เพราะมันมีการสืบเนื่องกันต่อมาด้วยสันตติ ดังนั้นจึงยังมีรูปที่อายุ70อยู่ และหากคนผู้นั้นยังเป็นผู้ยึดติดกับวิญญาณ ถ้าบังเอิญเขาตายไปในอายุขัย70 เขาก็จะต้องไปเกิดตามที่ปฏิสนธิวิญญาณพาไปด้วยแรงแห่งกรรมของเขาเอง
แต่หากเขาเป็นผู้ปฏิบัติจนไม่เป็นผู้ยึดติด แล้วมาจบชีวิตที่รูปนามที่อายุ70 โดยเขาไม่ไปยึดติดกับวิญญาณใดๆอีก ปฏิสนธิวิญญาณก็ไม่มีจึงไม่มีอะไรพาไปเกิดอีกแล้ว ก็เป็นอันว่าเขาผู้นั้นก็ทำกาละที่รูปอายุ70 เขาได้ทำกาละในขณะที่รูปและนามดับไปคือเป็นอนัตตาแล้วไม่ต้องไปเกิดอีก เมื่อทุกอย่างมันจบลงที่อนัตตา แล้วจะเป็นอย่างไรต่อในสภาวะของนิพพาน ถ้าใครอยากรู้
ก็ต้องไปให้ถึงนิพพานกันเองละว่า เขาผู้จากไปในขณะรูปนามสุดท้ายเป็นอนัตตาเขาจะเป็นสภาวะอย่างใดในนิพพาน ยังเป็นอนัตตาต่อไปรึเปล่า?
การสมมติแบบนี้จะตีความเป็นไฉน แต่ละคนก็ต้องเอาไปพิจารณาด้วยตนเองโดยยังไม่ต้องตัดสินใจสรุป ปล่อยให้ปัญญาพร้อมมีมากพอ แล้วมันก็จะให้คำตอบกับเราเอง
ขอโอกาสครับ 😮
"พระศาสดาสอนว่าธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ"
เมื่อพระอัสสชิกล่าวประโยคนี้จบ
พระสารีบุตรก็มีศรัทธาชวนพระโมคคัลลานะ ไปหาพระพุทธเจ้า
พระศาสดาท่านก็สอนว่า ธรรมใดเป็นเหตุ ธรรมใดเกิดแต่เหตุ ไปตามลำดับ จนกระทั่งถึงเหตุที่จะเกิดวิชชา วิมุติ
ตอนบรรลุธรรม พระสารีบุตรใคร่ครวญว่า "สิ่งใดไม่มีก็มีมา สิ่งใดมีมาก็ดับไป"
ธรรมทั้งชีวิตของพระศาสดา คือ เรื่องเดียวกัน
อิท้ป ปฏิจจ ไตรลักษณ์ สังขตะ อสังขตะ ทั้งหมดคือเรื่องเดียวกัน แต่อธิบายโดยอเนกปริยาย
พระศาสดาจึงกล่าวว่า
"ผู้ใดเข้าใจธรรมของพระองค์แม้เพียงบทเดียว ก็เป็นประโยชน์แก่ผู้นั้นชั่วกาลนาน " คือ บรรลุธรรมครับ
ไม่ว่าจะตามฟังธรรมพระองค์ให้หมดทั้งชีวิต มันก็ลงที่ประโยคเดียว
เพียงแต่ที่ธรรมมันพิสดาร เพราะ "ธรรมอันเป็นเหตุ และธรรมที่เกิดมาแต่เหตุ มีเป็นเอนกปริยาย"
แต่ถ้าเข้าใจบทเดียว ก็เข้าใจทั้งหมด
ทั้งหมด คือ เรื่องเดียวกัน แค่นั้นเองครับ
@@Send2Suradate เป้าหมายแห่งชีวิตมันคือเรื่องเดียวกันคือการพ้นทุกข์ แต่ระหว่างทางที่จะนำไปสู่การพ้นทุกข์จะต้องศึกษาเส้นทางการเดินทางอย่างถูกต้องตามหลักธรรมจึงจะไม่เนิ่นช้า และเสียเวลา เพราะเวลาที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนาในช่วงเวลาที่คำสอนยังครบสมบูรณ์ ทั้ง ปริยัติ ปฏิบัติ และปฎิเวธ เป็นสิ่งมีค่าหายากมาก
การศึกษาและเข้าใจในหลักธรรมอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะพาให้ไปสู่หนทางพ้นทุกข์ และเมื่อใครสักคนไปถึงตรงนั้นแล้ว ค่อยมาบอกกล่าวรวบยอดเพียงประโยคเดียวได้ว่า ธรรมทุกอย่างมันเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะเขาเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วนั่นเอง
แต่ถ้าใครยังไปไม่ถึง ก็ต้องศึกษาให้เข้าใจในธรรมแต่ละข้อว่ามันคืออะไร เพราะแม้จะเป็นเรื่องเดียวกัน แต่บนเส้นทางการปฏิบัติ มันทำหน้าที่ต่างกัน ผู้เดินทางต้องรู้จักอย่างถูกต้อง เพื่อจะได้ให้หลักธรรมนั้นนำไปพบความรู้รวบยอดสุดท้ายที่ว่า มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น และมีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป
(เมื่อรู้จักทุกข์ และรู้วิธีดับทุกข์ ก็พ้นทุกข์ ...จบ)
ธรรมแต่ละบท
จะบอกเหตุ และธรรมที่เกิดแต่เหตุ ไปจนสุด คือหลุดพ้น ทุกบท
สอดรับไม่ขัดกันทุกบท
สรุปให้สั้น คือ "ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ"
หรือจะใช้คำอื่น ๆ ก็มีความหมายเดียวกันทั้งหมด
เข้าใจ 1 ก็เข้าใจทั้งหมด สอดรับกันทั้งหมด ไม่ขัดแย้งกันเลย
ยังไม่บรรลุก็เข้าใจได้ 😀
เข้าใจแล้ว แม้ตายโดยขาดสติก็จะเป็นเทวดาและบรรลุธรรมในภพนั้นครับ
@@Send2Suradate ถูกต้องที่สุด ดังนั้นจึงต้องทำเข้าใจธรรมแต่ละบทอย่างถูกต้อง แต่เมื่อปัญญายังไม่ถึง จึงต้องใช้เวลาในการพิจารณาอย่างรอบคอบ และเมื่อปัญญายังไปไม่ถึง ก็ต้องยอมละไว้ในฐานที่ยังไม่เข้าใจ โดยไม่รีบร้อนไปตัดสินธรรมบทนั้นๆ เสียแต่เนิ่นๆ การศึกษาธรรมแต่ละบท(ตามปริยัติ)จึงต้องทำฝึกควบคู่กับการปฏิบัติจนเกิดปฎิเวธจึงเป็นอันแน่ใจได้ว่าถูกต้องเท่านั้น จริงๆ
จะฟัง(สุตตะ)เพียงอย่างเดียวนั้นไม่พอ แค่เก็บไว้เป็นฐานความรู้ของตนเอาไว้ใช้เทียบเคียง ที่เหลือต้องพิสูจน์ด้วยตนเองต่อไปจนรู้และเข้าใจเองใน ธรรมบทนั้นๆที่กำลังศึกษาอยู่อย่างแจ่มแจ้ง ก็จะเกิดผล(ปฎิเวธ)ประจักษ์ชัดกับตนเองด้วยตนเอง
น้อมกราบสาธุเจ้าค่ะอาจาร์วัดป่าพงอยู่ จังหวัดอะไร
อยู่จังหวัด ปทุมธานี คลอง10 ค่ะเข้าเว็บ วัดนาป่าพง ได้เลยค่ะ
อนุโมทนาสาธุ
ธรรมทั้งปวงเเป็นอนัตตา ดังนั้น นิพพานก็เป็นอนัตตาด้วย ผมมองว่าเป็นการใช้ตรรกกะมาสรุป ก็สงสัยมานานว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าเอาตรรกกะมาใช้ไม่ได้ ต้องรู้แจ้งเห็นจริงเท่านั้น, แล้วที่ถูกคืออะไร , อ. ว่า ถ้านิพพานเป็นอนัตตา นิพพานก็เป็นทุกข์ , ผมว่าจริงครับ
นิพพานไม่ใช่อนัตตา ฟังคลิปอีกหลายๆรอบนะคะ
@@buddhawajana8609 ผมพูดสั้นไป ผมหมายถึงว่า กระแสหลักๆ ก็มีสามแบบ คือนิพพานเป็นอัตตา นิพพานเป็นอนัตตา นิพพานไม่ใช่สองแบบข้างต้น , นิพพานเป็นอัตตานี่น่าจะสายธรรมกาย นิพพานเป็นอนัตตาเพราะตีความตามที่ผมกล่าวข้างต้นนี่น่าจะเถรวาทสายตีความพระไตรปิฎก สายพุทธปรัชญา
น้อมจิตกราบสาธุสาธุสาธุเจ้าค่ะอนิจจังทุกขังอนัตตาสิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตาทุกข์เพราะการแปรเปลี่ยนของรูปทุกๆอย่างเป็นของไม่เที่ยงแตกสลายดับไปตามกาลเวลาสาธุสาธุสาธุเจ้าค่ะ
สาธุครับ
สาธุ
เราต้องเรียนรู้คำว่าความรู้สีกให้เข้าใจก่อน
🙏🙏🙏
สาธุครับ