กว่าจะได้เกิดเป็นคนไม่ใช่ง่าย กรรมเก่าทำให้ใจทุกข์ไม่ได้..ถ้าหมั่นฝึกตน โดย พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
ฝัง
- เผยแพร่เมื่อ 9 ต.ค. 2018
- ตัดทอนมาจาก • เกิดมาเพื่อใช้กรรมจริง...
ขอขอบคุณคลิปต้นฉบับ
กราบระลึกถึงพระคุณของพระพุทธองค์ พระธรรม และพระสงฆ์
กราบขอบคุณครูอาจารย์ทุกท่านที่มอบความรู้เพื่อการนำมาเผยแผ่
ขอขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการจัดทำและเผยแผ่ ภาพ/เสียง/วีดีโอ ฯลฯ เหล่านี้ไว้ในวาระต่างๆ
และขออนุญาตนำมาสืบทอดเผยแผ่เพื่อเป็นธรรมทานสืบต่อกันไป
ดูคลิปอื่นๆ ใน Channel "มือใหม่หลวงพ่อเทียน" ที่ / @satipunya
ผู้ที่ไม่เคยฝึกกรรมฐาน หรือสนใจเรียนรู้เรื่องกรรมฐานและการเจริญสติแบบเข้าใจง่าย!! ดูที่ • [คลิกตรงนี้] ส่วนที่ 2...
---------------------------------------------------------------------------------
Channel "มือใหม่หลวงพ่อเทียน" ไม่มีการรับบริจาคใดๆ ทั้งสิ้น
และไม่มีการรับรายได้ใดๆ ทั้งสิ้น จาก youtube
เพราะฉะนั้น เกือบทุกคลิปที่ upload โดย "มือใหม่หลวงพ่อเทียน" จะไม่มีโฆษณาแทรก
นอกจาก 2 กรณีดังต่อไปนี้ที่ "อาจจะ" มีโฆษณาแทรก คือ
1. เป็นคลิปที่เราไม่ได้ upload เอง แต่เป็นการแชร์คลิปมาจาก Channel อื่นๆ
ซึ่งคลิปเหล่านั้นมีเงื่อนไขในการโฆษณาติดมากับคลิปด้วย
2. เป็นคลิปที่เรา upload เอง แต่ไฟล์ต้นฉบับมีภาพหรือเสียงที่เป็นลิขสิทธิ์ของผู้อื่น
ในกรณีนี้ youtube และเจ้าของลิขสิทธิ์ อนุญาตให้เราเผยแพร่ได้ แต่ "อาจจะ" มีโฆษณาแทรก
และรายได้ต่างๆ (หากจะพึงมีเกิดขึ้นตามเงื่อนไขของ youtube) จะตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์นั้น
สำหรับมือใหม่ที่ฟังแล้วยังสงสัย หรือไม่เข้าใจวิธีการและหลักการในการฝึกฝนเจริญสติ ขอแนะนำให้ดูคลิปใน [ส่วนที่ 1]
th-cam.com/play/PL85WQjF_Yosp_X82mqKLaEx2g-cIyvh5f.html
จะรวบรวมประเด็นที่ผู้ฝึกฝนควรรู้ โดยไล่ดูตามลำดับที่จัดเรียงไว้ ก็น่าจะช่วยลำดับความเข้าใจให้ได้มากขึ้น
หลวงพ่อเทียนใช้คำว่า "เห็นความคิด หรือ ดูความคิด"
ไม่ได้หมายถึง ให้เราเอาจิตใจไปเฝ้าจ้องว่า เมื่อไหร่จะเกิดความคิด
เมื่อไหร่ใจจะเผลอคิด-เผลอไปในอารมณ์ต่างๆ
หรือ เมื่อเผลอคิดไปแล้ว ก็ไปตามดูความคิด ว่ามันคิดอะไร ไปหาสาเหตุ
ไปหานิยาม ไปหาทางแก้ หรือเผลอใจไปปรุงแต่งเป็นความรู้สึก-อารมณ์ต่างๆ เช่น ไปหงุดหงิด ไปยินดี-ยินร้ายกับมันฯลฯ
...ไม่ใช่แบบนั้น!!!
แต่หลวงพ่อเทียนต้องการสื่อความหมายถึง "การเห็นความคิด หรือดูความคิด"
โดยไม่หลงเข้าไปในความคิด ไม่หลงไปตามความคิดหรืออารมณ์ ไม่ไปปรุงแต่งต่อเติม ฯลฯ
เปรียบเหมือนเราเป็นคนดูมัน-เห็นมันห่างๆ จากข้างนอก
โดยเราไม่ได้เข้าไปคลุกวงในกับมัน ไม่เข้าไปพัวพันกับมัน
วิธีฝึกฝน ก็เป็นวิธีฝึกเจริญสติ หรือฝึก "ความรู้สึกตัว" เดิมๆ ที่ "มือใหม่" ได้ถูกย้ำเตือนบ่อยๆ
คือ ฝึกให้มีความรู้สึกตัวกับการเคลื่อนไหวร่างกายในทุกอิริยาบถ
และ/หรือ ให้เจตนาสร้างการเคลื่อนไหวร่างกาย (สร้างจังหวะ) แล้วรู้สึกเบาๆ สบายๆ กับกายที่เคลื่อนไหว
ให้จิตใจตั้งอยู่กับ "ความรู้สึกตัว" หรือการระลึกรู้ในการเคลื่อนไหวของร่างกาย
(ไม่ใช่เอาจิตใจไปเฝ้าจ้องเพื่อจะเห็นหรือตามดูความคิด-อารมณ์ต่างๆ)
เมื่อ "รู้สึกตัว" ไปสักพัก จิตใจมันจะเผลอคิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติของมัน
สำหรับผู้ฝึกใหม่ ... กว่าจะรู้ตัว รู้ทัน หรือระลึกได้ว่า ตัวเองกำลังเผลอคิดอยู่
ก็อาจจะเผลอคิดไปแล้วนานหลายนาที
แต่เมื่อฝึกฝนมากๆ เข้า สติแข็งแรงขึ้น เราจะรู้ทัน "การเผลอคิด" ได้ไวขึ้น และบ่อยขึ้นเอง
เมื่อฝึกจนชำนาญมากๆ อีกหน่อยพอเผลอคิดปุ๊บ..เราก็รู้ทันปั๊บ!!!!
เมื่อ "รู้ทัน-รู้ตัว-ระลึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองกำลังเผลอคิด กำลังเผลอไปกับอารมณ์ต่างๆ" แล้วควรทำอย่างไรต่อไป??
ก็ให้ทิ้งความคิด-อารมณ์ต่างๆ ทันที!!
.. เมื่อใดที่รู้ตัวว่าเผลอคิดปุ๊บ ก็ให้ทิ้งความคิดไปทันที
ไม่ไปคิดต่อ ไม่ปรุงแต่งต่อเติม ไม่ไหลไปตามความคิด-อารมณ์ต่างๆ
ไม่ต้องไปหาความหมาย ไม่ต้องไปหาสาเหตุใดๆ ทั้งสิ้น
....ให้ทิ้งความคิด-อารมณ์ต่างๆ ทันที!!! ...แล้ว "กลับมารู้สึกตัว"
...คือการพาใจกลับมาตั้งไว้กับความรู้สึกตัวในการเคลื่อนไหวร่างกายเช่นเดิม!!
เดี๋ยวสักพัก ใจก็อาจจะเผลอคิดไปอีก พอเรารู้ทันว่าใจมันเผลอไปอีก ก็ทิ้งความคิดทันทีแล้ว "กลับมารู้สึกตัว"
ทำแบบนี้วนๆ ไปเช่นเดิม
ฝีกแบบนี้ซ้ำๆ บ่อยๆ ไปเรื่อยๆ จนเมื่อสติตั้งมั่น แข็งแรง ว่องไวมากขึ้น ก็จะพัฒนาไปสู่ "การเห็นความคิด โดยไม่หลงเข้าไปในความคิด"
และจะพาไปสู่การปล่อยวางความคิด/อารมณ์ ได้มากขึ้น
หรือเมื่อมีอะไรมากระทบกายและใจ ไม่ว่าจะ "เรื่องทุกข์หรือสุข"
เราก็จะรับรู้สิ่งเหล่านั้นด้วยจิตใจที่เป็นปกติ เป็นกลางๆ
ใจไม่ไหลจมดิ่งไปกับความทุกข์ และไม่หลงลอยไปกับความสุข
คลายความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องต่างๆ ได้มากขึ้น
การปรุงแต่งฟุ้งซ่านจะน้อยลงเรื่อยๆ และทำให้ใจยอมรับในสัจธรรมของชีวิตได้มากขึ้น
มีสติปัญญารับมือกับเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตได้ดีขึ้น
ซึ่งทั้งหลายเหล่านี้ มันจะเป็นไปเองตามกลไกธรรมชาติ
ขอเพียงแค่เพียรฝึกฝนอย่างถูกต้องและต่อเนื่องมากพอ
เราสามารถหาโอกาสฝึกการเจริญสติ หรือ ฝึก "ความรู้สึกตัว" ให้ผสมผสานกับชีวิตประจำวัน ได้ทุกวัน ทุกที่ ทุกเวลา
คำแนะนำเพิ่มเติม
- แนะนำการเจริญสติ ตามแนวทางหลวงพ่อเทียน โดย พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล th-cam.com/video/GWwIGxicOMA/w-d-xo.html
- หลวงพ่อเทียนสอบอารมณ์ th-cam.com/video/477997jEPdg/w-d-xo.html
- วิธีเจริญสติง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน th-cam.com/video/qoK88FDoO_E/w-d-xo.html
- หลักการง่ายๆ ภายใน 1 นาที.."กลับมารู้สึกตัว" th-cam.com/video/df0Nls10qX0/w-d-xo.html
- ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม th-cam.com/video/0F9Uc8gt1gU/w-d-xo.html
- เห็นความคิด-อารมณ์ โดยไม่หลงเข้าไป "อิน" จะทำได้อย่างไร? th-cam.com/video/NwSKqJFaE6U/w-d-xo.html
- ไฮไลท์ คือ เมื่อหลงไป แล้วกลับมาได้ th-cam.com/video/oGLkbmKypBg/w-d-xo.html
- เจริญสติไม่ยาก แต่ที่ว่ายาก เพราะอยากได้ดั่งใจ th-cam.com/video/ocG1E6O-zGo/w-d-xo.html
- สภาพเดิมของจิต คือ รู้ซื่อๆ รู้เฉยๆ th-cam.com/video/tfsJI9_KeUw/w-d-xo.html
- วิธีง่ายๆ เพื่อดับทุกข์ใจ th-cam.com/video/yUyob1-DKlk/w-d-xo.html
สำหรับผู้ที่สนใจฝึกฝนเจริญสติ (สติปัฏฐาน) ตามแนวทางของหลวงพ่อเทียน
1. การเริ่มต้นฝึกฝนในแนวทางของหลวงพ่อเทียน
หากสะดวกหรือสนใจที่จะได้เรียนรู้โดยตรงกับครูอาจารย์ต่างๆ
ก็ลอง search หาใน google ว่าสะดวกจะไปที่ไหน หรือลองดูจาก link นี้
facebook.com/Sanamnai/photos/a.365802240102946.108142.361998700483300/1319466311403196/?type=3
เป็นสถานที่ต่างๆ เพื่อการเรียนรู้ในแนวทางของหลวงพ่อเทียน
2. หรือหากจะเริ่มต้นฝึกฝนโดยดูคลิปต่างๆ จาก channel "มือใหม่หลวงพ่อเทียน"
ก็ให้เข้าไปที่ [ส่วนที่ 1] th-cam.com/play/PL85WQjF_Yosp_X82mqKLaEx2g-cIyvh5f.html
ซึ่งจะรวบรวมประเด็นต่างๆ ที่มือใหม่ควรจะรู้
เราพยายามจัดเรียงลำดับของคลิปไว้ตามหมายเลข
เพื่อลำดับความเข้าใจให้มือใหม่ไม่สับสน ไล่ดูไปเรื่อยๆ ตามลำดับที่เรียงไว้
หากมีข้อสงสัยอะไร ก็ทิ้งคำถามไว้ที่ใต้คลิปนั้น
เราก็จะพยายามหาคำแนะนำของครูอาจารย์มาช่วยคลี่คลายให้
3. หรือหากมีเวลาพอสมควร พอที่จะดูคอร์สการบรรยายที่ยาวหน่อยได้
ก็อยากให้ดูการสอนกรรมฐานแบบเข้าใจง่ายใน [ส่วนที่ 2]
th-cam.com/play/PL85WQjF_Yosrqwu1E23iCftSJobZU6sK8.html
จะช่วยปูพื้นฐานอย่างละเอียด ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
กราบสาธุคะ
5 มิถุนายน 2566
15:51 น.
สาธุ สาธุ สาธุ
น้อมกราบสาธุๆๆค่ะ
ขอบคุณ..ที่โลกนี้.
มีธรรมมะ🙇
คิดเหมือนกัน จ้า สาธุๆๆ😊🙏💖💯
น้อมกราบนมัสการเจ้าค่ะ
น้อมกราบสาธุค่ะ
กราบสาธุๆๆเจ้าค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ ทันสมัย เป็นปัจจุบันมากเจ้าค่ะ อยากให้ทุกคนได้ฟัง
อนุโมทนาสาธุค่ะ
สาธุค้ะ 🙏🙏
สาธุค่ะ
ฟังเพลินดีครับมีประโยชน์มาก😈🙏สาธุ
สาธุครับ!
สาธุ🙏
สาธุๆๆครับ
กราบสาธุ สาธุ สาธุเจ้าค่ะ
สาธุๆๆ
สาธุ สาธุ สาธุเจ้าข้า
น้อมกราบสาธุ สาธุ สาธุค่ะ
ผมอยากรู้ครับว่าในทางพุทธนั้นการเกิดมาชาตินี้มาชดใช้กรรมอะไรก็แล้วแต่ครับผมอยากทราบว่าใครเป็นคนทำให้เราเกิดมาครับในพุทธเนี่ยมีชาติที่แล้วด้วยแต่ในคริสต์ไม่มีชาติที่แล้วนะครับผมอยากรู้ในทางพุทธครับมีชาติที่แล้วและชาตินี้ใครคนไหนทำให้เราเกิดมาครับไม่มีใครทำกำหนดแต่มันเกิดมาคนเดียวหรือมาชดใช้กรรมของชาติที่แล้วด้วยตัวเองอย่างงั้นเหรอครับศาสนาคริสต์เนี่ยมีผู้สร้างครับแต่ไม่มีชาติที่แล้ว
ในทางพุทธ มีคำว่า "อจินไตย" ลองดูความหมายได้ที่ th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A2
การเวียนว่ายตายเกิดหรือเรื่องชาติก่อน ชาติหน้า ก็เป็นเรื่องอจินไตยค่ะ
ไม่ง่ายที่สืบสาวย้อนไปได้จนถึงต้นทางได้ง่ายๆ ค่ะ
เช่น ทำไมเราถึงเกิดมาเป็นลูกของพ่อแม่คู่นี้?
ถ้าพ่อไม่เจอแม่ แล้วเราจะไปเกิดเป็นลูกใคร?
เป็นต้น
....คำถามเหล่านี้..จะมีใครตอบได้บ้าง?
หรือถ้าย้อนไปสืบหาว่า ใครเป็นบรรพบุรุษคนแรกของเรา? ฯลฯ
เป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะหาคำตอบค่ะ
แต่สรุปคร่าวๆว่า เป็นเพราะผลของกรรม ทั้งของตัวเราและของคนอื่นๆ
ทำให้ต้องเกิดมาเกี่ยวข้องกัน เป็นพ่อแม่ เป็นญาติพี่น้อง เป็นเพื่อนร่วมประเทศ ฯลฯ
แต่การส่งผลของกรรมนั้นซับซ้อนค่ะ ทางพุทธถึงมีคำว่า "อจินไตย" ค่ะ
"กรรม" หมายถึง การกระทำ
ซึ่งจะมีทั้งกรรมที่เคยทำไว้ในอดีต
และกรรมในปัจจุบัน ที่เราเลือกได้ว่าจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร
ในทางพุทธ เน้นไปที่ กรรมในปัจจุบัน หรือจะเรียกว่า กรรมใหม่ ก็ได้ค่ะ
ไม่เน้นไปที่กรรมเก่าที่ได้เคยทำไว้แล้ว
เพราะสิ่งที่ผ่านไปแล้ว เราย้อนอดีตไปแก้ไขไม่ได้แล้ว
แต่กรรมในปัจจุบัน เรากำหนดได้ว่าจะทำอะไร ถึงแม้บางเรื่องอาจจะกำหนดไม่ได้ 100%
แต่ถ้าเทียบกับกรรมเก่าซึ่งเราไปทำอะไรกับมันไม่ได้ เพราะมันเกิดขึ้นไปแล้ว
เราจึงถือว่ากรรมใหม่เป็นสิ่งที่เราควรใส่ใจค่ะ
ส่วนถ้าจะเปรียบเทียบกับศาสนาอื่นๆ นั้น มันมีรายละเอียดเยอะค่ะ ขอตอบคร่าวๆ ประมาณนี้นะคะ^^
หรือลองอ่านข้อมูลเพิ่มเติมจาก
th-cam.com/users/postUgkxl7aH9KPue1H4sv4NpXELsIGyDnElU_4R
และ
th-cam.com/users/postUgkx48FnHpnFoqqTcP_9FjUcJ55i4RHkToEc
รวมทั้งหากสนใจพุทธศาสนา ก็ลองหาข้อมูลเกี่ยวกับหลักทางพุทธมากขึ้น
เพราะมีหลายประเด็น ที่ผู้คนทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับพุทธศาสนาค่ะ
หรือคลิกไปดู [ส่วนที่ 4] th-cam.com/play/PL85WQjF_YosqAyvULPR9yQM-o8q21lLmf.html
สาธุ🙏🙏🙏
สาธุค่ะ🙏
เกิดมา รับกรรม เกิดแล้วใช่อารมณ์ สร้างการเบียดเบียน ก่อกรรม ก็เกิดมา รับกรรมอีก!!! อารมณ์ใช่แล้วใช้ซำ้ อารมณ์นำมาเกิดอีกกราบบบบบ
สาธุหลวงพ่อค่ะ
อนุโมทนาบุญค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนาครับ!!
สาธุ...ครับ
🙏🙏🙏
ສາທຸ
สะสมบุญบารมีใว้ กับ ทำกรรมดีใว้ ต่างกันรึไม่คับ พระอาจารย์
พระอาจารย์ไพศาล ไม่ได้เป็นผู้ตอบคำถามนะคะ^^ คำถามและความเห็นต่างๆ ผู้จัดทำ "มือใหม่หลวงพ่อเทียน" เป็นผู้ตอบค่ะ ขอให้ความเห็นกว้างๆไว้ว่า สองอย่างที่ถามนั้น มีทั้งส่วนที่ต่างกันและส่วนที่เหมือนกัน แล้วแต่จะตีความ แล้วแต่บริบท
และปัจจัยอื่นๆ ค่ะ แต่ก็สื่อความไปในทางเดียวกันค่ะ
ถ้าในแนวทางหลวงพ่อเทียน การที่ครูอาจารย์พูดถึงสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะสะสมบุญบารมี การทำความดี กรรมดี การทำจิตให้ผ่องใส ทาน-ศีล-ภาวนา ศีล-สมาธิ-ปัญญา... และอื่นๆ ก็ไม่ต้องสับสนว่า "แล้วเราจะต้องไปสะสมบุญบารมีอย่างไร? หรือต้องไปทำอะไร? อย่างไร?" เพราะทั้งหมดนี้ ก็สื่อความไปถึงการตอกย้ำ กระตุ้นเตือนถึงสิ่งที่ผู้ฝึกฝนต้องทำ ก็คือ "หมั่นฝึกภาวนา" "หมั่นฝึกเจริญสติ" นั่นเองค่ะ^^ การฝึกเจริญสติ ก็ถือเป็นการสะสมบุญบารมี เป็นการทำกรรมดี และอื่นๆ แล้วแต่จะเรียกค่ะ
ถ้าฝึกฝนอยู่แล้ว ก็ขอส่งกำลังใจให้หมั่นฝึกฝนต่อไปค่ะ แต่ถ้ายังไม่เคยลองฝึก ก็ลองศึกษาดูได้ แนะนำให้ดูคลิปในส่วนที่ 1 th-cam.com/play/PL85WQjF_Yosp_X82mqKLaEx2g-cIyvh5f.html จะรวมบรวมประเด็นที่ผู้ฝึกฝนควรรู้ โดยไล่ดูตามลำดับที่จัดเรียงไว้ ก็น่าจะช่วยลำดับความเข้าใจให้ได้มากขึ้นค่ะ^^
แล้วกรรมพันธ์ หล่ะคับ เราจะสรุปผลของกรรมนั้นเช่นไร
เบื้องต้นนี้ ต้องขออภัยและขอออกตัวก่อนว่า ผู้จัดทำ "มือใหม่หลวงพ่อเทียน" ไม่ได้มีความรู้แตกฉานอะไรมากนักค่ะ เราก็ถือเป็น "ผู้ฝึกฝน" ค่ะ ก็พอจะให้ความเห็นในบางเรื่องได้มากบ้างน้อยบ้างค่ะ
วัตถุประสงค์หลักของช่องยูทูบนี้ ก็คือ การให้ข้อมูลเกี่ยวกับการฝึกเจริญสติตามแนวทางหลวงพ่อเทียนค่ะ ส่วนเรื่องหัวข้อธรรมอื่นๆ ก็มีคัดสรรมานำเสนอ ตามแต่จะพิจารณาว่าเห็นสมควรและเป็นประโยชน์ค่ะ
เรื่องอื่นๆ ที่นอกจากการให้ข้อมูลพื้นฐานเรื่องการฝึกเจริญสตินั้น
ผู้จัดทำฯ ก็ให้ข้อมูลและความเห็นเท่าที่จะให้ได้
เท่าที่จะได้รับรู้มาจากครูอาจารย์ต่างๆ ค่ะ^^
และอีกหลายคำถาม เราเองก็ไม่สามารถจะให้คำตอบที่ถูกต้องและเหมาะสมได้ค่ะ
จึงต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าก่อนค่ะ
--------------------------------------------------------------------------
เรื่องกฎแห่งกรรม การให้ผลของกรรม วิบากกรรม เป็นเรื่องที่ถูกระบุไว้ว่าเป็น "อจินไตย"
ความหมายของคำว่า "อจินไตย" สามารถดูรายละเอียดคร่าวๆ ได้ที่ th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A2
ส่วนเรื่องกรรมพันธุ์ที่ถามไว้ ไม่แน่ใจว่าต้องการโฟกัสในประเด็นใด เพราะมีรายละเอียดที่กว้างมากค่ะ
แต่ขอให้ความเห็นไว้ว่า
1. กรรม (ในทางพุทธ) หมายถึง "การกระทำ"
หากเข้าใจหลักการคร่าวๆ ของ "กฎแห่งกรรม"
พูดกันแบบภาษาชาวบ้าน คือ เมื่อได้กระทำอะไรไว้
ทุกการกระทำที่ทำไว้ ก็จะส่งผลอะไรสักอย่างหรือหลายอย่าง
ผลของการกระทำนั้นๆ ผลบางอย่างจะปรากฏให้เห็นทันทีที่ลงมือทำ
และผลบางอย่างก็ยังไม่ปรากฏให้เห็นทันที หรือปรากฏผลแล้ว
แต่ตัวผู้ลงมือทำ ไม่ได้รู้สึก ไม่ได้ตระหนักถึง
หรือผลของการกระทำต่างๆ อาจจะสะสมไปเรื่อยๆ
แล้วไปปรากฏให้เห็นชัดเจนในอนาคตอันใกล้หรือไกล
ซึ่งปุถุชนไม่สามารถเข้าใจได้อย่าง 100% ว่า
ทำไมบางอย่างถึงส่งผลช้า หรือส่งผลข้ามภพข้ามชาติ ฯลฯ
มันเป็นเรื่องซับซ้อนมาก ถึงได้ถูกระบุไว้ว่าเป็นเรื่อง "อจินไตย"
2. ถ้าเชื่อว่า หนึ่งชีวิตผ่านการเกิดมาแล้วหลายภพหลายชาติ
อาจจะเป็นหลักร้อย หลักพันหรือหลักหมื่นชาติ หรือมากกว่านั้น
การกระทำมากมายที่เคยทำมาเป็นหลายร้อย หลายพันชาติ
มันก็มีผลของการกระทำมากมายนั้นสะสมกันไป ผสมปนเปกันไป
ทั้งกรรมดี กรรมไม่ดีต่างๆ
มันจึงยากที่จะอธิบายว่า กรรมอะไรผสมกับกรรมอะไร? แล้วจะส่งผลอย่างไร?
แล้วทำไมส่งผลแบบนี้? ทำไมมาปรากฏผลตอนนี้? ...ฯลฯ
มันก็จะมีสารพัดคำถาม ยากที่จะอธิบายค่ะ
ลองพิจารณาตามไปช้าๆ นะคะ
ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าเราดื่มเหล้า 1 แก้ว ณ ตอนนี้
ผลของการกระทำนี้ ส่งผลทันที คือ ร่างกายเราได้รับแอลกอฮอล์
ก็จะเกิดผลทันที แต่เราอาจยังไม่รู้สึกอะไร
ถ้าดื่มต่อไปเป็น 1 ขวด หรือ 2 ขวด หรือ 3 ขวด
ผลของกรรมที่สะสมไว้ ก็จะส่งผลให้เห็นชัดเจนขึ้น
ก็คือ เราจะรู้สึกมึนเมา ขาดสติ
ผลอื่นๆ ที่ตามมา ก็คือ อาจจะทำให้เราเกิดอุบัติเหตุ เกิดทะเลาะวิวาท และอื่นๆ
หรือถ้าเราดื่มเป็นนิสัย ผ่านไป 5 ปี หรือ 10 ปี หรือมากกว่านั้น
ผลก็คือ เราอาจเป็นโรคร้ายต่างๆ ที่เกิดจากการกระทำนี้
หรือครอบครัวแตกแยก หรือมีปัญหาในการทำงาน มีปัญหาทางจิตใจ ฯลฯ
จะเห็นได้ว่า การกระทำหนึ่งอย่าง มันส่งผลทันทีให้เรารู้สึกได้
หรือบางที มันส่งผลแล้ว แต่เรายังไม่ได้รับรู้
หรือนอกจากส่งผลทันที ผลของการกระทำที่มันสะสมไป
ก็ยังไปปรากฎผลเด่นชัดในอนาคตอันใกล้ หรืออนาคตอันไกล
หรือแม้แต่ส่งผลไปข้ามภพข้ามชาติ
และไม่ได้ส่งผลแค่กับตัวเราเท่านั้น ยังส่งผลไปยังคนรอบข้าง
และปัจจัยอื่นๆ รายรอบด้วย
และไม่ได้ส่งผลต่อร่างกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อจิตใจด้วย
กรรมต่างๆ ที่เคยทำไว้ ก็เลยมีผลสะสมอยู่ในจิตใจด้วย
ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ตาม
3. ความซับซ้อน ความมากมายของการกระทำ ที่เราได้เคยทำไว้ ทั้งชาติก่อนๆ ก็ดี ชาตินี้ก็ดี
มันทำให้เรื่องกรรมและผลของกรรม เป็นเรื่องยากที่ปุถุชนจะเข้าใจมันได้อย่างกระจ่างแจ้ง
โดยเฉพาะเรื่องที่ส่งผลข้ามภพข้ามชาติ เช่น
ทำไมเราถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้?
ทำไมเราถึงได้เกิดมาในประเทศนี้?
ทำไมเราถึงได้เกิดมาเป็นหญิงหรือชาย?
(มีต่อด้านล่างค่ะ)
หรือมาสู่คำถามที่ถามไว้ คือ
ทำไมเราถึงได้เกิดมาเป็นลูกของ "พ่อแม่คู่นี้"?
จึงส่งผลให้เรามีญาติพี่น้อง ลุงป้าน้าอา ฯลฯ ในแบบที่เป็นอยู่นี้
ทำให้เรามีหน้าตา รูปร่างแบบนี้ มีผิวพรรณแบบนี้ ที่ได้รับกรรมพันธุ์มาจาก "พ่อแม่คู่นี้"
ถ้าเราไปเกิดเป็นลูกของ "พ่อแม่" คู่อื่น เราก็จะมีหน้าตา รูปร่าง และกรรมพันธุ์ที่ต่างไป
มีญาติพี่น้องที่ต่างไป มีฐานะทางบ้านที่ต่างไป ...ฯลฯ
หากจะคิดให้ซับซ้อนกว่านั้น คือ
แล้วทำไม พ่อแม่เราถึงได้มาพบเจอกัน แล้วใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน จึงทำให้เราเกิดมา
ถ้าพ่อแม่ไม่ได้คู่กัน แยกย้ายกันไปมีคู่เป็นคนอื่น
แล้วเราจะเกิดมากับพ่อแม่คนไหน อย่างไร?
หรือจะย้อนไปอีก ถ้าปู่กับย่า ตากับยาย ไม่ได้คู่กัน พ่อแม่ของเรา จะเกิดขึ้นมาเป็นลูกใคร?
แล้วพ่อจะได้เจอแม่หรือไม่ แล้วเราจะเกิดมากับพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย แบบไหน อย่างไร?
.... และอื่นๆ
จะเห็นได้ว่า มันมีคำถามสารพันในชีวิต ที่สามารถสงสัยได้
แต่ก็ไม่รู้ว่าจะสืบสาวไปหาต้นตอที่แท้จริงได้อย่างไร?
เหล่านี้ ก็คือเรื่องที่ถูกระบุว่าเป็น "อจินไตย" ในทางพุทธ
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปคร่าวๆ คือ
A. มันเป็นผลของการกระทำต่างๆ มากมายจากหลายภพหลายชาติ
ทั้งของตัวเราเอง พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ลูกหลาน ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง คนรัก
เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมหมู่บ้าน
เพื่อนร่วมประเทศ เพื่อนร่วมโลก ฯลฯ
ที่ทั้งหมดนี้ มันมาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันไปหมด
เกี่ยวพันกันมากบ้าง น้อยบ้าง โดยตรงและโดยอ้อม และอื่นๆ
จนยากที่เราจะเข้าใจมันได้อย่างละเอียดค่ะ
B. เพราะฉะนั้น คำถามเกี่ยวกับเรื่องกรรมพันธุ์
คือ การที่เราได้เกิดมาเป็นลูกหลานเหลนโหลน ของ พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ทวด... เหล่านี้
ทำให้เราได้รับพันธุกรรมถ่ายทอดกันมาจากบรรพบุรุษเหล่านี้
มันจึงเป็นเรื่องที่เป็นผลของกรรมตามที่กล่าวไว้
แต่ยากที่จะมีข้อสรุปสุดท้ายให้สืบสาวย้อนหลังไปได้จนสุดทาง
ว่าใครทำอะไรไว้บ้าง? ส่งผลอย่างไรบ้าง? ถึงได้เกิดมาเกี่ยวพันกัน ...และอื่นๆ
แต่ทั้งหมดนี้ มันเป็นเรื่องของวัฏสงสาร เป็นเรื่องของกรรมและผลของกรรม
ที่ซับซ้อนมากค่ะ ลองค่อยๆ คิด ใคร่ครวญตามไปดูนะคะ
C. พระพุทธองค์และครูอาจารย์ต่างๆ ถึงไม่สนับสนุนให้คิดเรื่องเหล่านี้
เพราะอาจจะหมดเวลาไปทั้งชีวิต ก็ไม่ได้ "คำตอบสุดท้าย" ค่ะ
แต่พุทธศาสนา ไม่ได้ห้ามว่าอย่าสงสัยนะคะ
สงสัยได้ค่ะ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร เมื่อสงสัย ก็ลงมือศึกษาให้ถ่องแท้เพื่อหาคำตอบ
ไม่ใช่เชื่อตามๆ กันไป หรืออื่นๆ
พุทธศาสนาสนับสนุนให้ใช้สติปัญญาพิจารณาให้รอบคอบรอบด้าน ก่อนจะเชื่อหรือจะทำอะไรค่ะ
เพียงแต่ว่า หลายเรื่องก็ยากที่จะสืบสาวไปจนถึงที่สุด
และถึงแม้เมื่อรู้คำตอบแล้ว ลองถามตัวเองว่า
"จะเอาความรู้นั้นมาใช้ประโยชน์อะไร? อย่างไร?
มันคุ้มค่าเวลาชีวิตที่มีอยู่จำกัด กับการแสวงหาคำตอบนั้นหรือไม่?"
D. การหาคำตอบสำหรับหลายเรื่องทางธรรมะ
เราสามารถได้คำตอบจาก
1. แหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น อ่านจากหนังสือ ตำรา
ฟังคำของครูอาจารย์ ฯลฯ
หรือ
2. การเอาข้อมูลทั้งหมดที่ได้รู้มา มาคิดวิเคราะห์เพื่อหาคำตอบด้วยตัวเอง
หรือ
3.
แต่หลายเรื่อง ต้องใช้ปัญญาที่เกิดจากการภาวนา
ซึ่งจะเกิดจาก "การลงมือปฏิบัติ ลงมือฝึกฝนภาวนา"
เมื่อจิตใจได้รับการฝึกฝนจนเกิดปัญญาพัฒนาไปเรื่อยๆ
หลายเรื่องที่ไม่เคยเข้าใจ ก็จะเข้าใจได้มากขึ้นค่ะ
------------------------------------------------------
ในแนวทางหลวงพ่อเทียน ก็สนับสนุนให้ฝึกภาวนา ฝึกเจริญสติ
เพื่อพัฒนาปัญญาให้เกิดขึ้น แล้วหลากหลายคำถาม ก็จะมีคำตอบคลี่คลายให้เห็นได้
หรือเราก็จะมีปัญญาพิจารณาได้ว่า บางเรื่องควรรู้ เพื่อฝึกตนให้หลุดพ้นไปจากทุกข์
หรือบางเรื่อง รู้ก็ได้ ไม่รู้ก็ไม่เสียหาย
ความสงสัยในสารพัดเรื่อง ก็จะจางไป
แล้วจะให้ความสำคัญกับการเรียนรู้เรื่องทุกข์และการดับทุกข์ เป็นหลักค่ะ
อันนี้คือแนวทางพุทธนะคะ
ส่วนถ้าเป็นแนวทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ก็จะสืบค้นเรื่องพันธุกรรม
ซึ่งก็มีหลักของเหตุและผลตามวิทยาการ ตามภูมิความรู้ปัจจุบันเท่าที่จะทำได้
ซึ่งคงสืบสาวย้อนหลังไปได้ประมาณหนึ่งค่ะ
ขอส่งกำลังใจให้ผู้ฝึกฝนทุกท่านค่ะ^^
อาจารย์ค่ะ อยากทราบว่า กว่าเราจะได้เกิดเป็นมนุษย์ต้องสะสมบุญเท่าไหร่ค่ะ
ต้องขออภัยนะคะ ยูทูบ แชนแนลนี้เป็นการนำคำบรรยายของครูอาจารย์มารวมรวบไว้ ครูอาจารย์ไม่ได้มาตอบคำถามโดยตรงค่ะ^^ แต่หากพอจะช่วยให้ความเห็นได้บ้าง ก็ขออ้างอิงตามคำบรรยายในคลิปค่ะ
คือ การเปรียบเทียบกับเรื่องเต่าตาบอด เพื่อให้เห็นว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์
นี่คือแค่การเปรียบเทียบให้เห็นว่ามันยากไม่น้อยเลย
ส่วนในความจริงนั้นมันต้องประกอบไปด้วยเหตุปัจจัยใดบ้าง
มันก็คงซับซ้อนยากที่จะแจกแจงไปได้หมด
โดยเฉพาะถ้าถามว่า "ต้องสะสมบุญเท่าไหร่?"
ก็ไม่รู้จะกำหนดหรือวัดค่าของบุญเป็นหน่วยยังไง? เช่น สะสมเงิน 100 บาท เอาไปซื้อของได้
แต่ไม่รู้จะวัดจำนวน หรือวัดค่าบุญเป็นหน่วยยังไง? มันกำหนดค่า กำหนดปริมาณได้ลำบากค่ะ
มันก็คงต้องมีวิธีการที่ต้องทำหลายอย่าง และมีปัจจัยอื่นๆ ประกอบกันไปด้วยค่ะ
ถ้าจะเอาหลักกว้างๆ ก็สามารถใช้หลักธรรมได้มากมายในการทำบุญทำกุศล
แต่ถ้าจะเอาหลักใหญ่ใจความแบบสั้นๆ ไม่เยอะมาก ก็คือ เอาหลักไตรสิกขา ก็ได้ค่ะ
คือ "ศีล สมาธิ ปัญญา" หรือจะเป็น "ทาน ศีล ภาวนา" อะไรประมาณนั้นค่ะ
ซึ่งวิธีการในรายละเอียด มันก็จะจำแนกลงไปอีกเยอะแยะมากมาย
แต่ในแนวทางของหลวงพ่อเทียน คือ การฝึกเจริญสติ นี่แหละค่ะ จะรวมทั้งศีล-สมาธิ-ปัญญา ไว้ด้วยกัน
เป็นการทำบุญทำกุศลที่มีประโยชน์สูงมาก และนอกจากฝึกภาวนาตามหลักสติปัฏฐาน (เจริญสติ) แล้ว
การทำบุญทำกุศลด้วยวิธีอื่นๆ ก็สมควรทำประกอบกันไปด้วยค่ะ
ส่วนประเด็นสำคัญของเรื่องเต่าตาบอด ก็คือ ต้องการให้แนวคิดว่า
"เมื่อเป็นเรื่องยากที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ จึงควรเห็นความสำคัญของโอกาสนี้ที่ได้เกิดมาแล้ว
และควรใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ให้คุ้มค่าที่ได้เกิดมา"
ขออธิบายตามความเข้าใจประมาณนี้นะคะ^^
พลังจิต เปรีบบเสมือน พลังไฟฟ้า ใช้ใน คอมส์พิวเตอร์ พลัง "กรรม" เปรียบเสมือน พลังควันตัม ในคอมส์พิวเตอร์ พลังละเอียดกว่า พลังจิต แต่มาจากจิต เป็น มโนสัญจตนาหาร ที่เมื่อคน มีผัสสาหาร จิตเป็นผู้เสพและผัสสะ ด้วยวิถีจิต กรรมเสพโดย ภวังค์จิต แล้วเป็นพลังสันดาน ที่มันเกิด/ส่งมาสู่วิถีจิต ให้ "คิด ตัดสินใจ ตามสันดาน" พลังจิต+สันดาน เป็นพลังติดตามไปกับ สัตตานัง/อาทิสมานกาย เป็น "นิสัย+สันดาน" คนเกิดใหม่
การเอาชนะ กรรม /สันดาน ต้องใช้ "วิญญานาหาร" คือ "ภาวนามัยปัญญา" /ญาณทัศนะวิสุทธิ์"=มรรค๘ แก้กรรม ในชีวิตปัจจุบัน /บรรลุธรรม ต้อง ศึกษา/ภาวนา+วิปัสสนา =ปัญญาวิมุติ+เจโตวิมุติ"
สาธุค่ะ
ทำไมชีวิตนี้มันชั่งวุ่นวายหนักรู้ทักรู้ว่ามันวุ่นวายแต่ก็หลีกมันไม่ได้
ขอส่งกำลังใจให้ค่ะ การฝึกฝนเจริญสติ จะพัฒนาตัวเราเองให้รับมือกับสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้นค่ะ