เทวปุตตมาร

แชร์
ฝัง
  • เผยแพร่เมื่อ 30 เม.ย. 2020
  • ตอนที่ ๑๐ เทวปุตตมาร
    ทุกคนมีจิตและจิตของทุกคนก็มีความเป็นพุทธะอยู่ในตัวเพียงแต่ความเป็นพุทธะไม่ปรากฏเพราะมีอวิชชาบดบังอยู่แต่เมื่อใดที่ความเห็นแจ้งปรากฏเมื่อนั้นจากมารจะกลายเป็นพุทธะในบัดดล
    ๔.เทวปุตตมาร..คำว่าเทวปุตตมารชื่อก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่า"เทพบุตรเป็นมาร"เป็นมารที่ใครๆก็คาดคิดไม่ถึงว่าจะเป็นไปได้เพราะที่ผ่านมาเรามักจะรู้กันว่าโลกนี้แบ่งออกเป็น๒ฝ่ายคือฝ่ายเทพกับฝ่ายมารแต่อยู่ๆไฉนท่านจึงว่า"ฝ่ายเทพนั่นแหละคือมาร"เหมือนอยู่ๆก็บอกว่า"พระเอกนั่นแหละคือผู้ร้าย"ใครได้ยินได้ฟังที่จะไม่งงก็คงหายากเต็มทีแต่พระพุทธเจ้าพระบรมศาสดาของเราทั้งหลายกลับรู้จักเป็นอย่างดีแสดงถึงพระปรีชาญาณอันวิเศษยอดเยี่ยมของท่านที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้เลยเทวปุตตรมารหรือมารเทพบุตรสามารถจำแนกได้เป็น๓อย่างหรือมาใน๓ลักษณะดังนี้
    ๑.ลักษณะเป็นผู้ปรารถนาดี...กรณีนี้จะมาในคราวที่เรามีจิตศรัทธาที่จะพากเพียรปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังแบบอุกฤษฏ์เอาชีวิตเป็นเดิมพันด้วยการตั้งใจอดนอนผ่อนอาหารบ้างเขาจะมาพูดจาเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวให้เลิกละความเพียรแบบนั้นเสียโดยอ้างว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนบ้างพระพุทธเจ้าเคยทำมาแล้วพบว่าไม่ใช่แห่งการบรรลุจึงกลับมาดำเนินทางสายกลางบ้างหรือบางครั้งก็จะเอาเรื่องสุขภาพมาอ้างบ้างปฏิบัติแบบทรมานแบบนั้นระวังจะเจ็บไข้ได้ป่วยทำให้ปฏิบัติธรรมไม่สะดวกบ้างหรืออาจจะตายก่อนบรรลุธรรมบ้างแต่ให้เข้าใจให้ถูกต้องว่าคนนั้นแท้จริงมิใช่มารแต่ถูกเทวปุตตมารยืมมือใช้งานเพื่อขัดขวางการปฏิบัติธรรมของเรา
    ๒.ลักษณะเป็นจิตวิญญาณ...กรณีนี้อาจจะร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตเพื่อความชัดเจนจะขอเล่าประสบการณ์ตรงของตัวเองให้ฟังเป็นอุทาหรณ์ดังนี้
    คืนหนึ่งได้นิมิตผ่านความฝันว่าตัวเองมีรูปลักษณ์เป็นแมงมุมถูกหลอกให้เดินไปบนไม้กระดานแผ่นเดียวที่ปูลอยบนผิวน้ำเมื่อไปถึงกลางน้ำปรากฏว่ามีจระเข้ตัวใหญโดดงับแมงมุมแต่ด้วยความว่องไวแมงมุมสามารถโดดหนีพ้นคมเขี้ยวจระเข้และวิ่งกลับขึ้นฝั่งได้โดยปลอดภัยภาพนิมิตก็จบลงแค่นั้นแต่ในขณะฝันก็รู้สึกตัวดีว่าแมงมุมในนิมิตฝันคือตัวเราเอง
    รุ่งขึ้นหลังจากฉันเช้าแล้วเพื่อนพระ๒รูปก็ชวนขึ้นเขาไปค้นหาถ้ำที่หลังสำนักซึ่งอยู่ห่างประมาณกิโลเมตรกว่าๆพอเดินไปถึงตีนเขาปรากฏว่าเกิดอาการอาหารไม่ย่อยคลื่นไส้อาเจียนเดินไปประมาณ๑๐-๒๐เมตรก็จะอาเจียนครั้งหนึ่งแม้อาการจะเริ่มไม่สู้ดีนักแต่ก็พยายามเดินขึ้นเขาต่อไปเพราะคิดว่าไหนๆก็มาแล้วจึงพยายามเดินต่อไปด้วยการเดินบ้างหยุดพักบ้างจนใกล้จะถึงยอดเขาแล้วแต่ในที่สุดก็รู้สึกว่าเดินต่อไปไม่ไหวแล้วจึงขอแยกทางกับเพื่อนกลับลงมาก่อนส่วนเพื่อนพระทั้ง๒รูปก็เดินขึ้นเขาต่อไป
    เมื่อแยกทางกับพระเพื่อนแล้วก็ได้กำหนดทิศทางจะลงไปยังสำนักซึ่งอยู่ไกลลิบๆลงมาได้สักร้อยเมตรก็พบทางน้ำไหลลงจากยอดเขาดูแล้วเหมือนจะเป็นทางตรงด้วยและสะดวกด้วยจึงได้เลือกเอาทางน้ำไหลที่เป็นร่องลึกประมาณ๑เมตรเป็นหลักแต่ลงมาได้ไม่นานนักร่องน้ำก็เริ่มมีต้นหนามขึ้นปกคลุมแรกๆก็มีเพียงบางๆนิดหน่อยแค่ใช้ไม้แหวกออกนิดหน่อยก็มุดลอดไปได้แล้วจึงใช้ไม้แหวกดันขึ้นบนแล้วมุดไปเรื่อยๆคิดว่ามุดไปอีกหน่อยคงพ้นแต่การคาดการณ์กลับผิดถนัดเพราะยิ่งลอดยิ่งมุดหนามกลับยิ่งหนาขึ้นๆจนในที่สุดต้องหยุดพักเพราะรู้สึกว่าไม่สามารถไปต่อได้แล้วใจคิดว่าจะทำอย่างไรดีเพราะจะไปต่อก็ไปไม่ได้จะกลับขึ้นทางเก่าหรือเรี่ยวแรงก็หมดแล้วชีวิตคงต้องทิ้งไว้ใต้พุ่มหนามในร่องน้ำบนเขาเพียงเดียวดายแน่นอนและบนเขาลูกนี้ก็เคยมีพระธุดงค์ขึ้นมาตายบนนี้แล้วด้วย
    คงด้วยบุญเก่ายังไม่หมดลงแค่นั้นสักพักเพื่อนพระทั้ง๒รูปก็เปลี่ยนใจเลิกค้นหาถ้ำลึกลับตามคำบอกเล่าของโยมคนแก่ที่เคยอยู่แถวนั้นจึงกลับตามลงมาเพราะเป็นห่วงอาการที่เห็นแล้วว่าไม่สู้จะดีนักเดชะบุญที่เพื่อนเดาทางถูกเลือกเดินลงมาตามร่องน้ำเดียวกันและทำอย่างเดียวกันเมื่อเพื่อนตามมาถึงก็ได้ใช้ไม้เท้ายาวประมาณเมตรครึ่งดันยกพุ่มหนามให้ขึ้นสูงพอคลานลอดผ่านไปได้ทำอยู่อย่างนี้อยู่พอสมควรจึงสามารถออกจากร่องพุ่มหนามมาได้และกลับถึงสำนักโดยปลอดภัยแต่ก็ทุลักทุเลชนิดที่เรียกว่าเข็ดจนตาย
    คืนต่อมาก็ได้ยินเสียงมาบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในครั้งนี้เป็นเพราะการกระทำของจิตวิญญาณที่สถิตย์อยู่ที่ต้นมะม่วงป่าข้างกุฏิซึ่งเป็นที่อาศัยของจิตวิญญาณผู้หญิงสองตนวิญาณตนหนึ่งรูปร่างอ้วนตนหนึ่งรูปร่างผอมแต่วิญญาณที่เล่นงานจะเอาถึงชีวิตเป็นวิญญาณตัวอ้วนตนเดียวส่วนวิญญาณตัวผอมไม่เอาด้วยและมีเสียงบอกต่อไปอีกว่าวิญญาณตัวอ้วนนั้นถูกนายใหญ่จับตัวไปแล้วเขาใช้คำว่า"นายใหญ่"ไม่ทราบว่านายใหญ่คือใครแต่โดยข้อสันนิษฐานน่าจะหมายถึงยมบาลหลังจากตื่นเช้ามาอาการอาหารไม่ย่อยแลอาการอาเจียนตลอดระยะทางจนทำให้หมดเรี่ยวแรงก็หายเป็นปกติ
    ๓.ลักษณะเป็นเทวดาผู้วิเศษ..กรณีนี้อาจจะมาในรูปจำแลงแบบไหนก็ได้บางครั้งมาปรากฎให้เห็นเป็นนิมิตในสมาธิหรือจำแลงแปลงกายให้เห็นทางตาในรูปแบบต่างๆเพื่อข่มขู่หรือหลอกหลอนให้เกิดความหวาดกลัวจะได้เลิกละความเพียรเสียถ้าเป็นพระพุทธเจ้าก็จำแลงมาในลักษณะขี่ม้าขี่ช้างถืออาวุธครบมือส่วนตัวเชื่อว่ามารมาแบบนั้นจริงๆไม่ใช่ปุคคลาธิษฐานตามที่หลายคนเข้าใจแต่คำว่าจริงๆในที่นี่หมายถึงเห็นจริงๆอาจจะเห็นเป็นนิมิตในขณะเข้าสมาธิหรือแสดงเป็นภาพมายาลวงตาเหมือนเห็นทางตาจริงๆน่าจะอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อความแจ่มแจ้งของเทวปุตตมารจะขอนำเรื่องกรณีของเพื่อนพระเมื่อคราวไปอยู่จำพรรษาที่วัดภาคใต้มาเล่าสู่กันฟัง
    มีพระรูปหนึ่งต้องการบรรลุธรรมแบบฉับพลันจึงขึ้นไปปลีกหลีกเร้นบำเพ็ญภาวนาอดอาหารอยู่บนยอดเขาแต่เพียงผู้เดียวหลายวันผ่านไปในตอนหัวค่ำของคืนหนึ่งท่านก็เกิดสภาวะธรรมบางอย่างภายในหลังจากนั้นก็ปรากฏเห็นเทวดาเหาะลงมาจากฟ้าและบอกว่า"ท่านไม่ต้องบำเพ็ญเพียรต่อไปอีกแล้วเพราะจบกิจสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว"บอกเสร็จก็หายตัวไป
    ด้วยเกิดสภาวะธรรมบางอย่างก่อนหน้านั้นด้วยและมีเทวดามาปรากฏให้เห็นและบอกว่าตนสำเร็จอรหันต์แล้วด้วยท่านจึงเชื่ออย่างสนิทใจว่าตัวเองได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วนับแต่นั้นมาก็ใช้ชีวิตอย่างปล่อยวางดุจ

ความคิดเห็น • 4

  • @maetongart8136
    @maetongart8136 4 ปีที่แล้ว +2

    ขอบคุณมากค่ะ...ครูที่ท่านสอนท่านบอกว่า"ตัวเราเป็นทั้งพระและมาร"

  • @chance8139
    @chance8139 3 ปีที่แล้ว +3

    ขอสมเด็จพระปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราช (พญามาร) ทรงพระเจริญ ซึ่งเป็นมหาเทพที่สถิตย์ ณ สรวงสวรรค์ชั้น 6 เพื่อตรัสรู้เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลต่อไป นามว่า พระธรรมสามีสัมมาสัมพุทธเจ้า

    • @user-lo7df1gq3v
      @user-lo7df1gq3v 3 ปีที่แล้ว +3

      ท่านผู้เจริญ ท่านหมายความว่า แม้จะเป็นมาร แต่ถ้ามีบุญบารมีมาก ก็สามารถจะเป็นพระพุทธเจ้าได้งั้นรึ จิตแห่งมารจะสามารถตัดกิเลสได้ฉะนั้นรึ ขอท่านผู้มีปัญญา ไขข้อข้องใจแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด

    • @Kallayanamit12
      @Kallayanamit12  3 ปีที่แล้ว +3

      สำหรับปุถุชนแล้วมารก็คือเราและเราก็คือมาร แต่เมื่อใดที่เราพัฒนาสติปัญญา จนเห็นแจ้งในธรรมแล้ว เราก็คือพุทธะและพุทธะก็คือเรา อริยบุคคลตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป ล้วนได้ชื่อว่าเป็นพุทธะทั้งสิ้น ท่านเรียกว่าอนุพุทธะ คือเป็นผู้รู้ตาม สัมมาสัมพุทธะ ที่ตรัสรู้เองโดยชอบ ตามคัมภีร์ไตรปิฎกกล่าวว่า มารอยู่สวรรค์ชั้นที่6 อนาคตจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า องค์หนึ่งด้วยเช่นกัน