'บองบอง' ลูก 'เผด็จการ' ผู้โหดเหี้ยม 'มาร์กอส' ทวงคืนบัลลังก์ | 12-05-65 | ข่าวด่วนทันเหตุการณ์

แชร์
ฝัง
  • เผยแพร่เมื่อ 10 พ.ค. 2022
  • คำอธิบาย:
    อ่านเนื้อหาข่าวเพิ่มเติมได้ที่ : thunyamchaonews.weebly.com/bn...
    การเลือกตั้งฟิลิปปินส์มีขึ้นเมื่อวันที่ 9 พ.ค. และผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์อย่างไม่เป็นทางการออกมาว่า Ferdinand Marcos Junior หรือ Bongbong Macros กำลังจะได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่ 17 ของฟิลิปปินส์ ท่ามกลางกระแสว่า นี่อาจเป็นฝันร้ายครั้งใหม่ของฟิลิปปินส์
    ผลเมื่อ 10 พ.ค. มากกว่า 95% ที่ได้นับคะแนนโหวตไปแล้ว บองบอง มีคะแนนโหวตประมาณ 30 ล้านเสียง ในขณะที่ขู่แข่งของเขาตามมาเป็นอันดับที่ 2 เลนี โรบรีโด (Leni Robredo) ด้วยคะแนนโหวตประมาณครึ่งหนึ่งของเขา ที่ประมาณ 14.7 ล้านเสียงเท่านั้น
    การเลือกตั้งครั้งนี้เรียกได้ว่า บองบอง ได้เอาชนะแบบ Landslide ถล่มทลายมาก ๆ เลยทีเดียว โดยการเลือกตั้งครั้งนี้ มีคนมาใช้สิทธิ์ถึงประมาณ 67 ล้านคนเลยทีเดียว
    บองบองได้ออกมากล่าวต่อผู้ที่สนับสนุนเขา ว่า ฉันหวังว่าคุณจะไม่ผิดหวังที่เชื่อใจเรา
    นอกจากนี้เขาได้กล่าวว่า มันมีเรื่องต่าง ๆ เยอะแยะมากมายที่ต้องทำ และกล่าวว่า ความพยายามที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ไม่เกี่ยวกับข้องกับใครคนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียว
    ซึ่ง Ferdinand Marcos Jr. หรือ บองบอง ได้กลายมาเป็นผู้สมัครคนแรกในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของฟิลิปปินส์ ที่ได้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างถล่มทลาย ซึ่งนี่ก็จะเป็นการเปิดทางสู่การหวนกลับคืนมาของตระกูลที่มี “ชื่อเสีย” มากที่สุดในประเทศ
    สำหรับเรื่องตระกูลของเขา เขาได้ออกมาบอกว่า อย่าตัดสินฉันจากบรรพบุรุษ แต่ให้ตัดสินที่การกระทำของฉัน
    บองบองเป็นลูกคนที่ 2 และเป็นลูกชายคนเดียวของอดีตประธานาธิบดีเผด็จการ Ferdinand Marcos และอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง Imelda Marcos โดยเขาเกิดในปี 1957 ขณะนี้อายุ 64 ปี
    Ferdinand Marcos ผู้พ่อ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีในปี 1965 เขาริเริ่มโครงการงานสาธารณะ และการเรียกเก็บภาษีที่ขูดรีด
    มาร์กอสและรัฐบาลอ้างว่า พวกเขาสร้างถนนมากกว่าผู้นำคนก่อน ๆ ทั้งหมดรวมกัน และมีโรงเรียนมากกว่ายุคสมัยของผู้นำคนอื่น
    ท่ามกลางข้อกล่าวหาเรื่องการซื้อเสียงและโกงการเลือกตั้ง มาร์กอสได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งในปี 1969
    ภายใต้การปกครองของมาร์กอส ความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้นระหว่างคนรวยมากกับคนจนมาก ได้ทำให้เกิดอาชญากรรมและความไม่สงบขึ้นทั่วประเทศ ในไม่ช้ามาร์กอสก็ใช้ประเด็นเรื่องการเพิ่มขึ้นของกลุ่มติดอาวุธและความไม่สงบในประเทศ เป็นเหตุผลในการประกาศ “กฎอัยการศึก” ในปี 1972
    มาร์กอสถูกสั่งห้ามลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 3 ในปี 1973 แต่มาร์กอสก็ได้อ้างกฎอัยการศึกที่ประกาศก่อนหน้านี้ และเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น เป็นข้ออ้างในการดำรงตำแหน่งต่อ
    ด้วยกฎอัยการศึก มาร์กอสยึดอำนาจการบริหารประเทศ ทำให้เขาควบคุมกองทัพฟิลิปปินส์ได้อย่างเต็มที่ และมีอำนาจในการปราบปรามและยกเลิกเสรีภาพในการพูด เสรีภาพของสื่อ และเสรีภาพพลเมืองอื่น ๆ อีกมาก
    มาร์กอสยังยุบสภาฟิลิปปินส์และสั่งปิดสื่อที่วิพากษ์วิจารณ์การบริหารของมาร์กอส นอกจากนี้ เขายังออกคำสั่งให้จับกุมผู้ต่อต้านและนักวิจารณ์ทางการเมือง รวมแล้วมีหลายพันคนที่ถูกจับกุม ทรมาน และสังหาร ภายใต้อำนาจของมาร์กอส
    ข้อมูลจากองค์กรแอมเนสตี้ องค์กรสิทธิมนุษยชน ระบุว่า ขณะที่มาร์กอสอยู่ในอำนาจ มีศัตรูของรัฐประมาณ 70,000 คนถูกควบคุมตัว ประมาณ 34,000 คนถูกทรมาน และมากกว่า 3,000 คนถูกสังหาร
    ต่อมาในปี 1981 มาร์กอสชนะการเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 3 แต่ชื่อเสียงของเขาย่ำแย่อย่างหนัก ทั้งจากเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ที่ดิ่งเหว ข่าวการลอบสังหารนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม รวมถึงการเปิดเผยบัญชีการเงินที่ร่ำรวยผิดปกติของเขา
    ข้อกล่าวหาทั้งหมดที่สั่งสมกันมา ทำให้ท้ายที่สุด เกิดการปฏิวัติประชาชนในปี 1986 และมาร์กอสต้องทิ้งตำแหน่งประธานาธิบดีและลี้ภัยไปยังฮาวาย อันเป็นการจบยุคสมัย 21 ปี อันเป็นฝันร้ายของชาวฟิลิปปินส์
    ภายหลังครอบครัวมาร์กอสลี้ภัยไป มีการค้นพบทรัพย์สมบัติของครอบครัวมาร์กอส โดยพบงานศิลปะจำนวนมาก พบกล่องใส่เหรียญทอง เครื่องประดับหรูหรา เสื้อคลุมหลายร้อยตัว ชุดเดรส และคอลเล็กชันรองเท้าดีไซเนอร์ชื่อดังจำนวนมหาศาลของ อิเมลดา มาร์กอส อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง รวมทรัพย์สินทั้งหมด คาดว่ามีมูลค่ารวมสูงถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3 แสนล้านบาท)
    เมื่อครอบครัวมาร์กอสได้รับอนุญาตให้กลับมายังฟิลิปปินส์ พวกเขาจึงต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาจำนวนมากเกี่ยวกับทรัพย์สินดังกล่าวที่ดูเหมือนจะได้มาโดยมิชอบ
    มีการวิเคราะห์ว่า ผู้สนับสนุนส่วนใหญ่ของมาร์กอสคือผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เกิดไม่ทันยุคสมัยกฎอัยการศึกของมาร์กอสผู้พ่อ ซึ่งบองบองก็จับจุดนี้ได้ และมีการดำเนินกลยุทธ์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะ TikTok และเฟซบุ๊ก ทั้งในฟิลิปปินส์และต่างประเทศ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่และดึงกระแสเสียงคนรุ่นใหม่ให้เลือกบองบอง
    *ติดตามกันได้ที่
    Facebook : Minenine648
    Instagram : / minenine648_official
    Twitter : / minenineza
    NewD648 : / newd648
    *ดูย้อนหลังทาง
    TH-cam : / thunyamchaonews
    Website : thunyamchaonews.weebly.com
    *อัปเดตข่าวสาร
    Website : สาระยามเช้า.weebly.com
    Website : thunyamchaonews.weebly.com
    #Minenine #ข่าวด่วนทันเหตุการณ์ #BreakingNews #InternationalNews #ข่าวต่างประเทศ #Philippines #Election #PhilippinesElection2022 #BongbongMarcos #FerdinandMarcos #HumanRights #Corruption #ImeldaMarcos #imeldas3000pairsofshoes #LeniRobredo #President #Politics #Landslide #PeoplePowerRevolution #Dictatorship #SaraDuterte #MartialLaw #Marcos #SocialMedia #TikTok #Facebook #newgeneration #Distort #History #RodrigoDuterte #Democracy

ความคิดเห็น •