ขนาดวิดีโอ: 1280 X 720853 X 480640 X 360
แสดงแผงควบคุมโปรแกรมเล่น
เล่นอัตโนมัติ
เล่นใหม่
เรื่องอจินไตไม่อาจหยั่งรู้ได้ด้วย สุตปัญญาและจินตป้ญญา เว้นภาวนาปัญญา เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ🙏💝
สาธุเด้อ
อธิบายได้ดีครับ เยี่ยมๆ
ฟังเรื่องนี้มานาน เข้าใจชัดกับคลิปนี้ เคลียร์ครับ ขอบคุณมาก
ธรรมที่พระผู้มีพระภาคบรรลุแล้วนี้ เป็นธรรมอันลึก สัตว์อื่นเห็นได้ยาก ยากที่สัตว์อื่นจะรู้ตาม เป็นธรรมระงับและประณีตไม่เป็นวิสัย ที่จะหยั่งลงง่ายๆแห่งความตรึก เป็นของละเอียด เป็นวิสัยรู้ได้เฉพาะบัณฑิตก็สัตว์เหล่านี้ มีอาลัยเป็นที่ยินดี ยินดีแล้วในอาลัย เพลิดเพลินแล้วในอาลัยสําหรับสัตว์ผู้มีอาลัยแล้วเป็นที่ยินดี ยินดีเพลิดเพลินในอาลัยนั้น.ยากนักที่จะเห็นปฏิจจสมุปบาท อันมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย ยากนักที่จะเห็น ธรรม เป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง คือธรรมอันถอนอุปธิทั้งสิ้น ความสิ้นตัณหา ความคลายกําหนัด ความดับไม่เหลือ และนิพพาน.ธรรมนี้สัตว์ที่ถูกราคะโทสะรวบรัดแล้ว ไม่รู้ได้โดยง่ายเลย.สัตว์ที่กําหนัดด้วยราคะ ถูกกลุ่มมืดห่อหุ้มแล้ว จักไม่เห็นธรรมอันให้ถึงที่ทวนกระแสอันเป็นธรรมละเอียดลึกซึ้งเห็นได้ยากเป็นอณู." ดังนี้.
ต้องขอบคุณมากๆครับ อธิบายได้ดี เห็นภาพชัด ทั้งที่ผมก็พอเข้าใจในหลักธรรมเหล่านี้ที่อธิบาย แต่ก็ต่อภาพแบบนี้ไม่ชัดเจน เข้าใจได้มากขึ้น เลยครับตามปกติ คนที่อธิบายเรื่องพวกนี้ (ธรรมชั้นสูง) มักอธิบายแบบ พุทธที่เอาวิทยาศาสตร์มาปน มันเลยทำให้ไม่แน่ใจว่า มันจะถูกต้องจริงหรือเปล่า มันเหมือนบิดหลักธรรมเข้าหาวิทยาศาสตร์ แต่คลิปนี้ อธิบายธรรมด้วยหลักธรรมเองทั้งหมด แต่เทียบเคียงให้คนที่เข้าใจแบบวิทยาศาสตร์มองเห็นได้ง่าย ทำให้เข้าใจง่าย และน่าเชื่อถือเป็นแนวทางให้ศึกษาตามได้ง่ายครับ ศึกษาตามนะครับ ไม่ใช่เชื่อ เพราะพุทธไม่ได้สอนให้เชื่อเลยเมื่อได้ยินได้ฟังมา สำหรับผม วิทยาศาสตร์เป็นแค่ Subset ของธรรมะ เพราะวิทยาศาสตร์ อธิบายโดยยึดรูปเป็นหลัก ส่วนนามนั้น แทบจะไม่อธิบายหรืออธิบายแบบยัดใส่รูป และไม่มีการพิสูจน์ว่ามันคือสิ่งเดียวกันตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งถ้าพูดตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว ก็คือสมมุติฐานที่ยังไม่ได้พิสูจน์นั่นเอง ยังไม่เป็นทฤษฎีเลยด้วยซ้ำ ถ้าจะกล่าวอ้างทางวิทยาศาสตร์ ต้องกำกับคำว่า "ถ้า" ไว้ด้วยเสมอ แต่เพราะเราโตมากับวิทยาศาสตร์จนคิดติดไปว่า วิทยาศาสตร์คือทุกสิ่ง แต่จริงๆแล้ว ยังมีสิ่งที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ เพราะในทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้พิจารณาครอบคลุมไปถึงส่วนนั้น (เกินขอบเขตการนิยามโดยวิทยาศาสตร์) ซึ่งถ้าพิจารณาแล้ว จะเห็นว่า วิทยาศาสตร์เป็น Subset ของธรรมะ ดังนั้น ทฤษฎีอะไรก็ตาม ที่พยายามอธิบาย Superset ด้วย Subset ในส่วนที่มันไม่ Intersect กัน (คืออยู่นอก Subset นั้นหน่ะแหละ) ย่อมทำไม่ได้ และจะออกมามั่วๆอยู่เสมอ ผมเลยไม่ค่อยเชื่อการอธิบายธรรมะโดยใช้หลักวิทยาศาสตร์ เพราะมันเป็นศาสตร์ที่แคบกว่า เอามาอธิบายได้แค่บางส่วนต้องขอบคุณ เจ้าของกระทู้ และ อ.เบียร์มากครับ ที่มาอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่างได้ครับ
โลกวิทู ทรงรู้แจ้งโลก รู้ทุกสรรพสิ่ง แต่ถ้ารู้แล้วพ้นจากทุกข์ไม่ได้พระองค์จะไม่บอกไม่สอน พระองค์สอนแค่เพียงใบไม้เท่ากำมือ พอไปสวรรค์นิพพานได้
น้องมีเจตนาดีและพยามจะอธิบายกฎปฏิจจสมุปบาทหรือขบวนการเวียนว่ายของสัพสัตว์ ในโลกเกิดตายเวียนว่ายมามากกว่าเม็ดทรายในมหาสมุทธสะอีกตามที่พระพุทธเจ้าของพวกเรากล่าวไว้ ถ้าจะเปลียบเทียบแบบวิทยาศาสตร์คนิตศาสตร์ได้ใม ได้ครับ ให้น้องเขียนสมการด้วยการลบ-1-2-3-4เขียนลบไปเลื้อยๆเขียนจนตายมันก็ไม่จบหรอก นั้นแหละการจะตามหาชาติแรก แล้วให้เขียนบวก+1+2+3+4เขียนไปเลื้อยเๆขีบนจนตายมันจบใม นั้นละชาติต่อไป
ขอบพระคุณครับ🙏
สาธุครับ🙏🙏🙏ถูกต้องเลยครับ
สาธุครับ อาจารย์เก่งมาก
อธิบายได้ดีมากเลยครับ สาธุ
ในที่สุดผมก็ได้ยินได้ฟังจนเข้าใจจนได้ ขอบคุณมากกกกกกกกกก
เก่งครับ
ต้องเข้าใจสภาวะของนิพพานก่อน1. ไม่ปรากฏการเกิด2. เมื่อตั้งอยู่ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ3.ไม่ปรากฏการเสื่อม(อันนี้ขออนุญาติสลับข้อ 2 กับข้อ 3 เพราะในบทความนี้จะไม่พูดถึงข้อ 3 เพื่อความง่ายในการอธิบาย ซึ่งตามพุทธวจนะจะเรียงจาก 1 3 2 )หลายคนเข้าใจผิดตั้งแต่ข้อ 1 ว่าเมื่อไม่ปรากฏการเกิด = ทุกอย่างว่างเปล่าแต่ความจริงไม่ใช่คุณต้องไปดูข้อ 2 คือ มัน "ตั้งอยู่"คำว่าตั้งอยู่(จากข้อ 2) + ไม่ปรากฏการเกิด(จากข้อ 1) = มันมีสิ่งหนึ่งตั้งอยู่ , คงอยู่ แต่คุณไม่สามารถหาจุดกำเนิดของมันได้ จะย้อนไปด้วยเวลานานเท่าไหร่คุณก็หาจุดเริ่มต้นของมันไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นการลบ 0 ด้วยจำนวน -1 ไปเรื่อย ๆ มันก็จะ -2,-3,-4... หาจุดสิ้นสุดในฝั่งย้อนคืนไม่ได้ถ้าเราพยายามตั้งคำถามกับจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งเราจะไปตันที่คำว่า "มี" กับ "ไม่มี"แต่พระพุทธเจ้าให้คำตอบว่า ตรงกลางของคำว่า "มี","ไม่มี" นี้ มีสิ่งที่เรียกว่า "นิพพาน" อยู่คำว่า "มี" นี้เกิดขึ้นโดย 'อวิชชา' ของ "นิพพาน" แต่คำว่า 'เกิดขึ้นโดย' นี้ ให้คุณลองมอง "นิพพาน" และ "มี" เป็นเส้นคู่ขนาน มันจะยาวขนานกันไปโดยหาจุดกำเนิดไม่ได้ด้วยกันทั้งคู่ หากแต่มันอยู่ขนานกัน แนบชิดติดกัน เกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กัน แนบชิดติดกันด้วยตัญหาอันเกิดจากอวิชชาของ "นิพพาน" แต่พระพุทธเจ้าจะไม่เรียกสภาวะ "นิพพาน" ในขณะที่มีอวิชชาหรือยังแนบติดอยู่กับความ "มี" ว่า "นิพพาน" แต่จะเรียกว่า "สัตว์"ส่วนคำว่า "ไม่มี" นั้นถูกกั้นด้วย "นิพพาน" ที่อยู่ตรงกลาง อันนี้คือเราสมมติให้เห็นเป็นภาพโดยใช้ระบบสมมติ อาจจะไม่ตรงเป๊ะ 100%ทว่าสิ่งที่ควรรู้คือความ "ไม่มี"หรือความสูญเปล่าจากทุกสิ่ง นั้น ไม่มีอยู่จริง! เพราะความ "ไม่มี" นั้นไม่สามารถปรากฏขึ้นได้ เพราะมันคือความ "ไม่มี" มันจึงไม่มี เพราะการมีอยู่ของความ "มี" "ความไม่มี" มันจึงไม่มีเพราะการมีอยู่ของ"นิพพาน""ความไม่มี" มันจึงไม่มีพระพุทธเจ้าจึงสอนแต่เรื่องของ "นิพพาน"และ"ความมี" ปฏิเสธ"ความไม่มี" หรือความ "สูญเปล่าจากทุกสิ่ง"[ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว *ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี*เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว *ความมีในโลก ย่อมไม่มี*]
อันนี้อ่านมาใช้ไม๊
@@tongchaiman ความ มี กับ ไม่มี ผมคิดได้เองตั้งแต่วัยรุ่นเพราะเรียนสายวิทย์มา ช่วงนั้นจะคิดเรื่องพวกนี้ฟุ้งไปหมดแต่ก็ตันแค่ตรงนั้น ไม่เข้าใจเรื่องพุทธศาสนาเท่าไหร่มาเข้าใจและรู้จักว่านิพพานกับความไม่มีนั้นต่างกันอีกทีก็ตอนศึกษาพุทธวจนจากพระอาจารย์คึกฤทธิ์เมื่อ 5-6 ปีก่อนช่วงหนึ่งเคยศึกษาเรื่อง พระเจ้า ของศาสนาอิสลาม+คริส กับ นิพพาน ปรากฏว่ามีสถานะคล้ายกันมาก เรียกว่าแทบจะเหมือนหรือลอกกันมาเลยคือ ไร้มิติ ไร้ตัวตนสมมติ ไร้เพศ เป็นอนันต์ ไม่มีจุดกำเนิดและจุดสิ้นสุด ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งได้ผมมองว่าทฤษฏีพวกนี้หาอ่านหรือศึกษาได้จากหลายแหล่ง แต่กับดักที่ทำให้เจอทางตันเยอะพอสมควรจากกำแพงความคิดและคนที่อธิบายเรื่องพวกนี้ได้อย่างแนบเนียนหาข้อโต้แย้งได้ยาก ผมยกเครดิตให้พระอาจารย์คึกฤทธิ์ แม้จะมีหลายมุมที่ตอบไม่ตรงคำถามบ้างแต่จากที่เคยฟังมาหลายอาจารย์ ผมได้ทฤษฏีนี้จากพระอาจารย์คึกฤทธิ์นี่แหละ
@NotCYP อืม...ผมเห็นด้วยที่บอกว่า นิพพาน กับ การไปอยู่กับพระเจ้า สภาวะนิรันต์ มันคืออย่างเดียวกันการระลึกถึงประเจ้า คือรูปการกำหนดจิตของพุทธ
@@tongchaiman อิสลาม กับ คริสต์ ยิว พรามณ์ฮินดู ซิกส์ โซโรอัสเตอร์ เต๋า ฯ เขา ก๋สอนให้ละตัวตนกำหนดจิตถึงพระเจ้า เหมือนกัน _เป้าหมายเดียวกัน ต่างกันที่คำสอนและวิธีการ ฯ เพื่อเหมาะสมกับจริตของแต่ละคน และสภาพบริบทของสังคม ฯ
@@tongchaimanไม่ได้ไปอยู่กับพระเจ้าครับ พระเจ้าอยู่แค่บนสวรรค์นิพพานอยู่สูงกว่านั้น อยู่อีกมิติหนึ่งเลยอยู่เหนือนอกระบบที่พระเจ้าสร้างมาด้วยซ้ำ
มันไม่มีภพมีชาติ คนแปลผิดเหมารวม มันมีแต่เวียนว่ายตายเกิดของเรื่องราวต่างๆของแต่ละคนแบบไม่สิ้นสุด วนไปวนมา บางคนก็เจอทุกข์กรรมเรื่องเดิมๆซ้ำๆเค้าเรียกว่าการเวียนว่ายตายเกิดของกรรมของทุกข์เกิดขึ้นแล้วดับไปวนๆๆไปเรื่อยๆถ้าเราดับมันได้เราก็นิพานรอดพ้นจากวังวนของทุกข์ถึงเจอก็อยู่กับมันได้แค่นั้น ตายครั้งเดียวจิตรวิญญาณไม่มีเกิดใหม่ ถ้ามีคือเริ่มเป็นเรื่องงมงายละคนแปลผิดเลยวนอยู่นั่นหละสุดท้ายก็มีภพมีชาติมีกรรมมีเวรมีการเกิดจากกรรมอีก นั่นแหละคือการหลงทาง😊😊😊😊
ผมเคยศึกษาเรื่องของโอฆะ 4 มี ทิฏฐิโอฆะ ภะวะโอฆะ กามะโอฆะ เเละอวิชชาโอฆะ มีบรรยายไว้อย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประกาศการข้ามทิฏฐิโอฆะของโสดาปฏิมรรค ด้วยความว่า บุคคลย่อมข้ามโอฆะ คือทิฏฐิโอฆะด้วยศรัทธา ก็เพราะเหตุที่ผู้เป็นพระโสดาบัน ย่อมไม่ประมาท ย่อมอบรมกุศลธรรมทั้งหลายให้ติดต่อกันโดยไม่ประมาท ยินดีเเล้วในสกิทาคามีมรรค จึงข้ามภวโอฆะอันเป็นโสดาปฏิมรรค ยังข้ามไม่ได้ กลับมาสู่โลกนี้คราวเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์จึงทรงประกาศการข้ามภวะโอฆะด้วยสกทาคามีมรรค เพราะที่พระสกทาคามียินดีในมรรคที่ 3 คือ อนาคามีมรรค อาศัยความเพียรจึงสามารถล่วงทุกข์อันเป็นที่ตั้งเเห่งกามโอฆะ อันพระอนาคามีมรรคยังละไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงประกาศการข้ามกามโอฆะ ด้วยอนาคามีมรรค เเละเพราะเหตุที่พระอนาคามียินดีในมรรคที่ 4 อันบริสุทธิ์จากกิเลสโดยส่วนเดียว ด้วยปัญญาบริสุทธิ์ ปราศจากเปือกตมคือกาม ละมนทินอันละเอียดคือ อวิชชาโอฆะ อันอนาคามีมรรคยังละไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประกาศการข้ามอวิชชาโอฆะด้วยอรหันต์มรรค ด้วยบทว่า ปัญญาญะ ปะริสุทชะติ. คือ บุคคลจะบริสุทธิ์ได้ ด้วยปัญญา
ผมหาคำตอบนี้มาซักพักใหญ่ๆแล้วครับ พอเจออันนี่กระจ่างเลยครับ
กระจ่างเลยครับ เราไม่ใช่มนุษย์เหมือนเราเกิดมาแล้วต้องเข้าอนุบาลยันมหาวิทยาลัยจนจบดอกเตอร์เป็นศาสดาจารย์ดอกเตอร์ จบกิจ กลับไปสู่ความว่างเปล่าแต่เป็นความว่างเปล่าที่รู้แล้ว
กระจ่างเลยใช่ไหมครับ ผมไม่เข้าใจ ช่วยบอกสรุปแบบสั้นๆ ได้ไหมครับ ฟังแล้วยังไม่เข้าใจ
@@youknowwhoamI786 ชาติแรกมาจากอวิชชา สัตว์ทั้งหลายมีอวิชชา สัตว์ทั้งหลายจึงมีชาติแรก แสดงว่าเราทั้งหลายมีแต่แรกแล้ว เป็นอมตะ ไม่มีจุดเริ่ม ไม่มีจุดจบ ไม่มีใครสร้าง แต่เพราะมีอวิชชา จึงไม่อมตะ เบื้องต้นแห่งอวิชชาย่อมไม่ปรากฏ
ขอบคุณครับ❤
นี่สิของแทร่ ง่าย สนุก เข้าใจชัดแจ้งดีครับ
เข้าใจยังไงครับ คลุมเครือมากเลย สุดท้ายตอบว่า เกิดจากความไม่รู้
@@คริสคริสเตียนก็คือไม่รู้ไงครับ ต่อให้หาคำตอบให้ตายยังไงก็ไม่มีใครหาได้ ถ้าคุณบอกว่าพระเจ้าสร้างแล้วพระเจ้าเกิดจากความว่างเปล่าได้ยังไงในเมื่อคนที่เชื่อในพระเจ้าบอกว่าไม่มีอะไรเกิดจากความว่างเปล่า
@@คริสคริสเตียนไม่คลุมเครือ แต่ชัดเจนว่า เกิดจากความไม่รู้ แสดงว่าเรามีแต่แรก อมตะ ไม่มีจุดเริ่ม ไม่มีจุดจบ
@@Rockman-qo7zy เออ ครับ อันนี้น่าสนใจ
ดีมากเลยคับเข้าใจง่าย
โลกเรามีทั้งหมด7โลกๆเกิดมาทั้งหมด5ครั้งแล้ว เราอยู่โลกที่5 ยุคที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธเจ้าเกิดมาทั้งหมด5โลก หรือ5ครั้งเหลืออีก2โลก ถ้าโลกที่5ปัจจุบันเราแตกสลายหายไปโลกที่6ก็จะบังเกิดขึ้น ยุคนี้คนคนสูง10cm.คนยุคนี้โหดร้ายมาก
อย่าไปสงสัยอะไรเลยว่ามนุษย์เกิดยังไง เป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว แก้ไขไม่ได้สงสัยไปมีแต่ฟุ้งซ่าน อยู่กับปัจจุบันจะมีประโยชน์ และโสดาบันนั้นมันวัดว่าใครจะถึงหรือไม่ อยู่ที่มรรคจิตและผลจิต เพราะในขณะถึงอริยมรรค จิตจะสรุปปัญญาที่ได้รู้ได้เห็นในขณะกิริยาที่จิตเข้าไปเกิดมรรคนั่นแหละ หลังจากนั้นจิตจะสัมผัสกระแสนิพพานในขณะจิตเกิดอริยะผล เรียกบรรลุอริยะมรรค และอริยะผล มรรคและผลไม่ได้เกิดพร้อมกันเกิดคนละวาระแต่ต่อกันทันที
การถามว่าชาติแรกคืออะไรในศาสนาพุทธไม่ต่างกับคำถามว่าพระเจ้าเกิดขึ้นมาได้ยังไง ใครสร้างพระเจ้า ในมุมศาสนาพุทธเราเรียกคำถามนี้ว่าอจินไตย คือเป็นความรู้ที่พ้นวิสัย รู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์กับมรรคผล นิพพาน
สำหรับพุทธ ใช่ครับคืออจินไตย แต่อิสลามตอบได้ครับ เข้าใจง่ายกว่าคนในคลิบอธิบายอีก ทุกสรรพสิ่งใน จักรวาล มีจุดเริ่มต้น จากบิ๊กแบง อันนี้เป็นวิทยาศาสตร์นะครับ ไม่มีใครในจักรวาลนี้เถียงข้อเท็จจริงนี้ได้ ต่อมาชาวพุทธ จะถามว่า ใครสร้างจักรวาล อิสลามจะตอบว่า พระเจ้าสร้างจักรวาล ต่อมาชาวพุทธจะถามว่า ใครสร้างพระเจ้า ตอนนี้คือประเด็นนะครับ สมมุติว่า จักรวาลนี้คือ การยิงปืนของทหาร แต่การจะยิงปืนได้ ต้องได้รับคำสั่งจากคนด้านหลังก่อนคือผู้บัญชาคำสั่งก่อนยิง แต่ก่อนที่จะสั่งได้ต้องได้รับคำสั่งจากคนด้านหลังก่อน แล้วก็ย้อนไปด้านหลังทหารเรื่อยๆๆ ประเด็นนะ คำถามคือ ทหารคนนี้จะได้ยิงปืนไหม แน่นอนคำตอบคือไม่ได้ยิงปืน เพราะมันย้อนหลังไม่สิ้นสุด เช่นเดียวกันกับจักรวาล ที่ตอนนี้ม้นเกิดขึ้นแล้ว แปลว่ากระสุนมันได้ถูกยิงออกมาแล้ว แล้วต้องมีคนสั่งให้ยิงด้วย แปลว่า พระเจ้ามีจริง จะย้อนหลังใครสร้างพระเจ้ายังไงก็ต้องมีพระเจ้าที่เริ่มต้น เข้าใจง่ายมากกว่าคนในคลิบอธิบายอีก จะย้อนหลังเท่าไรก็ได้ ยังไงก็เจอพระเจ้าสักองค์ที่สร้าง เพราะกระสุนมันยิงออกมาแล้ว แต่อิสลามบอกแล้ว ว่ามีพระเจ้าองค์เดียวที่สร้าง งงก็บอกมานะครับ สงสัยก็ถาม
เป็นคำถามแบบอินฟินิตี่ ตอบไม่จบไม่สิ่น
@@youknowwhoamI786ไม่ใช่ครับ ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลไม่มีจุดเริ่ม ไม่มีจุดจบ และบิ๊กแบงไม่ใช่จุดเริ่มของทุกสรรพสิ่งครับ เพราะฉะนั้นพระเจ้าไม่ได้สร้างอย่างแน่นอน
@@Rockman-qo7zy แค่อยากพูดหรอ จะเถียงว่างั้น เพื่ออะไร หลอกตัวเองและคนอื่น ใครๆ เขาก็รู้แล้วว่าอะไรคือความจริง จะเถียงเพื่ออะไร พูดเป็นเด็กเลย เปรียบเทียบกับบ้าน ที่ผู้ใหญ่ บอกเด็กๆว่า บ้านมีจุดเริ่มต้น แสดงว่าต้องมีคนสร้าง แต่เด็กน้อย กลับพูดว่า บ้านไม่มีคนสร้างและไม่มีมีวันพังแน่นอน เพราะฉะนั้นบ้านไม่มีคนสร้าง อะไรเนี่ย มันไร้สาระ
จริงๆ ก็มีคนมาตอบแล้วนะครับเรื่องชาติแรก เป็นอาจารย์ผู้หญิงและมันก็สอดคล้องกับหลักอนิจจัง หลักความไม่แน่นอนของธรรมชาติ ก็คือโดยปกติทั่วไปสรรพสัตว์ส่วนใหญ่เกิดมาพร้อมมีกรรม(กรรม>0) มันก็ต้องมีสรรพสัตว์ที่เกิดมา(หรือเคยเกิดมา)แบบไม่มีกรรมเกิดขึ้นมา(กรรม=0) อันนี้ตามหลักอนิจจัง ส่วนสัตว์ที่เกิดมาแบบไม่มีกรรมมันคือพวกใหน ต้องนึกถึง วิวัฒนนาการของสิ่งมีชีวิตเริ่มจากเป็นสัตว์เซลล์เดียว (ไวรัสทำให้คนตายไม่ถือว่าเป็นกรรม) จนกลายมาเป็นพวกมีสมองทำงานสลับซับซ้อน มันต้องมีช่วงรอยต่อของวิวัฒนาการ ที่เกิดมามีสมองที่ทำงานแบบง่ายๆ โดยไร้เจตนา (ไม่เจตนาคือไม่มีกรรม กรรม=0) แต่สมองมันก็พร้อมที่จะทำงานแบบมีเจตนาถ้าได้แร่ธาตุหรือสารเคมีบางอย่างเข้าสู่สมอง แล้วมันไปกินอะไรบางอย่าง สารเคมีเข้าสู่สมอง ทำให้สมองมันทำงานได้แบบมีเจตนา หลังจากนี้มันทำอะไร อันนั้นก็คือกรรมแรกของสัตว์ตัวนี้ และชาติแรกของสัตว์ตัวนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว
เราไม่ได้มาจาก อสังขตะ ครับ เรามาจาก สังขตะ เลย คำว่า สิ่งๆหนึ่ง เป็นคำแต่งใหม่ ที่มีความเห็นผิด ว่ามีสิ่งที่เที่ยง ไม่ตาย เป็นอมตะ ค่อยเวียนว่ายตายเกิดครับ อวิชชา ตัณหา คือ สังขตะ ครับ การเวียนว่ายตายเกิด เกิดจาก การเกิดดับของขันธ์ 5 หรือ จิต ที่ยังประกอบไปด้วย ราคะ โทสะ โมหะ อยู่ เท่านั้น ไม่มีอะไรนอกขันธ์ 5 มายึดขันธ์ 5 อีกทีครับ ( ไม่มีคนขับรถครับ มีแต่รถที่มันขับได้เองอัตโนมัติ แม้แต่ AI ก็ยังไม่เห็นจำเป็นต้องมีอะไรมาสิง แต่มันสามารถประมวลผลคิดได้เองว่า ต้องทำอะไรต่อ ต้องตอบอะไรต่อ จากการรับรู้ทาง Input ต่างๆครับ ขันธ์ 5 ก็เช่นกัน ) หวังว่าข้อความนี้ จะมีประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านนะครับ
ศึกษาธรรมไม่ดีทิฏฐิเข้าอาศัยเจอกิเลสเล่นงาน มารคือกิเลส กิเลสแทรกแซงได้หมด เพราะจำเอาสติปัญญาไม่เกิดกิเลสไม่กลัวคิดกันได้เอาสัตว์มาสิง ธาตุขันธ5กองทุกๆอย่างไม่เว้นเป็นเพียงรูปและนามธรรม บวกนิพพานธาตุ
@@Nopphadolthongwilai ผมเหนื่อยมจจริงๆ ทำไมคำสอนผิดๆคนถึงตั้งใจฟังกันนัก ทั้งที่คำสอนที่ถูกก็มีอยู่ก่อนนานแล้วทิฏฐิของคน กลัวการดับสูญ ก็จะคะย้ันคะยอ ให้มีตัวตนอมตะให้ได้
ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ...สรรพสิ่ง ไม่มีตัวตน ไม่มีอยู่จริง เป็นแค่สิ่งสมมุติ หาความเป็นตัวตนของสิ่งนั้นไม่ได้ เพราะอวิชชา คือความไม่รู้จึงหลงหยึดมั่นว่า มันมีตัวตน มันมีอยู่จริง จึงคิดว่ามีผู้สร้างสิ่งเหล่านี้.
เข้าใจครับ แล้วชาติแรกเกิดได้ไงครับ
@youknowwhoamI786 ชาติแรกไม่ปรากฏว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ที่ไหน จุดไหน ตรงไหน เพราะมจนเกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน จึงหาจุดเริ่มต้น จุดสิ้นสุดไม่ได้ แต่เหตุนั้นมี คืออวิชชา เพราะอวิชชา คือความไม่รู้ จึงหลงหยึดมั่นว่ามันมีตัวตน...จริงสรรพสิ่งไม่มีตัวตน จึงยังวนเวียนในความหยึดมั่นนี้อยู่..เปรียบเหมือนความฝัน เราไม่รู้หรอกว่าเราเริ่มฝันเมื่อไหร่ วินาที่ ที่เท่าไหร่ เวลาไหน ยาวนานแค่ไหน เพราะความไม่รู้ ในความเป็นจริงว่าฝันไม่มีตัวตน จึงหลงคิดว่าความฝัน คือความจริง..จึงหลงหยึดมั่นวนเวียนอยู่ในความฝันนั้น ไม่อยากตื่น..เพราะไม่รู้ว่ามันตื่นได้..เหตุแห่งความฝันนั้นคืออวิชชา ความไม่รู้ ว่าตัวเองฝันไป
@@Janjironin เข้าใจครับ ว่าไม่รู้ว่าฝันแรกเมื่อไร ไม่รู้ว่าชาติแรกเมื่อไร เพราะย้อนไม่ไหว มันนานมาก คำตอบคือ อจินไตยใช่ไหมครับ พระพุทธเจ้ามีพลังอำนาจมากแค่ไหนก็ไม่รู้ว่าชาติแรกเกิดได้ยังไง ชาติแรกคืออะไรถูกไหมครับ คือจะสื่อว่า อย่าไปยืดหมั่น กับความไม่รู้ ใช่ไหมครับ ถ้าใครถามก็ตอบไปว่า ขนาดพระพุทธเจ้ายังไม่รู้เลย จงอย่าไปหาคำตอบ อย่าไปรู้เลย เสียเวลา ประมาณนี้ แต่ศาสนาอื่นมีคำตอบเรื่องนี้
@@youknowwhoamI786ชาติแรกไม่ปรากฏ สาเหตุคืออวิชชา...คือความไม่รู้ ที่มาหลงหยึดเมื่อไหรไม่ปรากฏ จึงหาชาติแรกไม่ได้ แต่สาเหตุคืออวิชชา..เช่นเดียวกันเราจะไปนิพพาน คือต้องมีวิชา คือการรู้ เห็นตามความเป็นจริงของธรรมชาติของไตรลักษณ์ ต้องฝึกตัวรู้ แต่เราไม่รู้หรอกว่าวิชา จะเกิดขึ้นตอนไหน จะฝึกถึงเมื่อไหร่ แต่สาเหตุแห่งนิพพาน คือวิชา..ก็เหมือนคนมีความเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง แต่ไม่รู้ว่าพระเจ้าเริ่มแรก สร้างนั้นวินาทีแรก สร้างตรงไหน จุดไหน มุมไหน ทิศไหน ของจักรวาล อะไรก่อนอะไรหลัง..นี้จึงเรียกว่า ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ แต่เหตุนั้นมีคือพระเจ้า...แต่ในศาสนาพุทธ เหตุคืออวิชชา..คือความไม่รู้ว่า (ฝั่งที่เราอยู่นี้ไม่มีตัวตน ไม่รู้ว่าเราฝันไป..ไม่รู้ว่าสรรพสิ่งไม่มีอยู่จริง เป็นแต่สิ่งที่เราสมมุติขึ้นมา ด้วยอวิชชา คือความไม่รู้)
@@Janjironin ผมสรุปได้ถูกต้องแล้วครับ สั้นๆที่สุด คือ อวิชชา ศาสนาพุทธ พยายามจะตอบ คำถามแล้วคนฟังคำตอบบางคนจะงงมาก เพราะคำตอบสั้นๆ คือพระพุทธเจ้า ที่มีความรู้และอิทธิปาฏิหารย์มากที่สุดในสากลโลก ก็ให้คำตอบนี้ได้ว่า อวิชชา แค่นั้นเลย ผมเข้าใจถูกใช่ไหมครับ ท่านไม่รู้ ชาติแรกเกิดยังไง ถูกไหมครับ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว คุณอธิบายดีมาก ใครถามก็ตอบได้เลย ว่า ศาสนาพุทธไม่รู้ ผมเข้าใจถูกใช่ไหมครับ ส่วนเรื่องคนเชื่อพระเจ้า เดียวมาต่อครีับ
ไม่สามารถอธิบายให้ได้ข้อสรุปได้หรอกครับ เพราะมันจะวน ๆ เป็นวงกลม แล้วก็ย้อนแย้งในตัวเอง บอกว่าจุดเริ่มต้นมาจากไหน มาจากอวิชชา แล้วก่อนมีอวิชชาเป็นสภาวะอะไรได้ ก็ต้องวิมุตติญาณทัศนะที่พูดมาในคลิปนั่นแหละ แล้วพอมาเกิดตายวนเวียน สูญเสียอวิชชาก็นิพพาน กลับไปเป็นวิมุตติญาณทัศนะ แล้วก็วนไปจุดเริ่มต้นอีก พอมีอวิชชาก็ต้องมามีความเกิดอีก ทำให้คำว่านิพพานที่กล่าวกันจนติดหูว่าจะไม่เกิดอีกแล้วก็เลยกลายเป็นว่ามาเกิดอีกเฉยเลยหากจะสรุปว่าเราเป็นกลุ่มก้อนพลังงานหรือสสาร ที่มาวนเวียนแปรสภาพเกิดแล้วตาย ตายแล้วก็เกิด เกิดบ้าง ไม่เกิดบ้าง ยังพอฟังเข้าใจง่ายกว่า
ลพ.สดท่านเล่าว่าท่านนั่งสมาทิเข้าถึงพระธรรมกายและได้ถามหลายๆพระองเรื่องชาติแนกของมนุดพระองตอบว่าพระธรรมกายทึีนั่งเข้านิโรทสมาบัติในพระนิพพานนี้ต่า้ข้าชานเพื่อย้อนไปดุอดีตของตัวว่าเกิดมาจากอะไรแต่จนบัดนี้(2499)ปีที่ท่านเล่าไว้ยังไม่มีพระพุทเจ้าองคไดไปสุดสายทำจนสุดทางที่จะเจอชาติแรกที่เกิดขึนของมนุดเลยคะหาอ่านได้ในคำสอนลพ.วุัดปากน้ำคะ
อยากให้คนที่บรรลุแล้วขั้นไหนก็ได้ โสดาบันก็ได้ออกมาสอนเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์
เอาเถิดความตายเป็นสิ่งที่ทุกคนที่เกิดมาต้องเผชิญ สภาวะหลังความตายจะเป็นเช่นไร จะมีหรือไม่มีสิ่งใด ก็เป็นเรื่องของบุคคลที่จะรับรู้ได้ด้วยตนเอง ใครมีคติประจำใจอย่างไรก็ทำของตนไป คำตอบจะเป็นอย่างไรเมื่อเวลานั้นมาถึงจะรู้ด้วยตัวเอง
น้อง สุดยอดมากครับ
ผมยังสงสัย ถ้าเคยอยู่อสังขตธาตุหรือ นิพพานน่าคงสภาพนั้นตลอดไป เพราะไม่มีการเกิดก็จบไม่น่าจะมีอวิชชาและหลงมาสู่สังขตธาตุนี้ได้อีกเลย ผมคิดสัตว์ทุกชีวิตไม่เคยอยู่ในสภาวะนิพพานมาก่อนเลย
จิตนั้น,จิตเดิมแท้,เต๋า,พรหม,พระเจ้า,ซอส แล้วแต่จะเรียก แต่ก็คือสิ่งเดียวกันที่จินตนาการทุกสิ่งขึ้นมา
ในน้ำหนึ่งหยดมีจักรวาลหาที่สิ้นสุดไม่ได้จะกำหนดว่ามีเท่าไหร่ไม่ได้ การเกิดในพุทธศาสนาหมายถึงเกิดทางภูมิจิตเมื่อมีเกิดก็มีตายเมื่อตายก็กับมาเกิด การที่จะหยุดการตายได้คือไม่ต้องเกิด ไม่อยากเกิด ต้องสร้างเหตุให้เป็นกลาง รู้ได้คิดได้แต่ไม่ตาม การเกิดอยู่ในความรู้ มันก็ดับ ท้าหลงเกิดรู้ไม่ทันมันก็ดับช้าแล้วแต่ความยืดในความหลง หากมีแต่ความรู้ไม่หลงเลยมันก็ไม่เกิดมีแต่เรียนรู้แล้ววาง องค์ประกอบไม่ครบไม่นับว่าเป็นการเกิดเรียกว่าเรียนรู้ จึงผลจากการเกิด จึงอยู่ในสภาวะ ที่มีแต่ไม่มีเหมือนไฟที่ดับไปแล้วไฟแนนซ์มันหายไปไหน
แล้วชาติแรกเกิดได้ไงครับ
ผมเคยได้ยินมาว่าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาแล้วมากกว่าเม็ดทรายในมหาสมุทร
บางอย่างเชื่อได้บางอย่างเชื่อไม่ได้คับ 😅😅 ผมชอบศึกษาพุทธประวัติแบบ โบราณคดีและประวัติศาสตร์ เข้าใจอะไรหลายอย่างเลย เรื่องพลังวิเศษตัดออกไปได้เลย น่าศรัทธามาก
ถ้าเวียนว่าย ตายเกิด วนไม่มีที่สิ้นสุดแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่ จะได้เข้าสวรรค์ หรือเข้านรก เพราะ ตายแล้ว ก็เกิด เกิดแล้วก็ตาย แล้วคนที่ทำดี จะได้อะไรตอบแทน คนทำชั่ว จะได้อะไรตอบแทน เพราะ ศาสนาพุทธ เชื่อ เรื่อง นรก สวรรค์ แต่กลับ มีแนวคิด เวียนว่าย ตายเกิด ไม่จบสิ้น มันดูย้อนแย้งมากๆ และเมื่อไหร่ จะถูกสอบสวน กรรมดี กรรมชั่ว เมื่อไหร่ จะได้เข้าสวรรค์ หรือ ลงนรก ผมไม่ได้ว่าพระพุทธเจ้าผิดนะ แต่คนอธิบายคำพูดพระพุทธเจ้านั้นแหละ อาจจะผิด และสร้างความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนไปจากความจริง
คุณเข้าใจผิดเอง คำว่าเวียนว่ายตายเกิดคือ เวียนเกิดทุกภพภูมินั่นแหล่ะครับ ไม่ใช่เกิดเป็นมนุษย์อย่างเดียว แต่เกิดเวียนไปเรื่อยๆ ตามจิตสุดท้ายก่อนตาย ว่าจะไปเป็นอะไร ถ้าจิตสุดท้ายคิดกุศล ก็ไปเกิดเป็นเทวดา ถ้าดีกว่านั้น ก็เป็น พรหม แต่เทวดา พรหม ก็มีอายุขัย พอตาย ก็ไปเกิดใหม่เป็นอะไรต่อ อีก เป็นเทวดาแล้วหลงระเริง คิดแต่สนุกรื่นเริง พอถึงเวลาตาย จิตสุดท้ายเกิดความกลัวตาย ก็ไปเกิด เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือดีหน่อย ก็มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็วนอยู่แบบนี้ สลับไปมา ตามแต่จิตสุดท้าย ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันชีวิตได้ ยิ่งถ้าเราไม่รู้คำสอน ไม่มีการเตรียมตัว เราก็ไปมั่วเรื่อยๆ เจอทุกข์เจอสุข วนไป พระพุทธเจ้าเลย ค้นหาทางออกจากวงจรนี้ แล้วมาบอกวิธีออกจาก การเวียนว่ายตายเกิด ซึ่ง มันก็คงไม่ตรงกับหลักศาสนาอื่น แต่มันไม่ได้ย้อนแยง ย้อนแยง เพราะคุณเข้าใจผิดเอง
ผมคน พุทธ สำหรับผม เชื่อเรื่อง เวรกรรมมีจริง เชื่อเรื่องผี อมนุษย์มีจริง !!*แต่ไม่เชื่อเรื่อง การเวียนว่ายตายเกิด ตายคือจบ ดับ แค่นั้น เหมือนสัตว์โลกทุกชนิด (ท่าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง ท่าจริงเราต้องจำชาติที่ผ่านมาได้ว่าเราคือใคร มันถึงจะ เมกเซ้น)ไม่เชื่อนรกสวรรค์ (แต่ไม่ลบหลู่)มัน คือกุศโลบายให้คนทำความดี แค่นั้น😊😊
หากการจำได้หมายรู้ว่าเราคือใคร เช่น ก่อนเกิดเป็นคนชาตินี้ เป็น หมาพิการ,เป็นหนอนกินของเน่า,เป็นฆาตกรคนในครอบครัวตัวเอง หรืออื่นๆ เอาป็นว่าแค่จำได้ 3 ชาติ พอ คุณยังอยากจำได้หรือไม่การที่จะระลึกชาติได้ทุกคนสามารถทำได้นะ
ท่านจะระลึกชาติยังไง เอาชาตินี้ตอนท่านคลอดออกมา ท่านจำได้หรือไม่เจอหน้าใครเป็นคนแรก
น้องอธิบายได้ดีครับ อนุโมทนาด้วย
มันไรสาระครับทุกชาติคือกรรมมีชาติที่ดีกับชาติไม่ดีครับอดีต ปัจจุบัน อนาคต ชาติอดีต ชาติอนาคต ชาติปัจจุบัน
พยายามหาเหตุผล แต่ความจริงก็วนอยู่ในเขาวงกต 😅😅😅
ผมว่าคุณมีเจตนาดีที่จะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ แต่ยังไงๆก้อยากให้ศึกษาเพิ่มหลายๆที่ครับ ด้วยความปรารถณา
พระพุทธเจ้าบอก ที่สุดเบื้องต้นของอวิชชาย่อมไม่ปรากฏ แต่ก่อนนั้นอวิชชาไม่ได้มี มันมีมาในภายหลัง แต่มีอาหารที่หล่อเลี้ยงอวิชชา คือ นิวรณ์ 5
และความไม่รู้ในอริยสัจทั้ง 4 นี้ เราเรียกว่า อวิชชา พระพุทธเจ้าตรัสไว้🙏
เงื่อนต้นของอาหารทั้งหมดที่หล่อเลี้ยงความไม่รู้ คือ การไม่คบสัปบุรุษ นั้นเอง เลยไม่มีความศรัทธา ไม่ได้ยินได้ฟังธรรม เป็นต้น
ต้องไปอ่านพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้ากล่าวไว้แล้วว่ามนุษย์เกิดขึ้นมาได้อย่างไร พอจำได้เลาๆว่าโลกที่มีแต่น้ำแล้วค่อยๆเกิดเป็นง้วนดินซึ่งแรกเริ่มมีลักษณะคล้ายเนยข้นมีกลิ่นหอมหวานมาก จิตของสัตว์ต่างๆมีอยู่ทั่วไปแต่ไม่มีกายหยาบ ได้กลิ่นง้วนดินจึงเกิดกิเลสอยากชิมรสชาดของง้วนดิน แล้วเกิดติดใจ เกิดกิเลสตัณหาความอยากได้ เกิดอุปาทานยึดมั่นอยากเป็นเจ้าของ กายที่เป็นกายทิพย์ค่อยๆเปลี่ยนแปลงเป็นกายหยาบให้เห็นรูปร่าง ต่อมากิเลสที่มีมากขึ้นเกิดความรู้สึกอยากครอบครองเป็นเจ้าของมากขึ้น เกิดการแย่งชิงกัน จึงเริ่มเกิดเป็นผู้มีอำนาจ เกิดหัวหน้าเผ่าแล้วกลายเป็นมีกษัตริย์เกิดขึ้นตามลำดับ
“กายนี้เป็นกรรมเก่า”เกิดเป็นคนก็เพราะกรรมเสร็จกันมาตั้งแต่เกิดแล้วตุยก็เกิดทันที
ในเมื่อยังไม่มีอะไร ความไม่รู้มันมีมาได้อย่างไร ในเมื่อมันยังไม่มีอะไรเลย แล้วที่ว่าสิ่งๆหนึ่งมันเกิดมาได้อย่างไรในเมื่อยังไม่มีอะไรเลย
@@minbaramee2906 เกิดจากความว่างครับ จิตเราคือ ความว่างๆ ที่มันว่างๆไม่มีอะไร ไม่มีความรู้ ความหิว ความอยาก หรือ ความรู้สึก เหมือนอากาศ นั่นแหละ คือจุดที่ทำให้เกิดจิต สรุปทั้งหมด อวิชชา คือความไม่รู้ เพราะจิตเดิมเราคือความว่างเปล่า
@@jayclub_inter จิตเราว่าง เข้าใจครับ อวิชชาคือความไม่รู้ เข้าใจครับ แล้วชาติแรกเกิดได้ไงครับ
มีแต่ฐาตุที่ประกอบกันขึ้นจากการตกกระทบ ให้เข้าถึงความรู้สึกว่านี่คือฉันตัวฉัน นั่นมรึงนี่กรู ต่อไปก็ยึดผิดๆว่านี่ของกรู ของพวกตู หลอนตัวเองเอาทั้งนั้นว่านี่คือฉัน นี่คือตัวตนบุคคล มรึงกรู( อวิชชา) ดังนั้นกรูเป็นตัวตนพิเศษมาได้ไงงั้น ต้องมีผู้สร้างสิ!!??คนเไม่รู้ว่าตัวเองคืออะไรคือปมครับท่าน หลงอยู่ในโลกแห่งความไม่รู้ตัวไม่รู้ตนแล้วหลงยึดแล้วเป็นไป ชึ่งความเป็นไปนี้ล้วนปรุงแต่งไปเพื่อความมีความเป็นไม่สิ้นสุด จะตายรอมร่อก็ยังอยากถมไม่เต็ม ตอนนี้ตัวตนจริงๆของคุณ สิ่งใดๆของคุณที่ยึดว่ามีก็ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่หลอนตัวเองเอาเท่านั้น หลอนตัวเองจนจะตายก็ยังมีความอยากไม่อยากในโลกหลอนกันทุกคน..โลกแห่งอวิชชาครับท่าน 😅
ใช่ครับ เพราะมันอยากเรียนรู้เลยมาเกิดเป็นอะไรสักอย่าง เพื่อหาประสบการณ์ @@jayclub_inter
พอผมพูดปุ๊ปเกิดเลย....โทษๆ🤣ไอ้คนจบก็ไม่สอนเนอะ!!!🎉
อ่านคอมเม้นแล้วก็เหนื่อย😭😭😭แต่ก็ตรงนะอวิชชาคือความไม่รู้ถูกต้องเลยเราถึงนั่งเถียงกันคอมเม้นกันอยู่นี่ไง อยู่กับปัจจุบันเถอะ(เรื่องเมื่อวานเรากลับไปแก้ไขไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือวันนี้ตอนนี้)
เห็นด้วยเลยครับ👍👍
ตามเหตุผล ถ้ามีหลายภพชาติ ต้องมีชาติแรก สิ่งให้เกิดกระบวนการทั้งหมด ถ้าสิ่งต่างๆไหลมาจากการไม่รู้ มันต้องใช้ความเชื่อมาก ที่เราจะมองมีภพชาติปัจจัย หากมีหลายภพชาติต้องไม่รู้อนาคตข้างหน้า เพราะมันควบคุมไม่ได้ แต่ถ้าอนาคตทำนาย รู้ได้ เช่นพูดว่าเทวทัต จะกลายเป็นพระพุทธเจ้า หรือ พระพุทธ องค์ต่อมาคือ พระศรีอารย์ ย่อมมีการรู้ก่อนไม่ได้ ทุกสิ่งกำหนดไว้อย่างตรงเป้ะไม่ได้ การเวียนว่ายหลายภพชาติต้องใช้มโนมากกว่าการตายแล้วจบสวรรค์นรก
สรุปหาคำตอบไม่ได้ว่าชาติแรกมาจากไหน แบบนี้ใครก็ตอบได้ว่าไม่รู้ แล้วความจริงในพุทธ คืออะไร เคลมทุกอย่างแต่ไม่มีคำตอบปบบนี้นะเหรอ ไม่อปลกที่พัทธเริ่มหานไปที่ละนิดๆ แลืวคนแห่ไปนับถือบางศาสนาเพิ่มขึ้น
เคยได้ยินเรื่องนี้กันมั้ย นักวิทยาศาสตร์ บอกว่าโลกเราอยู่ในมิติที่ 4 มี กว้าง ยาว สูง และเวลา แต่ตามทฤษฏี มันมีมิติที่เหนือขึ้นไปอีก ที่คนในมิติที่ต่ำกว่า จะไม่สามารถอธิบายได้ หรือจินตนาการได้ ว่ามิติที่ 5 ที 6 เป็นอย่างไร เพราะเราถูกจำกัดด้วยสมอง ที่อยู่ในมิตินี้ คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก เหมือนคน อยู่ในโลกสองมิติ ที่มีแต่กว้าง ยาว เหมือนแผ่นกระดาษ ไม่รู้จักความสูง จะไม่เข้าใจความสูง คืออะไร เคยดู inter stellar กันมั้ยครับ ที่พระเอกเข้าไปในหลุมดำ แล้ว เหมือนเป็นมิติที่สูง กว่า ที่มองเห็น อดีต ปัจจุบัน อนาคต อยู่ที่เดียวกัน เหมือนจะบอกว่า คนมิติที่ 5 สามารถเคลื่อน ที่ไปในอดีตปัจจะบัน อนาคต ได้ปกติ เหมือนเรา เดินทางไปนู่นนี่นั่น ในมิติที่ 4 แค่จะบอกว่า บางที สิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกว่า นิพพาน มันอยู่เหนือ สามัญสำนึกของเรา ทั้งเรื่องชาติแรก มันเป็นอจินไตย เพราะ ถ้าเราไม่พัฒนา ไปถึงสภาวะนั้น เราจะไม่มีทางเข้าใจได้ แต่ถ้าเราไปถึงแล้ว เหมือนพระพุทธเจ้า เราก็ไม่รู้จะอธิบายให้คนที่ยังไม่ถึงเข้าใจได้อย่างไร ได้แต่เทียบเคียง ด้วยภาษา ซึ่งก็ไม่ได้ตรงเป๊ะอยู่ดี
ผมจะตอบให้ คือไม่ต้องไปสืบสาวอะไรให้วุ่นวายหรอก รู้ว่ามันสืบเนื่องกันมาเรื่อยๆ และจะสืบต่อไปอีก ถ้ายังไม่ดับทุกข์หมดสิ้น และเราสืบไปเท่าไหร่ก็หาเหตุทั้งหมดครบถ้วนไม่ได้หรอก เพราะ ณ ขณะนี้ ปัญญาเราไม่พอ เราแค่รักษาจิตให้ผ่องใส เบิกบาน และมีสติอยู่กับปัจจุบันขณะ จนข้ามฝั่งอริยบุคคล ก็ไม่ต้องสงส้ยหรอก ไอ้ข้ามฝั่งนี่นะ มันข้ามกันที่ปัญญาญาณ
เท้าที่ได้ยินได้ฟังมาจากพระผู้ที่เป็นสยัง อภิญญา ที่มีปฏิสัมภิทาฌาน ท่านบอกว่ามันเริ่มจากการวิวัฒนาการจากพลังงาน เป็นเชลล์ที่ยังไม่เต็มรูป เป็นมหาภูต เป็นสปอเป็นเห็ด เรียกอะหิฉะตะกะที่เริ่มเชื่อต่อเป็นสีเขียว เป็นภูตคาม เป็นพีชะ เป็นมหาภูตคาม เป็นเจตภูตที่จะหลุดออกมาจากดินเป็นปานะ(ชีวิตชั้นต่ำ)เป็นเจตสิก เป็นสัตตะเป็นจิตวิณญาณครับ
อันนี้ไม่เคลียร์ ต้องยอมรับ ความไม่รู้ก็ต้องย้อนถามไปอีกว่า ใครไม่รู้แล้วใครสร้างใครที่ไม่รู้ ใครที่ไม่รู้มาจากไหนจะบอกว่า ไม่มีเลย มันก็ไม่เคลียร์
เรื่องนี้เป็นปัจจัตตังคือรู้ได้เฉพาะตน การที่จะอธิบายเรื่องพวกนี้ผู้บรรยานต้องมีความเข้าใจในระดับหนึ่งแบบมากๆครับ ผมก็อธิบายไม่เก่ง แต่มันมีสิ่งๆหนึ่งครับมายึดอวิชชา ไอ้สิ่งๆหนึ่งนี้มันคือสภาวะธรรม คืออสังฆตธรรมหรืออสังฆตธาตุ แต่สภาวะนี้คือไม่มีการเกิดไม่มีการกับและเมื่อตั้งอยู่ก็ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฎ คือไม่มีมิติไม่มีกว้างเล็กสั้นใจ ไม่มีรูปเสียงกลิ่นรสงามหรือไม่งาม สภาวะนี้จึงไม่สามารถบัญยัติศัพท์อะไรลงไปได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันไม่มีหรือศูนย์ แต่ที่พระพุทธเจ้าไม่พูดเพราะมันจะทำให้ผู้ที่ไม่รู้นั้นเกิดอัตตาว่สตนมีอยู่ คุณจะต้องเห็นการเกิดขึ้นแห่งนามรูปก่อน รูปนั้นคือร่างกายนี้ยังพอเห็นได้ง่ายเพราะมีความแก่เฒ่าชราและเสื่อมลงทุกวัน แต่นามคืออาการของจิตนี้มองยากเพราะมีการเกิดดับที่รวดเร็ว
ก่อนอื่นคือต้องเข้าใจขันธ์5 ให้ได้ก่อนคือรูปเวทนาสัญสังขาร รูปคือกิริยาที่แตกสหายได้เพราะความร้อนบ้างคือหนาวบ้างเวทนาคือความรุ้สึกสุขทุกข์และเฉยๆสัญญาคือความจำได้หมายรู้ ง่ายๆก็คือความทรงจำสังขารก็คือความปรุงแต่งเช่น คุณคิดเรื่องที่ยังไม่เกิดว่าเย็นนี้จะกินอะไรดี คือการคิดไปในอนาคตวิญญาณคือการรับรู้หรือกิริยาการรู้แจ้ง รู้แจ้งในอะไร รู้แจ้งในรูป เวทนา สัญญา สังขาร การจะมีความสุขหรือทุกต้องมีวิญญาณไปตั้งอยู่ในเวทนาก่อน สัญญาสังขารก็เช่นกันทั้งหมดนี้เรียกว่ากองทุกข์คือเป็นธาตุที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอด เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ หรือก็คือ สังฆตธรรม ในสภาวะนี้คุณสมบัติคือ เกิดปรากฎ เสื่อมปรากฎ และเมื่อตั้งอยู่ก็มีวภาวะอย่างอื่นปรากฎ คือเมื่อมีเกิดก็จะมีเสื่อม และมีเสื่อมก็เสื่อมเรื่อยๆและที่สุดของการเสื่อมคือการดับไปทั้งหมดนี้คือธาตุตามธรรมชาติไม่ได้รู้เรื่องอะไร (กลับมาที่วิญญาณ ตรงนี้ต้องละเอียดหน่อยเพราะคนจะเข้าใจผิดว่าตังเราคือวิญญาณแต่วิญญาณก็เป็นธาตุตามธรรมชาติไม่รู้เรื่องอะไรอีกเช่นกัน และสิ่งๆหนึ่งที่ผมเคยพูดไปนั้นแหละมันเข้ามายึดวิญญาณว่าเป็นตน เพราะความไม่รู้ ก็คืออวิชชา วงเวียนแห่งการเกิดจีงเกิดขึ้น และไอ้สิ่งๆหนึ่งที่มายึดนี่ก็คือสัตว์ เรียกว่าผู้ยึด ยึดในอะไรยึดในรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณก็คือขันธ์5นั้นเอง ส่วนการที่เราจะมองเห็นวิญญาณนั้นหรือไม่ก็ขึ้นอยู่การปฏิบัติของคุณเองว่าจะสังเกตุเห็นวิญญาณมั้ย สิ่งนี้เป็นปัจจัตตังคือเป็นสิ่งที่มีแต่ตนเองเท่านั้นที่รู้ได้เพราะปฏิบัติเข้ามารู้เอง เช่นคุณโกหกก็มีแต่คุณที่รู้อยู่แก่ใจ คุณทำดีคุณก็รู้อยู่แก่ใจ แต่การมองวิญญาณนั้นละเอียดกว่า
วิธีปฏิบัติก็คือการเจริญอานาปานสติ เอาแบบง่ายๆก็คือการเอาจิตหรือการรับรู้หรือความคิดมารู้อยู่ที่ลมหายใจ หายใจเข้าก็รูหายใจออกก็รู้ แต่ให้เห็นไปตามธรรมชาติของร่างกายระวังการไปปรุงให้มันสั้นหรือยาว มันจะกลายเป็นอึดอัด ให้สังเกตลมไปเรื่อยๆสั้นรู้ยาวรู้ แล้วเดี๋ยวธรรมดาาติของจิตก็จะดึงคุณไปคิดเรื่องอื่น ตอนรู้ลมคือเท่ากับรู้ตัวอยู่กับปัจจุบันขณะ เมื่อมันหลุดจากลม มันก็จะไปตั้งในเวทนาบ้าง สัญญาบ้าง สังขารบ้าง ตัวที่ไปตั้งก็คือวิญญาณ บางครั้งไปนึกถึงอดีตคือสัญญา ก็เศร้าบ้างสุขบ้าง บางครั้งไปนึกคิดเรื่องอานาคตคือสังขารการปรุงแต่ง ก็อยากให้เป็นแบบนั่นไม่อยากให้เป็นแบบนี้บ้าง จิต มโน หรือวิญญาณก็จะวนเวียนอยู่เท่านี้ เมื่อเรารุ้ตัวแล้วว่าเราเพลินไปคิด ก็ให้ละความเพลินนั้น(นันทิ) ให้กลับมาอยุ่กับลม เมื่อมันเผลอไปอีกเมื่อรู้ก็เอามันกลับมาที่เดิม มันจะเพลินไป 5 นาที 10 นาที ก็แล้วแต่อินทรีย์จองแต่ละคนและยิ่งทำมันก็จะละเอียดไปเรื่อยๆ แล้วก็จะเห็นตามจริงว่า ความคิดที่เราคิดว่าเป็นของเรา เราเองก็ยังคุมไม่ได้แค่จะให้อยู่กับลมเผลอแปปเดียวมันก็ไปคิด ขั้นสุดท้ายก็จะเห็นวิญญาณ และจะรู้ว่ามีสิ่งๆหนึ่งนั้นก็เป็นคนสังเกตมัน เหมือนฟืนที่ถูกเผาตถาคตถามภิกษุว่าเธอเจ็บเหมือนท่อนไม้ที่ถูกลากไปกับพื้นแล้วโดนเผามั้ย ภิกษุตอบไม่เห็นจะเจ็บเลย เพราะอะไร ก็เพราะมันไม่ใช่เรา นั้นแหละถ้าเราเห็นวิญญาณก็แสดงว่าวิญญาณก็ไม่ใช่เรา
ทีแรกนอนเล่นๆอยู่พรหมโลก ปลาอานนท์เกิดเมื่อยเลยขยับตัว น้ำในมหาสมุทรเลยซัดขึ้นไปพรหมโลกเลยติดน้ำลงมาเลยเนี่ย
ไม่ต้องครับถึงจักวาลนี้จะถูกทำลายแต่โลกอื่นก็มีหาที่สุดมืได้แค่ชี้ไปทิศเหนือก็มีจักวาลหาที่สุดมิได้
จักรวาลเชิงซ้อนของพหุจักวาลของความเป็นทวิไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆเช่นกันถ้าจักรวาลหลักถูกสร้างด้วยความรักเพื่อเปิดสิ่งที่ยังไม่ได้รู้โดยการทดลองของมโนสังขาลก็ต้องเป็นผู้สร้างจักรวาลร่วมกันโดยหลายผู้สร้างแต่ผู้สร้างผู้สร้างมโนสังขาลแรกอาจแบ่งมโนออกไปเลื่อยๆก็ได้ เหมือนแสงที่ เป็นคลื่นและอนุภาคในเวลาเดียวกัน ผู้ร่วมสร้างจักรวาลด้วยความรักถึงพยายามปลุกมโนวิญญาณของโลกทวีปกลับไป... การเรียนรู้ความเป็นจักรวาลไม่ได้มีแค่โลกทวิภาวะ ยังมีจักรวาลอื่นให้ต้องไปเรียนต่อ ก็เป็นได้ที่ 2 ศาสนาสอนไม่เหมือนกัน มีความเป็นไปได้ว่า จักรวาลเกิดขึ้นจากความรัก ยังไม่มีอวิชชาแล้วอวิชชาเกิดขึ้นภายหลังจึงเกิดทวิภาวะ ทวิภาวะเกิดขึ้นจาก.... มโนสังขาล ที่สร้างเชิงลบ ไปหลอกล่อหรือจับกุมมโนสังขารที่สร้างเชิงบวกมากักขังในการทดลองก็เป็นได้ เป็นที่มาของพระเจ้าและซาตานมีความเป็นไปได้ ทุกระบบทุกศาสนาในโลกก็เกิดจากสิ่งนี้ผู้สร้างเชิงลบและเชิงบวก จัดการมาทดลอง ถึงเวลาก็เปิดเผยและเก็บเกี่ยว ผลของการทดลอง
ฟังแล้วเข้าใจฝั่ง เซน เลยว่าทำไมเขาถึงบอกว่า บรรลุธรรม มันก็อยู่กับเรามาตั้งแต่แรกแล้ว
อธิบายดี เกิดจากความไม่รู้..ความไม่รู้เลยคิด คิดๆๆๆ จนเป็นนี่ เป็นนั่น อยากกิน อยากเป็น อยากลอง จึงเกิด.. การกลับสู่จุดเดิม จึงควรหยุดคิด ในทุกสิ่ง ในทุกเรื่อง ดับทุกสิ่ง..กลับสู่นิพพาน
ชาตืแรกบอกไปก็ไม่เชื่อ รู้ไปก็ไม่ดับทุกข์ สติปัญญาก็ไปไม่ถึง ท่านจึงให้อยู่กับปัจจุบันและทำปัจจุบันให้เป็นเหตุแห่งอนาคจ
กฏแห่งกรรมยุติธรรมเสมอเป็นกรรมแรก ชาติแรก ที่ไม่เคยดับสังสารวัฏนี้จึงกำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ตุยก็เกิดทันที
รู้ไปก็เท่านั้นถ้าไม่ฝึกจิตจนมีสมาธิแล้วเกิดปัญญาเพื่อจะเอามาตัด เพราะตายไปแล้วเกิดใหม่มันก็จะลืมเกือบทุกคน นอกจากจะฝึกจิตจนมีสมาธิแล้วเกิดปัญญาจนถึงขั้นพระโสดาบันขึ้นไปถึงจะรอด พระโสดาบันมีปัญญาเพียงเล็กน้อยแต่มีศีล ๕ บริสุทธิ์ มีกรรมบท ๑๐ ครบถ้วน ถึงจะตามให้ผลได้เข้านิพพานได้ไม่เกิน ๗ ชาติ ระหว่างนี้ก็จะไม่ตกอบายภูมิ
มันเเทบเป็นไปไม่ได้หรอกคับที่ทุกคนจะนิพพาน รวมถึงสัตว์ด้วย ต้องเกิดกันอีกกี่ล้านชาติ คุณจะรู้ได้ยังไงว่าโลกนี้จะไม่ดับสลาย ถ้าเกิดหลายล้านชาติจริงไครเป็นคนรีเซ็ตความทรงจำเรา
เอาแบบหลักวิทเลยนะโลกนี้จะแตกในอีกราว5000ล้านปี หรือแม้แต่เอกภพก็จะจบลงแต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าในเวลาอันยาวนานมันอาจกลับมาเกิดเป็นสิ่งเดิมได้ ส่วนเรื่องการลืมไม่ต้องมีคนมาลบหรอกครับแค่ในชีวิตเราก็ลืมเรื่องในอดีตอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
@prinooman9570 ไม่เมกเซนต์เลยครับ สัตว์บกเเละทะเลมันมีหลายเเสนล้านๆๆๆเลยน่ะ เเล้วสัตว์ต้องทำยังไงถึงได้นิพพาน เอาเถอะถ้ามีโลกใหม่เกิดขึ้นจริง คุณรู้มั้ยกว่าเซลล์เเละดีเอ็นเอกส่าจะเรียงข้อมูลอย่างถูกต้องมันยากมากเลยน่ะนี่เเค่เซลเดียวกว่าจะสร้างโปรตีนได้ ไม่รวมอวัยวะภายในเเละภายนอกเเถมต้องสร้างตัวเองชายเเละหญิงพร้อมกันด้วยน่ะมนุษย์ถึงจะสืบพันธุ์ได้ คนนึงคนได้กิดก่อนไม่ได้ สมมุติถ้ามนุษย์สองคนเเรกเกิดพร้อมกันได้ เราจะเกิดเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่เหรอถ้าเกิดเป็นทารกนี่ซวยเลยน่ะ มีชีวิตรอดไม่ได้เเน่ๆ นั่นก็เเสดงให้เห็นเเล้วว่ามนุษย์สองคนเเรกต้องเกิดเป็นผู้ใหญ่ก่อนถึงจะมีชีวิตรอดได้ เเละต้องมีความรู้ในการเอาตัวรอดด้วยน่ะ ถ้าขาดไฟ อาหาร ยา ที่พักนี่ซวยเเน่ๆ เเถมไม่รู้ว่าสัตว์เกิดให้เราล่าเเล้วรึป่าว
มันเกิดดับรีเซ็ตใหม่หลายรอบครับ จักรวาลเกิดและสลายไปและสร้างตัวใหม่หลายรอบครับ รอบล่าสุดที่พึ่งเกิดมาที่เขาวิจัยกันก็น่าจะเป็น การระเบิดของบิ๊กแบงที่เป็นรอบล่าสุด
@@prinooman9570 ไม่เมกเซนต์เลยครับ สัตว์บกเเละทะเลมันมีหลายเเสนล้านๆๆๆเลยน่ะ เเล้วสัตว์ต้องทำยังไงถึงได้นิพพาน เอาเถอะถ้ามีโลกใหม่เกิดขึ้นจริง คุณรู้มั้ยกว่าเซลล์เเละดีเอ็นเอกกว่าจะเรียงข้อมูลอย่างถูกต้องมันยากมากเลยน่ะนี่เเค่เซลเดียวกว่าจะสร้างโปรตีนได้เเล้วเรามีกี่ล้านเซลล์ ไม่รวมอวัยวะภายในเเละภายนอกเเถมต้องสร้างตัวเองชายเเละหญิงพร้อมกันด้วยน่ะมนุษย์ถึงจะสืบพันธุ์ได้ คนนึงคนไดเกิดก่อนไม่ได้ สมมุติถ้ามนุษย์สองคนเเรกเกิดพร้อมกันได้ เราจะเกิดเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่เหรอถ้าเกิดเป็นทารกนี่ซวยเลยน่ะ มีชีวิตรอดไม่ได้เเน่ๆ นั่นก็เเสดงให้เห็นเเล้วว่ามนุษย์สองคนเเรกต้องเกิดเป็นผู้ใหญ่ก่อนถึงจะมีชีวิตรอดได้ เเละต้องมีความรู้ในการเอาตัวรอดด้วยน่ะ ถ้าขาดไฟ อาหาร ยา ที่พักนี่ซวยเเน่ๆ เเถมไม่รู้ว่าสัตว์จะเกิดให้เราล่าเเล้วรึป่าว
ส่วนเรื่องความทรงจำชาติที่แล้ว ผมคิดว่าเป็นของร่างกายมากกว่า เหมือนกับเราตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษจนเก่งชำนาญมากๆ แต่หลังจากตายไปแล้วความรู้อังกฤษเราก็ร่วงหล่นตรงนั้นไปพร้อมกับร่างกาย ส่วนเราที่ไปเกิดอ่ะ แยกออกจากความทรงจำไป ประมานนั้นผมไม่รึ้จะอธิบายยังไง ถ้าไม่เข้าใจขออภัยด้วย
จักรวาลนี้แตกดับมาแล้วไม่รู้กี่รอบ อย่าไปรู้เลยว่าชาติแรกเกิดจากอะไรมันไม่มีประโยชน์ ให้รู้หนทางหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดมีประโยชน์กว่าเยอะ
เข้าใจสักที
มันเริ่มจากจุดไหนก็ได้ แล้วแต่บุคคล สังเกตจากจิตเรา
❤❤❤❤❤
เก่งจ้าาาาส
ชาติแรกเกิดขึ้นได้อย่างไร ผมขออธิบายดังนี้ HกับOมันรวมกันกลายเป็นน้ำ ตั้งแต่เมื่อใด ไม่มีใครตอบได้ ร่างกายกับจิตวิญญาณ มันรวมกัน กลายเป็นสิ่งมีชีวิต เมื่อใด ไม่มีใครตอบได้
ชาติแรกเกิดมาอย่างไร ตถาคตตรัสว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้ จะไปรู้ทำไมมันไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย สิ่งที่ควรรู้คือ ทำอย่างไรจะพ้นจากสังสารวัฏนี้ให้ได้นั่นสำคัญที่สุด
อจินไตย แปลว่า สิ่งที่ไม่ควรคิด อจินไตย มาจากคำว่า อะ + จินไตย (พึงคิดพิจารณา) แปลว่า ไม่พึงคิดหรือจำแนกตรรกะลงไปได้ หมายถึง สิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน มี 4 อย่างได้แก่พุทธวิสัย วิสัยแห่งความมหัศจรรย์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายฌานวิสัย วิสัยแห่งอิทธิฤทธิ์ของผู้มีฌาน ทั้งมนุษย์ และเทวดากรรมวิสัย วิสัยของกฎแห่งกรรม และวิบากกรรม คือการให้ผลของกรรมที่สามารถติดตามไปได้ทุกชาติโลกวิสัย วิสัยแห่งโลก คือการมีอยู่ของสวรรค์ นรก และสังสารวัฏ[1]ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่องอจินไตย เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ ทั้งเพราะความเข้าใจไม่ได้ในฐานะที่เป็นของลึกซึ้ง เป็นเรื่องทางจิต หรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สิ้นสุดได้ ถ้าคิดมากจริงจังในการหาคำตอบเหล่านั้นจากการคิดเดาเอาด้วยตรรกะเองจึงอาจกลายเป็นคนบ้าได้ อจินไตยในเรื่องทางจิตจึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมชั้นสูงเท่านั้น
พระพุทธเจ้าไม่อยากให้ไปค้นหาว่าชาติแรกเกิดมาจากอะไร...ถึงรู้แล้วก็จะค้นหาไม่จบ เพราะมันเป็นธรรมดาของสัตว์โลกที่ขี้สงสัย(ชอบมองออกนอกตัว จนลืมใจของตัวเอง) ชาติแรก เปรียบเหมือนเราอยู่ที่ประเทศไทย แต่อยากเดินทางไปเที่ยวสหรัฐอเมริกา โดยการขับรถยนต์ส่วนตัวไป เราต้องทำการสตาทร์รถยนต์วอมเครื่องยนจนได้ที่ และเตรียมขับรถยนต์ ขณะที่ล้อหมุนครบวงจร 1 รอบ เท่ากับชาติ 1 ชาติที่(เกิด และ ตาย )ลงไป จะมีใครมานับวงรอบไหมกว่าจะถึง อเมริกา ล้อรถยนต์หมุนไปแล้วกี่รอบ ....ความหมาย คือ เมื่อรู้แล้วเราได้ประโยชน์อะไรจากตรงนั้นล่ะ....ฝรั่งจะเข้าใจดีว่า ..อะไร คือ สาระ ..อะไรไม่ใช่สาระ.....เมื่อเราแทงไปว่าเมื่อคุณรู้คำตอบแล้วชีวิตคุณมีความทุกข์ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันและทุกวัน ทุกเวลา มันหายไปหรือเปล่า? และแทงไปอีกว่า..เมื่อความทุกข์ที่เกิดขึ้นภายในใจคุณเกิดขึ้น คุณต้องไปหาที่ระบาย ไปเที่ยว ไปสถานที่ต่างๆเพื่อหาความสุขมากลบเกลื่อนความทุกข์ ที่เค้ามีใช่ไหม? แต่ของ พุทธศาสนา ของเรา คือ การสอนเพื่อการพ้นไปจากทุกข์ถาวรณ์ และพ้นไปจากสุขถาวรณ์ เป็นอมตะสุขนิรันณ์ของจริงต่างหาก ....ไม่จำเป็นต้องไปเล่นเกมตามเขา พวกเขาเพียงอยากหาเรื่องเอาชนะเฉยๆ ให้เขาหาคำตอบเอาเอง (บอกเลยหายังไงก็หาไม่เจอ จนคนหาเป็นบ้าไปเอง) หาอีกล้านชาติก็ไม่เจอหรอก...😂😂😂😂😂
สรุปแล้วชาติแรกก็เกิดจากดวงวิญญาณที่อยู่ในแดนนิพพานเกิดความไม่รู้แล้วก็ก่อให้เกิดสังขารหรือร่างกายขึ้นจนเป็นชาติที่ 1 ผมสรุปแบบนี้ถูกต้องไหมคำถามคือชาติที่ 1 ควรเป็นวิญญาณที่อยู่ในแดนนิพพานหรือเปล่า แล้วก็ย้อนกลับไปว่าก่อนที่จะเป็นวิญญาณที่อยู่ในแดนนิพพานนั้นก่อนหน้านั้นเป็นอะไรมาก่อน ก็แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่รู้ว่าดวงวิญญาณที่อยู่ในแดนนิพพานนั้นมาจากไหน
สิ่งที่เข้าสู่นิพพานแล้วย่อมไม่เกิดอีก ดังนั้นข้อนี้วิดิโอพูดผิดแล้วครับ
ตอ้งเรียนไตรเพท วิตถาร ที่กล่าวถึง๓เพศ ศึกษา คือ เพศหญิง๑ เพศชาย๑ เพศพรหม๑ สองเพศแรก รวมกันอยู่ในกามาวจรจิต๑ เพศที่๓มี๒ภูมิคือ รูปาวจรจิต๑ อรูปาวจรจิต๑ซึ่งไม่เป็นหญิงไม่เป็นชาย มีกายละเอียดกว่าเทพธิดา เทพบุตร งามละเอียดเสมอกัน ของในแต่ละชั้น
1.สัตว์ตานังมาจากไหนครับ 2.มีจำนวนจำกัดหรือไม่ครับ เพราะถ้าสัตว์ตานังรู้เข้าถึงวิมุติยานฯทั้งหมดสังสารวัตรนี้ก็คงจะว่างเปล่า 3.หรือเป็นไปไม่ได้เลยที่สัตว์ตานั่งจะเข้าถึงวิมุตได้ทั้งหมด
ชาวพุทธควรทรงจำข้อที่พระพุทธองค์ ตรัสไว้ด้านล่างเหล่านี้ ให้แม่นยำ...............ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิก- เศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคได้รับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมา ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย” ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาค จึงได้ตรัสเรื่องนี้ว่า“ภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้มีเบื้องต้นและเบื้องปลายรู้ไม่ได้ ที่สุดเบื้องต้น ที่สุดเบื้องปลายไม่ปรากฏแก่เหล่าสัตว์ผู้ถูกอวิชชากีดขวาง ถูกตัณหาผูกไว้ วนเวียน ท่องเที่ยวไปเปรียบเหมือนบุรุษตัดหญ้า ท่อนไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้แล้วรวมเป็น กองเดียวกัน ครั้นรวมกันแล้ว จึงมัด มัดละ ๔ นิ้ว วางไว้ สมมติว่านี้เป็นมารดา ของเรา นี้เป็นมารดาของมารดาของเรา มารดาของมารดาแห่งบุรุษนั้นไม่พึงสิ้นสุด ส่วนหญ้า ท่อนไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้พึงหมดสิ้นไปข้อนั้นเพราะเหตุไรเพราะว่าสงสารนี้มีเบื้องต้นและเบื้องปลายรู้ไม่ได้ ที่สุดเบื้องต้น ที่สุดเบื้องปลาย ไม่ปรากฏแก่เหล่าสัตว์ผู้ถูกอวิชชากีดขวาง ถูกตัณหาผูกไว้ วนเวียนท่องเที่ยวไป อุปมานี้ฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้น เธอทั้งหลายเสวยความทุกข์ ได้รับความลำบาก ได้รับความพินาศเต็มป่าช้าเป็นเวลายาวนานภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนี้แหละจึงควรเบื่อหน่าย ควรคลายกำหนัด ควรเพื่อ หลุดพ้นจากสังขารทั้งปวง”.............พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯเล่มที่ ๑๖ ข้อที่ ๔๒๑
เราเชื่อคนที่พูดว่านับถือศาสนาคริส แต่เราเชื่อว่าคนๆนั้นอยู่แผ่นดินพุทธบรรพบุรุษของเค้าต้องนับถือศาสนาพุทธแต่มีการเปลี่ยนตอนที่ศาสนาพุทธมาเผยแพร่ในไทย ตื่นเถิดชาติไทย
พูดง่ายแต่ทำยากครับ ต้องอาศัยพละ5 (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา)
ทฤษฎีในคลิปนี้บอกว่า "การบอกว่าชาติแรกเกิดจากความไม่รู้ (อวิชชา)" แล้วอ้างถึงคำพระพุทธเจ้าด้วยว่า "เรามาจากสิ่งๆ หนึ่งของอสังขตธาตุ" ด้วยอวิชชาเราจึงลงมาเวียนว่ายตายเกิด แนวคิดนี้ คล้ายๆ ของสำนักพุทธวจนที่ผมเคยฟังเมื่อหลายปีก่อน หรือนิกายหนึ่งของมหายาน ที่เชื่อว่า เราเกิดในแดนนิพานอยู่แล้ว ด้วยอวิชชาทำให้ลงมาเกิด ซึ่งขัดแย้งกับคำสอนหลักของเถรวาท เพราะถ้าเชื่อเช่นนี้ นิพพานก็ไม่ใช่การดับสูญ แต่นิพพานจะคล้ายๆ สวรรค์มากกว่า เพราะเข้าไปได้ แต่ก็ออกมาได้ ทฤษฎีก็แย้งกับความหมายของด้วยตัวของมันเอง เพราะ อสังขต คือ ๑. ความเกิดขึ้นไม่ปรากฏ ๒. ความดับสลายไม่ปรากฏ ๓. เมื่อตั้งอยู่ ความแปรไม่ปรากฏ (ถ้ามีสิ่งเหล่านี้แล้ว อวิชชาจะเข้ามาจับได้ไง ?) อันนี้ผมไม่ฟันธงเรื่องผิดถูกของระบบความเชื่อคือ ทฤษฎีอาจจะถูกก็ได้ แต่ในระบบเถรวาท คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ควรขัดแย้งกันถ้าจะอ้างคำสอนพระพุทธเจ้าสำหรับคำถามนี้ ก็น่าจะใกล้เคึยงกับอจินไตย ที่ว่าด้วยโลกจินตา หรือโลกวิสัยที่ว่าด้วย ความคิดว่าใครสร้างดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ใครสร้างมหาปฐพี ใครสร้างมหาสมุทร ใครให้สัตว์เกิด เสียมากกว่า ซึ่งพระพุทธเจ้าก็บอกอยู่แล้วว่า "ไม่แนะนำปุถุชนทั่วไปคิด" คิดแล้วจะเป็นบ้า คิดไปไม่เกิดประโยชน์ คิดไปก็ไม่บรรลุธรรม
ในความเห็นหนึ่ง ถ้าสังขตธรรม คือ ธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น อสังขตธรรม ก็คือ ธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งควรจะหมายความ ว่างจากสิ่งปรุงแต่งด้วยวิราคะ สิ้นตัณหา ... หมดความอาลัย ฯ เพราะเมื่อยังมีราคะ ฯ มันก็ยังเป็นสังขตธรรมอยู่นั่นเอง เมื่อดำเนินไปผิดทางมันก็ยังไม่ใช่อสังขตธรรม รึเปล่า
ภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้วอันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่ง ไม่ได้แล้วมีอยู่ภิกษุทั้งหลาย ถ้าธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้วปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย.ภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้วไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้วมีอยู่ ดังนั้น การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้วอันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้วจึงปรากฏ. --บาลี อุ. ขุ. ๒๕/๒๐๗/๑๖๐. ผมมองว่าพุทธเภรวาทยึดติดในคำสอนสาวกมากเกินไป ไปตีความว่า นิพพานคืออนัตตา เลยไม่มีวันเข้าใจได้เลย ความจริงคือ มีแต่การสลัดออกไปของสังขตธาตุ อสังขตธาตุจึงปรากฎ แค่นั้นเอง
นิพพานไม่ใช่การดับสูญ
@@Rockman-qo7zy แต่นิพพานสูญจากอัตตา
แต่การเวียนว่ายตายเกิดมันขัดแย้งชัดๆ จะอ้างว่าอจินไตยไม่ได้ เพราะกฎของการเวียนว่ายตายเกิดคือความยุติธรรม มนุษย์ที่เกิดมาต้องอาศัยกรรมเก่า เป็นเงื่อนไขบังคับ ไล่ลงไปถึงชาติที่1 คำถามคือมนุษย์เกิดในชาติที่1 ได้อย่างไร ไปสร้างกรรมอะไรไว้ ถ้าตอบว่านนุษย์เกิดเกิดก่อน แล้วมนุษย์จะเกิดมาไม่ได้เพราะต้องอาศัยกรรม ถ้าตอบว่ากรรมเกิดก่อน แล้วกรรมมันจะมีไม่ได้เพราะต้องมีมนุษย์ กฎเวียนว่ายตายเกิดจึงขัดแย้งกันอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช้อจินไตยอะไรเลย เพราะไม่ได้พ้นญาณวิสัยของมนุษย์เลย
ใช่ Particle กับ Antiparticle ในวิชาQuantum Physics หรือเปล่า?
สภาวะธรรม ของนิพพานนั้น ไม่มีรูปและนามให้เทียบเคียง แต่พอจะใช้สภาวะธรรมชาติเปรียบเทียบได้ดังนี้ยกตัวอย่างสภาวะการเกิดเงาเงาเกิดจาก แสง / วัตถุทึบแสง / ฉากหลัง ไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ไม่เกิดเงา -มีวัตถุทึบแสงกับฉากรับแต่ไม่มีแสงก็ไม่เกิดเงามีแต่ความมืด หรือมีแสงกับฉากแต่ไม่มีวัตถุทึบแสงมากั้นกลาง ก็ไม่มีเงาให้เห็น มีแต่ความสว่างที่ฉาก - สภาวะก่อนเกิดเงานั้นคือนิพพาน เมื่อมีวิชชาวิมุติแล้ว ดับเหตุที่เป็นปัจจัยแล้ว ผลก็ไม่มี ไม่เป็นไปตามกฎอิทัปปัจยธรรมและปฏิจจสมุปบาท ก็ไม่มีการเกิด พระอรหันตเจ้า ถึงมีจิตอยู่ก็ไม่เกิดวิญญาณไปรับรู้ คือเกิดผัสสะแต่ไม่เกิดตัณหา อุปาทาน เพราะมีวิชชาไม่ก่อสังขารนามรูป เราควรให้ความสำคัญกับการทำที่สุดแห่งทุกข์ ก่อนจะไปรู้ชาติแรกเกิดจากอะไร เพราะเมื่อได้จิตแห่งพระอริยเจ้าก็จะรู้ได้เอง
คืออะไรพระอรหันต์ไม่มีวิญญาณ
@@Nopphadolthongwilai "ไม่มีวิญญาณไปรับรู้" ครับ
@@sushi7021 จิต มโน วิญญาณคือสิ่งเดียวกันต่างแต่ชื่อ พระอรหันต์ไม่มีจักษุวิญญาณจะมองอะไรได้เล่าวิญญาณเกิดได้6ทางอาศัยปัจจัยจึงเกิดขึ้น
มึนตึบเลย พะยะคะ แต่ที่แน่ๆไม่รู้😂
ศาสนาพระเจ้าอธิบายได้ชัดแจ้งกว่ามาก ตอบตรงๆไม่เลี่ยงอธิบายด้วยคำว่าไม่รู้/อจิณไตยพระเจ้ากล่าวในคัมภีร์ว่าสร้างทุกสิ่งจากความว่างเปล่าและได้แยกสรรพสิ่งที่ก่อนนั้นติดกันเป็นเนื้อเดียวโดยช่วงแรกมีสภาพเป็นหมอกควัน…แล้ววิทย์ก็มีทาทฤษฎีบิ๊กแบงพระเจ้ามีลักษณะ/คุณสมบัติเช่น มีมาแต่เดิม ไม่ถูกสร้าง ไม่เกิด มีพลัง สร้างบิ๊กแบง และเป็นเอกะ…แล้ววิทย์ก็มีทฤษฎีซิงกุลาริตี้ที่มีลักษณะเหมือนกับพระเจ้า หลังจากที่ฟันธงว่าทุกสิ่งแม้แต่บิ๊กอบงจะเกิดเองไม่ได้ ต้องมีผู้สร้างสรุปคือศาสนาพระเจ้า/วิทย์อธิบายได้ง่ายๆ เข้าใจง่าย ชัดเจน ใช้หลักวิทย์/ทฤษฎีที่น่าเชื่อถือกว่าเยอะ และตอนนี้ทั้งนักวิทย์และคนทั่วไปนับถือศาสนาพระเจ้ามาก/มากขึ้นเรื่อยๆสวนทางกับการเป๋นเอทิสและพุทธ
ผมก็มึนๆ ไม่ค่อยเข้าใจ มันเป็นภาษาที่เข้าใจยากหน่อยสำหรับผม แต่ที่แน่ๆ ทุกคน ทุกศาสนา เกิดมาจากความไม่รู้เหมือนที่เขาบอกแน่นอน
@ ไม่รู้ไม่ได้แปลว่าถูก หรือแปลว่าไม่มีกำเนิด วิทย์ก็ไม่รู้…แต่วิทย์ก็พยายามอธิบายสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดสรุปคือวิทย์ - ฟันธงตามเทอิสซึ่มว่าต้องมีผู้สร้าง-วิทย์มีทฤษฎีบิ๊กแบงาน…ที่ตรงกับพระเจ้าบอกว่าสร้างทุกสิ่งจากความว่างเปล่าและแยกทุกสิ่งที่ติดกันเป็นเนื้อเดียวจากกันโดยช่วงแรกมีสภาพเป็นหมอกควัน -วิทย์มีฤษฎีซิงกุบาริตี้…ที่ผู้สร้างเป็นเอกะ มีมาแต่เดิม ไม่ถูกสร้าง สร้างบิ๊กแบง ยังไม่นับมหัศจรรรย์แห่งคัมภีร์ที่จับต้องได้อีกเป็นร้อยเรื่อง….ศาสนาพระเจ้าก็กินพุทธที่อะไรๆก็อจินไตย/เหตุปัจจัยไม่ชี้ขัดแล้ว
@@mattch1243 พระพุทธเจ้าไม่ได้ ปฏิเสธ ว่าพระเจ้ามีหรือไม่มี พระเจ้าอาจจะมีอยู่หรือไม่มีอยู่ก็ได้ แต่ที่แน่ๆ พระเจ้าไม่สามารถดลบรรดาล หรือ ควบคุมการกระทำของมนุษย์ได้แน่นอน พระพุทธเจ้าเคยพูดถึงหลายเรื่อง เรื่องจักรวาล เรื่องโลก แต่ท่านพูดผ่านๆเพราะมันไม่เกี่ยวกับการพ้นทุกข์และปัจจุบัน ตามคำสอนบทนึงบอกว่า ต่อให้เราตายแล้วเกิดใหม่เป็นร้อยครั้งพันครั้ง เราก็ไม่มีทางรู้เรื่องโลกนี้ได้หมด และแน่นอนว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ
ในในกาลก่อน อวิชชาก็ไม่ปรากฏ แต่ภายหลังจึงมี(อวิชชาก็มีเหตุให้เกิด คือ อาหาร) และอาหารทั้งหลาย(อาหาร4) ก็มีตัณหาเป็นเหตุ มีตัณหาเป็นที่ตั้งขึ้น มีตัณหาเป็นกำเนิด
สังฑตธาตุ กับ อสังฑตธาตุ ใช่ Particle กับ Antiparticle หรือเปล่าเจอกันจะสลายหายไปสิ้นคือแปลงร่าง ตาม Quamtum Physics ไอสไตล์
Quantum ก็เป็นแค่รูป เพราะมีคนเคยถามพระอาจารย์คึกฤทธิ์แล้ว ท่านตอบว่า มันก็เป็นแค่รูป ไม่ว่าจะละเอียดเล็กขนาดไหน ก็ตาม ยังไงนักวิทยาศาสตร์ ก็ไม่มีทางค้นเข้าไปเจอ เพราะ อสังขตธาตุ ไม่อยู่ในภพ3
สรุปเราเป็นอะไรกันนเเน่ครับ อยู่ดีก็อยากมาเกิดเเล้วก่อนที่เราจะเกิดชาติเเรกนั้นเราอยู่ไหนครับ มีหลักฐานอะไรที่มาบอกว่าทฤษฎีที่พระพุทธเจ้าคิดนั้นถูก
คริสเชื่อพระเจ้าเป็นผู้สร้าง พุทธเชื่อว่า อวิชาเป็นผู้สร้าง วิทยาศาสตร์ เชื่อว่า บิกแบงเป็นผู้สร้าง ทั้งหมดเป็น ทฤษฎี ของแต่ละความเชื่อไม่สามารถบอกได้ว่าใครถูกต้อง จนกว่า จะพิสูจน์ด้วยการลงมือ ทำตามขั้นตอนที่แต่ละสายได้ อธิบายไว้ จนกว่าจะผ่านไปทีละขั้นตอนจนถึงปลายทาง ก็จะรู้ได้ด้วยตนเองว่า สิ่งที่ฟังมานั้น เป็นจริงหรือไม่ แม้ปัจจุบัน ทั้งสาม สาย ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้โดยใช้เพียงความเชื่อ แต่ต้องใช้การลงมือทำครับ ไม่ว่าจะใช้แพไม้ เรือแคนนู หรือ เรือสำราญ ก็สามารถพาไปถึงฝั่งแม่น้ำได้ แต่จะไปถูกท่าเรือที่มีบันใดให้ก้าวขึ้นไปบนฝั่งได้หรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่อง ถ้าผิดก็ต้องพายวนหากันต่อไป
คืองี้ อย่ามองเป็นเส้นตรง พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสถึงชาติแรกก็เพราะ "ชาติ" เป็นแค่ตัวแทนของอวิชชาและตัณหา พูดให้ง่ายคือ อวิชชาและตัณหา มันพยายามก่อสังขารขึ้นมาเพื่อให้สนองเจตนาของมัน เรียกได้ว่า "เวลา" เป็นเพียวตัวแทนให้สังขารมันเคลื่อนไหวทีนี้ เมื่ออวิชชาและตัณหามันอยู่ มันเลยสร้างสังขารที่เป็นตัวแทนของมันคือร่างกายขึ้นมาเรื่อย ๆ คือตัวชาติ ซึ่งมันทำให้เกิดแล้วเกิดอีกและหาจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดไม่ได้ เพราะเมื่อมองไปในการเกิด มันก็จะมีแต่การเกิดและการเกิดและการเกิด โดยมีตัวอวิชชาและตัณหานี่แหละหนุนหลังเพราะฉะนั้น ถ้าเรามองว่าชาติ มาจาก 1 จะหาคำตอบอะไรอีกหลาย ๆ อย่างไม่ได้เลย แต่ถ้ามองว่าชาติ มาจากอวิชชาและตัณหา และมันเป็นตัวแทนที่สร้างนามรูปหรือร่างกายคน,สัตว์,เทวดา เป็นต้นขึ้นมาเป็น represent ของมัน เราจะรู้เลยว่าจุดกำเนิด ไม่ได้นับจากซ้ายไปขวา หรือ 1 ไป 10 แต่จุดกำเนิด ไม่มีการนับ เพราะถ้าเอาสมการของพระพุทธเจ้ามาตั้งเลยว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนั้นจึงดับ จะนึกออกเลยว่าชาติ คือ สภาวะที่มันมีอยู่แล้วและมันเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อย ๆ ตามตัณหา ไม่ได้นับจาก 1 มองดี ๆ
กฎเวียนว่ายตายเกิดมันมีมาเพราะความยุติธรรม ต้องอาศัยกรรมจากชาติที่แล้วมาเกิดเป็นเงื่อนไขบังคับชาติที่100 มาจากชาติ99 ชาติที่9 ต้องมาจากชาติที่10 ไล่ลงจนถึงชาติที่1 แล้วมันวงกลมตรงไหน ! คำถามไฟล์บังคับที่จะต้องตอบ โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ กรรมกับคนอะไรมาก่อน ซึ่งมันเท็จตั้งแต่ต้นแล้ว
สรรพสิ่งโลกจักรวาล ภพต่างๆในหลักพุทธ เป็นมโนธรรมครับ(ก็คือมีมโน)
ศาสนาเป็นเรื่องของคนจิตอ่อนพี่ต้องมีที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวทางใจไม่เช่นนั้นอาจจะถึงขั้นวิกลจริตนี่คือประโยชน์อย่างยิ่งของศาสนาแต่ถ้ามันมากเกินพอดี ก็จะทำให้คิดว่าเป็นนั่นเป็นนี่ บรรลุเป็นอันนั้นอันนี้ความคิดสังขารและวิญญาณความรู้สึกคือสัญญาณไฟฟ้าและปฏิกิริยาเคมีในสมอง สมาธิ ฌาน และสภาวะต่างๆล้วนเป็นสมองปรุงแต่งขึ้นมาทั้งนั้นมันไม่ใช่เราตั้งแต่เริ่มแล้วครับ
สรุปง่ายๆในแบบความเข้าใจของผมนะ คือเราไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่าชาติแรกมายังไง เพราะมันเกินขีดจำกัดความสามารถมนุษย์. ให้ไปเน้นการกระทำปัจจุบันให้ดีที่สุดที่กว่า ตั้งใจปฏิบัติให้บรรลุมรรคผลในปัจจุบันดีกว่า. การที่มัวแต่ไปหาชาติแรก ก็ไม่ต่างกับการที่เราสงสัยในบาปครั้งแรกที่เราทำไปว่าทำไรไป แทนที่จะเลิกคิดแล้วเน้นทำความดีเข้าแทนในปัจจุบันดีกว่า🙏🙏🙏
ขอโทษนะครับ ผมคิดว่ามันสำคัญครับเพราะว่าบาปแรก (การกระทำแรกที่ทำให้คุณเกิด) ที่คุณว่า คุณจะไปทำมันตอนไหนเพราะคุณยังไม่มีตัวตนอยู่เลย แต่ถ้าคุณมีตัวตนอยู่แล้ว คุณจะมีได้ยังไงในเมื่อคุณยังไม่ทำบาปแรก (การกระทำแรกที่ทำให้คุณเกิด)มันจึงมีความสำคัญมาก เราไปทำกรรมอะไรมา เราถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผมว่าถึงมันจะนานแค่ไหน เราก็เปรียบเทียบได้ เพราะภพภูมิมีไม่กี่ภพ คุณว่าจริงไหม
@@ไม้ซีกไม้ซุงจริงๆอาจจะไม่ใช่บาปก็ได้ มันเป็นสิ่งที่จิตเราไปยึดมั่นเอง จึงทำให้มีการเกิด แต่ถึงจะเป็นบาปจริงๆ เราเวียนว่ายตายเกิดมาไม่รู้กี่ชาติ ปานนี้ก็คงชดใช้หมดแล้ว(ถ้าไม่ใช่กรรมหนักจริงๆ) แต่ก็คงยาก เพราะจิตเพียวๆ จะไปทำกรรมหนักอะไรได้ ดังนั้นสิ่งที่เค้าบบอกว่า มันไม่ต้องไปรู้หรอก เน้นการกระทำในปัจจุบันสำคัญกว่านั่นก็ถูกแล้ว เพราะการจะพ้นทุกข์ได้ก็อยู่กับการกระทำในปัจจุบัน และถึงจะรู้ได้ว่า เราทำอะไรไว้ถึงได้เกิดมา มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ก็ได้แค่รู้แค่นั้น เปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว และไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์อะไรด้วย
ในคลิบไม่ได้พูดแบบนี้ครับ อันนี้คือที่ พระทั่วๆไปตอบเรื่องชาติแรกคือไม่ให้ไปสนใจหาคำตอบ แต่ในคลิบอธิบายผมก็ยังไม่เข้าใจ พอจะสรุปให้ได้ไหมครับ
ควรแจงแยกเป็นเรื่องๆไปนะครับ เพราะท่านพุทธะบอกไว้ว่าทุกสิ่งล้วนแล้วมาจากเหตุ จุดเริ่มทุกสิ่งของเหตุจึงควรมี..?
@@youknowwhoamI786 สรุปไม่ได้ครับ เพราะในคลิปอธิบายผิด ไม่ต้องตามพระสูตรเราไม่มีชาติแรก เพราะความเป็นเรามันไม่ได้มีแก้นสารอะไรมาบอก ความเป็นเราเหมือน ก้อนเมฆ เมฆกลายเป็นฝน ฝนกลายเป็น ไอน้ำ ไอน้ำกลายเป็นเมฆ จะสืบสาวว่าชาติแรกของก้อนเมฆก้อนนี้คืออะไร มันทำไม่ได้ เพราะคำว่าก้อนนี้ มันเป็นสิ่งที่เราสมมติขึ้น เรานับเอาเองว่า ไอน้ำในอากาศใกล้ๆกันนี้คือก้อนเดียวกัน
วัตถุแรกกำเนิดขึ้นมาในสังสารวัฏได้อย่างไรเพราะก่อนจะมีวัตถุแรกก่อนหน้านั้นย่อมต้องว่างเปล่าในสภาวะว่างเปล่าย่อมต้องคงที่เป็นนิรันดร์แต่ความจริงที่เห็นมีวัตถุมากมายมีบางอย่างไม่ถูกต้องในสมการบางอย่างหายไป(วิเคราะห์ตามหลักความน่าจะเป็นไม่ได้กล่าวละเมิดความเชื่อใครทั้งสิ้น)
สิ่งที่พูดมาทั้งหมดนั้นอะครับ มันเป็นระบบเลยนะ ระบบ เวียนว่ายตายเกิด แล้วระบบนี้อะครับมันเกิดมายังไง? ทำไมถึงมีระบบนี้ได้?ต้นต่อมาจากวิญญาณ แล้ววิญญาณละ มันมีจริงหรอ ใครเป็นผู้กำหนดเรื่องวิญญาณ? มันเกิดขึ้นเองหรอ วิญญาณ? ตอบ มาจากสังขานแล้วเจ้าสังขาน คืออะไร มาจากไหนอีก ใครเป็นผู้กำหนดให้มันมาอีก? . . . สุดท้ายมาจาก อวิชา!!!?แล้วอวิชา มันเกิดขึ้นเองหรอ?มาถึง 5 พบอีก มี นรก สวรรค์ โลก แล้วพวกนี้มันมาจากไหน?อยู่ดี ๆ ระบบทั้งหมดทั้งมวลนี้มันจะเกิดขึ้นมาเองหรอ คนบนโลกที่ชั่วช้า ไปตกนรก คนบนโลกที่ทำแต่ความดี ไปสวรรค์ เห็นว่ามันคือระบบ มันเป็นระบบ มันจะเกิดมาเองได้ไง? สรุปทั้งหมดที่ว่ามามันเป็นระบบมาก ผมไม่ได้ว่าสิ่งที่ศาสนาพุทธเชื่อผิดนะครับ แต่ละศาสนามีคำสอนของตัวเอง มีคำภีร์แต่ทั้งหมดนี้ผมคิดว่ามันเกิดขึ้นด้วยตัวมันเองได้เพียงแค่นั้นครับถ้าเป็นศาสนาที่เชื่อพระเจ้า เค้าจะสรุปว่าทุกอย่างมาจากพระเจ้าแล้วจะมีคำถามต่อมาว่า พระเจ้ามาจากไหน พระเจ้ามีจริงหรอ?อย่างเช่นศาสนาอิสลาม ก็มีคัมภีร์ที่ให้พิสูจน์ว่าพระเจ้ามีจริง เมื่อพิสูจน์เสร็จแล้ว เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่เราส่วนของพุทธนั้นผมก็ศึกษาครับ เค้าบอกว่าเชื่อไม่เชื่อ ให้มาพิสูจน์เหมือนกัน แต่จะเป็นการพิสูจน์ที่ไม่เหมือนศาสนาอื่นที่ให้พิสูจน์จากคำภีร์ แต่จะเป็นการพิสูจน์โดยการทำสมาธิ แล้วไปเห็นนู้นเห็นนี้(ขอโทดด้วยครับผมจำไม่ได้ว่าเรียกว่าอะไร) การนั่งสมาธิสูจน์นั้น ความคิดผม มันเหมือนการหลับ แล้วจิตเราที่นึกถึงเรื่องนั้น ๆ ปรุงแต่งมันขึ้นมากลายเป็นความฝันขณะนั่งสมาธิ(กรณีหลับ) หรือกรณีไม่หลับก็จะปรุงแต่งขึ้นมาเหมือนกัน เพราะคนเราขณะปิดตานั้น แสง เงา เรายังรับรู้ได้ ด้วยแสงและเงานี้ ทำให้เราปรุงแต่งมันขึ้นมาด้วยหรือถ้าไม่ใช่การปรุงแต่งจริง ระบบนี้มันก็เป็นระบบที่ผู้สร้างให้เรามาว่าเมื่อหลับตาทำสมาธิจะเห็นสิ่ง ๆ นั้นเมื่อรองสรุปแล้ว คัมภีร์ ที่เป็นคำสอนกลับใช้พิสูจน์ไม่ได้ ต้องทำสมาธิถึงจะพิสูจน์ได้ และจิตปรุงแต่งของเราก็คงไม่มีใครเหมือนกัน แต่ทั้งหมดนี้ผมไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อนะ เพราะในศาสนาอิสลามก็มีบอกไว้ คนชั่วเวลาตายก็จะพบกับมลาอีกะผู้สอบสวน บาป-บุญ ที่หน้ากลัว คนดีก็จะพบกับมาลาอีกะที่หน้ารักใจดี นั่นบ่งบอกว่า รูปลักษณะต่าง ๆ ของเทวทูตมันก็ขึ้นอยู่กับบุคคลนั้นเหมือนกันสรุป จบ ผมเชื่อว่าทุกอย่างมันเป็นระบบเกินไปที่จะเกิดขึ้นเอง ดังนั้นต้องมีผู้ควบคุมระบบ ผู้สร้างระบบ ส่วนผู้นั้นคือใคร แต่ละศาสนาก็ไปหากันเอง
ไก่ กับ ไข่อะไรเกิดก่อนกัน.....สิ่งเหล่าๆนี้..ครูอาจารย์บอกสั้นๆว่า..อย่าไปคิด..เคยดือ คิดทั่งวันทั่งคืน....เกือบบ้าดีกลับมาได้...มันเกินกำลังสติปัญญา ปุถุชนคนธรรมดาเดินดินอย่างเราจริงๆ
ค้นหาอนุภาคที่เล็ก ก่อนดีกว่าใหม มนุษย์ประกอบด้วยรูปและนาม รูปหรืออนุภาคเล็กสุดที่มีเครื่องมือในปจัจุบันเจอคือคว๊าก เล็กกว่าค๊วากกระทั้งไม่เหลือรูปมีแต่นาม นามต้องใช้นามเข้าไปดูจึงจะเห็น(จิตคือนามธรรม) การหาจุดเริ่มของนามหาอย่างไรถึงจะเจอจุดเริ่มและสุดของนามธรรม
จุดเชื่อม ระหว่าง นาม กับ รูป คือ วิญญาณ
ขออนุญาติเสริมนะครับ1.พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสเรื่องภพชาติแรกเลยเพราะไม่มีประโยชน์ และก็ไม่ใช่เรื่องที่ทรงแสดงเรื่องมนุษยในต้นกัปนะครับ ก็เพราะมีกัปที่ถูกทำลายมาก่อนหน้านั้นแล้ว ใน(อัคคัญญสูตร)2.ในปฏิจจสมุปบาท อวิชชาคือความไม่รู้ในธรรมมี 8ประการ มีความไม่รู้ในสัจจะ4 เป็นต้น3.สังขาร ในปฏิจจสมุปบาท ท่านมุ่งหมายเอา เจตนาเจตสิก ที่ประกอบกับจิต มี 6 คือ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร กายสังขาร วจีสังขาร เซ็นสัญญา4.วิญญาณ ในปฏิจจสมุปบาท คือ จิต5.นามรูป ในปฏิจจสมุปบาท นาม คือ เจตสิกขันธ์3 ( เวทนาเจตสิก สัญญาเจตสิก สังขารเจตสิก ) รูป คือ กัมมชรูป (รูปที่เกิดจากกรรม)6.สังขตธรรม คือ สภาวะธรรมที่ถูกปรุงแต่ง มี คน สัตว์ สิ่งของ เป็นต้น , อสังขตธรรม คือ สภาวะธรรมที่ไม่ถูกปรุงแต่ง ได้แก่ พระนิพพาน อย่างเดียวผมดีใจนะที่มีคนหนุ่มสาว สนใจธรรมะมากขึ้น แต่ถ้าจะให้ดีก็ยากให้ศึกษาในสถานที่ที่มีการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ อย่างหลักสูตรพระอภิธรรมบัณฑิต แบบเรียนทางไปรษณีย์ หรือออนไลน์ก็มีนะครับ
ขออนุญาตเรียนถามข้อสงสัยข้อนึงครับ คือ ผมสงสัยว่า จิตเข้ามารับรู้ความรู้สึกจากระบบประสาทในร่างกายได้อย่างไรครับ หรือจิตเข้ามายึดที่ศูนย์รวมประสาทในสมอง แล้วทำไมการยึดของจิตกับร่างกายจึงเหนียวแน่นมาก ต่างจากวิญญาณเข้าสิงร่าง หรือสิงอยู่ตามต้นไม้หรือศาลพระภูมิ คำถามของผมอาจดูประหลาด แต่ผมสงสัยจริงๆครับ และไม่เคยได้รับคำตอบที่ทำให้เข้าใจได้เลยครับ
ภพ-ชาติ คือการเกิดดับของการปรุงแต่ง สังขาร กรรมนั้นจะส่งผลไปสู่ภพภูมิต่างๆ ณ เวลาปัจจุบัน ย้ำว่าเวลาปัจจุบันเท่านั้น หรือตามสุตตันตปิฎกในกรณีที่ยังไม่มีฌาน แต่เมื่อมีฌานแล้วอาจมี 84,000 ได้โดยอัตโนมัติโดยที่ไม่ต้องอ่าน เป็นธรรมทานนะท่านผู้เจริญอ่านแล้วห้ามจำโดยเด็ดขาด อนุโมทนาในการสร้างเหตุอันเป็นกุศล
@@notavailสาธุ กับท่านผู้เจริญ จิต มีความหมายหลายนัยยะ… วิญญาณ คือ ผัสสะ 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ค่อยรับรู้ส่งกระแสประสาทเข้าสู่สมองส่วนต่างๆ ยกตัวอย่าง มีสติเท่ากับมีวิญญาณ ไม่มีสติเท่ากับไม่มีวิญญาณไม่รวมถึงการนอนหลับนะ การนอนหลับเป็นการพักสมองแค่บางส่วนแต่วิญญาณ ผัสสะ 6 ยังทำงานปกติส่วนผู้ที่ไม่มีชีวิตแล้ว เท่ากับไม่มีสติถาวร และเท่ากับไม่มีวิญญาณถาวรในภาษาสื่อสารทางบาลีด้วย น่าจะมองภาพออกนะท่านผู้เจริญของคำว่า วิญญาณ คืออะไรกันแน่จิต มายึดศูนย์รวมประสาทได้อย่างไร.. จิตมีความหมายหลายนัยยะ ถ้าให้อธิบายแบบสั้นๆ จิตเป็นกระแสประสาทก็ได้ จิตเป็นเซลล์รับรู้ความรู้สึกก็ได้ จิตเป็นเซลล์ประสาทก็ได้ จิตเป็นความคิดก็ได้ และจิตเป็นสติก็ได้ แต่ทั้งหมดถูกบรรจุใว้ในสมองหรือ สัญญา(ความจำ) ถ้าเห็นไม่เท่าทันจะเห็นว่านั้นคือ เรา เมื่อมีเราแล้วก็จะมี ตัวเรา(ร่างกาย)ตามมาและจะยึดอีกหลากหลายตามมาน่าจะพอมองภาพออกนะท่านผู้เจริญจริงๆถ้าใช้ ขันธ์5 อธิบายเป็นภาพจะเห็นได้ชัดกว่านี้ แต่ถ้าจะให้เร็วฝึกกรรมฐานให้มีฌานจะเห็นทุกอย่างได้หมดในทุกคำถามโดยไม่ต้องอ่านให้เสียเวลา ตัวอย่าง อ่านฉลากยาแต่ไม่ได้กินยาจะไม่หาย หรือมีคนแนะว่ากินยานี้จะช่วยได้แล้วก็กินยานั้นเลยโดยที่ไม่อ่านฉลากยานั้นคือคำอธิบาย อย่าเชื่อแต่ท้าให้พิสูจน์ ตามพระสูตร กาลามสูตรช่วยตนเองได้แล้ว จะส่งผลช่วยผู้อื่นได้และช่วยสังคมได้ในกาลต่อไป เป็นธรรมทาน อ่านแล้วห้ามจำโดยเด็ดขาด อนุโมทนาในการสร้างเหตุอันเป็นกุศล สาธุ
@@pichayasakunnee5692 ขอบพระคุณมากครับ ขอความกรุณาช่วยแนะนำแนวทางในการเข้าฌานด้วยครับ ไม่ทราบว่าใช้อานาปานสติได้ไหมครับ
@@notavailผมไม่แน่ใจว่าจะสามารถไขข้องใจได้หรือไม่นะครับ แต่จะอธิบายตามที่ศึกษามานะครับจิตในที่นี้หมายถึง สภาพรู้ หรือ นามธรรม ครับโดยธรรมมะจะแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ รูปธรรม กับ นามธรรม ครับรูปธรรม หมายถึง สภาพที่ไม่รู้อะไร เช่น แข็ง สี เสียง เป็นต้นนามธรรม หมายถึง สภาพรู้ ได้แก่ จิต เจตสิก และนิพพาน จิต เป็นสภาพรู้อย่างหนึ่ง เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้ รู้แจ้งในอารมณ์ที่รู้ เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น เป็นต้นเจตสิก เป็นสภาพรู้อย่างหนึ่ง เกิดร่วมกับจิต เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต อาศัยจิตในการเกิด มีหลายประเภท เช่น สัญญาเจตสิก (ความจำ) เวทนาเจตสิก (ความรู้สึก สุข-ทุกข์) เป็นต้นนิพพาน เป็นสภาพรู้อย่างหนึ่ง เป็นสภาพที่ดับจากกิเลส หรืออวิชชาได้สิ้นเชิง เป็นธรรมมะ และเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล หรือตัวตนนอกจากคำว่าจิตแล้ว ยังมีอีกหลายคำที่มีความหมายเหมือนกัน หมายถึงสิ่งเดียวกัน เช่น ใจ มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มนะ มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนวิญญาณธาตุที่เกิดแต่ผัสสะ เป็นต้น ดังปรากฏใน ขุททกนิกาย มหานิทเทส ปสูรสุตตนิทเทสที่ ๘ ข้อ ๓๑๙ ครับดังนั้น จิต หรือ วิญญาณ จึงหมายถึงสิ่งเดียวกันครับ และเพราะว่ามีสภาพรู้เกิดขึ้น จึงมีความยินดี พอใจ จึงยึดถือว่าเป็นเรา เป็นของเรา เป็นเหตุให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น เป็นอัตตาขึ้นมาครับ ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นเพียงสภาพธรรมมะอย่างหนึ่ง ที่เพียงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเท่านั้นครับขออนุโทนาครับ
พระพุทธเจ้า บอกว่า เราและพวกเธอทั้งหลาย ได้ท่องเทียวมาแล้ว ตลอดกาลยืดยาวนาน โดยอุปมาว่า ..มีภิกษุ 4รูป ดูกัปที่ล่วงไปแล้ว ได้ วันละ 100,000 กัป ดูไปจนตลอด100ปี แล้ว ภิกษุ4 รูป รูปละ 100ปี ดูไปแล้ว 14,000,600,000,000 สังสารวัฏ ยัง มีอีก ยังไม่จบ!! พระองค์ ไม่ให้เราไปสนใจ ให้ เรา เร่งความเพียร ปฏิบัติ ให้ถึงที่สุดทุกข์ โดยเร็ว ไม่ได้ให้ไปสนใจ ว่า เรา มาจากไหน ใครสร้าง เรา มา !! ให้รู้ อย่างเดียวว่า นี้คือทุกข์ นี้คือเหตุแห่ง ทุกข์ นี้คือความดับแห่งทุกข์นี้คือทางดำเนิน ให้ถึงความดับแห่งทุกข์ และให้ ทำที่สุดแห่งทุกข์ ของตนๆ เถิด...🙏
ก็คือไม่รู้นะเอง
@@kumakuma5045 จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ เปรียบเหมือนกับว่าต้องไปค้นอ่านหนังสือทั้งห้องสมุดทั่วโลก คุณคิดว่าคุณไหวมั้ย เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่าครับ
เอ้าถ้าเป็นเรื่องโกหกหล่ะ
@@kumakuma5045เหมือนอธิบายทฤษฎีความตั้มให้เด็กอนุบาลฟัง อธิบายไปก็ใร้ประโยชน์คำถามจริงๆคือ จะรู้ไปทำไม
@@ajwa9111 ทุกอย่างเป็นแค่สิ่งปรุงแต่งไม่มีอะไรจริงสักอย่างครับลุง
เป็นการเปลี่ยนแปลงของธาตุธรรมชาติอย่างหนึ่ง ค่อยๆพัฒนาแบบสุ่มไปเรื่อยๆจนกลายเป็นสิ่งต่างๆ เป็นแร่ธาตุ เป็นดวงดาว เป็น โลก และบางส่วนพัฒนาวิวัฒนาการ จนเป็นสิ่งมีชีวิตต่างๆและมีธาตุรู้มาอิงอาศัย เรียนรู้ประสบการณ์ในทุกๆสิ่ง ในทุกการเกิด และการตาย เมื่อประสบการณ์มากจนเกิดความเบื่อหน่าย จนค้นพบ รู้ความจริงของสังขารร่างกาย รู้ความจริงของจิต สิ่งเหล่านี้ ทีเฝ้าสังเกตุอยู่ จึงปล่อยวาง จิตสงบเบาสบาย เมื่อถึงเวลาสุดท้ายของชีวิต ธาตุรู้ก็หลุดออก จากซากศพ แล้วดำรงอยู่อย่างสงบแต่มีประสบการณ์มากมาย เป็นวิชชา ก็จะไม่เพลอไปอิงแอบสังขารมาเกิดอีก
ก็คือตามแบบวิทย์แต่มีธาตุรู้โผล่ขึ้นมา แต่นี่ไม่อยู่ในพระไตรและในคลิบก็ไม่ได้พูดแบบนี้นะ
ตัวธาตุเองก็มีการยึดเหนี่ยวซึ่งกันและกันอยู่ภายในเช่นกันจึงคงรูปร่างคงสภาวะคงสถานะ ให้คุณสมบัติแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับรูปแบบของพันธะที่ยึดติดเกี่ยวพันกันแตกต่างกันไปในรูปแบบที่ต่างกัน อาศัยอยู่ร่วมกันเมื่อเป็นแบบเดียวกันก็คงรูปคงคุณสมบัติเดียวกันอยู่ร่วมกันได้ เมื่อแยกย่อยสลายโครงสร้างลงไปก็ไม่ต่างกันกับธาตุรู้เช่นกัน มันคือสภาวะพึ่งพาอาศัยกันดำรงค์อยู่และแปรเปลี่ยนกลับไปมาอยู่ได้ตลอดเวลาเมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อม ที่สุดก็มาจากสิ่งเดียวกัน มันคือวิวัฒนาการ เรียนรู้ ปรับตัว เปลี่ยนแปลง พัฒนารูปลักษณ์ แล้วก็อาศัยซึ่งกันและกันดำรงค์อยู่ และเป็นไปได้ทั้ง 2 ทาง คือทั้งทางเจริญ ยกระดับขึ้น และทางเสื่อม ต่ำทรามลง ตั้งแต่หน่วยเล็กๆ พึ่งพาอาศัยกันจนกลายเป็นหน่วยที่ใหญ่ขึ้น ทั้งส่วนที่ละเอียดไม่สามารถจับต้องได้จนไปถึงส่วนที่หยาบคงรูปได้ เกาะกลุ่ม รวมกันอยู่ร่วมกัน พึ่งพาอาศัยกัน จนไปถึงระดับอวกาศ บรรยากาศ ดวงดาว ดาราจักร กาแลคซี่ และเอกภพ
ใช่หรือไม่ ก็พิจารณาเอา โดยความรู้ทางโลก และความรู้ทางธรรม ควบคู่กันไปก็จะได้คำตอบของทุกสรรพสิ่งว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ เป็นแนวทางในการค้นหาข้อสรุปต่อไป ว่าจะเป็นจริงไปตามกรอบของความคิดนี้หรือไม่ หลายๆ ทฤษฎี หลายๆ สมมติฐาน เป็นแนวทางของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่จะทำการค้นหาทดลองค้นคว้ากันต่อไปเพื่อหาข้อสรุป รอการพิสูจน์
ดังนั้นคำถามว่ามีชีวิตอยู่เท่าใดในจักรวาลนี้ ก็จะเห็นว่ามันมากมายไม่มีสิ้นสุดเพราะวิวัฒนาการได้ต่อไปเรื่อยๆ หาจุดจบไม่ได้
ชายสิบคนนั่งล้อมวง...คนไหนคือคนแรก มันเปนวงกลมจึงหาจุดเริ่มไม่ได้ครับ
ไปฟังหลวงปู่ดุล ในยูทูป จะได้คำตอบ
ผัสสะคือกะกระทบของอายตนะภายในและภายนอกคือ ตากระทบรูปหูกระทบเสียงฯ
สฬายตนะก็คืออายตนะภายนอกภายใน หรืออินทรีย์ 6 หรืออารมณ์ 6 (ภายนอกภายใน) คือหูตาจมูกลิ้นกายใจ และรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสและธรรมอารมณ์ สฬายตนะไม่ใช่ตาเห็นรูปหูได้ยินเสียงนะครับ อะนนั้นคือผัสสะ เมื่อกระทบกันแล้วจึงถูกเรียกว่าผัสสะ ส่วนปฏิจจสมุปบาทนั้นก็มีทั้งสายเกิดและสายดับ ควรจะรอบคอบมากกว่านี้นะครับในดารแสดงธรรมเพราะอาจทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดได้
การค้นหาชาติแรกมันไร้สาระค้นหาไปก็ไม่พ้นทุกข์ เปรียบเทียบว่าเราหิวข้าวแล้วสั่งผัดกระเพราไข่ดาวมา เราจะกินให้หายหิวหรือเราต้องถามถึงว่าข้าวมาจากไหนใครคนปลูก แม่ค้าชื่ออะไร ไข่ดาวเอามาจาก ไหนเนี้อที่เอามาผัดซื้อจากตลาดไหน🤣
รู้ไปแล้วได้อะไร ต้องรู้ทำไมว่าชาติแรกมาจากไหน สิ่งที่ควรรู้คือณตอนนี้เวลานี้ จะถกเถียงกันให้มันได้อะไรขึ้นมา
มันอยู่ที่ว่าคุณเชื่อรึเปล่า ถ้าไม่เชื่อ ก็คือ จบ พูดกันเรื่องไร้สาระ คนเมากาวคุยกัน , แต่ถ้าคุณเชื่อ มันก็จะเป็นทางที่สามารถทำให้คุณไปสู่นิพพาน เพื่อจะได้ไม่ต้องวนเวียน เกิด ตาย เจอกับความทุกข์ กลายเป็นเหมือนกับ อะไรซักอย่างที่ตั้งอยู่ ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มีตัวตนและไม่มีตัวตนในเวลาเดียวกัน 😁
ส่วนไอเรื่องตอนนี้เวลานี้ เขาก็บอกคุณอยู่ไง ตอนนี้ เพื่อที่จะได้รู้ตอนนี้แล้วจะได้ปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่นิพพาน , เริ่มต้นตั้งแต่ตอนนี้ หรือจะเลือก เวียนว่ายตายเกิดต่อไป ก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละคน
มันก็มีคนที่อยากรู้แล้วเอาไปใช้ประโยชน์แก่ตนเอง อาจจะนำมาปรับการใช้ชีวิต มีเหตุผลอ้างอิง การถกเถียงกันเพื่อให้ได้คำตอบเป็นเรื่องดี ไม่งั้นนักวิทย์มันจะอยากรู้คำตอบของทุกสิ่งบนโลกหรอ อีกอย่างมันไม่ใช่เรื่องไร้สาระเลย
@@khunbird6870 เป็นประโยชน์/ไร้สาระหรือไม่ อยู่ที่มุมมอง แต่ผมไม่เห็นด้วยนะ ถ้าเรื่องที่มาเถียงกันมันไม่ใช่เรื่องจริงตั้งแต่แรก นั่นหมายความว่า ไม่ว่าผลลัพธ์ของการเถียงจะเป็นยังไง มันก็ไม่ใช่เรื่องจริงอยู่วันยังค่ำ , ส่วนใครอยากรู้คำตอบของทุกสิ่งบนโลก? ใช่ ดร.เฟร้าส์ ที่ขายวิญญาณให้ เมฟิสโต้ เพื่อแลกกับความรู้ทั้งมวลบนโลกป่ะ? โลภไปนะ ผมว่า แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เฉพาะบนโลกหรอก เรื่องนิพพานนั้น ระดับจักรวาล
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่ดูfantasyขนาดนี้คือความจริงหรอครับ ผมเชื่อไม่ลง 🙏
เรื่องอจินไตไม่อาจหยั่งรู้ได้ด้วย สุตปัญญาและจินตป้ญญา เว้นภาวนาปัญญา เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ🙏💝
สาธุเด้อ
อธิบายได้ดีครับ เยี่ยมๆ
ฟังเรื่องนี้มานาน เข้าใจชัดกับคลิปนี้ เคลียร์ครับ ขอบคุณมาก
ธรรมที่พระผู้มีพระภาคบรรลุแล้วนี้ เป็นธรรมอันลึก สัตว์อื่นเห็นได้ยาก ยากที่สัตว์อื่นจะรู้ตาม เป็นธรรมระงับและประณีตไม่เป็นวิสัย ที่จะหยั่งลงง่ายๆแห่งความตรึก เป็นของละเอียด เป็นวิสัยรู้ได้เฉพาะบัณฑิต
ก็สัตว์เหล่านี้ มีอาลัยเป็นที่ยินดี ยินดีแล้วในอาลัย เพลิดเพลินแล้วในอาลัย
สําหรับสัตว์ผู้มีอาลัยแล้วเป็นที่ยินดี ยินดีเพลิดเพลินในอาลัยนั้น.
ยากนักที่จะเห็นปฏิจจสมุปบาท อันมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย ยากนักที่จะเห็น ธรรม เป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง คือธรรมอันถอนอุปธิทั้งสิ้น ความสิ้นตัณหา ความคลายกําหนัด ความดับไม่เหลือ และนิพพาน.
ธรรมนี้สัตว์ที่ถูกราคะโทสะรวบรัดแล้ว ไม่รู้ได้โดยง่ายเลย.
สัตว์ที่กําหนัดด้วยราคะ ถูกกลุ่มมืดห่อหุ้มแล้ว จักไม่เห็นธรรมอันให้ถึงที่ทวนกระแส
อันเป็นธรรมละเอียดลึกซึ้งเห็นได้ยากเป็นอณู." ดังนี้.
ต้องขอบคุณมากๆครับ อธิบายได้ดี เห็นภาพชัด ทั้งที่ผมก็พอเข้าใจในหลักธรรมเหล่านี้ที่อธิบาย แต่ก็ต่อภาพแบบนี้ไม่ชัดเจน เข้าใจได้มากขึ้น เลยครับ
ตามปกติ คนที่อธิบายเรื่องพวกนี้ (ธรรมชั้นสูง) มักอธิบายแบบ พุทธที่เอาวิทยาศาสตร์มาปน มันเลยทำให้ไม่แน่ใจว่า มันจะถูกต้องจริงหรือเปล่า มันเหมือนบิดหลักธรรมเข้าหาวิทยาศาสตร์ แต่คลิปนี้ อธิบายธรรมด้วยหลักธรรมเองทั้งหมด แต่เทียบเคียงให้คนที่เข้าใจแบบวิทยาศาสตร์มองเห็นได้ง่าย ทำให้เข้าใจง่าย และน่าเชื่อถือเป็นแนวทางให้ศึกษาตามได้ง่ายครับ ศึกษาตามนะครับ ไม่ใช่เชื่อ เพราะพุทธไม่ได้สอนให้เชื่อเลยเมื่อได้ยินได้ฟังมา สำหรับผม วิทยาศาสตร์เป็นแค่ Subset ของธรรมะ เพราะวิทยาศาสตร์ อธิบายโดยยึดรูปเป็นหลัก ส่วนนามนั้น แทบจะไม่อธิบายหรืออธิบายแบบยัดใส่รูป และไม่มีการพิสูจน์ว่ามันคือสิ่งเดียวกันตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งถ้าพูดตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว ก็คือสมมุติฐานที่ยังไม่ได้พิสูจน์นั่นเอง ยังไม่เป็นทฤษฎีเลยด้วยซ้ำ ถ้าจะกล่าวอ้างทางวิทยาศาสตร์ ต้องกำกับคำว่า "ถ้า" ไว้ด้วยเสมอ แต่เพราะเราโตมากับวิทยาศาสตร์จนคิดติดไปว่า วิทยาศาสตร์คือทุกสิ่ง แต่จริงๆแล้ว ยังมีสิ่งที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ เพราะในทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้พิจารณาครอบคลุมไปถึงส่วนนั้น (เกินขอบเขตการนิยามโดยวิทยาศาสตร์) ซึ่งถ้าพิจารณาแล้ว จะเห็นว่า วิทยาศาสตร์เป็น Subset ของธรรมะ ดังนั้น ทฤษฎีอะไรก็ตาม ที่พยายามอธิบาย Superset ด้วย Subset ในส่วนที่มันไม่ Intersect กัน (คืออยู่นอก Subset นั้นหน่ะแหละ) ย่อมทำไม่ได้ และจะออกมามั่วๆอยู่เสมอ ผมเลยไม่ค่อยเชื่อการอธิบายธรรมะโดยใช้หลักวิทยาศาสตร์ เพราะมันเป็นศาสตร์ที่แคบกว่า เอามาอธิบายได้แค่บางส่วน
ต้องขอบคุณ เจ้าของกระทู้ และ อ.เบียร์มากครับ ที่มาอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่างได้ครับ
โลกวิทู ทรงรู้แจ้งโลก รู้ทุกสรรพสิ่ง แต่ถ้ารู้แล้วพ้นจากทุกข์ไม่ได้พระองค์จะไม่บอกไม่สอน พระองค์สอนแค่เพียงใบไม้เท่ากำมือ พอไปสวรรค์นิพพานได้
น้องมีเจตนาดีและพยามจะอธิบายกฎปฏิจจสมุปบาทหรือขบวนการเวียนว่ายของสัพสัตว์ ในโลกเกิดตายเวียนว่ายมามากกว่าเม็ดทรายในมหาสมุทธสะอีกตามที่พระพุทธเจ้าของพวกเรากล่าวไว้ ถ้าจะเปลียบเทียบแบบวิทยาศาสตร์คนิตศาสตร์ได้ใม ได้ครับ ให้น้องเขียนสมการด้วยการลบ-1-2-3-4เขียนลบไปเลื้อยๆเขียนจนตายมันก็ไม่จบหรอก นั้นแหละการจะตามหาชาติแรก แล้วให้เขียนบวก+1+2+3+4เขียนไปเลื้อยเๆขีบนจนตายมันจบใม นั้นละชาติต่อไป
ขอบพระคุณครับ🙏
สาธุครับ🙏🙏🙏ถูกต้องเลยครับ
สาธุครับ อาจารย์เก่งมาก
อธิบายได้ดีมากเลยครับ สาธุ
ในที่สุดผมก็ได้ยินได้ฟังจนเข้าใจจนได้ ขอบคุณมากกกกกกกกกก
เก่งครับ
ต้องเข้าใจสภาวะของนิพพานก่อน
1. ไม่ปรากฏการเกิด
2. เมื่อตั้งอยู่ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ
3.ไม่ปรากฏการเสื่อม
(อันนี้ขออนุญาติสลับข้อ 2 กับข้อ 3 เพราะในบทความนี้จะไม่พูดถึงข้อ 3 เพื่อความง่ายในการอธิบาย ซึ่งตามพุทธวจนะจะเรียงจาก 1 3 2 )
หลายคนเข้าใจผิดตั้งแต่ข้อ 1 ว่าเมื่อไม่ปรากฏการเกิด = ทุกอย่างว่างเปล่า
แต่ความจริงไม่ใช่
คุณต้องไปดูข้อ 2 คือ มัน "ตั้งอยู่"
คำว่าตั้งอยู่(จากข้อ 2) + ไม่ปรากฏการเกิด(จากข้อ 1) = มันมีสิ่งหนึ่งตั้งอยู่ , คงอยู่ แต่คุณไม่สามารถหาจุดกำเนิดของมันได้ จะย้อนไปด้วยเวลานานเท่าไหร่คุณก็หาจุดเริ่มต้นของมันไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นการลบ 0 ด้วยจำนวน -1 ไปเรื่อย ๆ มันก็จะ -2,-3,-4... หาจุดสิ้นสุดในฝั่งย้อนคืนไม่ได้
ถ้าเราพยายามตั้งคำถามกับจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งเราจะไปตันที่คำว่า "มี" กับ "ไม่มี"
แต่พระพุทธเจ้าให้คำตอบว่า ตรงกลางของคำว่า "มี","ไม่มี" นี้ มีสิ่งที่เรียกว่า "นิพพาน" อยู่
คำว่า "มี" นี้เกิดขึ้นโดย 'อวิชชา' ของ "นิพพาน" แต่คำว่า 'เกิดขึ้นโดย' นี้ ให้คุณลองมอง "นิพพาน" และ "มี" เป็นเส้นคู่ขนาน มันจะยาวขนานกันไปโดยหาจุดกำเนิดไม่ได้ด้วยกันทั้งคู่ หากแต่มันอยู่ขนานกัน แนบชิดติดกัน เกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กัน แนบชิดติดกันด้วยตัญหาอันเกิดจากอวิชชาของ "นิพพาน" แต่พระพุทธเจ้าจะไม่เรียกสภาวะ "นิพพาน" ในขณะที่มีอวิชชาหรือยังแนบติดอยู่กับความ "มี" ว่า "นิพพาน" แต่จะเรียกว่า "สัตว์"
ส่วนคำว่า "ไม่มี" นั้นถูกกั้นด้วย "นิพพาน" ที่อยู่ตรงกลาง อันนี้คือเราสมมติให้เห็นเป็นภาพโดยใช้ระบบสมมติ อาจจะไม่ตรงเป๊ะ 100%
ทว่าสิ่งที่ควรรู้คือความ "ไม่มี"หรือความสูญเปล่าจากทุกสิ่ง นั้น ไม่มีอยู่จริง!
เพราะความ "ไม่มี" นั้นไม่สามารถปรากฏขึ้นได้
เพราะมันคือความ "ไม่มี" มันจึงไม่มี
เพราะการมีอยู่ของความ "มี"
"ความไม่มี" มันจึงไม่มี
เพราะการมีอยู่ของ"นิพพาน"
"ความไม่มี" มันจึงไม่มี
พระพุทธเจ้าจึงสอนแต่เรื่องของ "นิพพาน"และ"ความมี" ปฏิเสธ"ความไม่มี" หรือความ "สูญเปล่าจากทุกสิ่ง"
[ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว *ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี*
เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว *ความมีในโลก ย่อมไม่มี*]
อันนี้อ่านมาใช้ไม๊
@@tongchaiman ความ มี กับ ไม่มี ผมคิดได้เองตั้งแต่วัยรุ่นเพราะเรียนสายวิทย์มา ช่วงนั้นจะคิดเรื่องพวกนี้ฟุ้งไปหมดแต่ก็ตันแค่ตรงนั้น ไม่เข้าใจเรื่องพุทธศาสนาเท่าไหร่
มาเข้าใจและรู้จักว่านิพพานกับความไม่มีนั้นต่างกันอีกทีก็ตอนศึกษาพุทธวจนจากพระอาจารย์คึกฤทธิ์เมื่อ 5-6 ปีก่อน
ช่วงหนึ่งเคยศึกษาเรื่อง พระเจ้า ของศาสนาอิสลาม+คริส กับ นิพพาน ปรากฏว่ามีสถานะคล้ายกันมาก เรียกว่าแทบจะเหมือนหรือลอกกันมาเลยคือ ไร้มิติ ไร้ตัวตนสมมติ ไร้เพศ เป็นอนันต์ ไม่มีจุดกำเนิดและจุดสิ้นสุด ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งได้
ผมมองว่าทฤษฏีพวกนี้หาอ่านหรือศึกษาได้จากหลายแหล่ง แต่กับดักที่ทำให้เจอทางตันเยอะพอสมควรจากกำแพงความคิดและคนที่อธิบายเรื่องพวกนี้ได้อย่างแนบเนียนหาข้อโต้แย้งได้ยาก ผมยกเครดิตให้พระอาจารย์คึกฤทธิ์ แม้จะมีหลายมุมที่ตอบไม่ตรงคำถามบ้างแต่จากที่เคยฟังมาหลายอาจารย์ ผมได้ทฤษฏีนี้จากพระอาจารย์คึกฤทธิ์นี่แหละ
@NotCYP อืม...ผมเห็นด้วยที่บอกว่า
นิพพาน กับ การไปอยู่กับพระเจ้า สภาวะนิรันต์ มันคืออย่างเดียวกัน
การระลึกถึงประเจ้า คือรูปการกำหนดจิตของพุทธ
@@tongchaiman อิสลาม กับ คริสต์ ยิว พรามณ์ฮินดู ซิกส์ โซโรอัสเตอร์ เต๋า ฯ เขา ก๋สอนให้ละตัวตนกำหนดจิตถึงพระเจ้า เหมือนกัน _เป้าหมายเดียวกัน ต่างกันที่คำสอนและวิธีการ ฯ เพื่อเหมาะสมกับจริตของแต่ละคน และสภาพบริบทของสังคม ฯ
@@tongchaimanไม่ได้ไปอยู่กับพระเจ้าครับ พระเจ้าอยู่แค่บนสวรรค์นิพพานอยู่สูงกว่านั้น อยู่อีกมิติหนึ่งเลยอยู่เหนือนอกระบบที่พระเจ้าสร้างมาด้วยซ้ำ
มันไม่มีภพมีชาติ คนแปลผิดเหมารวม มันมีแต่เวียนว่ายตายเกิดของเรื่องราวต่างๆของแต่ละคนแบบไม่สิ้นสุด วนไปวนมา บางคนก็เจอทุกข์กรรมเรื่องเดิมๆซ้ำๆเค้าเรียกว่าการเวียนว่ายตายเกิดของกรรมของทุกข์เกิดขึ้นแล้วดับไปวนๆๆไปเรื่อยๆถ้าเราดับมันได้เราก็นิพานรอดพ้นจากวังวนของทุกข์ถึงเจอก็อยู่กับมันได้แค่นั้น ตายครั้งเดียวจิตรวิญญาณไม่มีเกิดใหม่ ถ้ามีคือเริ่มเป็นเรื่องงมงายละคนแปลผิดเลยวนอยู่นั่นหละสุดท้ายก็มีภพมีชาติมีกรรมมีเวรมีการเกิดจากกรรมอีก นั่นแหละคือการหลงทาง😊😊😊😊
ผมเคยศึกษาเรื่องของโอฆะ 4 มี ทิฏฐิโอฆะ ภะวะโอฆะ กามะโอฆะ เเละอวิชชาโอฆะ มีบรรยายไว้อย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประกาศการข้ามทิฏฐิโอฆะของโสดาปฏิมรรค ด้วยความว่า บุคคลย่อมข้ามโอฆะ คือทิฏฐิโอฆะด้วยศรัทธา ก็เพราะเหตุที่ผู้เป็นพระโสดาบัน ย่อมไม่ประมาท ย่อมอบรมกุศลธรรมทั้งหลายให้ติดต่อกันโดยไม่ประมาท ยินดีเเล้วในสกิทาคามีมรรค จึงข้ามภวโอฆะอันเป็นโสดาปฏิมรรค ยังข้ามไม่ได้ กลับมาสู่โลกนี้คราวเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์จึงทรงประกาศการข้ามภวะโอฆะด้วยสกทาคามีมรรค เพราะที่พระสกทาคามียินดีในมรรคที่ 3 คือ อนาคามีมรรค อาศัยความเพียรจึงสามารถล่วงทุกข์อันเป็นที่ตั้งเเห่งกามโอฆะ อันพระอนาคามีมรรคยังละไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงประกาศการข้ามกามโอฆะ ด้วยอนาคามีมรรค เเละเพราะเหตุที่พระอนาคามียินดีในมรรคที่ 4 อันบริสุทธิ์จากกิเลสโดยส่วนเดียว ด้วยปัญญาบริสุทธิ์ ปราศจากเปือกตมคือกาม ละมนทินอันละเอียดคือ อวิชชาโอฆะ อันอนาคามีมรรคยังละไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประกาศการข้ามอวิชชาโอฆะด้วยอรหันต์มรรค ด้วยบทว่า ปัญญาญะ ปะริสุทชะติ. คือ บุคคลจะบริสุทธิ์ได้ ด้วยปัญญา
ผมหาคำตอบนี้มาซักพักใหญ่ๆแล้วครับ พอเจออันนี่กระจ่างเลยครับ
กระจ่างเลยครับ เราไม่ใช่มนุษย์เหมือนเราเกิดมาแล้วต้องเข้าอนุบาลยันมหาวิทยาลัยจนจบดอกเตอร์เป็นศาสดาจารย์ดอกเตอร์ จบกิจ กลับไปสู่ความว่างเปล่าแต่เป็นความว่างเปล่าที่รู้แล้ว
กระจ่างเลยใช่ไหมครับ ผมไม่เข้าใจ ช่วยบอกสรุปแบบสั้นๆ ได้ไหมครับ ฟังแล้วยังไม่เข้าใจ
@@youknowwhoamI786 ชาติแรกมาจากอวิชชา สัตว์ทั้งหลายมีอวิชชา สัตว์ทั้งหลายจึงมีชาติแรก แสดงว่าเราทั้งหลายมีแต่แรกแล้ว เป็นอมตะ ไม่มีจุดเริ่ม ไม่มีจุดจบ ไม่มีใครสร้าง แต่เพราะมีอวิชชา จึงไม่อมตะ เบื้องต้นแห่งอวิชชาย่อมไม่ปรากฏ
ขอบคุณครับ❤
นี่สิของแทร่ ง่าย สนุก เข้าใจชัดแจ้งดีครับ
เข้าใจยังไงครับ คลุมเครือมากเลย สุดท้ายตอบว่า เกิดจากความไม่รู้
@@คริสคริสเตียนก็คือไม่รู้ไงครับ ต่อให้หาคำตอบให้ตายยังไงก็ไม่มีใครหาได้ ถ้าคุณบอกว่าพระเจ้าสร้างแล้วพระเจ้าเกิดจากความว่างเปล่าได้ยังไงในเมื่อคนที่เชื่อในพระเจ้าบอกว่าไม่มีอะไรเกิดจากความว่างเปล่า
@@คริสคริสเตียนไม่คลุมเครือ แต่ชัดเจนว่า เกิดจากความไม่รู้ แสดงว่าเรามีแต่แรก อมตะ ไม่มีจุดเริ่ม ไม่มีจุดจบ
@@Rockman-qo7zy เออ ครับ อันนี้น่าสนใจ
ดีมากเลยคับเข้าใจง่าย
โลกเรามีทั้งหมด7โลกๆเกิดมาทั้งหมด5ครั้งแล้ว เราอยู่โลกที่5 ยุคที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธเจ้าเกิดมาทั้งหมด5โลก หรือ5ครั้งเหลืออีก2โลก ถ้าโลกที่5ปัจจุบันเราแตกสลายหายไปโลกที่6ก็จะบังเกิดขึ้น ยุคนี้คนคนสูง10cm.คนยุคนี้โหดร้ายมาก
อย่าไปสงสัยอะไรเลยว่ามนุษย์เกิดยังไง เป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว แก้ไขไม่ได้สงสัยไปมีแต่ฟุ้งซ่าน อยู่กับปัจจุบันจะมีประโยชน์ และโสดาบันนั้นมันวัดว่าใครจะถึงหรือไม่ อยู่ที่มรรคจิตและผลจิต เพราะในขณะถึงอริยมรรค จิตจะสรุปปัญญาที่ได้รู้ได้เห็นในขณะกิริยาที่จิตเข้าไปเกิดมรรคนั่นแหละ หลังจากนั้นจิตจะสัมผัสกระแสนิพพานในขณะจิตเกิดอริยะผล เรียกบรรลุอริยะมรรค และอริยะผล มรรคและผลไม่ได้เกิดพร้อมกันเกิดคนละวาระแต่ต่อกันทันที
การถามว่าชาติแรกคืออะไรในศาสนาพุทธไม่ต่างกับคำถามว่าพระเจ้าเกิดขึ้นมาได้ยังไง ใครสร้างพระเจ้า ในมุมศาสนาพุทธเราเรียกคำถามนี้ว่าอจินไตย คือเป็นความรู้ที่พ้นวิสัย รู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์กับมรรคผล นิพพาน
สำหรับพุทธ ใช่ครับคืออจินไตย แต่อิสลามตอบได้ครับ เข้าใจง่ายกว่าคนในคลิบอธิบายอีก
ทุกสรรพสิ่งใน จักรวาล มีจุดเริ่มต้น จากบิ๊กแบง อันนี้เป็นวิทยาศาสตร์นะครับ ไม่มีใครในจักรวาลนี้เถียงข้อเท็จจริงนี้ได้ ต่อมาชาวพุทธ จะถามว่า ใครสร้างจักรวาล อิสลามจะตอบว่า พระเจ้าสร้างจักรวาล ต่อมาชาวพุทธจะถามว่า ใครสร้างพระเจ้า ตอนนี้คือประเด็นนะครับ สมมุติว่า จักรวาลนี้คือ การยิงปืนของทหาร แต่การจะยิงปืนได้ ต้องได้รับคำสั่งจากคนด้านหลังก่อนคือผู้บัญชาคำสั่งก่อนยิง แต่ก่อนที่จะสั่งได้ต้องได้รับคำสั่งจากคนด้านหลังก่อน แล้วก็ย้อนไปด้านหลังทหารเรื่อยๆๆ ประเด็นนะ คำถามคือ ทหารคนนี้จะได้ยิงปืนไหม แน่นอนคำตอบคือไม่ได้ยิงปืน เพราะมันย้อนหลังไม่สิ้นสุด เช่นเดียวกันกับจักรวาล ที่ตอนนี้ม้นเกิดขึ้นแล้ว แปลว่ากระสุนมันได้ถูกยิงออกมาแล้ว แล้วต้องมีคนสั่งให้ยิงด้วย แปลว่า พระเจ้ามีจริง จะย้อนหลังใครสร้างพระเจ้ายังไงก็ต้องมีพระเจ้าที่เริ่มต้น เข้าใจง่ายมากกว่าคนในคลิบอธิบายอีก จะย้อนหลังเท่าไรก็ได้ ยังไงก็เจอพระเจ้าสักองค์ที่สร้าง เพราะกระสุนมันยิงออกมาแล้ว แต่อิสลามบอกแล้ว ว่ามีพระเจ้าองค์เดียวที่สร้าง งงก็บอกมานะครับ สงสัยก็ถาม
เป็นคำถามแบบอินฟินิตี่ ตอบไม่จบไม่สิ่น
@@youknowwhoamI786ไม่ใช่ครับ ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลไม่มีจุดเริ่ม ไม่มีจุดจบ และบิ๊กแบงไม่ใช่จุดเริ่มของทุกสรรพสิ่งครับ เพราะฉะนั้นพระเจ้าไม่ได้สร้างอย่างแน่นอน
@@Rockman-qo7zy แค่อยากพูดหรอ จะเถียงว่างั้น เพื่ออะไร หลอกตัวเองและคนอื่น ใครๆ เขาก็รู้แล้วว่าอะไรคือความจริง จะเถียงเพื่ออะไร พูดเป็นเด็กเลย
เปรียบเทียบกับบ้าน ที่ผู้ใหญ่ บอกเด็กๆว่า บ้านมีจุดเริ่มต้น แสดงว่าต้องมีคนสร้าง แต่เด็กน้อย กลับพูดว่า บ้านไม่มีคนสร้างและไม่มีมีวันพังแน่นอน เพราะฉะนั้นบ้านไม่มีคนสร้าง อะไรเนี่ย มันไร้สาระ
จริงๆ ก็มีคนมาตอบแล้วนะครับเรื่องชาติแรก เป็นอาจารย์ผู้หญิงและมันก็สอดคล้องกับหลักอนิจจัง หลักความไม่แน่นอนของธรรมชาติ ก็คือโดยปกติทั่วไปสรรพสัตว์ส่วนใหญ่เกิดมาพร้อมมีกรรม(กรรม>0) มันก็ต้องมีสรรพสัตว์ที่เกิดมา(หรือเคยเกิดมา)แบบไม่มีกรรมเกิดขึ้นมา(กรรม=0) อันนี้ตามหลักอนิจจัง
ส่วนสัตว์ที่เกิดมาแบบไม่มีกรรมมันคือพวกใหน ต้องนึกถึง วิวัฒนนาการของสิ่งมีชีวิตเริ่มจากเป็นสัตว์เซลล์เดียว (ไวรัสทำให้คนตายไม่ถือว่าเป็นกรรม) จนกลายมาเป็นพวกมีสมองทำงานสลับซับซ้อน มันต้องมีช่วงรอยต่อของวิวัฒนาการ ที่เกิดมามีสมองที่ทำงานแบบง่ายๆ โดยไร้เจตนา (ไม่เจตนาคือไม่มีกรรม กรรม=0) แต่สมองมันก็พร้อมที่จะทำงานแบบมีเจตนาถ้าได้แร่ธาตุหรือสารเคมีบางอย่างเข้าสู่สมอง แล้วมันไปกินอะไรบางอย่าง สารเคมีเข้าสู่สมอง ทำให้สมองมันทำงานได้แบบมีเจตนา หลังจากนี้มันทำอะไร อันนั้นก็คือกรรมแรกของสัตว์ตัวนี้ และชาติแรกของสัตว์ตัวนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว
เราไม่ได้มาจาก อสังขตะ ครับ เรามาจาก สังขตะ เลย คำว่า สิ่งๆหนึ่ง เป็นคำแต่งใหม่ ที่มีความเห็นผิด ว่ามีสิ่งที่เที่ยง ไม่ตาย เป็นอมตะ ค่อยเวียนว่ายตายเกิดครับ อวิชชา ตัณหา คือ สังขตะ ครับ การเวียนว่ายตายเกิด เกิดจาก การเกิดดับของขันธ์ 5 หรือ จิต ที่ยังประกอบไปด้วย ราคะ โทสะ โมหะ อยู่ เท่านั้น ไม่มีอะไรนอกขันธ์ 5 มายึดขันธ์ 5 อีกทีครับ ( ไม่มีคนขับรถครับ มีแต่รถที่มันขับได้เองอัตโนมัติ แม้แต่ AI ก็ยังไม่เห็นจำเป็นต้องมีอะไรมาสิง แต่มันสามารถประมวลผลคิดได้เองว่า ต้องทำอะไรต่อ ต้องตอบอะไรต่อ จากการรับรู้ทาง Input ต่างๆครับ ขันธ์ 5 ก็เช่นกัน ) หวังว่าข้อความนี้ จะมีประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านนะครับ
ศึกษาธรรมไม่ดีทิฏฐิเข้าอาศัยเจอกิเลสเล่นงาน มารคือกิเลส กิเลสแทรกแซงได้หมด เพราะจำเอาสติปัญญาไม่เกิดกิเลสไม่กลัว
คิดกันได้เอาสัตว์มาสิง ธาตุขันธ5กอง
ทุกๆอย่างไม่เว้นเป็นเพียงรูปและนามธรรม บวกนิพพานธาตุ
@@Nopphadolthongwilai ผมเหนื่อยมจจริงๆ ทำไมคำสอนผิดๆคนถึงตั้งใจฟังกันนัก ทั้งที่คำสอนที่ถูกก็มีอยู่ก่อนนานแล้ว
ทิฏฐิของคน กลัวการดับสูญ ก็จะคะย้ันคะยอ ให้มีตัวตนอมตะให้ได้
ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ...
สรรพสิ่ง ไม่มีตัวตน ไม่มีอยู่จริง เป็นแค่สิ่งสมมุติ หาความเป็นตัวตนของสิ่งนั้นไม่ได้ เพราะอวิชชา คือความไม่รู้จึงหลงหยึดมั่นว่า มันมีตัวตน มันมีอยู่จริง จึงคิดว่ามีผู้สร้างสิ่งเหล่านี้.
เข้าใจครับ แล้วชาติแรกเกิดได้ไงครับ
@youknowwhoamI786 ชาติแรกไม่ปรากฏว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ที่ไหน จุดไหน ตรงไหน เพราะมจนเกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน จึงหาจุดเริ่มต้น จุดสิ้นสุดไม่ได้ แต่เหตุนั้นมี คืออวิชชา เพราะอวิชชา คือความไม่รู้ จึงหลงหยึดมั่นว่ามันมีตัวตน...
จริงสรรพสิ่งไม่มีตัวตน จึงยังวนเวียนในความหยึดมั่นนี้อยู่..
เปรียบเหมือนความฝัน เราไม่รู้หรอกว่าเราเริ่มฝันเมื่อไหร่ วินาที่ ที่เท่าไหร่ เวลาไหน ยาวนานแค่ไหน เพราะความไม่รู้ ในความเป็นจริงว่าฝันไม่มีตัวตน จึงหลงคิดว่าความฝัน คือความจริง..จึงหลงหยึดมั่นวนเวียนอยู่ในความฝันนั้น ไม่อยากตื่น..เพราะไม่รู้ว่ามันตื่นได้..เหตุแห่งความฝันนั้นคืออวิชชา ความไม่รู้ ว่าตัวเองฝันไป
@@Janjironin เข้าใจครับ ว่าไม่รู้ว่าฝันแรกเมื่อไร ไม่รู้ว่าชาติแรกเมื่อไร เพราะย้อนไม่ไหว มันนานมาก คำตอบคือ อจินไตยใช่ไหมครับ พระพุทธเจ้ามีพลังอำนาจมากแค่ไหนก็ไม่รู้ว่าชาติแรกเกิดได้ยังไง ชาติแรกคืออะไรถูกไหมครับ
คือจะสื่อว่า อย่าไปยืดหมั่น กับความไม่รู้ ใช่ไหมครับ ถ้าใครถามก็ตอบไปว่า ขนาดพระพุทธเจ้ายังไม่รู้เลย จงอย่าไปหาคำตอบ อย่าไปรู้เลย เสียเวลา ประมาณนี้ แต่ศาสนาอื่นมีคำตอบเรื่องนี้
@@youknowwhoamI786ชาติแรกไม่ปรากฏ สาเหตุคืออวิชชา...คือความไม่รู้ ที่มาหลงหยึดเมื่อไหรไม่ปรากฏ จึงหาชาติแรกไม่ได้ แต่สาเหตุคืออวิชชา..
เช่นเดียวกันเราจะไปนิพพาน คือต้องมีวิชา คือการรู้ เห็นตามความเป็นจริงของธรรมชาติของไตรลักษณ์ ต้องฝึกตัวรู้ แต่เราไม่รู้หรอกว่าวิชา จะเกิดขึ้นตอนไหน จะฝึกถึงเมื่อไหร่ แต่สาเหตุแห่งนิพพาน คือวิชา..
ก็เหมือนคนมีความเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง แต่ไม่รู้ว่าพระเจ้าเริ่มแรก สร้างนั้นวินาทีแรก สร้างตรงไหน จุดไหน มุมไหน ทิศไหน ของจักรวาล อะไรก่อนอะไรหลัง..นี้จึงเรียกว่า ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ แต่เหตุนั้นมีคือพระเจ้า...แต่ในศาสนาพุทธ เหตุคืออวิชชา..คือความไม่รู้ว่า (ฝั่งที่เราอยู่นี้ไม่มีตัวตน ไม่รู้ว่าเราฝันไป..ไม่รู้ว่าสรรพสิ่งไม่มีอยู่จริง เป็นแต่สิ่งที่เราสมมุติขึ้นมา ด้วยอวิชชา คือความไม่รู้)
@@Janjironin ผมสรุปได้ถูกต้องแล้วครับ สั้นๆที่สุด คือ อวิชชา ศาสนาพุทธ พยายามจะตอบ คำถามแล้วคนฟังคำตอบบางคนจะงงมาก เพราะคำตอบสั้นๆ คือพระพุทธเจ้า ที่มีความรู้และอิทธิปาฏิหารย์มากที่สุดในสากลโลก ก็ให้คำตอบนี้ได้ว่า อวิชชา แค่นั้นเลย ผมเข้าใจถูกใช่ไหมครับ ท่านไม่รู้ ชาติแรกเกิดยังไง ถูกไหมครับ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว คุณอธิบายดีมาก ใครถามก็ตอบได้เลย ว่า ศาสนาพุทธไม่รู้ ผมเข้าใจถูกใช่ไหมครับ
ส่วนเรื่องคนเชื่อพระเจ้า เดียวมาต่อครีับ
ไม่สามารถอธิบายให้ได้ข้อสรุปได้หรอกครับ เพราะมันจะวน ๆ เป็นวงกลม แล้วก็ย้อนแย้งในตัวเอง บอกว่าจุดเริ่มต้นมาจากไหน มาจากอวิชชา แล้วก่อนมีอวิชชาเป็นสภาวะอะไรได้ ก็ต้องวิมุตติญาณทัศนะที่พูดมาในคลิปนั่นแหละ แล้วพอมาเกิดตายวนเวียน สูญเสียอวิชชาก็นิพพาน กลับไปเป็นวิมุตติญาณทัศนะ แล้วก็วนไปจุดเริ่มต้นอีก พอมีอวิชชาก็ต้องมามีความเกิดอีก ทำให้คำว่านิพพานที่กล่าวกันจนติดหูว่าจะไม่เกิดอีกแล้วก็เลยกลายเป็นว่ามาเกิดอีกเฉยเลย
หากจะสรุปว่าเราเป็นกลุ่มก้อนพลังงานหรือสสาร ที่มาวนเวียนแปรสภาพเกิดแล้วตาย ตายแล้วก็เกิด เกิดบ้าง ไม่เกิดบ้าง ยังพอฟังเข้าใจง่ายกว่า
ลพ.สดท่านเล่าว่าท่านนั่งสมาทิเข้าถึงพระธรรมกายและได้ถามหลายๆพระองเรื่องชาติแนกของมนุดพระองตอบว่าพระธรรมกายทึีนั่งเข้านิโรทสมาบัติในพระนิพพานนี้ต่า้ข้าชานเพื่อย้อนไปดุอดีตของตัวว่าเกิดมาจากอะไรแต่จนบัดนี้(2499)ปีที่ท่านเล่าไว้ยังไม่มีพระพุทเจ้าองคไดไปสุดสายทำจนสุดทางที่จะเจอชาติแรกที่เกิดขึนของมนุดเลยคะหาอ่านได้ในคำสอนลพ.วุัดปากน้ำคะ
อยากให้คนที่บรรลุแล้ว
ขั้นไหนก็ได้ โสดาบันก็ได้
ออกมาสอนเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์
เอาเถิดความตายเป็นสิ่งที่ทุกคนที่เกิดมาต้องเผชิญ สภาวะหลังความตายจะเป็นเช่นไร จะมีหรือไม่มีสิ่งใด ก็เป็นเรื่องของบุคคลที่จะรับรู้ได้ด้วยตนเอง ใครมีคติประจำใจอย่างไรก็ทำของตนไป คำตอบจะเป็นอย่างไรเมื่อเวลานั้นมาถึงจะรู้ด้วยตัวเอง
น้อง สุดยอดมากครับ
ผมยังสงสัย ถ้าเคยอยู่อสังขตธาตุหรือ นิพพานน่าคงสภาพนั้นตลอดไป เพราะไม่มีการเกิดก็จบไม่น่าจะมีอวิชชาและหลงมาสู่สังขตธาตุนี้ได้อีกเลย ผมคิดสัตว์ทุกชีวิตไม่เคยอยู่ในสภาวะนิพพานมาก่อนเลย
จิตนั้น,จิตเดิมแท้,เต๋า,พรหม,พระเจ้า,ซอส แล้วแต่จะเรียก แต่ก็คือสิ่งเดียวกันที่จินตนาการทุกสิ่งขึ้นมา
ในน้ำหนึ่งหยดมีจักรวาลหาที่สิ้นสุดไม่ได้จะกำหนดว่ามีเท่าไหร่ไม่ได้ การเกิดในพุทธศาสนาหมายถึงเกิดทางภูมิจิตเมื่อมีเกิดก็มีตายเมื่อตายก็กับมาเกิด การที่จะหยุดการตายได้คือไม่ต้องเกิด ไม่อยากเกิด ต้องสร้างเหตุให้เป็นกลาง รู้ได้คิดได้แต่ไม่ตาม การเกิดอยู่ในความรู้ มันก็ดับ ท้าหลงเกิดรู้ไม่ทันมันก็ดับช้าแล้วแต่ความยืดในความหลง หากมีแต่ความรู้ไม่หลงเลยมันก็ไม่เกิดมีแต่เรียนรู้แล้ววาง องค์ประกอบไม่ครบไม่นับว่าเป็นการเกิดเรียกว่าเรียนรู้ จึงผลจากการเกิด จึงอยู่ในสภาวะ ที่มีแต่ไม่มีเหมือนไฟที่ดับไปแล้วไฟแนนซ์มันหายไปไหน
แล้วชาติแรกเกิดได้ไงครับ
ผมเคยได้ยินมาว่าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาแล้วมากกว่าเม็ดทรายในมหาสมุทร
บางอย่างเชื่อได้บางอย่างเชื่อไม่ได้คับ 😅😅 ผมชอบศึกษาพุทธประวัติแบบ โบราณคดีและประวัติศาสตร์ เข้าใจอะไรหลายอย่างเลย เรื่องพลังวิเศษตัดออกไปได้เลย น่าศรัทธามาก
ถ้าเวียนว่าย ตายเกิด วนไม่มีที่สิ้นสุดแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่ จะได้เข้าสวรรค์ หรือเข้านรก เพราะ ตายแล้ว ก็เกิด เกิดแล้วก็ตาย แล้วคนที่ทำดี จะได้อะไรตอบแทน คนทำชั่ว จะได้อะไรตอบแทน เพราะ ศาสนาพุทธ เชื่อ เรื่อง นรก สวรรค์ แต่กลับ มีแนวคิด เวียนว่าย ตายเกิด ไม่จบสิ้น มันดูย้อนแย้งมากๆ และเมื่อไหร่ จะถูกสอบสวน กรรมดี กรรมชั่ว เมื่อไหร่ จะได้เข้าสวรรค์ หรือ ลงนรก
ผมไม่ได้ว่าพระพุทธเจ้าผิดนะ แต่คนอธิบายคำพูดพระพุทธเจ้านั้นแหละ อาจจะผิด และสร้างความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนไปจากความจริง
คุณเข้าใจผิดเอง คำว่าเวียนว่ายตายเกิดคือ เวียนเกิดทุกภพภูมินั่นแหล่ะครับ ไม่ใช่เกิดเป็นมนุษย์อย่างเดียว แต่เกิดเวียนไปเรื่อยๆ ตามจิตสุดท้ายก่อนตาย ว่าจะไปเป็นอะไร ถ้าจิตสุดท้ายคิดกุศล ก็ไปเกิดเป็นเทวดา ถ้าดีกว่านั้น ก็เป็น พรหม แต่เทวดา พรหม ก็มีอายุขัย พอตาย ก็ไปเกิดใหม่เป็นอะไรต่อ อีก เป็นเทวดาแล้วหลงระเริง คิดแต่สนุกรื่นเริง พอถึงเวลาตาย จิตสุดท้ายเกิดความกลัวตาย ก็ไปเกิด เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือดีหน่อย ก็มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็วนอยู่แบบนี้ สลับไปมา ตามแต่จิตสุดท้าย ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันชีวิตได้ ยิ่งถ้าเราไม่รู้คำสอน ไม่มีการเตรียมตัว เราก็ไปมั่วเรื่อยๆ เจอทุกข์เจอสุข วนไป พระพุทธเจ้าเลย ค้นหาทางออกจากวงจรนี้ แล้วมาบอกวิธีออกจาก การเวียนว่ายตายเกิด ซึ่ง มันก็คงไม่ตรงกับหลักศาสนาอื่น แต่มันไม่ได้ย้อนแยง ย้อนแยง เพราะคุณเข้าใจผิดเอง
ผมคน พุทธ สำหรับผม เชื่อเรื่อง เวรกรรมมีจริง เชื่อเรื่องผี อมนุษย์มีจริง !!
*แต่ไม่เชื่อเรื่อง การเวียนว่ายตายเกิด ตายคือจบ ดับ แค่นั้น เหมือนสัตว์โลกทุกชนิด (ท่าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง ท่าจริงเราต้องจำชาติที่ผ่านมาได้ว่าเราคือใคร มันถึงจะ เมกเซ้น)ไม่เชื่อนรกสวรรค์ (แต่ไม่ลบหลู่)มัน คือกุศโลบายให้คนทำความดี แค่นั้น😊😊
หากการจำได้หมายรู้ว่าเราคือใคร เช่น ก่อนเกิดเป็นคนชาตินี้ เป็น หมาพิการ,เป็นหนอนกินของเน่า,เป็นฆาตกรคนในครอบครัวตัวเอง หรืออื่นๆ เอาป็นว่าแค่จำได้ 3 ชาติ พอ คุณยังอยากจำได้หรือไม่
การที่จะระลึกชาติได้ทุกคนสามารถทำได้นะ
ท่านจะระลึกชาติยังไง เอาชาตินี้ตอนท่านคลอดออกมา ท่านจำได้หรือไม่เจอหน้าใครเป็นคนแรก
น้องอธิบายได้ดีครับ อนุโมทนาด้วย
มันไรสาระครับทุกชาติคือกรรมมีชาติที่ดีกับชาติไม่ดีครับอดีต ปัจจุบัน อนาคต ชาติอดีต ชาติอนาคต ชาติปัจจุบัน
พยายามหาเหตุผล แต่ความจริงก็วนอยู่ในเขาวงกต 😅😅😅
ผมว่าคุณมีเจตนาดีที่จะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ แต่ยังไงๆก้อยากให้ศึกษาเพิ่มหลายๆที่ครับ ด้วยความปรารถณา
พระพุทธเจ้าบอก ที่สุดเบื้องต้นของอวิชชาย่อมไม่ปรากฏ แต่ก่อนนั้นอวิชชาไม่ได้มี มันมีมาในภายหลัง แต่มีอาหารที่หล่อเลี้ยงอวิชชา คือ นิวรณ์ 5
และความไม่รู้ในอริยสัจทั้ง 4 นี้ เราเรียกว่า อวิชชา พระพุทธเจ้าตรัสไว้🙏
เงื่อนต้นของอาหารทั้งหมดที่หล่อเลี้ยงความไม่รู้ คือ การไม่คบสัปบุรุษ นั้นเอง เลยไม่มีความศรัทธา ไม่ได้ยินได้ฟังธรรม เป็นต้น
ต้องไปอ่านพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้ากล่าวไว้แล้วว่ามนุษย์เกิดขึ้นมาได้อย่างไร พอจำได้เลาๆว่าโลกที่มีแต่น้ำแล้วค่อยๆเกิดเป็นง้วนดินซึ่งแรกเริ่มมีลักษณะคล้ายเนยข้นมีกลิ่นหอมหวานมาก จิตของสัตว์ต่างๆมีอยู่ทั่วไปแต่ไม่มีกายหยาบ ได้กลิ่นง้วนดินจึงเกิดกิเลสอยากชิมรสชาดของง้วนดิน แล้วเกิดติดใจ เกิดกิเลสตัณหาความอยากได้ เกิดอุปาทานยึดมั่นอยากเป็นเจ้าของ กายที่เป็นกายทิพย์ค่อยๆเปลี่ยนแปลงเป็นกายหยาบให้เห็นรูปร่าง ต่อมากิเลสที่มีมากขึ้นเกิดความรู้สึกอยากครอบครองเป็นเจ้าของมากขึ้น เกิดการแย่งชิงกัน จึงเริ่มเกิดเป็นผู้มีอำนาจ เกิดหัวหน้าเผ่าแล้วกลายเป็นมีกษัตริย์เกิดขึ้นตามลำดับ
“กายนี้เป็นกรรมเก่า”
เกิดเป็นคนก็เพราะกรรม
เสร็จกันมาตั้งแต่เกิดแล้ว
ตุยก็เกิดทันที
ในเมื่อยังไม่มีอะไร ความไม่รู้มันมีมาได้อย่างไร ในเมื่อมันยังไม่มีอะไรเลย แล้วที่ว่าสิ่งๆหนึ่งมันเกิดมาได้อย่างไรในเมื่อยังไม่มีอะไรเลย
@@minbaramee2906 เกิดจากความว่างครับ จิตเราคือ ความว่างๆ ที่มันว่างๆไม่มีอะไร ไม่มีความรู้ ความหิว ความอยาก หรือ ความรู้สึก เหมือนอากาศ นั่นแหละ คือจุดที่ทำให้เกิดจิต สรุปทั้งหมด อวิชชา คือความไม่รู้ เพราะจิตเดิมเราคือความว่างเปล่า
@@jayclub_inter จิตเราว่าง เข้าใจครับ อวิชชาคือความไม่รู้ เข้าใจครับ แล้วชาติแรกเกิดได้ไงครับ
มีแต่ฐาตุที่ประกอบกันขึ้นจากการตกกระทบ ให้เข้าถึงความรู้สึกว่านี่คือฉันตัวฉัน นั่นมรึงนี่กรู ต่อไปก็ยึดผิดๆว่านี่ของกรู ของพวกตู หลอนตัวเองเอาทั้งนั้นว่านี่คือฉัน นี่คือตัวตนบุคคล มรึงกรู( อวิชชา)
ดังนั้นกรูเป็นตัวตนพิเศษมาได้ไงงั้น ต้องมีผู้สร้างสิ!!??
คนเไม่รู้ว่าตัวเองคืออะไรคือปมครับท่าน หลงอยู่ในโลกแห่งความไม่รู้ตัวไม่รู้ตนแล้วหลงยึดแล้วเป็นไป ชึ่งความเป็นไปนี้ล้วนปรุงแต่งไปเพื่อความมีความเป็นไม่สิ้นสุด จะตายรอมร่อก็ยังอยากถมไม่เต็ม ตอนนี้ตัวตนจริงๆของคุณ สิ่งใดๆของคุณที่ยึดว่ามีก็ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่หลอนตัวเองเอาเท่านั้น หลอนตัวเองจนจะตายก็ยังมีความอยากไม่อยากในโลกหลอนกันทุกคน..โลกแห่งอวิชชาครับท่าน 😅
ใช่ครับ เพราะมันอยากเรียนรู้เลยมาเกิดเป็นอะไรสักอย่าง เพื่อหาประสบการณ์ @@jayclub_inter
พอผมพูดปุ๊ปเกิดเลย....โทษๆ🤣ไอ้คนจบก็ไม่สอนเนอะ!!!🎉
อ่านคอมเม้นแล้วก็เหนื่อย😭😭😭แต่ก็ตรงนะอวิชชาคือความไม่รู้
ถูกต้องเลยเราถึงนั่งเถียงกันคอมเม้นกันอยู่นี่ไง อยู่กับปัจจุบันเถอะ
(เรื่องเมื่อวานเรากลับไปแก้ไขไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือวันนี้ตอนนี้)
เห็นด้วยเลยครับ👍👍
ตามเหตุผล ถ้ามีหลายภพชาติ ต้องมีชาติแรก สิ่งให้เกิดกระบวนการทั้งหมด ถ้าสิ่งต่างๆ
ไหลมาจากการไม่รู้ มันต้องใช้ความเชื่อมาก ที่เราจะมองมีภพชาติปัจจัย หากมีหลายภพชาติ
ต้องไม่รู้อนาคตข้างหน้า เพราะมันควบคุมไม่ได้ แต่ถ้าอนาคตทำนาย รู้ได้ เช่นพูดว่า
เทวทัต จะกลายเป็นพระพุทธเจ้า หรือ พระพุทธ องค์ต่อมาคือ พระศรีอารย์ ย่อมมีการรู้ก่อน
ไม่ได้ ทุกสิ่งกำหนดไว้อย่างตรงเป้ะไม่ได้ การเวียนว่ายหลายภพชาติต้องใช้มโนมากกว่า
การตายแล้วจบสวรรค์นรก
สรุปหาคำตอบไม่ได้ว่าชาติแรกมาจากไหน แบบนี้ใครก็ตอบได้ว่าไม่รู้ แล้วความจริงในพุทธ คืออะไร เคลมทุกอย่างแต่ไม่มีคำตอบปบบนี้นะเหรอ ไม่อปลกที่พัทธเริ่มหานไปที่ละนิดๆ แลืวคนแห่ไปนับถือบางศาสนาเพิ่มขึ้น
เคยได้ยินเรื่องนี้กันมั้ย นักวิทยาศาสตร์ บอกว่าโลกเราอยู่ในมิติที่ 4 มี กว้าง ยาว สูง และเวลา แต่ตามทฤษฏี มันมีมิติที่เหนือขึ้นไปอีก ที่คนในมิติที่ต่ำกว่า จะไม่สามารถอธิบายได้ หรือจินตนาการได้ ว่ามิติที่ 5 ที 6 เป็นอย่างไร เพราะเราถูกจำกัดด้วยสมอง ที่อยู่ในมิตินี้ คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก เหมือนคน อยู่ในโลกสองมิติ ที่มีแต่กว้าง ยาว เหมือนแผ่นกระดาษ ไม่รู้จักความสูง จะไม่เข้าใจความสูง คืออะไร เคยดู inter stellar กันมั้ยครับ ที่พระเอกเข้าไปในหลุมดำ แล้ว เหมือนเป็นมิติที่สูง กว่า ที่มองเห็น อดีต ปัจจุบัน อนาคต อยู่ที่เดียวกัน เหมือนจะบอกว่า คนมิติที่ 5 สามารถเคลื่อน ที่ไปในอดีตปัจจะบัน อนาคต ได้ปกติ เหมือนเรา เดินทางไปนู่นนี่นั่น ในมิติที่ 4 แค่จะบอกว่า บางที สิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกว่า นิพพาน มันอยู่เหนือ สามัญสำนึกของเรา ทั้งเรื่องชาติแรก มันเป็นอจินไตย เพราะ ถ้าเราไม่พัฒนา ไปถึงสภาวะนั้น เราจะไม่มีทางเข้าใจได้ แต่ถ้าเราไปถึงแล้ว เหมือนพระพุทธเจ้า เราก็ไม่รู้จะอธิบายให้คนที่ยังไม่ถึงเข้าใจได้อย่างไร ได้แต่เทียบเคียง ด้วยภาษา ซึ่งก็ไม่ได้ตรงเป๊ะอยู่ดี
ผมจะตอบให้ คือไม่ต้องไปสืบสาวอะไรให้วุ่นวายหรอก รู้ว่ามันสืบเนื่องกันมาเรื่อยๆ และจะสืบต่อไปอีก ถ้ายังไม่ดับทุกข์หมดสิ้น และเราสืบไปเท่าไหร่ก็หาเหตุทั้งหมดครบถ้วนไม่ได้หรอก เพราะ ณ ขณะนี้ ปัญญาเราไม่พอ เราแค่รักษาจิตให้ผ่องใส เบิกบาน และมีสติอยู่กับปัจจุบันขณะ จนข้ามฝั่งอริยบุคคล
ก็ไม่ต้องสงส้ยหรอก ไอ้ข้ามฝั่งนี่นะ มันข้ามกันที่ปัญญาญาณ
เท้าที่ได้ยินได้ฟังมาจากพระผู้ที่เป็นสยัง อภิญญา ที่มีปฏิสัมภิทาฌาน ท่านบอกว่ามันเริ่มจากการวิวัฒนาการจากพลังงาน เป็นเชลล์ที่ยังไม่เต็มรูป เป็นมหาภูต เป็นสปอเป็นเห็ด เรียกอะหิฉะตะกะที่เริ่มเชื่อต่อเป็นสีเขียว เป็นภูตคาม เป็นพีชะ เป็นมหาภูตคาม เป็นเจตภูตที่จะหลุดออกมาจากดินเป็นปานะ(ชีวิตชั้นต่ำ)เป็นเจตสิก เป็นสัตตะเป็นจิตวิณญาณครับ
อันนี้ไม่เคลียร์ ต้องยอมรับ ความไม่รู้ก็ต้องย้อนถามไปอีกว่า ใครไม่รู้
แล้วใครสร้างใครที่ไม่รู้ ใครที่ไม่รู้มาจากไหน
จะบอกว่า ไม่มีเลย มันก็ไม่เคลียร์
เรื่องนี้เป็นปัจจัตตังคือรู้ได้เฉพาะตน การที่จะอธิบายเรื่องพวกนี้ผู้บรรยานต้องมีความเข้าใจในระดับหนึ่งแบบมากๆครับ ผมก็อธิบายไม่เก่ง แต่มันมีสิ่งๆหนึ่งครับมายึดอวิชชา ไอ้สิ่งๆหนึ่งนี้มันคือสภาวะธรรม คืออสังฆตธรรมหรืออสังฆตธาตุ แต่สภาวะนี้คือไม่มีการเกิดไม่มีการกับและเมื่อตั้งอยู่ก็ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฎ คือไม่มีมิติไม่มีกว้างเล็กสั้นใจ ไม่มีรูปเสียงกลิ่นรสงามหรือไม่งาม สภาวะนี้จึงไม่สามารถบัญยัติศัพท์อะไรลงไปได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันไม่มีหรือศูนย์ แต่ที่พระพุทธเจ้าไม่พูดเพราะมันจะทำให้ผู้ที่ไม่รู้นั้นเกิดอัตตาว่สตนมีอยู่ คุณจะต้องเห็นการเกิดขึ้นแห่งนามรูปก่อน รูปนั้นคือร่างกายนี้ยังพอเห็นได้ง่ายเพราะมีความแก่เฒ่าชราและเสื่อมลงทุกวัน แต่นามคืออาการของจิตนี้มองยากเพราะมีการเกิดดับที่รวดเร็ว
ก่อนอื่นคือต้องเข้าใจขันธ์5 ให้ได้ก่อนคือรูปเวทนาสัญสังขาร
รูปคือกิริยาที่แตกสหายได้เพราะความร้อนบ้างคือหนาวบ้าง
เวทนาคือความรุ้สึกสุขทุกข์และเฉยๆ
สัญญาคือความจำได้หมายรู้ ง่ายๆก็คือความทรงจำ
สังขารก็คือความปรุงแต่งเช่น คุณคิดเรื่องที่ยังไม่เกิดว่าเย็นนี้จะกินอะไรดี คือการคิดไปในอนาคต
วิญญาณคือการรับรู้หรือกิริยาการรู้แจ้ง รู้แจ้งในอะไร รู้แจ้งในรูป เวทนา สัญญา สังขาร การจะมีความสุขหรือทุกต้องมีวิญญาณไปตั้งอยู่ในเวทนาก่อน สัญญาสังขารก็เช่นกัน
ทั้งหมดนี้เรียกว่ากองทุกข์คือเป็นธาตุที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอด เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ หรือก็คือ สังฆตธรรม ในสภาวะนี้คุณสมบัติคือ เกิดปรากฎ เสื่อมปรากฎ และเมื่อตั้งอยู่ก็มีวภาวะอย่างอื่นปรากฎ คือเมื่อมีเกิดก็จะมีเสื่อม และมีเสื่อมก็เสื่อมเรื่อยๆและที่สุดของการเสื่อมคือการดับไป
ทั้งหมดนี้คือธาตุตามธรรมชาติไม่ได้รู้เรื่องอะไร (กลับมาที่วิญญาณ ตรงนี้ต้องละเอียดหน่อยเพราะคนจะเข้าใจผิดว่าตังเราคือวิญญาณแต่วิญญาณก็เป็นธาตุตามธรรมชาติไม่รู้เรื่องอะไรอีกเช่นกัน และสิ่งๆหนึ่งที่ผมเคยพูดไปนั้นแหละมันเข้ามายึดวิญญาณว่าเป็นตน เพราะความไม่รู้ ก็คืออวิชชา วงเวียนแห่งการเกิดจีงเกิดขึ้น และไอ้สิ่งๆหนึ่งที่มายึดนี่ก็คือสัตว์ เรียกว่าผู้ยึด ยึดในอะไรยึดในรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณก็คือขันธ์5นั้นเอง ส่วนการที่เราจะมองเห็นวิญญาณนั้นหรือไม่ก็ขึ้นอยู่การปฏิบัติของคุณเองว่าจะสังเกตุเห็นวิญญาณมั้ย สิ่งนี้เป็นปัจจัตตังคือเป็นสิ่งที่มีแต่ตนเองเท่านั้นที่รู้ได้เพราะปฏิบัติเข้ามารู้เอง เช่นคุณโกหกก็มีแต่คุณที่รู้อยู่แก่ใจ คุณทำดีคุณก็รู้อยู่แก่ใจ แต่การมองวิญญาณนั้นละเอียดกว่า
วิธีปฏิบัติก็คือการเจริญอานาปานสติ เอาแบบง่ายๆก็คือการเอาจิตหรือการรับรู้หรือความคิดมารู้อยู่ที่ลมหายใจ หายใจเข้าก็รูหายใจออกก็รู้ แต่ให้เห็นไปตามธรรมชาติของร่างกายระวังการไปปรุงให้มันสั้นหรือยาว มันจะกลายเป็นอึดอัด ให้สังเกตลมไปเรื่อยๆสั้นรู้ยาวรู้ แล้วเดี๋ยวธรรมดาาติของจิตก็จะดึงคุณไปคิดเรื่องอื่น ตอนรู้ลมคือเท่ากับรู้ตัวอยู่กับปัจจุบันขณะ เมื่อมันหลุดจากลม มันก็จะไปตั้งในเวทนาบ้าง สัญญาบ้าง สังขารบ้าง ตัวที่ไปตั้งก็คือวิญญาณ
บางครั้งไปนึกถึงอดีตคือสัญญา ก็เศร้าบ้างสุขบ้าง บางครั้งไปนึกคิดเรื่องอานาคตคือสังขารการปรุงแต่ง ก็อยากให้เป็นแบบนั่นไม่อยากให้เป็นแบบนี้บ้าง จิต มโน หรือวิญญาณก็จะวนเวียนอยู่เท่านี้ เมื่อเรารุ้ตัวแล้วว่าเราเพลินไปคิด ก็ให้ละความเพลินนั้น(นันทิ) ให้กลับมาอยุ่กับลม เมื่อมันเผลอไปอีกเมื่อรู้ก็เอามันกลับมาที่เดิม มันจะเพลินไป 5 นาที 10 นาที ก็แล้วแต่อินทรีย์จองแต่ละคนและยิ่งทำมันก็จะละเอียดไปเรื่อยๆ แล้วก็จะเห็นตามจริงว่า ความคิดที่เราคิดว่าเป็นของเรา เราเองก็ยังคุมไม่ได้แค่จะให้อยู่กับลมเผลอแปปเดียวมันก็ไปคิด ขั้นสุดท้ายก็จะเห็นวิญญาณ และจะรู้ว่ามีสิ่งๆหนึ่งนั้นก็เป็นคนสังเกตมัน เหมือนฟืนที่ถูกเผาตถาคตถามภิกษุว่าเธอเจ็บเหมือนท่อนไม้ที่ถูกลากไปกับพื้นแล้วโดนเผามั้ย ภิกษุตอบไม่เห็นจะเจ็บเลย เพราะอะไร ก็เพราะมันไม่ใช่เรา นั้นแหละถ้าเราเห็นวิญญาณก็แสดงว่าวิญญาณก็ไม่ใช่เรา
ทีแรกนอนเล่นๆอยู่พรหมโลก ปลาอานนท์เกิดเมื่อยเลยขยับตัว น้ำในมหาสมุทรเลยซัดขึ้นไปพรหมโลกเลยติดน้ำลงมาเลยเนี่ย
ไม่ต้องครับถึงจักวาลนี้จะถูกทำลายแต่โลกอื่นก็มีหาที่สุดมืได้
แค่ชี้ไปทิศเหนือก็มีจักวาลหาที่สุดมิได้
จักรวาลเชิงซ้อนของพหุจักวาลของความเป็นทวิไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆเช่นกันถ้าจักรวาลหลักถูกสร้างด้วยความรักเพื่อเปิดสิ่งที่ยังไม่ได้รู้โดยการทดลองของมโนสังขาลก็ต้องเป็นผู้สร้างจักรวาลร่วมกันโดยหลายผู้สร้างแต่ผู้สร้างผู้สร้างมโนสังขาลแรกอาจแบ่งมโนออกไปเลื่อยๆก็ได้ เหมือนแสงที่ เป็นคลื่นและอนุภาคในเวลาเดียวกัน ผู้ร่วมสร้างจักรวาลด้วยความรักถึงพยายามปลุกมโนวิญญาณของโลกทวีปกลับไป... การเรียนรู้ความเป็นจักรวาลไม่ได้มีแค่โลกทวิภาวะ ยังมีจักรวาลอื่นให้ต้องไปเรียนต่อ ก็เป็นได้
ที่ 2 ศาสนาสอนไม่เหมือนกัน มีความเป็นไปได้ว่า จักรวาลเกิดขึ้นจากความรัก ยังไม่มีอวิชชาแล้วอวิชชาเกิดขึ้นภายหลังจึงเกิดทวิภาวะ ทวิภาวะเกิดขึ้นจาก.... มโนสังขาล ที่สร้างเชิงลบ ไปหลอกล่อหรือจับกุมมโนสังขารที่สร้างเชิงบวกมากักขังในการทดลองก็เป็นได้ เป็นที่มาของพระเจ้าและซาตาน
มีความเป็นไปได้ ทุกระบบทุกศาสนาในโลกก็เกิดจากสิ่งนี้ผู้สร้างเชิงลบและเชิงบวก จัดการมาทดลอง ถึงเวลาก็เปิดเผยและเก็บเกี่ยว ผลของการทดลอง
ฟังแล้วเข้าใจฝั่ง เซน เลยว่าทำไมเขาถึงบอกว่า บรรลุธรรม มันก็อยู่กับเรามาตั้งแต่แรกแล้ว
อธิบายดี เกิดจากความไม่รู้..ความไม่รู้เลยคิด คิดๆๆๆ จนเป็นนี่ เป็นนั่น อยากกิน อยากเป็น อยากลอง จึงเกิด.. การกลับสู่จุดเดิม จึงควรหยุดคิด ในทุกสิ่ง ในทุกเรื่อง ดับทุกสิ่ง..กลับสู่นิพพาน
ชาตืแรกบอกไปก็ไม่เชื่อ รู้ไปก็ไม่ดับทุกข์ สติปัญญาก็ไปไม่ถึง
ท่านจึงให้อยู่กับปัจจุบันและทำปัจจุบันให้เป็นเหตุแห่งอนาคจ
กฏแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ
เป็นกรรมแรก ชาติแรก ที่ไม่เคยดับ
สังสารวัฏนี้จึงกำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้
ตุยก็เกิดทันที
รู้ไปก็เท่านั้นถ้าไม่ฝึกจิตจนมีสมาธิแล้วเกิดปัญญาเพื่อจะเอามาตัด เพราะตายไปแล้วเกิดใหม่มันก็จะลืมเกือบทุกคน นอกจากจะฝึกจิตจนมีสมาธิแล้วเกิดปัญญาจนถึงขั้นพระโสดาบันขึ้นไปถึงจะรอด พระโสดาบันมีปัญญาเพียงเล็กน้อยแต่มีศีล ๕ บริสุทธิ์ มีกรรมบท ๑๐ ครบถ้วน ถึงจะตามให้ผลได้เข้านิพพานได้ไม่เกิน ๗ ชาติ ระหว่างนี้ก็จะไม่ตกอบายภูมิ
มันเเทบเป็นไปไม่ได้หรอกคับที่ทุกคนจะนิพพาน รวมถึงสัตว์ด้วย ต้องเกิดกันอีกกี่ล้านชาติ คุณจะรู้ได้ยังไงว่าโลกนี้จะไม่ดับสลาย ถ้าเกิดหลายล้านชาติจริงไครเป็นคนรีเซ็ตความทรงจำเรา
เอาแบบหลักวิทเลยนะโลกนี้จะแตกในอีกราว5000ล้านปี หรือแม้แต่เอกภพก็จะจบลงแต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าในเวลาอันยาวนานมันอาจกลับมาเกิดเป็นสิ่งเดิมได้ ส่วนเรื่องการลืมไม่ต้องมีคนมาลบหรอกครับแค่ในชีวิตเราก็ลืมเรื่องในอดีตอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
@prinooman9570 ไม่เมกเซนต์เลยครับ สัตว์บกเเละทะเลมันมีหลายเเสนล้านๆๆๆเลยน่ะ เเล้วสัตว์ต้องทำยังไงถึงได้นิพพาน เอาเถอะถ้ามีโลกใหม่เกิดขึ้นจริง คุณรู้มั้ยกว่าเซลล์เเละดีเอ็นเอกส่าจะเรียงข้อมูลอย่างถูกต้องมันยากมากเลยน่ะนี่เเค่เซลเดียวกว่าจะสร้างโปรตีนได้ ไม่รวมอวัยวะภายในเเละภายนอกเเถมต้องสร้างตัวเองชายเเละหญิงพร้อมกันด้วยน่ะมนุษย์ถึงจะสืบพันธุ์ได้ คนนึงคนได้กิดก่อนไม่ได้ สมมุติถ้ามนุษย์สองคนเเรกเกิดพร้อมกันได้ เราจะเกิดเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่เหรอถ้าเกิดเป็นทารกนี่ซวยเลยน่ะ มีชีวิตรอดไม่ได้เเน่ๆ นั่นก็เเสดงให้เห็นเเล้วว่ามนุษย์สองคนเเรกต้องเกิดเป็นผู้ใหญ่ก่อนถึงจะมีชีวิตรอดได้ เเละต้องมีความรู้ในการเอาตัวรอดด้วยน่ะ ถ้าขาดไฟ อาหาร ยา ที่พักนี่ซวยเเน่ๆ เเถมไม่รู้ว่าสัตว์เกิดให้เราล่าเเล้วรึป่าว
มันเกิดดับรีเซ็ตใหม่หลายรอบครับ จักรวาลเกิดและสลายไปและสร้างตัวใหม่หลายรอบครับ รอบล่าสุดที่พึ่งเกิดมาที่เขาวิจัยกันก็น่าจะเป็น การระเบิดของบิ๊กแบงที่เป็นรอบล่าสุด
@@prinooman9570 ไม่เมกเซนต์เลยครับ สัตว์บกเเละทะเลมันมีหลายเเสนล้านๆๆๆเลยน่ะ เเล้วสัตว์ต้องทำยังไงถึงได้นิพพาน เอาเถอะถ้ามีโลกใหม่เกิดขึ้นจริง คุณรู้มั้ยกว่าเซลล์เเละดีเอ็นเอกกว่าจะเรียงข้อมูลอย่างถูกต้องมันยากมากเลยน่ะนี่เเค่เซลเดียวกว่าจะสร้างโปรตีนได้เเล้วเรามีกี่ล้านเซลล์ ไม่รวมอวัยวะภายในเเละภายนอกเเถมต้องสร้างตัวเองชายเเละหญิงพร้อมกันด้วยน่ะมนุษย์ถึงจะสืบพันธุ์ได้ คนนึงคนไดเกิดก่อนไม่ได้ สมมุติถ้ามนุษย์สองคนเเรกเกิดพร้อมกันได้ เราจะเกิดเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่เหรอถ้าเกิดเป็นทารกนี่ซวยเลยน่ะ มีชีวิตรอดไม่ได้เเน่ๆ นั่นก็เเสดงให้เห็นเเล้วว่ามนุษย์สองคนเเรกต้องเกิดเป็นผู้ใหญ่ก่อนถึงจะมีชีวิตรอดได้ เเละต้องมีความรู้ในการเอาตัวรอดด้วยน่ะ ถ้าขาดไฟ อาหาร ยา ที่พักนี่ซวยเเน่ๆ เเถมไม่รู้ว่าสัตว์จะเกิดให้เราล่าเเล้วรึป่าว
ส่วนเรื่องความทรงจำชาติที่แล้ว ผมคิดว่าเป็นของร่างกายมากกว่า เหมือนกับเราตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษจนเก่งชำนาญมากๆ แต่หลังจากตายไปแล้วความรู้อังกฤษเราก็ร่วงหล่นตรงนั้นไปพร้อมกับร่างกาย ส่วนเราที่ไปเกิดอ่ะ แยกออกจากความทรงจำไป ประมานนั้นผมไม่รึ้จะอธิบายยังไง ถ้าไม่เข้าใจขออภัยด้วย
จักรวาลนี้แตกดับมาแล้วไม่รู้กี่รอบ อย่าไปรู้เลยว่าชาติแรกเกิดจากอะไรมันไม่มีประโยชน์ ให้รู้หนทางหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดมีประโยชน์กว่าเยอะ
เข้าใจสักที
มันเริ่มจากจุดไหนก็ได้ แล้วแต่บุคคล สังเกตจากจิตเรา
❤❤❤❤❤
เก่งจ้าาาาส
ชาติแรกเกิดขึ้นได้อย่างไร
ผมขออธิบายดังนี้ HกับOมันรวมกันกลายเป็นน้ำ ตั้งแต่เมื่อใด ไม่มีใครตอบได้
ร่างกายกับจิตวิญญาณ มันรวมกัน กลายเป็นสิ่งมีชีวิต เมื่อใด ไม่มีใครตอบได้
ชาติแรกเกิดมาอย่างไร ตถาคตตรัสว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้ จะไปรู้ทำไมมันไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย สิ่งที่ควรรู้คือ ทำอย่างไรจะพ้นจากสังสารวัฏนี้ให้ได้นั่นสำคัญที่สุด
อจินไตย แปลว่า สิ่งที่ไม่ควรคิด อจินไตย มาจากคำว่า อะ + จินไตย (พึงคิดพิจารณา) แปลว่า ไม่พึงคิดหรือจำแนกตรรกะลงไปได้ หมายถึง สิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน มี 4 อย่างได้แก่
พุทธวิสัย วิสัยแห่งความมหัศจรรย์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ฌานวิสัย วิสัยแห่งอิทธิฤทธิ์ของผู้มีฌาน ทั้งมนุษย์ และเทวดา
กรรมวิสัย วิสัยของกฎแห่งกรรม และวิบากกรรม คือการให้ผลของกรรมที่สามารถติดตามไปได้ทุกชาติ
โลกวิสัย วิสัยแห่งโลก คือการมีอยู่ของสวรรค์ นรก และสังสารวัฏ[1]
ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่องอจินไตย เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ ทั้งเพราะความเข้าใจไม่ได้ในฐานะที่เป็นของลึกซึ้ง เป็นเรื่องทางจิต หรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สิ้นสุดได้ ถ้าคิดมากจริงจังในการหาคำตอบเหล่านั้นจากการคิดเดาเอาด้วยตรรกะเองจึงอาจกลายเป็นคนบ้าได้ อจินไตยในเรื่องทางจิตจึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมชั้นสูงเท่านั้น
พระพุทธเจ้าไม่อยากให้ไปค้นหาว่าชาติแรกเกิดมาจากอะไร...ถึงรู้แล้วก็จะค้นหาไม่จบ เพราะมันเป็นธรรมดาของสัตว์โลกที่ขี้สงสัย(ชอบมองออกนอกตัว จนลืมใจของตัวเอง) ชาติแรก เปรียบเหมือนเราอยู่ที่ประเทศไทย แต่อยากเดินทางไปเที่ยวสหรัฐอเมริกา โดยการขับรถยนต์ส่วนตัวไป เราต้องทำการสตาทร์รถยนต์วอมเครื่องยนจนได้ที่ และเตรียมขับรถยนต์ ขณะที่ล้อหมุนครบวงจร 1 รอบ เท่ากับชาติ 1 ชาติที่(เกิด และ ตาย )ลงไป จะมีใครมานับวงรอบไหมกว่าจะถึง อเมริกา ล้อรถยนต์หมุนไปแล้วกี่รอบ ....ความหมาย คือ เมื่อรู้แล้วเราได้ประโยชน์อะไรจากตรงนั้นล่ะ....ฝรั่งจะเข้าใจดีว่า ..อะไร คือ สาระ ..อะไรไม่ใช่สาระ.....เมื่อเราแทงไปว่าเมื่อคุณรู้คำตอบแล้วชีวิตคุณมีความทุกข์ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันและทุกวัน ทุกเวลา มันหายไปหรือเปล่า? และแทงไปอีกว่า..เมื่อความทุกข์ที่เกิดขึ้นภายในใจคุณเกิดขึ้น คุณต้องไปหาที่ระบาย ไปเที่ยว ไปสถานที่ต่างๆเพื่อหาความสุขมากลบเกลื่อนความทุกข์ ที่เค้ามีใช่ไหม? แต่ของ
พุทธศาสนา ของเรา คือ การสอนเพื่อการพ้นไปจากทุกข์ถาวรณ์ และพ้นไปจากสุขถาวรณ์ เป็นอมตะสุขนิรันณ์ของจริงต่างหาก ....ไม่จำเป็นต้องไปเล่นเกมตามเขา พวกเขาเพียงอยากหาเรื่องเอาชนะเฉยๆ ให้เขาหาคำตอบเอาเอง (บอกเลยหายังไงก็หาไม่เจอ จนคนหาเป็นบ้าไปเอง) หาอีกล้านชาติก็ไม่เจอหรอก...😂😂😂😂😂
สรุปแล้วชาติแรกก็เกิดจากดวงวิญญาณที่อยู่ในแดนนิพพานเกิดความไม่รู้แล้วก็ก่อให้เกิดสังขารหรือร่างกายขึ้นจนเป็นชาติที่ 1 ผมสรุปแบบนี้ถูกต้องไหม
คำถามคือชาติที่ 1 ควรเป็นวิญญาณที่อยู่ในแดนนิพพานหรือเปล่า แล้วก็ย้อนกลับไปว่าก่อนที่จะเป็นวิญญาณที่อยู่ในแดนนิพพานนั้นก่อนหน้านั้นเป็นอะไรมาก่อน ก็แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่รู้ว่าดวงวิญญาณที่อยู่ในแดนนิพพานนั้นมาจากไหน
สิ่งที่เข้าสู่นิพพานแล้วย่อมไม่เกิดอีก ดังนั้นข้อนี้วิดิโอพูดผิดแล้วครับ
ตอ้งเรียนไตรเพท วิตถาร ที่กล่าวถึง๓เพศ ศึกษา คือ เพศหญิง๑ เพศชาย๑ เพศพรหม๑ สองเพศแรก รวมกันอยู่ในกามาวจรจิต๑ เพศที่๓มี๒ภูมิคือ รูปาวจรจิต๑ อรูปาวจรจิต๑ซึ่งไม่เป็นหญิงไม่เป็นชาย มีกายละเอียดกว่าเทพธิดา เทพบุตร งามละเอียดเสมอกัน ของในแต่ละชั้น
1.สัตว์ตานังมาจากไหนครับ 2.มีจำนวนจำกัดหรือไม่ครับ เพราะถ้าสัตว์ตานังรู้เข้าถึงวิมุติยานฯทั้งหมดสังสารวัตรนี้ก็คงจะว่างเปล่า 3.หรือเป็นไปไม่ได้เลยที่สัตว์ตานั่งจะเข้าถึงวิมุตได้ทั้งหมด
ชาวพุทธควรทรงจำ
ข้อที่พระพุทธองค์ ตรัสไว้ด้านล่าง
เหล่านี้ ให้แม่นยำ
...............
ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับ
อยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ
อนาถบิณฑิก- เศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี
ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคได้รับสั่ง
เรียกภิกษุทั้งหลายมา ตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย” ภิกษุเหล่านั้น
ทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว
พระผู้มีพระภาค จึงได้ตรัสเรื่องนี้ว่า
“ภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้
มีเบื้องต้นและเบื้องปลายรู้ไม่ได้
ที่สุดเบื้องต้น ที่สุดเบื้องปลาย
ไม่ปรากฏแก่เหล่าสัตว์ผู้ถูกอวิชชากีดขวาง
ถูกตัณหาผูกไว้ วนเวียน ท่องเที่ยวไป
เปรียบเหมือนบุรุษตัดหญ้า
ท่อนไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้
แล้วรวมเป็น กองเดียวกัน
ครั้นรวมกันแล้ว จึงมัด
มัดละ ๔ นิ้ว วางไว้
สมมติว่านี้เป็นมารดา ของเรา
นี้เป็นมารดาของมารดาของเรา
มารดาของมารดาแห่งบุรุษนั้น
ไม่พึงสิ้นสุด ส่วนหญ้า ท่อนไม้
กิ่งไม้ ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้พึงหมดสิ้นไป
ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะว่าสงสารนี้มีเบื้องต้น
และเบื้องปลายรู้ไม่ได้
ที่สุดเบื้องต้น ที่สุดเบื้องปลาย
ไม่ปรากฏแก่เหล่าสัตว์
ผู้ถูกอวิชชากีดขวาง ถูกตัณหาผูกไว้
วนเวียนท่องเที่ยวไป
อุปมานี้ฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้น
เธอทั้งหลายเสวยความทุกข์
ได้รับความลำบาก ได้รับความพินาศ
เต็มป่าช้าเป็นเวลายาวนาน
ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนี้แหละ
จึงควรเบื่อหน่าย ควรคลายกำหนัด
ควรเพื่อ หลุดพ้นจากสังขารทั้งปวง”
.............
พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ
เล่มที่ ๑๖ ข้อที่ ๔๒๑
เราเชื่อคนที่พูดว่านับถือศาสนาคริส แต่เราเชื่อว่าคนๆนั้นอยู่แผ่นดินพุทธบรรพบุรุษของเค้าต้องนับถือศาสนาพุทธแต่มีการเปลี่ยนตอนที่ศาสนาพุทธมาเผยแพร่ในไทย ตื่นเถิดชาติไทย
พูดง่ายแต่ทำยากครับ ต้องอาศัยพละ5 (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา)
ทฤษฎีในคลิปนี้บอกว่า "การบอกว่าชาติแรกเกิดจากความไม่รู้ (อวิชชา)" แล้วอ้างถึงคำพระพุทธเจ้าด้วยว่า "เรามาจากสิ่งๆ หนึ่งของอสังขตธาตุ" ด้วยอวิชชาเราจึงลงมาเวียนว่ายตายเกิด แนวคิดนี้ คล้ายๆ ของสำนักพุทธวจนที่ผมเคยฟังเมื่อหลายปีก่อน หรือนิกายหนึ่งของมหายาน ที่เชื่อว่า เราเกิดในแดนนิพานอยู่แล้ว ด้วยอวิชชาทำให้ลงมาเกิด ซึ่งขัดแย้งกับคำสอนหลักของเถรวาท เพราะถ้าเชื่อเช่นนี้ นิพพานก็ไม่ใช่การดับสูญ แต่นิพพานจะคล้ายๆ สวรรค์มากกว่า เพราะเข้าไปได้ แต่ก็ออกมาได้
ทฤษฎีก็แย้งกับความหมายของด้วยตัวของมันเอง เพราะ อสังขต คือ ๑. ความเกิดขึ้นไม่ปรากฏ ๒. ความดับสลายไม่ปรากฏ ๓. เมื่อตั้งอยู่ ความแปรไม่ปรากฏ (ถ้ามีสิ่งเหล่านี้แล้ว อวิชชาจะเข้ามาจับได้ไง ?) อันนี้ผมไม่ฟันธงเรื่องผิดถูกของระบบความเชื่อคือ ทฤษฎีอาจจะถูกก็ได้ แต่ในระบบเถรวาท คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ควรขัดแย้งกัน
ถ้าจะอ้างคำสอนพระพุทธเจ้าสำหรับคำถามนี้ ก็น่าจะใกล้เคึยงกับอจินไตย ที่ว่าด้วยโลกจินตา หรือโลกวิสัยที่ว่าด้วย ความคิดว่าใครสร้างดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ใครสร้างมหาปฐพี ใครสร้างมหาสมุทร ใครให้สัตว์เกิด เสียมากกว่า ซึ่งพระพุทธเจ้าก็บอกอยู่แล้วว่า "ไม่แนะนำปุถุชนทั่วไปคิด" คิดแล้วจะเป็นบ้า คิดไปไม่เกิดประโยชน์ คิดไปก็ไม่บรรลุธรรม
ในความเห็นหนึ่ง
ถ้าสังขตธรรม คือ ธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น
อสังขตธรรม ก็คือ ธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง
ควรจะหมายความ ว่างจากสิ่งปรุงแต่งด้วยวิราคะ สิ้นตัณหา ... หมดความอาลัย ฯ เพราะเมื่อยังมีราคะ ฯ มันก็ยังเป็นสังขตธรรมอยู่นั่นเอง เมื่อดำเนินไปผิดทางมันก็ยังไม่ใช่อสังขตธรรม รึเปล่า
ภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้วอันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่ง ไม่ได้แล้วมีอยู่
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้วปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย.
ภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้วไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้วมีอยู่ ดังนั้น การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้วอันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้วจึงปรากฏ. --บาลี อุ. ขุ. ๒๕/๒๐๗/๑๖๐. ผมมองว่าพุทธเภรวาทยึดติดในคำสอนสาวกมากเกินไป ไปตีความว่า นิพพานคืออนัตตา เลยไม่มีวันเข้าใจได้เลย ความจริงคือ มีแต่การสลัดออกไปของสังขตธาตุ อสังขตธาตุจึงปรากฎ แค่นั้นเอง
นิพพานไม่ใช่การดับสูญ
@@Rockman-qo7zy แต่นิพพานสูญจากอัตตา
แต่การเวียนว่ายตายเกิดมันขัดแย้งชัดๆ จะอ้างว่าอจินไตยไม่ได้ เพราะกฎของการเวียนว่ายตายเกิดคือความยุติธรรม มนุษย์ที่เกิดมาต้องอาศัยกรรมเก่า เป็นเงื่อนไขบังคับ ไล่ลงไปถึงชาติที่1 คำถามคือมนุษย์เกิดในชาติที่1 ได้อย่างไร ไปสร้างกรรมอะไรไว้ ถ้าตอบว่านนุษย์เกิดเกิดก่อน แล้วมนุษย์จะเกิดมาไม่ได้เพราะต้องอาศัยกรรม ถ้าตอบว่ากรรมเกิดก่อน แล้วกรรมมันจะมีไม่ได้เพราะต้องมีมนุษย์ กฎเวียนว่ายตายเกิดจึงขัดแย้งกันอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช้อจินไตยอะไรเลย เพราะไม่ได้พ้นญาณวิสัยของมนุษย์เลย
ใช่ Particle กับ Antiparticle ในวิชาQuantum Physics หรือเปล่า?
สภาวะธรรม ของนิพพานนั้น ไม่มีรูปและนามให้เทียบเคียง แต่พอจะใช้สภาวะธรรมชาติเปรียบเทียบได้ดังนี้
ยกตัวอย่างสภาวะการเกิดเงา
เงาเกิดจาก แสง / วัตถุทึบแสง / ฉากหลัง ไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ไม่เกิดเงา
-มีวัตถุทึบแสงกับฉากรับแต่ไม่มีแสงก็ไม่เกิดเงามีแต่ความมืด หรือมีแสงกับฉากแต่ไม่มีวัตถุทึบแสงมากั้นกลาง ก็ไม่มีเงาให้เห็น มีแต่ความสว่างที่ฉาก
- สภาวะก่อนเกิดเงานั้นคือนิพพาน
เมื่อมีวิชชาวิมุติแล้ว ดับเหตุที่เป็นปัจจัยแล้ว ผลก็ไม่มี ไม่เป็นไปตามกฎอิทัปปัจยธรรมและปฏิจจสมุปบาท
ก็ไม่มีการเกิด
พระอรหันตเจ้า ถึงมีจิตอยู่ก็ไม่เกิดวิญญาณไปรับรู้ คือเกิดผัสสะแต่ไม่เกิดตัณหา อุปาทาน เพราะมีวิชชาไม่ก่อสังขารนามรูป
เราควรให้ความสำคัญกับการทำที่สุดแห่งทุกข์ ก่อนจะไปรู้ชาติแรกเกิดจากอะไร
เพราะเมื่อได้จิตแห่งพระอริยเจ้าก็จะรู้ได้เอง
คืออะไรพระอรหันต์ไม่มีวิญญาณ
@@Nopphadolthongwilai "ไม่มีวิญญาณไปรับรู้" ครับ
@@sushi7021 จิต มโน วิญญาณคือสิ่งเดียวกันต่างแต่ชื่อ พระอรหันต์ไม่มีจักษุวิญญาณจะมองอะไรได้เล่า
วิญญาณเกิดได้6ทางอาศัยปัจจัยจึงเกิดขึ้น
มึนตึบเลย พะยะคะ แต่ที่แน่ๆไม่รู้😂
ศาสนาพระเจ้าอธิบายได้ชัดแจ้งกว่ามาก ตอบตรงๆไม่เลี่ยงอธิบายด้วยคำว่าไม่รู้/อจิณไตย
พระเจ้ากล่าวในคัมภีร์ว่าสร้างทุกสิ่งจากความว่างเปล่าและได้แยกสรรพสิ่งที่ก่อนนั้นติดกันเป็นเนื้อเดียวโดยช่วงแรกมีสภาพเป็นหมอกควัน…แล้ววิทย์ก็มีทาทฤษฎีบิ๊กแบง
พระเจ้ามีลักษณะ/คุณสมบัติเช่น มีมาแต่เดิม ไม่ถูกสร้าง ไม่เกิด มีพลัง สร้างบิ๊กแบง และเป็นเอกะ…แล้ววิทย์ก็มีทฤษฎีซิงกุลาริตี้ที่มีลักษณะเหมือนกับพระเจ้า หลังจากที่ฟันธงว่าทุกสิ่งแม้แต่บิ๊กอบงจะเกิดเองไม่ได้ ต้องมีผู้สร้าง
สรุปคือศาสนาพระเจ้า/วิทย์อธิบายได้ง่ายๆ เข้าใจง่าย ชัดเจน ใช้หลักวิทย์/ทฤษฎีที่น่าเชื่อถือกว่าเยอะ และตอนนี้ทั้งนักวิทย์และคนทั่วไปนับถือศาสนาพระเจ้ามาก/มากขึ้นเรื่อยๆสวนทางกับการเป๋นเอทิสและพุทธ
ผมก็มึนๆ ไม่ค่อยเข้าใจ มันเป็นภาษาที่เข้าใจยากหน่อยสำหรับผม แต่ที่แน่ๆ ทุกคน ทุกศาสนา เกิดมาจากความไม่รู้เหมือนที่เขาบอกแน่นอน
@ ไม่รู้ไม่ได้แปลว่าถูก หรือแปลว่าไม่มีกำเนิด วิทย์ก็ไม่รู้…แต่วิทย์ก็พยายามอธิบายสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุด
สรุปคือวิทย์
- ฟันธงตามเทอิสซึ่มว่าต้องมีผู้สร้าง
-วิทย์มีทฤษฎีบิ๊กแบงาน…ที่ตรงกับพระเจ้าบอกว่าสร้างทุกสิ่งจากความว่างเปล่าและแยกทุกสิ่งที่ติดกันเป็นเนื้อเดียวจากกันโดยช่วงแรกมีสภาพเป็นหมอกควัน
-วิทย์มีฤษฎีซิงกุบาริตี้…ที่ผู้สร้างเป็นเอกะ มีมาแต่เดิม ไม่ถูกสร้าง สร้างบิ๊กแบง
ยังไม่นับมหัศจรรรย์แห่งคัมภีร์ที่จับต้องได้อีกเป็นร้อยเรื่อง….ศาสนาพระเจ้าก็กินพุทธที่อะไรๆก็อจินไตย/เหตุปัจจัยไม่ชี้ขัดแล้ว
@@mattch1243 พระพุทธเจ้าไม่ได้ ปฏิเสธ ว่าพระเจ้ามีหรือไม่มี พระเจ้าอาจจะมีอยู่หรือไม่มีอยู่ก็ได้ แต่ที่แน่ๆ พระเจ้าไม่สามารถดลบรรดาล หรือ ควบคุมการกระทำของมนุษย์ได้แน่นอน พระพุทธเจ้าเคยพูดถึงหลายเรื่อง เรื่องจักรวาล เรื่องโลก แต่ท่านพูดผ่านๆเพราะมันไม่เกี่ยวกับการพ้นทุกข์และปัจจุบัน ตามคำสอนบทนึงบอกว่า ต่อให้เราตายแล้วเกิดใหม่เป็นร้อยครั้งพันครั้ง เราก็ไม่มีทางรู้เรื่องโลกนี้ได้หมด และแน่นอนว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ
ในในกาลก่อน อวิชชาก็ไม่ปรากฏ แต่ภายหลังจึงมี(อวิชชาก็มีเหตุให้เกิด คือ อาหาร) และอาหารทั้งหลาย(อาหาร4) ก็มีตัณหาเป็นเหตุ มีตัณหาเป็นที่ตั้งขึ้น มีตัณหาเป็นกำเนิด
สังฑตธาตุ กับ อสังฑตธาตุ ใช่ Particle กับ Antiparticle หรือเปล่าเจอกันจะสลายหายไปสิ้นคือแปลงร่าง ตาม Quamtum Physics ไอสไตล์
Quantum ก็เป็นแค่รูป เพราะมีคนเคยถามพระอาจารย์คึกฤทธิ์แล้ว ท่านตอบว่า มันก็เป็นแค่รูป ไม่ว่าจะละเอียดเล็กขนาดไหน ก็ตาม ยังไงนักวิทยาศาสตร์ ก็ไม่มีทางค้นเข้าไปเจอ เพราะ อสังขตธาตุ ไม่อยู่ในภพ3
สรุปเราเป็นอะไรกันนเเน่ครับ อยู่ดีก็อยากมาเกิดเเล้วก่อนที่เราจะเกิดชาติเเรกนั้นเราอยู่ไหนครับ มีหลักฐานอะไรที่มาบอกว่าทฤษฎีที่พระพุทธเจ้าคิดนั้นถูก
คริสเชื่อพระเจ้าเป็นผู้สร้าง
พุทธเชื่อว่า อวิชาเป็นผู้สร้าง
วิทยาศาสตร์ เชื่อว่า บิกแบงเป็นผู้สร้าง
ทั้งหมดเป็น ทฤษฎี ของแต่ละความเชื่อ
ไม่สามารถบอกได้ว่าใครถูกต้อง จนกว่า จะพิสูจน์ด้วยการลงมือ ทำตามขั้นตอนที่แต่ละสายได้ อธิบายไว้ จนกว่าจะผ่านไปทีละขั้นตอนจนถึงปลายทาง ก็จะรู้ได้ด้วยตนเองว่า สิ่งที่ฟังมานั้น เป็นจริงหรือไม่
แม้ปัจจุบัน ทั้งสาม สาย ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้โดยใช้เพียงความเชื่อ
แต่ต้องใช้การลงมือทำครับ
ไม่ว่าจะใช้แพไม้ เรือแคนนู หรือ เรือสำราญ ก็สามารถพาไปถึงฝั่งแม่น้ำได้
แต่จะไปถูกท่าเรือที่มีบันใดให้ก้าวขึ้นไปบนฝั่งได้หรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่อง ถ้าผิดก็ต้องพายวนหากันต่อไป
คืองี้ อย่ามองเป็นเส้นตรง พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสถึงชาติแรกก็เพราะ "ชาติ" เป็นแค่ตัวแทนของอวิชชาและตัณหา พูดให้ง่ายคือ อวิชชาและตัณหา มันพยายามก่อสังขารขึ้นมาเพื่อให้สนองเจตนาของมัน เรียกได้ว่า "เวลา" เป็นเพียวตัวแทนให้สังขารมันเคลื่อนไหว
ทีนี้ เมื่ออวิชชาและตัณหามันอยู่ มันเลยสร้างสังขารที่เป็นตัวแทนของมันคือร่างกายขึ้นมาเรื่อย ๆ คือตัวชาติ ซึ่งมันทำให้เกิดแล้วเกิดอีกและหาจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดไม่ได้ เพราะเมื่อมองไปในการเกิด มันก็จะมีแต่การเกิดและการเกิดและการเกิด โดยมีตัวอวิชชาและตัณหานี่แหละหนุนหลัง
เพราะฉะนั้น ถ้าเรามองว่าชาติ มาจาก 1 จะหาคำตอบอะไรอีกหลาย ๆ อย่างไม่ได้เลย แต่ถ้ามองว่าชาติ มาจากอวิชชาและตัณหา และมันเป็นตัวแทนที่สร้างนามรูปหรือร่างกายคน,สัตว์,เทวดา เป็นต้นขึ้นมาเป็น represent ของมัน เราจะรู้เลยว่าจุดกำเนิด ไม่ได้นับจากซ้ายไปขวา หรือ 1 ไป 10 แต่จุดกำเนิด ไม่มีการนับ เพราะถ้าเอาสมการของพระพุทธเจ้ามาตั้งเลยว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนั้นจึงดับ จะนึกออกเลยว่าชาติ คือ สภาวะที่มันมีอยู่แล้วและมันเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อย ๆ ตามตัณหา ไม่ได้นับจาก 1 มองดี ๆ
กฎเวียนว่ายตายเกิดมันมีมาเพราะความยุติธรรม ต้องอาศัยกรรมจากชาติที่แล้วมาเกิดเป็นเงื่อนไขบังคับชาติที่100 มาจากชาติ99 ชาติที่9 ต้องมาจากชาติที่10 ไล่ลงจนถึงชาติที่1 แล้วมันวงกลมตรงไหน ! คำถามไฟล์บังคับที่จะต้องตอบ โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ กรรมกับคนอะไรมาก่อน ซึ่งมันเท็จตั้งแต่ต้นแล้ว
สรรพสิ่งโลกจักรวาล ภพต่างๆในหลักพุทธ เป็นมโนธรรมครับ(ก็คือมีมโน)
ศาสนาเป็นเรื่องของคนจิตอ่อน
พี่ต้องมีที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวทางใจ
ไม่เช่นนั้นอาจจะถึงขั้นวิกลจริต
นี่คือประโยชน์อย่างยิ่งของศาสนา
แต่ถ้ามันมากเกินพอดี ก็จะทำให้คิดว่า
เป็นนั่นเป็นนี่ บรรลุเป็นอันนั้นอันนี้
ความคิดสังขารและวิญญาณความรู้สึก
คือสัญญาณไฟฟ้าและปฏิกิริยาเคมี
ในสมอง สมาธิ ฌาน และสภาวะต่างๆ
ล้วนเป็นสมองปรุงแต่งขึ้นมาทั้งนั้น
มันไม่ใช่เราตั้งแต่เริ่มแล้วครับ
สรุปง่ายๆในแบบความเข้าใจของผมนะ คือเราไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่าชาติแรกมายังไง เพราะมันเกินขีดจำกัดความสามารถมนุษย์. ให้ไปเน้นการกระทำปัจจุบันให้ดีที่สุดที่กว่า ตั้งใจปฏิบัติให้บรรลุมรรคผลในปัจจุบันดีกว่า. การที่มัวแต่ไปหาชาติแรก ก็ไม่ต่างกับการที่เราสงสัยในบาปครั้งแรกที่เราทำไปว่าทำไรไป แทนที่จะเลิกคิดแล้วเน้นทำความดีเข้าแทนในปัจจุบันดีกว่า🙏🙏🙏
ขอโทษนะครับ ผมคิดว่ามันสำคัญครับ
เพราะว่าบาปแรก (การกระทำแรกที่ทำให้คุณเกิด) ที่คุณว่า คุณจะไปทำมันตอนไหน
เพราะคุณยังไม่มีตัวตนอยู่เลย แต่ถ้าคุณมีตัวตนอยู่แล้ว คุณจะมีได้ยังไงในเมื่อคุณยังไม่ทำบาปแรก (การกระทำแรกที่ทำให้คุณเกิด)
มันจึงมีความสำคัญมาก เราไปทำกรรมอะไรมา เราถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์
ผมว่าถึงมันจะนานแค่ไหน เราก็เปรียบเทียบได้ เพราะภพภูมิมีไม่กี่ภพ คุณว่าจริงไหม
@@ไม้ซีกไม้ซุงจริงๆอาจจะไม่ใช่บาปก็ได้ มันเป็นสิ่งที่จิตเราไปยึดมั่นเอง จึงทำให้มีการเกิด แต่ถึงจะเป็นบาปจริงๆ เราเวียนว่ายตายเกิดมาไม่รู้กี่ชาติ ปานนี้ก็คงชดใช้หมดแล้ว(ถ้าไม่ใช่กรรมหนักจริงๆ) แต่ก็คงยาก เพราะจิตเพียวๆ จะไปทำกรรมหนักอะไรได้ ดังนั้นสิ่งที่เค้าบบอกว่า มันไม่ต้องไปรู้หรอก เน้นการกระทำในปัจจุบันสำคัญกว่านั่นก็ถูกแล้ว เพราะการจะพ้นทุกข์ได้ก็อยู่กับการกระทำในปัจจุบัน และถึงจะรู้ได้ว่า เราทำอะไรไว้ถึงได้เกิดมา มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ก็ได้แค่รู้แค่นั้น เปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว และไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์อะไรด้วย
ในคลิบไม่ได้พูดแบบนี้ครับ อันนี้คือที่ พระทั่วๆไปตอบเรื่องชาติแรกคือไม่ให้ไปสนใจหาคำตอบ แต่ในคลิบอธิบายผมก็ยังไม่เข้าใจ พอจะสรุปให้ได้ไหมครับ
ควรแจงแยกเป็นเรื่องๆไปนะครับ เพราะท่านพุทธะบอกไว้ว่าทุกสิ่งล้วนแล้วมาจากเหตุ จุดเริ่มทุกสิ่งของเหตุจึงควรมี..?
@@youknowwhoamI786 สรุปไม่ได้ครับ เพราะในคลิปอธิบายผิด ไม่ต้องตามพระสูตร
เราไม่มีชาติแรก เพราะความเป็นเรามันไม่ได้มีแก้นสารอะไรมาบอก ความเป็นเราเหมือน ก้อนเมฆ เมฆกลายเป็นฝน ฝนกลายเป็น ไอน้ำ ไอน้ำกลายเป็นเมฆ จะสืบสาวว่าชาติแรกของก้อนเมฆก้อนนี้คืออะไร มันทำไม่ได้ เพราะคำว่าก้อนนี้ มันเป็นสิ่งที่เราสมมติขึ้น เรานับเอาเองว่า ไอน้ำในอากาศใกล้ๆกันนี้คือก้อนเดียวกัน
วัตถุแรกกำเนิดขึ้นมาในสังสารวัฏได้อย่างไรเพราะก่อนจะมีวัตถุแรกก่อนหน้านั้นย่อมต้องว่างเปล่าในสภาวะว่างเปล่าย่อมต้องคงที่เป็นนิรันดร์แต่ความจริงที่เห็นมีวัตถุมากมายมีบางอย่างไม่ถูกต้องในสมการบางอย่างหายไป(วิเคราะห์ตามหลักความน่าจะเป็นไม่ได้กล่าวละเมิดความเชื่อใครทั้งสิ้น)
สิ่งที่พูดมาทั้งหมดนั้นอะครับ
มันเป็นระบบเลยนะ ระบบ เวียนว่ายตายเกิด แล้วระบบนี้อะครับมันเกิดมายังไง? ทำไมถึงมีระบบนี้ได้?
ต้นต่อมาจากวิญญาณ แล้ววิญญาณละ มันมีจริงหรอ ใครเป็นผู้กำหนดเรื่องวิญญาณ? มันเกิดขึ้นเองหรอ วิญญาณ? ตอบ มาจากสังขาน
แล้วเจ้าสังขาน คืออะไร มาจากไหนอีก ใครเป็นผู้กำหนดให้มันมาอีก? . . . สุดท้ายมาจาก อวิชา!!!?
แล้วอวิชา มันเกิดขึ้นเองหรอ?
มาถึง 5 พบอีก
มี นรก สวรรค์ โลก แล้วพวกนี้มันมาจากไหน?
อยู่ดี ๆ ระบบทั้งหมดทั้งมวลนี้มันจะเกิดขึ้นมาเองหรอ คนบนโลกที่ชั่วช้า ไปตกนรก คนบนโลกที่ทำแต่ความดี ไปสวรรค์
เห็นว่ามันคือระบบ มันเป็นระบบ มันจะเกิดมาเองได้ไง?
สรุปทั้งหมดที่ว่ามามันเป็นระบบมาก ผมไม่ได้ว่าสิ่งที่ศาสนาพุทธเชื่อผิดนะครับ แต่ละศาสนามีคำสอนของตัวเอง มีคำภีร์
แต่ทั้งหมดนี้ผมคิดว่ามันเกิดขึ้นด้วยตัวมันเองได้เพียงแค่นั้นครับ
ถ้าเป็นศาสนาที่เชื่อพระเจ้า เค้าจะสรุปว่าทุกอย่างมาจากพระเจ้า
แล้วจะมีคำถามต่อมาว่า พระเจ้ามาจากไหน พระเจ้ามีจริงหรอ?
อย่างเช่นศาสนาอิสลาม ก็มีคัมภีร์ที่ให้พิสูจน์ว่าพระเจ้ามีจริง เมื่อพิสูจน์เสร็จแล้ว เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่เรา
ส่วนของพุทธนั้นผมก็ศึกษาครับ เค้าบอกว่าเชื่อไม่เชื่อ ให้มาพิสูจน์เหมือนกัน แต่จะเป็นการพิสูจน์ที่ไม่เหมือนศาสนาอื่นที่ให้พิสูจน์จากคำภีร์ แต่จะเป็นการพิสูจน์โดยการทำสมาธิ แล้วไปเห็นนู้นเห็นนี้(ขอโทดด้วยครับผมจำไม่ได้ว่าเรียกว่าอะไร) การนั่งสมาธิสูจน์นั้น
ความคิดผม มันเหมือนการหลับ แล้วจิตเราที่นึกถึงเรื่องนั้น ๆ ปรุงแต่งมันขึ้นมากลายเป็นความฝันขณะนั่งสมาธิ(กรณีหลับ) หรือกรณีไม่หลับก็จะปรุงแต่งขึ้นมาเหมือนกัน เพราะคนเราขณะปิดตานั้น แสง เงา เรายังรับรู้ได้ ด้วยแสงและเงานี้ ทำให้เราปรุงแต่งมันขึ้นมาด้วยหรือถ้าไม่ใช่การปรุงแต่งจริง ระบบนี้มันก็เป็นระบบที่ผู้สร้างให้เรามาว่าเมื่อหลับตาทำสมาธิจะเห็นสิ่ง ๆ นั้น
เมื่อรองสรุปแล้ว คัมภีร์ ที่เป็นคำสอนกลับใช้พิสูจน์ไม่ได้ ต้องทำสมาธิถึงจะพิสูจน์ได้ และจิตปรุงแต่งของเราก็คงไม่มีใครเหมือนกัน แต่ทั้งหมดนี้ผมไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อนะ เพราะในศาสนาอิสลามก็มีบอกไว้ คนชั่วเวลาตายก็จะพบกับมลาอีกะผู้สอบสวน บาป-บุญ ที่หน้ากลัว คนดีก็จะพบกับมาลาอีกะที่หน้ารักใจดี นั่นบ่งบอกว่า รูปลักษณะต่าง ๆ ของเทวทูตมันก็ขึ้นอยู่กับบุคคลนั้นเหมือนกัน
สรุป จบ ผมเชื่อว่าทุกอย่างมันเป็นระบบเกินไปที่จะเกิดขึ้นเอง ดังนั้นต้องมีผู้ควบคุมระบบ ผู้สร้างระบบ ส่วนผู้นั้นคือใคร แต่ละศาสนาก็ไปหากันเอง
ไก่ กับ ไข่อะไรเกิดก่อนกัน.....สิ่งเหล่าๆนี้..ครูอาจารย์บอกสั้นๆว่า..อย่าไปคิด..เคยดือ คิดทั่งวันทั่งคืน....เกือบบ้าดีกลับมาได้...มันเกินกำลังสติปัญญา ปุถุชนคนธรรมดาเดินดินอย่างเราจริงๆ
ค้นหาอนุภาคที่เล็ก ก่อนดีกว่าใหม มนุษย์ประกอบด้วยรูปและนาม รูปหรืออนุภาคเล็กสุดที่มีเครื่องมือในปจัจุบันเจอคือคว๊าก เล็กกว่าค๊วากกระทั้งไม่เหลือรูปมีแต่นาม นามต้องใช้นามเข้าไปดูจึงจะเห็น(จิตคือนามธรรม) การหาจุดเริ่มของนามหาอย่างไรถึงจะเจอจุดเริ่มและสุดของนามธรรม
จุดเชื่อม ระหว่าง นาม กับ รูป คือ วิญญาณ
ขออนุญาติเสริมนะครับ
1.พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสเรื่องภพชาติแรกเลยเพราะไม่มีประโยชน์ และก็ไม่ใช่เรื่องที่ทรงแสดงเรื่องมนุษยในต้นกัปนะครับ ก็เพราะมีกัปที่ถูกทำลายมาก่อนหน้านั้นแล้ว ใน(อัคคัญญสูตร)
2.ในปฏิจจสมุปบาท อวิชชาคือความไม่รู้ในธรรมมี 8ประการ มีความไม่รู้ในสัจจะ4 เป็นต้น
3.สังขาร ในปฏิจจสมุปบาท ท่านมุ่งหมายเอา เจตนาเจตสิก ที่ประกอบกับจิต มี 6 คือ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร กายสังขาร วจีสังขาร เซ็นสัญญา
4.วิญญาณ ในปฏิจจสมุปบาท คือ จิต
5.นามรูป ในปฏิจจสมุปบาท นาม คือ เจตสิกขันธ์3 ( เวทนาเจตสิก สัญญาเจตสิก สังขารเจตสิก ) รูป คือ กัมมชรูป (รูปที่เกิดจากกรรม)
6.สังขตธรรม คือ สภาวะธรรมที่ถูกปรุงแต่ง มี คน สัตว์ สิ่งของ เป็นต้น , อสังขตธรรม คือ สภาวะธรรมที่ไม่ถูกปรุงแต่ง ได้แก่ พระนิพพาน อย่างเดียว
ผมดีใจนะที่มีคนหนุ่มสาว สนใจธรรมะมากขึ้น แต่ถ้าจะให้ดีก็ยากให้ศึกษาในสถานที่ที่มีการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ อย่างหลักสูตรพระอภิธรรมบัณฑิต แบบเรียนทางไปรษณีย์ หรือออนไลน์ก็มีนะครับ
ขออนุญาตเรียนถามข้อสงสัยข้อนึงครับ คือ ผมสงสัยว่า จิตเข้ามารับรู้ความรู้สึกจากระบบประสาทในร่างกายได้อย่างไรครับ
หรือจิตเข้ามายึดที่ศูนย์รวมประสาทในสมอง แล้วทำไมการยึดของจิตกับร่างกายจึงเหนียวแน่นมาก ต่างจากวิญญาณเข้าสิงร่าง หรือสิงอยู่ตามต้นไม้หรือศาลพระภูมิ
คำถามของผมอาจดูประหลาด แต่ผมสงสัยจริงๆครับ และไม่เคยได้รับคำตอบที่ทำให้เข้าใจได้เลยครับ
ภพ-ชาติ คือการเกิดดับของการปรุงแต่ง สังขาร กรรมนั้นจะส่งผลไปสู่ภพภูมิต่างๆ ณ เวลาปัจจุบัน ย้ำว่าเวลาปัจจุบันเท่านั้น หรือตามสุตตันตปิฎกในกรณีที่ยังไม่มีฌาน แต่เมื่อมีฌานแล้วอาจมี 84,000 ได้โดยอัตโนมัติโดยที่ไม่ต้องอ่าน เป็นธรรมทานนะท่านผู้เจริญอ่านแล้วห้ามจำโดยเด็ดขาด อนุโมทนาในการสร้างเหตุอันเป็นกุศล
@@notavailสาธุ กับท่านผู้เจริญ จิต มีความหมายหลายนัยยะ…
วิญญาณ คือ ผัสสะ 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ค่อยรับรู้ส่งกระแสประสาทเข้าสู่สมองส่วนต่างๆ ยกตัวอย่าง มีสติเท่ากับมีวิญญาณ ไม่มีสติเท่ากับไม่มีวิญญาณไม่รวมถึงการนอนหลับนะ การนอนหลับเป็นการพักสมองแค่บางส่วนแต่วิญญาณ ผัสสะ 6 ยังทำงานปกติ
ส่วนผู้ที่ไม่มีชีวิตแล้ว เท่ากับไม่มีสติถาวร และเท่ากับไม่มีวิญญาณถาวรในภาษาสื่อสารทางบาลีด้วย น่าจะมองภาพออกนะท่านผู้เจริญของคำว่า วิญญาณ คืออะไรกันแน่
จิต มายึดศูนย์รวมประสาทได้อย่างไร..
จิตมีความหมายหลายนัยยะ ถ้าให้อธิบายแบบสั้นๆ จิตเป็นกระแสประสาทก็ได้ จิตเป็นเซลล์รับรู้ความรู้สึกก็ได้ จิตเป็นเซลล์ประสาทก็ได้ จิตเป็นความคิดก็ได้ และจิตเป็นสติก็ได้ แต่ทั้งหมดถูกบรรจุใว้ในสมองหรือ สัญญา(ความจำ) ถ้าเห็นไม่เท่าทันจะเห็นว่านั้นคือ เรา เมื่อมีเราแล้วก็จะมี ตัวเรา(ร่างกาย)ตามมาและจะยึดอีกหลากหลายตามมาน่าจะพอมองภาพออกนะท่านผู้เจริญ
จริงๆถ้าใช้ ขันธ์5 อธิบายเป็นภาพจะเห็นได้ชัดกว่านี้ แต่ถ้าจะให้เร็วฝึกกรรมฐานให้มีฌานจะเห็นทุกอย่างได้หมดในทุกคำถามโดยไม่ต้องอ่านให้เสียเวลา ตัวอย่าง อ่านฉลากยาแต่ไม่ได้กินยาจะไม่หาย หรือมีคนแนะว่ากินยานี้จะช่วยได้แล้วก็กินยานั้นเลยโดยที่ไม่อ่านฉลากยานั้นคือคำอธิบาย อย่าเชื่อแต่ท้าให้พิสูจน์ ตามพระสูตร กาลามสูตร
ช่วยตนเองได้แล้ว จะส่งผลช่วยผู้อื่นได้และช่วยสังคมได้ในกาลต่อไป เป็นธรรมทาน อ่านแล้วห้ามจำโดยเด็ดขาด อนุโมทนาในการสร้างเหตุอันเป็นกุศล สาธุ
@@pichayasakunnee5692 ขอบพระคุณมากครับ ขอความกรุณาช่วยแนะนำแนวทางในการเข้าฌานด้วยครับ ไม่ทราบว่าใช้อานาปานสติได้ไหมครับ
@@notavail
ผมไม่แน่ใจว่าจะสามารถไขข้องใจได้หรือไม่นะครับ แต่จะอธิบายตามที่ศึกษามานะครับ
จิตในที่นี้หมายถึง สภาพรู้ หรือ นามธรรม ครับ
โดยธรรมมะจะแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ รูปธรรม กับ นามธรรม ครับ
รูปธรรม หมายถึง สภาพที่ไม่รู้อะไร เช่น แข็ง สี เสียง เป็นต้น
นามธรรม หมายถึง สภาพรู้ ได้แก่ จิต เจตสิก และนิพพาน
จิต เป็นสภาพรู้อย่างหนึ่ง เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้ รู้แจ้งในอารมณ์ที่รู้ เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น เป็นต้น
เจตสิก เป็นสภาพรู้อย่างหนึ่ง เกิดร่วมกับจิต เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต อาศัยจิตในการเกิด มีหลายประเภท เช่น สัญญาเจตสิก (ความจำ) เวทนาเจตสิก (ความรู้สึก สุข-ทุกข์) เป็นต้น
นิพพาน เป็นสภาพรู้อย่างหนึ่ง เป็นสภาพที่ดับจากกิเลส หรืออวิชชาได้สิ้นเชิง เป็นธรรมมะ และเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล หรือตัวตน
นอกจากคำว่าจิตแล้ว ยังมีอีกหลายคำที่มีความหมายเหมือนกัน หมายถึงสิ่งเดียวกัน เช่น ใจ มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มนะ มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนวิญญาณธาตุที่เกิดแต่ผัสสะ เป็นต้น ดังปรากฏใน ขุททกนิกาย มหานิทเทส ปสูรสุตตนิทเทสที่ ๘ ข้อ ๓๑๙ ครับ
ดังนั้น จิต หรือ วิญญาณ จึงหมายถึงสิ่งเดียวกันครับ และเพราะว่ามีสภาพรู้เกิดขึ้น จึงมีความยินดี พอใจ จึงยึดถือว่าเป็นเรา เป็นของเรา เป็นเหตุให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น เป็นอัตตาขึ้นมาครับ ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นเพียงสภาพธรรมมะอย่างหนึ่ง ที่เพียงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเท่านั้นครับ
ขออนุโทนาครับ
พระพุทธเจ้า บอกว่า เราและพวกเธอทั้งหลาย ได้ท่องเทียวมาแล้ว ตลอดกาลยืดยาวนาน โดยอุปมาว่า ..มีภิกษุ 4รูป ดูกัปที่ล่วงไปแล้ว ได้ วันละ 100,000 กัป ดูไปจนตลอด100ปี แล้ว ภิกษุ4 รูป รูปละ 100ปี ดูไปแล้ว 14,000,600,000,000 สังสารวัฏ ยัง มีอีก ยังไม่จบ!! พระองค์ ไม่ให้เราไปสนใจ ให้ เรา เร่งความเพียร ปฏิบัติ ให้ถึงที่สุดทุกข์ โดยเร็ว ไม่ได้ให้ไปสนใจ ว่า เรา มาจากไหน ใครสร้าง เรา มา !! ให้รู้ อย่างเดียวว่า นี้คือทุกข์ นี้คือเหตุแห่ง ทุกข์ นี้คือความดับแห่งทุกข์
นี้คือทางดำเนิน ให้ถึงความดับแห่งทุกข์ และให้ ทำที่สุดแห่งทุกข์ ของตนๆ เถิด...🙏
ก็คือไม่รู้นะเอง
@@kumakuma5045 จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ เปรียบเหมือนกับว่าต้องไปค้นอ่านหนังสือทั้งห้องสมุดทั่วโลก คุณคิดว่าคุณไหวมั้ย เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่าครับ
เอ้าถ้าเป็นเรื่องโกหกหล่ะ
@@kumakuma5045เหมือนอธิบายทฤษฎีความตั้มให้เด็กอนุบาลฟัง อธิบายไปก็ใร้ประโยชน์
คำถามจริงๆคือ จะรู้ไปทำไม
@@ajwa9111 ทุกอย่างเป็นแค่สิ่งปรุงแต่งไม่มีอะไรจริงสักอย่างครับลุง
เป็นการเปลี่ยนแปลงของธาตุธรรมชาติอย่างหนึ่ง ค่อยๆพัฒนาแบบสุ่มไปเรื่อยๆจนกลายเป็นสิ่งต่างๆ เป็นแร่ธาตุ เป็นดวงดาว เป็น โลก และบางส่วนพัฒนาวิวัฒนาการ จนเป็นสิ่งมีชีวิตต่างๆและมีธาตุรู้มาอิงอาศัย เรียนรู้ประสบการณ์ในทุกๆสิ่ง ในทุกการเกิด และการตาย เมื่อประสบการณ์มากจนเกิดความเบื่อหน่าย จนค้นพบ รู้ความจริงของสังขารร่างกาย รู้ความจริงของจิต สิ่งเหล่านี้ ทีเฝ้าสังเกตุอยู่ จึงปล่อยวาง จิตสงบเบาสบาย เมื่อถึงเวลาสุดท้ายของชีวิต ธาตุรู้ก็หลุดออก จากซากศพ แล้วดำรงอยู่อย่างสงบแต่มีประสบการณ์มากมาย เป็นวิชชา ก็จะไม่เพลอไปอิงแอบสังขารมาเกิดอีก
ก็คือตามแบบวิทย์แต่มีธาตุรู้โผล่ขึ้นมา แต่นี่ไม่อยู่ในพระไตรและในคลิบก็ไม่ได้พูดแบบนี้นะ
ตัวธาตุเองก็มีการยึดเหนี่ยวซึ่งกันและกันอยู่ภายในเช่นกันจึงคงรูปร่างคงสภาวะคงสถานะ ให้คุณสมบัติแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับรูปแบบของพันธะที่ยึดติดเกี่ยวพันกันแตกต่างกันไปในรูปแบบที่ต่างกัน อาศัยอยู่ร่วมกันเมื่อเป็นแบบเดียวกันก็คงรูปคงคุณสมบัติเดียวกันอยู่ร่วมกันได้ เมื่อแยกย่อยสลายโครงสร้างลงไปก็ไม่ต่างกันกับธาตุรู้เช่นกัน มันคือสภาวะพึ่งพาอาศัยกันดำรงค์อยู่และแปรเปลี่ยนกลับไปมาอยู่ได้ตลอดเวลาเมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อม ที่สุดก็มาจากสิ่งเดียวกัน มันคือวิวัฒนาการ เรียนรู้ ปรับตัว เปลี่ยนแปลง พัฒนารูปลักษณ์ แล้วก็อาศัยซึ่งกันและกันดำรงค์อยู่ และเป็นไปได้ทั้ง 2 ทาง คือทั้งทางเจริญ ยกระดับขึ้น และทางเสื่อม ต่ำทรามลง ตั้งแต่หน่วยเล็กๆ พึ่งพาอาศัยกันจนกลายเป็นหน่วยที่ใหญ่ขึ้น ทั้งส่วนที่ละเอียดไม่สามารถจับต้องได้จนไปถึงส่วนที่หยาบคงรูปได้ เกาะกลุ่ม รวมกันอยู่ร่วมกัน พึ่งพาอาศัยกัน จนไปถึงระดับอวกาศ บรรยากาศ ดวงดาว ดาราจักร กาแลคซี่ และเอกภพ
ใช่หรือไม่ ก็พิจารณาเอา โดยความรู้ทางโลก และความรู้ทางธรรม ควบคู่กันไปก็จะได้คำตอบของทุกสรรพสิ่งว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ เป็นแนวทางในการค้นหาข้อสรุปต่อไป ว่าจะเป็นจริงไปตามกรอบของความคิดนี้หรือไม่ หลายๆ ทฤษฎี หลายๆ สมมติฐาน เป็นแนวทางของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่จะทำการค้นหาทดลองค้นคว้ากันต่อไปเพื่อหาข้อสรุป รอการพิสูจน์
ดังนั้นคำถามว่ามีชีวิตอยู่เท่าใดในจักรวาลนี้ ก็จะเห็นว่ามันมากมายไม่มีสิ้นสุดเพราะวิวัฒนาการได้ต่อไปเรื่อยๆ หาจุดจบไม่ได้
ชายสิบคนนั่งล้อมวง...คนไหนคือคนแรก มันเปนวงกลมจึงหาจุดเริ่มไม่ได้ครับ
ไปฟังหลวงปู่ดุล ในยูทูป จะได้คำตอบ
ผัสสะคือกะกระทบของอายตนะภายในและภายนอกคือ ตากระทบรูปหูกระทบเสียงฯ
สฬายตนะก็คืออายตนะภายนอกภายใน หรืออินทรีย์ 6 หรืออารมณ์ 6 (ภายนอกภายใน) คือหูตาจมูกลิ้นกายใจ และรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสและธรรมอารมณ์ สฬายตนะไม่ใช่ตาเห็นรูปหูได้ยินเสียงนะครับ อะนนั้นคือผัสสะ เมื่อกระทบกันแล้วจึงถูกเรียกว่าผัสสะ ส่วนปฏิจจสมุปบาทนั้นก็มีทั้งสายเกิดและสายดับ ควรจะรอบคอบมากกว่านี้นะครับในดารแสดงธรรมเพราะอาจทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดได้
การค้นหาชาติแรกมันไร้สาระค้นหาไปก็ไม่พ้นทุกข์ เปรียบเทียบว่าเราหิวข้าวแล้วสั่งผัดกระเพราไข่ดาวมา เราจะกินให้หายหิวหรือเราต้องถามถึงว่าข้าวมาจากไหนใครคนปลูก แม่ค้าชื่ออะไร ไข่ดาวเอามาจาก ไหนเนี้อที่เอามาผัดซื้อจากตลาดไหน🤣
รู้ไปแล้วได้อะไร ต้องรู้ทำไมว่าชาติแรกมาจากไหน สิ่งที่ควรรู้คือณตอนนี้เวลานี้ จะถกเถียงกันให้มันได้อะไรขึ้นมา
มันอยู่ที่ว่าคุณเชื่อรึเปล่า ถ้าไม่เชื่อ ก็คือ จบ พูดกันเรื่องไร้สาระ คนเมากาวคุยกัน , แต่ถ้าคุณเชื่อ มันก็จะเป็นทางที่สามารถทำให้คุณไปสู่นิพพาน เพื่อจะได้ไม่ต้องวนเวียน เกิด ตาย เจอกับความทุกข์ กลายเป็นเหมือนกับ อะไรซักอย่างที่ตั้งอยู่ ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มีตัวตนและไม่มีตัวตนในเวลาเดียวกัน 😁
ส่วนไอเรื่องตอนนี้เวลานี้ เขาก็บอกคุณอยู่ไง ตอนนี้ เพื่อที่จะได้รู้ตอนนี้แล้วจะได้ปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่นิพพาน , เริ่มต้นตั้งแต่ตอนนี้ หรือจะเลือก เวียนว่ายตายเกิดต่อไป ก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละคน
มันก็มีคนที่อยากรู้แล้วเอาไปใช้ประโยชน์แก่ตนเอง อาจจะนำมาปรับการใช้ชีวิต มีเหตุผลอ้างอิง การถกเถียงกันเพื่อให้ได้คำตอบเป็นเรื่องดี ไม่งั้นนักวิทย์มันจะอยากรู้คำตอบของทุกสิ่งบนโลกหรอ อีกอย่างมันไม่ใช่เรื่องไร้สาระเลย
@@khunbird6870 เป็นประโยชน์/ไร้สาระหรือไม่ อยู่ที่มุมมอง แต่ผมไม่เห็นด้วยนะ ถ้าเรื่องที่มาเถียงกันมันไม่ใช่เรื่องจริงตั้งแต่แรก นั่นหมายความว่า ไม่ว่าผลลัพธ์ของการเถียงจะเป็นยังไง มันก็ไม่ใช่เรื่องจริงอยู่วันยังค่ำ , ส่วนใครอยากรู้คำตอบของทุกสิ่งบนโลก? ใช่ ดร.เฟร้าส์ ที่ขายวิญญาณให้ เมฟิสโต้ เพื่อแลกกับความรู้ทั้งมวลบนโลกป่ะ? โลภไปนะ ผมว่า แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เฉพาะบนโลกหรอก เรื่องนิพพานนั้น ระดับจักรวาล
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่ดูfantasyขนาดนี้คือความจริงหรอครับ ผมเชื่อไม่ลง 🙏