ขนาดวิดีโอ: 1280 X 720853 X 480640 X 360
แสดงแผงควบคุมโปรแกรมเล่น
เล่นอัตโนมัติ
เล่นใหม่
จริงๆ แล้วชาวพุทธเราต้องมองเห็นประโยชน์ในสิ่งหลวงตาทำน่ะพระแบบหลวงตาหายากน่ะประโยชน์ที่เห็นตอนนี้ คือ หลวงตาท่านสามารถเทศน์สอนแล้วมีคนคิดออกบวชตามได้ประโยชน์ คือ ทำให้ลดปัญหาสังคมได้ไม่มากก็น้อย สาธุหลวงควรได้รับการสนับสนุนอย่างมากเลยน่ะธรรมะที่ท่านสอนไม่เคยทำร้ายใครน่ะ อย่าไปคิดอกุศลกับท่านเลย
พระที่ตัดแล้วไม่เอามาสู่ต่อเรื่องพระธาตุหน้าจะจบยังคิดว่าของกูแท้อีก
จบปธ.9 แต่เป็นบัณเฑาะก์ รู้ว่าตัวเองบวชไม่ได้ แต่ไปบวช ของปลอมตั้งแต่แรกครับ สู้ๆครับหลวงตา ทองแท้ย่อมไม่แพ้ไฟ มหาเทยเก่งแต่ตำรา แต่ปฏิบัติไม่ได้แม้เศษฝุ่นปลายเล็บหลวงตาหลวงเลยครับ
ฟังแล้วได้ทั้งบุญและคาวมรู้
ได้ปัญญาทุกครั้งที่ฟังครับ 💗🙏🏼🙏🏼🙏🏼
ผมไม่ได้ว่าพระสินคิดเเต่สกิจลูกศิษย์เรื่องพระธาตุมันจบเเล้วจะเอาชนะกันไปถึงมั้ยทั้งพระเเละลูกศิษย์มั้ยว่าตัดเเล้ว......
ชอบที่ท่านสนทนาธรรมทุกครั้ง ติดตามตลอด🙏🙏🙏
น้อมกราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะลูกน้อมนำธรรมที่หลวงตาถ่ายทอดปฏิบัติฝึกดัดขัดเกลาพัฒนาขึ้นตามลำดับรู้เฉพาะกับตนเบิกบานในธรรมเจ้าค่ะกราบ กราบ กราบ
ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาเหลือเกิน น้อมกราบเมตตาองค์หลวงตาสินทรัพย์
สาธุในธรรมหลวงตาอย่างยิ่งครับผม
น้อมกราบสาธุในธรรมหลวงตาครับ🙏🙏🙏
กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ
กราบสาธุในธรรมครับ...พระคุณเจ้า
น้อมกราบหลวงตาครับ 🙏🙌🙏🙌🙏🙌
กราบสาธุในธรรมเจ้าค่ะ
น้อมกราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะสาธุ
สาธุคับหลวงตา รอวันเปิดผลตรวจเรื่องพระธาตุคับ
กราบ สาธุ สาธุ สาธุ ครับ
กราบสาธุเจ้าค่ะ
น้อมกราบสาธุๆๆครับ
น้อมกราบหลวงตาไว้เหรือเกล้า หลวงตาเป็นแบบอย่างให้ดู ทำให้ดู ไม่ยึดกัยสิ่งใดๆ น้อมนำมาปฎิบัติเจ้าคะ
สาธุ ครับหลวงตา
สาธุ สาธุ สาธุครับ
น้อมกราบสาธุๆๆ
สาธุครับ
หลวงตาหนูจะไป อยู่วัดบ่อน้ำพระอินทร์นะเจ้าคะ
น้อมกราบสาธุค่ะหลวงตา
กราบสาธุคะ
สาธุ ครับ หลววตา
น้อมกราบสาธุในธรรมพระคุณเจ้าท่าน หลวงตาครับผม
สาธุ
สาธุสาธุครับหลวงตา🙏🙏🙏
🙏🙏🙏สาธุสาธุสาธุครับ♥️
กราบนัมสการครับผมหลวงตา
น้อมใจกราบหลวงตาจากทางไกลครับ
สาธุ สาธุ สาธุ
กราบหลวงตาครับผม
สาธุ สาธุ สาธุ…
กราบสาธุในธรรมครับ
รักหลวงตาเท่าฟ้า 🙏🙏🙏❤❤❤😃😃😃
เมื่อฟังธรรมะกับพระหลายรูป รู้สึกเกิดศรัทธา และสนุกกับธรรมะที่สอนจากการดึงเอาธรรมชาติที่แท้จริงมาเปรียบเทียบ แค่นี้ก็ทำให้โยมรู้สึกศรัทธา100% แล้ว แต่พอไปดูกลุ่ม..ท.เทย รู้สึกไม่ศรัทธาเลย มีการเชิญชวนไม่ให้งมงายหรือศรัทธาที่ว่าพระอวดอ้างอภินิหารจากพระธาตุ แล้ว หาบุคคลซึ่งแสดงด้านมายากลมาแสดงให้ดู สุดท้ายนั่นก็คือมายากล แต่พระครูบาหลายๆรูปก็ไม่ได้มีเจตนาแสดงอวดอุตริให้ผมเหงื่อเป็นพระธาตุที่ไหน แต่ผู้อื่นนำมาแสดงต่างหาก จึงไม่สมควรติฉินท่าน นี่จึงเกิดข้อเปรียบเทียบ ส่วนตัวเองนั้นก็ยังได้สัมผัสกับภูตผีดวงวิญญาณและทวพเทพเทวดาและเห็นเหตุที่เกิดการพิสูจน์ปรากฏกับเด็กๆหลายคนก็เห็นด้วยกันโดยไม่มีคำว่าแสดงมายากลใดๆแล้วนี่มันทำไมถึงเกิดขึ้นได้เช่นเด็กสามารถมองเห็นแสงสีทองครอบคลุมตัวครู อยากทราบว่านี่มายากลทำได้ไหม แต่พระครูบาผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทุกท่านสอนว่า จงอย่าติดในอภินิหารเหล่านี้เลย ขอให้นั่งสมาธิให้เกิดปัญญาเถิด จะพบความสุขที่แท้จริง ส่วนไอ้พวกที่คิดหักล้าง พวกนี้เขายังไม่มีบุญที่ได้พบเหตุการณ์ที่เหนือธรรมชาติ เขาก็จะไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด ท่านจึงสอนให้ทุกคนรู้จักคำว่า " ปัตจัตตัง" นั่นเอง และใครไม่เชื่อก็ไม่ต้องไปว่าเขา ให้คิดเสียว่าเมื่อก่อนเราเองก็ไม่เชื่อเช่นกัน
🙏🏻🙏🏻🙏🏻
กราบนมัสการหลวงตาครับ
ึครูทุ้ง6นั้นไม่ใช่ครูของท่านก่อนตรัสรู้น่ะหลวงตา เป็นแต่ครูเจ้าลัทธิที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นเเละมีมิจฉาทิฏฐิ ส่วนครูของพระโพธิสัตว์นั้นมีแต่อาฬารดาบสกับอุทกดาบสเท่านั้น
🙏🙏🙏
กราบๆๆ
เรา วิระชะ ปฏิสัมภิทาญาณ เรา คือผู้รู้ เราคือผู้ตื่น เราคือผู้เบิกบาน (เราคือพุทธะ) ยังขอรับรองว่า พระสิ้นคิด หรือ หลวงตาสินทรัพย์ คือพระอรหันต์ ขอปุทุชนทั้งหลายอย่าได้ปรามาทท่าน เราเตือนเพาะหวังดี
คุณน๊อต ช่วยให้รู้ถึงเจตนา และผลในการข้างหน้าของธรรมและธรรมชาติ โดยอาศัยบารมีของหลวงตา โปรดดังนี้ ต้นไม้นั้นทำให้เกิดความชื้นสัมพัทธ์ ทำให้ความสมบูรณ์ เป็นอาหาร ต้นไม้บางอย่างโตได้ในดงหิน เช่น กาล่อน อินทลำ พุทรา และอี่นๆที่ทนแล้ง อย่างประเทศจีน สร้างธรรมชาติให้เกิดใหม่กลางทะเลทราย กรณีกลวงตา ซื้อที่ 450 ไร่ นั้นเป็นความหวังของธรรมชาติที่จะเกิดไหม่โดยหลวงตา หากว่ารู้เข้าใจในเรื่องนี้แจ่มแจ้งดุจแสงตะวัน เป็นได้เป็นประคุณ ต่อลูกหลาน แม้แต่ดาวอังคาร คนยังคิดไปอยู่ เรื่องนี้ หากเข้าถึงและเป็นประโยชน์ ตลอดกาล หลวงตาสร้างแน่นอนครับ เพราะหลวงตาสร้างคนให้เป็นคน สร้างตนให้เป็นเป็นพระ เรื่องสร้างธรรมชาติ เป็นเรื่องจิ๊บๆ สำหรับหลวงตา เอาให้เหมือนพุทธกาล ทั้งคนและสัตว์ ดำเนินชีวิตในป่าที่สมบูรณ์ด้วยอาหาร แม้กาลเวลา ผ่านพ้นไป 2566 ปีแล้วก็ตาม ความละเอียดอ่อนในธรรม และธรรมชาติ ย้อมทันสมัยเสมอ กราบหลวงตาให้เป็นความหวัง ความรุ่งเรือง ความสมบูรณ์ของธรรมและธรรมชาติด้วยเทอญ สาธุ
มุ่นเน้นสร้างพระสำคัญสุดครับ ป่าสำคัญในการปฏิบัติภาวนา แต่สักแต่สร้างป่าก็ไม่เหมาะกับภาวนา ป่าที่เหมาะคือลักษณะป่าโปร่ง มีการไหลเวียนของอากาศ มีออกซิเจนที่มากพอ ถ้าต้นไม้เยอะไปกลางคืนมามีแต่คาร์บอนไดออกไซด์พระก็ปฏิบัติไม่ได้ ส่วนเรื่องปลูกผลไม้ท่านก็บอกแล้วว่าปลูกอะไรตายหมด (ถ้าปลูกจริงๆมีคนเอาใจใส่รดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยก็คงได้ แต่วัดเค้าเน้นให้ไปปฏิบัติภาวนา คนในวัดก็ละทางโลกเพื่อมาปฏิบัติ จะให้เค้าเอาเวลาไปใส่ใจคงไม่ได้)
ตำแหน่งที่อยู่ของหลวงตาอยู่ฝั่งขวาภายในเนื้อสะโพกของปชช.ที่นี่
ุถ่ายใบรับรองไห้เขาดูเรยหลวงตา
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรคว่าด้วยฐานะที่มีได้และมีไม่ได้ [๑๗๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราไม่ตรัสรู้ทุกขอริยสัจตามความเป็นจริงแล้ว ฯลฯ ไม่ตรัสรู้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจตามความเป็นจริงแล้ว จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ ดังนี้ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เปรียบเหมือนผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราไม่ได้กระทำเรือนชั้นล่าง แล้วจักยกเรือนชั้นบนแห่งเรือนยอด ดังนี้ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ฉันใด ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราไม่ได้ตรัสรู้ทุกขอริยสัจตามความเป็นจริงแล้ว ฯลฯไม่ตรัสรู้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาตามความเป็นจริงแล้ว จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ ดังนี้ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ฉันนั้นเหมือนกัน. [๑๗๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราได้ตรัสรู้ทุกขอริยสัจตามความเป็นจริงแล้ว ฯลฯ ได้ตรัสรู้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจตามความเป็นจริงแล้ว จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ ดังนี้ ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ เปรียบเหมือนผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เรากระทำเรือนชั้นล่างแล้ว จักยกเรือนชั้นบนแห่งเรือนยอด ดังนี้ ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ฉันใด ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่าเราได้ตรัสรู้ทุกขอริยสัจตามความเป็นจริงแล้ว ฯลฯ ได้ตรัสรู้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาตามความเป็นจริงแล้ว จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ ดังนี้ ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ ฉันนั้นเหมือนกัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรควาทีสูตร#ผู้รู้ชัดตามเป็นจริง #ไม่หวั่นไหวต่อผู้ยกวาทะ [๑๗๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ถึงแม้สมณะหรือพราหมณ์ผู้มีความต้องการวาทะ ผู้แสวงหาวาทะ พึงมาจากทิศบูรพา ... ทิศประจิม ... ทิศอุดร ... ทิศทักษิณ ด้วยประสงค์ว่าจักยกวาทะของภิกษุนั้น ภิกษุนั้นจักสะเทือนสะท้านหรือหวั่นไหวต่อสมณะหรือพราหมณ์นั้นโดยสหธรรม ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เปรียบเหมือนเสาหิน ๑๖ ศอก เสาหินนั้นมีรากลึกลงไปข้างล่าง ๘ ศอก ข้างบน ๘ ศอก ถึงแม้ลมฝนอย่างแรงจะพัดมาแต่ทิศบูรพา ... ทิศประจิม ...ทิศอุดร ... ทิศทักษิณ ก็ไม่สะเทือนสะท้านหวั่นไหว ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะรากลึกเพราะเสาหินเขาฝังไว้ดีแล้ว ฉันใด ก็ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯนี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ถึงแม้สมณะหรือพราหมณ์ผู้ต้องการวาทะ ผู้แสวงหาวาทะ พึงมาจากทิศบูรพา ... ทิศประจิม ... ทิศอุดร ... ทิศทักษิณ ด้วยประสงค์ว่า จักยกวาทะของภิกษุนั้นภิกษุนั้นจักสะเทือนสะท้านหรือหวั่นไหวต่อสมณะหรือพราหมณ์นั้นโดยสหธรรม ข้อนั้นมิใช่ฐานะที่จะมีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเห็นอริยสัจ ๔ ดีแล้ว ฉันนั้นเหมือนกัน อริยสัจ ๔เป็นไฉน? คือ ทุกขอริยสัจ ฯลฯ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ #เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯนี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
น้อมกราบหลวงตาผู้มีเมตตาต่อสัพสัตว์คะ
ความเชื่อเป็นเหตุสังเกตุใด้ พระอริยสงฆ์ที่ปฎิบัติธรรมบำเพ็ญเพียรภาวนา มายาวนานเมื่อท่านมรณภาพลง กระดูกและผมจะกลายเป็นพระธาตุค่ะ เรื่องพระธาตุมีจริง แต่มันไม่ใด้เกิดขึ้นมาง่ายๆ แบบโปรยปรายออกมาจากตัวใครก็ใด พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้อวดอุตริมนุสธรรมค่ะ
ท่านไม่ได้เศน์ท่านเรียกว่าสนทนาธรรมก็คือคุยธรรมมะแบบชาวบ้านง่ายๆ
นาทีที่เท่าไหร่ครับที่บอกว่าโปรยปรายออกมาจากตัว ผมฟังจนจบก็ไม่มี หรือคลิปไหนครับที่บอก เพราะฟังมาหลายคลิปก็ไม่มี ถ้าเป็นการเข้าใจผิดคิดไปเองก็กรุณาแสดงความรับผิดชอบต่อคำพูดนั้นด้วยครับ ส่วนเรื่องพระธาตุเกิดง่ายหรือยาก ลองไปฟังคลิปหลวงตาบัว ท่านเล่าว่าพระที่บรรลุธรรมเร็ว(เช่นบรรลุตั้งแต่หนุ่มๆจะเกิดง่ายกว่าพระที่บรรลุธรรมช้าและละขันธ์เร็ว) คงเพราะธาตุขันธ์ที่ใช้เวลาสัมผัสกับกระแสจิตที่เป็นธรรมธาตุนั้นมีเวลามากพอ)
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค#ว่าด้วยการตรัสรู้และไม่ตรัสรู้อริยสัจ ๔ [๑๖๙๘] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โกฏิคามในแคว้นวัชชี ณ ที่นั้นแลพระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย #เพราะไม่ได้ตรัสรู้ #ไม่ได้แทงตลอดอริยสัจ ๔ #เราด้วยเธอทั้งหลายด้วย #จึงแล่นไปท่องเที่ยวไปยังสังสารวัฏนี้ตลอดกาลนานอย่างนี้ อริยสัจ ๔ เป็นไฉน? คือ เพราะไม่ได้ตรัสรู้ ไม่ได้แทงตลอดทุกขอริยสัจ ๑ ทุกขสมุทยอริยสัจ ๑ ทุกขนิโรธอริยสัจ ๑ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ๑ เราด้วย เธอทั้งหลายด้วย จึงแล่นไป ท่องเที่ยวไปยังสังสารวัฏนี้ตลอดกาลนานอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทุกขอริยสัจ เราด้วย เธอทั้งหลายด้วย ตรัสรู้แล้ว แทงตลอดแล้ว ทุกขสมุทยอริยสัจ ...ทุกขนิโรธอริยสัจ ... ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ เราด้วย เธอทั้งหลายด้วย ตรัสรู้แล้วแทงตลอดแล้ว ตัณหาในภพขาดสูญแล้ว ตัณหาที่จะนำไปสู่ภพสิ้นแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มีพระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า [๑๖๙๙] เพราะไม่เห็นอริยสัจ ๔ ตามเป็นจริง เราและเธอทั้งหลายได้ ท่องเที่ยวไปในชาตินั้นๆ ตลอดกาลนาน อริยสัจ ๔ เหล่านี้ เรา และเธอทั้งหลายเห็นแล้ว ตัณหาที่จะนำไปสู่ภพถอนขึ้นได้แล้ว มูลแห่งทุกข์ตัดขาดแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี.
พอจบๆ หลวงตาเงียบสงบได้ละ
หนูไปอยู่บ่อนํ้าพระอินแล้วแมวไปนําบ่❤❤❤กา๊กกก..55ๆ😅
สูบบุหรี่ก็ผิดแล้ว สาโท....
2พันกว่าปีไม่เคยผิด พระเกจิรุ่นก่อนๆก็สูบกันมาตลอด เพิ่งมามีกลุ่มบางกลุ่มที่เห็นพระสูบบุหรี่แล้วรู้สึกไม่พอใจ เลยรณรงค์เรื่องการสูบบุหรี่แล้วก็ยื่นเรื่องให้มีกฎหมายบุหรี่ขึ้นมาควบคุมพระ กฎหมายนี้เลยเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี่เอง อย่าลืมว่าสมัยพุทธกาลไม่มีบุหรี่นะครับ แล้วก็พากันรณรงค์กันจังเลย ว่าไม่ควรบิดเบือนพระวินัย แต่กลับพากันบัญญัติวินัยขึ้นมากันเองเพื่อควบคุมสงฆ์ นรกนะครับ กรรมนี้หนักมาก ทางที่ดีฟังธรรมเพื่อธรรมดีกว่าครับ อย่าเพ่งโทษกันเลย
พระไตรปิฎก เล่มที่๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาตภาวนาสูตร [๖๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่หมั่นเจริญภาวนา แม้จะพึงเกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอจิตของเราพึงหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ก็จริง แต่จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่หลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ข้อนั้นเพราะเหตุไร จะพึงกล่าวได้ว่า เพราะไม่ได้เจริญ เพราะไม่ได้เจริญอะไร เพราะไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ เปรียบเหมือนแม่ไก่ มีไข่อยู่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง ไข่เหล่านั้น แม่ไก่กกไม่ดี ให้ความอบอุ่นไม่พอ ฟักไม่ดี แม่ไก่นั้น แม้จะพึงเกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอให้ลูกของเราพึงใช้ปลายเล็บเท้าหรือจะงอยปากเจาะกระเปาะไข่ ฟักตัวออกมาโดยสวัสดี ก็จริง แต่ลูกไก่เหล่านั้นไม่สามารถที่จะใช้ปลายเล็บเท้า หรือจะงอยปากเจาะกระเปาะไข่ ฟักตัวออกมาโดยสวัสดีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไรเพราะแม่ไก่กกไม่ดี ให้ความอบอุ่นไม่พอ ฟักไม่ดี ฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุหมั่นเจริญภาวนา แม้จะไม่พึงเกิดความปรารถนาอย่างนี้ว่า โอหนอขอจิตของเราพึงหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ก็จริง แต่จิตของภิกษุนั้นย่อมหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ข้อนั้นเพราะเหตุไร พึงกล่าวได้ว่า เพราะเจริญ เพราะเจริญอะไร เพราะเจริญสติปัฏฐาน ๔ ฯลฯ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ เปรียบเหมือนแม่ไก่มีไข่อยู่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง ไข่เหล่านั้นแม่ไก่กกดี ให้ความอบอุ่นเพียงพอ ฟักดี แม้แม่ไก่นั้นจะไม่พึงปรารถนาอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอให้ลูกของเราพึงใช้ปลายเล็บเท้าหรือจะงอยปากเจาะกระเปาะไข่ ฟักตัวออกมาโดยสวัสดี ก็จริง แต่ลูกไก่เหล่านั้นก็สามารถใช้เท้าหรือจะงอยปากเจาะกระเปาะไข่ ฟักตัวออกมาโดยสวัสดีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไรเพราะไข่เหล่านั้นแม่ไก่กกดี ให้ความอบอุ่นเพียงพอ ฟักดี ฉะนั้น ฯ
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑สุทธิกะ มรรคภาวนา#สติปัฏฐาน [๒๔๘] ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเข้าสติปัฏฐาน ๔ แล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ...๔ อย่าง ... ๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเข้าสติปัฏฐาน ๔ อยู่ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้เข้าสติปัฏฐาน ๔ ได้แล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ...๔ อย่าง ... ๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้สติปัฏฐาน ๔ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ชำนาญสติปัฏฐาน ๔ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าวก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า สติปัฏฐาน ๔ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ...๔ อย่าง ... ๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
#สัมมัปปธาน ๔ ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเข้าสัมมัปปธาน ๔ แล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเข้าสัมมัปปธาน ๔ อยู่ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้เข้าสัมมัปปธาน ๔ ได้แล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ...๔ อย่าง ... ๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้สัมมัปปธาน ๔ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ชำนาญสัมมัปปธาน ๔ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ...๔ อย่าง ... ๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า สัมมัปปธาน ๔ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ...๔ อย่าง ... ๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
#อิทธิบาท ๔ ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเข้าอิทธิบาท ๔ แล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเข้าอิทธิบาท ๔ อยู่ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้เข้าอิทธิบาท ๔ ได้แล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ...๔ อย่าง ... ๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้อิทธิบาท ๔ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ชำนาญอิทธิบาท ๔ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า อิทธิบาท ๔ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าวถูกใจก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
#อินทรีย์ ๕ [๒๔๙] ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเข้าอินทรีย์ ๕ แล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ...๔ อย่าง ... ๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเข้าอินทรีย์ ๕ อยู่ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้เข้าอินทรีย์ ๕ ได้แล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้อินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ชำนาญอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า อินทรีย์ ๕ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
#พละ ๕ ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเข้าพละ ๕ แล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง... ๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเข้าพละ ๕ อยู่ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ... ๕ อย่าง ...๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้เข้าพละ ๕ ได้แล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ...๔ อย่าง ... ๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้พละ ๕ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ชำนาญพละ ๕ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า พละ ๕ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
หลวงตาพักผ่อนบ้างเถอะค่ะพูดทำไมเรื่องพระธาตุพูดเรื่องกรรมดีกรรมชั่วใครทำกรรมใดไว้ต้องรับกรรมนั้นแน่นอน..
ไอ้คมก็โดนที่โคราชนะจ๊ะ
อยากทราบผลการตรวจสอบพระธาตุครับ
ทำไมไม่บอกผลตรวจสอบ จะได้ชัดเจนไปเลย เผาด้วยไฟความร้อน120องศาแล้วเป็นไง
ตามดู2,,วันก่อนและ ให้รับผิดชอบด้วยคนที่พิศูตรไม่จริงท่านไม่เอาเรื่องแต่ทนายและลูกศิษย์คงไม่ยอมพวกที่รังแกคนที่จะปฏิบัติดีและกรรมจะคอยส่งผลมาดูกัน
@@weerachaikunvut3381ด้ยินว่ารอผลอีกสถาบันหนึ่งคับ ยังไม่ออก
ผลตรวจคือเป็นโพลิเมอร์ครับ
@@weerachaikunvut3381หลวงตารอผลจากอีก1สถาบันครับ แต่สถาบันก่อนหน้ายืนยันผลแล้วว่าเปนของจริง เด่วรอผลจากอีกที่ก็คงมีการแถลงอีกทีครับ
ใครอยากได้พระธาตุจะไปยากอะไรก็ เอาไม้ไปเคาะ เอาตามตัวครูบาฉ่าย มีเต็มไปหมด เยอะแยะ ไปถึงก็ไป เคาะหัว เอาเลย ยิ่งเยอะ
ถ้าทำแบบนี้ ทางโลก ท่านฉ่ายจะถูกปาราชิกทันทีโดยไม่ต้องสังวาส พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ทางธรรม สภาวะท่านฉ่ายจะจมแช่แค่นี้ ไม่สามารถเข้าถึงสถภาวะอื่นๆที่มีอยู่เกิดจากฉันทราคะในอุปาทานขันธ์ ๕ ที่มีอยู่
คอยดูตอนจบจะมีนรกมั้ยนะ
เป็นบุญของลูกหลานชาวพุทธครับหลวงตาสาธุสาธุสาธุ
น้อมกราบสาธุๆๆครับ🙏🙏🙏
สาธุค่ะ
กราบสาธุครับ
สาธุๆๆ
น้อมกราบสาธุสาธุสาธุครับผม
กราบสาธุ สาธุ สาธุ ครับ
กราบสาธุๆค่ะ
สาธุเจ้าค่ะ
มีเรื่องเล่ามันก็ต้องนานเป็นธรรมดาครับผมหลวงตานิมนต์ต่อยาวๆเลยครับ❤
สาธุครับ
ดูก่อนอานนท์พระธาตุเราก็มียู่ไนโถส้วมนั่นเด้พระธาตุเฮา
กราบหลวงตาค่ะหนูขอบอกว่าพระธาตุที่หลวงตาพูดถึงนั้นมีจริงค่ะเพราะหนูเคยไปได้กราบมาแล้วค่ะที่กรุงเทพค่ะ
น้อมกราบหลวงตาสินทรัพย์ครับผมสาธุครับ
พระธาตุนี่ก็มีไว้เพื่อเป็นกำลังใจทางหนึ่งให้ผู้ปฏิบัติ
จริงๆ แล้วชาวพุทธเราต้องมองเห็นประโยชน์ในสิ่งหลวงตาทำน่ะ
พระแบบหลวงตาหายากน่ะ
ประโยชน์ที่เห็นตอนนี้ คือ หลวงตาท่านสามารถเทศน์สอนแล้วมีคนคิดออกบวชตามได้
ประโยชน์ คือ ทำให้ลดปัญหาสังคมได้ไม่มากก็น้อย สาธุ
หลวงควรได้รับการสนับสนุนอย่างมากเลยน่ะ
ธรรมะที่ท่านสอนไม่เคยทำร้ายใครน่ะ อย่าไปคิดอกุศลกับท่านเลย
พระที่ตัดแล้วไม่เอามาสู่ต่อเรื่องพระธาตุหน้าจะจบยังคิดว่าของกูแท้อีก
จบปธ.9 แต่เป็นบัณเฑาะก์ รู้ว่าตัวเองบวชไม่ได้ แต่ไปบวช ของปลอมตั้งแต่แรกครับ สู้ๆครับหลวงตา ทองแท้ย่อมไม่แพ้ไฟ มหาเทยเก่งแต่ตำรา แต่ปฏิบัติไม่ได้แม้เศษฝุ่นปลายเล็บหลวงตาหลวงเลยครับ
ฟังแล้วได้ทั้งบุญและคาวมรู้
ได้ปัญญาทุกครั้งที่ฟังครับ 💗🙏🏼🙏🏼🙏🏼
ผมไม่ได้ว่าพระสินคิดเเต่สกิจลูกศิษย์เรื่องพระธาตุมันจบเเล้วจะเอาชนะกันไปถึงมั้ยทั้งพระเเละลูกศิษย์มั้ยว่าตัดเเล้ว......
ชอบที่ท่านสนทนาธรรมทุกครั้ง ติดตามตลอด🙏🙏🙏
น้อมกราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ
ลูกน้อมนำธรรมที่หลวงตาถ่ายทอดปฏิบัติฝึกดัดขัดเกลาพัฒนาขึ้นตามลำดับรู้เฉพาะกับตน
เบิกบานในธรรมเจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ
ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาเหลือเกิน น้อมกราบเมตตาองค์หลวงตาสินทรัพย์
สาธุในธรรมหลวงตาอย่างยิ่งครับผม
น้อมกราบสาธุในธรรมหลวงตาครับ🙏🙏🙏
กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ
กราบสาธุในธรรมครับ...พระคุณเจ้า
น้อมกราบหลวงตาครับ 🙏🙌🙏🙌🙏🙌
กราบสาธุในธรรมเจ้าค่ะ
น้อมกราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะสาธุ
สาธุคับหลวงตา รอวันเปิดผลตรวจเรื่องพระธาตุคับ
กราบ สาธุ สาธุ สาธุ ครับ
กราบสาธุเจ้าค่ะ
น้อมกราบสาธุๆๆครับ
น้อมกราบหลวงตาไว้เหรือเกล้า หลวงตาเป็นแบบอย่างให้ดู ทำให้ดู ไม่ยึดกัยสิ่งใดๆ น้อมนำมาปฎิบัติเจ้าคะ
สาธุ ครับหลวงตา
สาธุ สาธุ สาธุครับ
น้อมกราบสาธุๆๆ
สาธุครับ
หลวงตาหนูจะไป อยู่วัดบ่อน้ำพระอินทร์นะเจ้าคะ
น้อมกราบสาธุค่ะหลวงตา
กราบสาธุคะ
สาธุ ครับ หลววตา
น้อมกราบสาธุในธรรมพระคุณเจ้าท่าน หลวงตาครับผม
สาธุ
สาธุสาธุครับหลวงตา🙏🙏🙏
🙏🙏🙏สาธุสาธุสาธุครับ♥️
กราบนัมสการครับผมหลวงตา
น้อมใจกราบหลวงตาจากทางไกลครับ
สาธุ สาธุ สาธุ
กราบหลวงตาครับผม
สาธุ สาธุ สาธุ…
กราบสาธุในธรรมครับ
รักหลวงตาเท่าฟ้า
🙏🙏🙏❤❤❤😃😃😃
เมื่อฟังธรรมะกับพระหลายรูป รู้สึกเกิดศรัทธา และสนุกกับธรรมะที่สอนจากการดึงเอาธรรมชาติที่แท้จริงมาเปรียบเทียบ แค่นี้ก็ทำให้โยมรู้สึกศรัทธา100% แล้ว
แต่พอไปดูกลุ่ม..ท.เทย รู้สึกไม่ศรัทธาเลย มีการเชิญชวนไม่ให้งมงายหรือศรัทธาที่ว่าพระอวดอ้างอภินิหารจากพระธาตุ แล้ว หาบุคคลซึ่งแสดงด้านมายากลมาแสดงให้ดู สุดท้ายนั่นก็คือมายากล
แต่พระครูบาหลายๆรูปก็ไม่ได้มีเจตนาแสดงอวดอุตริให้ผมเหงื่อเป็นพระธาตุที่ไหน แต่ผู้อื่นนำมาแสดงต่างหาก จึงไม่สมควรติฉินท่าน นี่จึงเกิดข้อเปรียบเทียบ
ส่วนตัวเองนั้นก็ยังได้สัมผัสกับภูตผีดวงวิญญาณและทวพเทพเทวดาและเห็นเหตุที่เกิดการพิสูจน์ปรากฏกับเด็กๆหลายคนก็เห็นด้วยกันโดยไม่มีคำว่าแสดงมายากลใดๆ
แล้วนี่มันทำไมถึงเกิดขึ้นได้เช่นเด็กสามารถมองเห็นแสงสีทองครอบคลุมตัวครู อยากทราบว่านี่มายากลทำได้ไหม
แต่พระครูบาผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทุกท่านสอนว่า จงอย่าติดในอภินิหารเหล่านี้เลย ขอให้นั่งสมาธิให้เกิดปัญญาเถิด จะพบความสุขที่แท้จริง ส่วนไอ้พวกที่คิดหักล้าง พวกนี้เขายังไม่มีบุญที่ได้พบเหตุการณ์ที่เหนือธรรมชาติ เขาก็จะไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด ท่านจึงสอนให้ทุกคนรู้จักคำว่า " ปัตจัตตัง" นั่นเอง และใครไม่เชื่อก็ไม่ต้องไปว่าเขา ให้คิดเสียว่าเมื่อก่อนเราเองก็ไม่เชื่อเช่นกัน
🙏🏻🙏🏻🙏🏻
กราบนมัสการหลวงตาครับ
ึครูทุ้ง6นั้นไม่ใช่ครูของท่านก่อนตรัสรู้น่ะหลวงตา เป็นแต่ครูเจ้าลัทธิที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นเเละมีมิจฉาทิฏฐิ ส่วนครูของพระโพธิสัตว์นั้นมีแต่อาฬารดาบสกับอุทกดาบสเท่านั้น
🙏🙏🙏
กราบๆๆ
เรา วิระชะ ปฏิสัมภิทาญาณ เรา คือผู้รู้ เราคือผู้ตื่น เราคือผู้เบิกบาน (เราคือพุทธะ) ยังขอรับรองว่า พระสิ้นคิด หรือ หลวงตาสินทรัพย์ คือพระอรหันต์ ขอปุทุชนทั้งหลายอย่าได้ปรามาทท่าน เราเตือนเพาะหวังดี
คุณน๊อต ช่วยให้รู้ถึงเจตนา และผลในการข้างหน้าของธรรมและธรรมชาติ โดยอาศัยบารมีของหลวงตา โปรดดังนี้ ต้นไม้นั้นทำให้เกิดความชื้นสัมพัทธ์ ทำให้ความสมบูรณ์ เป็นอาหาร ต้นไม้บางอย่างโตได้ในดงหิน เช่น กาล่อน อินทลำ พุทรา และอี่นๆที่ทนแล้ง อย่างประเทศจีน สร้างธรรมชาติให้เกิดใหม่กลางทะเลทราย กรณีกลวงตา ซื้อที่ 450 ไร่ นั้นเป็นความหวังของธรรมชาติที่จะเกิดไหม่โดยหลวงตา หากว่ารู้เข้าใจในเรื่องนี้แจ่มแจ้งดุจแสงตะวัน เป็นได้เป็นประคุณ ต่อลูกหลาน แม้แต่ดาวอังคาร คนยังคิดไปอยู่ เรื่องนี้ หากเข้าถึงและเป็นประโยชน์ ตลอดกาล หลวงตาสร้างแน่นอนครับ เพราะหลวงตาสร้างคนให้เป็นคน สร้างตนให้เป็นเป็นพระ เรื่องสร้างธรรมชาติ เป็นเรื่องจิ๊บๆ สำหรับหลวงตา เอาให้เหมือนพุทธกาล ทั้งคนและสัตว์ ดำเนินชีวิตในป่าที่สมบูรณ์ด้วยอาหาร แม้กาลเวลา ผ่านพ้นไป 2566 ปีแล้วก็ตาม ความละเอียดอ่อนในธรรม และธรรมชาติ ย้อมทันสมัยเสมอ กราบหลวงตาให้เป็นความหวัง ความรุ่งเรือง ความสมบูรณ์ของธรรมและธรรมชาติด้วยเทอญ สาธุ
มุ่นเน้นสร้างพระสำคัญสุดครับ ป่าสำคัญในการปฏิบัติภาวนา แต่สักแต่สร้างป่าก็ไม่เหมาะกับภาวนา ป่าที่เหมาะคือลักษณะป่าโปร่ง มีการไหลเวียนของอากาศ มีออกซิเจนที่มากพอ ถ้าต้นไม้เยอะไปกลางคืนมามีแต่คาร์บอนไดออกไซด์พระก็ปฏิบัติไม่ได้ ส่วนเรื่องปลูกผลไม้ท่านก็บอกแล้วว่าปลูกอะไรตายหมด (ถ้าปลูกจริงๆมีคนเอาใจใส่รดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยก็คงได้ แต่วัดเค้าเน้นให้ไปปฏิบัติภาวนา คนในวัดก็ละทางโลกเพื่อมาปฏิบัติ จะให้เค้าเอาเวลาไปใส่ใจคงไม่ได้)
ตำแหน่งที่อยู่ของหลวงตาอยู่ฝั่งขวาภายในเนื้อสะโพกของปชช.ที่นี่
ุถ่ายใบรับรองไห้เขาดูเรยหลวงตา
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
ว่าด้วยฐานะที่มีได้และมีไม่ได้
[๑๗๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราไม่ตรัสรู้ทุกขอริยสัจตามความเป็นจริงแล้ว ฯลฯ ไม่ตรัสรู้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจตามความเป็นจริงแล้ว จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ ดังนี้ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เปรียบเหมือนผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราไม่ได้กระทำเรือนชั้นล่าง แล้วจักยกเรือนชั้นบนแห่งเรือนยอด ดังนี้ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ฉันใด ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราไม่ได้ตรัสรู้ทุกขอริยสัจตามความเป็นจริงแล้ว ฯลฯไม่ตรัสรู้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาตามความเป็นจริงแล้ว จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ ดังนี้ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ฉันนั้นเหมือนกัน.
[๑๗๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราได้ตรัสรู้ทุกขอริยสัจตามความเป็นจริงแล้ว ฯลฯ ได้ตรัสรู้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจตามความเป็นจริงแล้ว จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ ดังนี้ ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ เปรียบเหมือนผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เรากระทำเรือนชั้นล่างแล้ว จักยกเรือนชั้นบนแห่งเรือนยอด ดังนี้ ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ฉันใด ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่าเราได้ตรัสรู้ทุกขอริยสัจตามความเป็นจริงแล้ว ฯลฯ ได้ตรัสรู้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาตามความเป็นจริงแล้ว จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ ดังนี้ ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ ฉันนั้นเหมือนกัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก
เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
วาทีสูตร
#ผู้รู้ชัดตามเป็นจริง #ไม่หวั่นไหวต่อผู้ยกวาทะ
[๑๗๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ถึงแม้สมณะหรือพราหมณ์ผู้มีความต้องการวาทะ ผู้แสวงหาวาทะ พึงมาจากทิศบูรพา ... ทิศประจิม ... ทิศอุดร ... ทิศทักษิณ ด้วยประสงค์ว่าจักยกวาทะของภิกษุนั้น ภิกษุนั้นจักสะเทือนสะท้านหรือหวั่นไหวต่อสมณะหรือพราหมณ์นั้นโดยสหธรรม ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เปรียบเหมือนเสาหิน ๑๖ ศอก เสาหินนั้นมีรากลึกลงไปข้างล่าง ๘ ศอก ข้างบน ๘ ศอก ถึงแม้ลมฝนอย่างแรงจะพัดมาแต่ทิศบูรพา ... ทิศประจิม ...ทิศอุดร ... ทิศทักษิณ ก็ไม่สะเทือนสะท้านหวั่นไหว ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะรากลึกเพราะเสาหินเขาฝังไว้ดีแล้ว ฉันใด ก็ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯนี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ถึงแม้สมณะหรือพราหมณ์ผู้ต้องการวาทะ ผู้แสวงหาวาทะ พึงมาจากทิศบูรพา ... ทิศประจิม ... ทิศอุดร ... ทิศทักษิณ ด้วยประสงค์ว่า จักยกวาทะของภิกษุนั้นภิกษุนั้นจักสะเทือนสะท้านหรือหวั่นไหวต่อสมณะหรือพราหมณ์นั้นโดยสหธรรม ข้อนั้นมิใช่ฐานะที่จะมีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเห็นอริยสัจ ๔ ดีแล้ว ฉันนั้นเหมือนกัน อริยสัจ ๔เป็นไฉน? คือ ทุกขอริยสัจ ฯลฯ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ #เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯนี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
น้อมกราบหลวงตาผู้มีเมตตาต่อสัพสัตว์คะ
ความเชื่อเป็นเหตุสังเกตุใด้ พระอริยสงฆ์ที่ปฎิบัติธรรมบำเพ็ญเพียรภาวนา
มายาวนานเมื่อท่านมรณภาพลง กระดูกและผมจะกลายเป็นพระธาตุค่ะ
เรื่องพระธาตุมีจริง แต่มันไม่ใด้เกิดขึ้นมาง่ายๆ แบบโปรยปรายออกมาจากตัวใครก็ใด พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้อวดอุตริมนุสธรรมค่ะ
ท่านไม่ได้เศน์ท่านเรียกว่าสนทนาธรรมก็คือคุยธรรมมะแบบชาวบ้านง่ายๆ
นาทีที่เท่าไหร่ครับที่บอกว่าโปรยปรายออกมาจากตัว ผมฟังจนจบก็ไม่มี หรือคลิปไหนครับที่บอก เพราะฟังมาหลายคลิปก็ไม่มี ถ้าเป็นการเข้าใจผิดคิดไปเองก็กรุณาแสดงความรับผิดชอบต่อคำพูดนั้นด้วยครับ ส่วนเรื่องพระธาตุเกิดง่ายหรือยาก ลองไปฟังคลิปหลวงตาบัว ท่านเล่าว่าพระที่บรรลุธรรมเร็ว(เช่นบรรลุตั้งแต่หนุ่มๆจะเกิดง่ายกว่าพระที่บรรลุธรรมช้าและละขันธ์เร็ว) คงเพราะธาตุขันธ์ที่ใช้เวลาสัมผัสกับกระแสจิตที่เป็นธรรมธาตุนั้นมีเวลามากพอ)
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
#ว่าด้วยการตรัสรู้และไม่ตรัสรู้อริยสัจ ๔
[๑๖๙๘] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โกฏิคามในแคว้นวัชชี ณ ที่นั้นแลพระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย #เพราะไม่ได้ตรัสรู้ #ไม่ได้แทงตลอดอริยสัจ ๔ #เราด้วยเธอทั้งหลายด้วย #จึงแล่นไปท่องเที่ยวไปยังสังสารวัฏนี้ตลอดกาลนานอย่างนี้ อริยสัจ ๔ เป็นไฉน? คือ เพราะไม่ได้ตรัสรู้ ไม่ได้แทงตลอดทุกขอริยสัจ ๑ ทุกขสมุทยอริยสัจ ๑ ทุกขนิโรธอริยสัจ ๑ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ๑ เราด้วย เธอทั้งหลายด้วย จึงแล่นไป ท่องเที่ยวไปยังสังสารวัฏนี้ตลอดกาลนานอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทุกขอริยสัจ เราด้วย เธอทั้งหลายด้วย ตรัสรู้แล้ว แทงตลอดแล้ว ทุกขสมุทยอริยสัจ ...ทุกขนิโรธอริยสัจ ... ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ เราด้วย เธอทั้งหลายด้วย ตรัสรู้แล้วแทงตลอดแล้ว ตัณหาในภพขาดสูญแล้ว ตัณหาที่จะนำไปสู่ภพสิ้นแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มีพระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
[๑๖๙๙] เพราะไม่เห็นอริยสัจ ๔ ตามเป็นจริง เราและเธอทั้งหลายได้
ท่องเที่ยวไปในชาตินั้นๆ ตลอดกาลนาน อริยสัจ ๔ เหล่านี้ เรา
และเธอทั้งหลายเห็นแล้ว ตัณหาที่จะนำไปสู่ภพถอนขึ้นได้แล้ว มูลแห่งทุกข์ตัดขาดแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี.
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก
เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
วาทีสูตร
#ผู้รู้ชัดตามเป็นจริง #ไม่หวั่นไหวต่อผู้ยกวาทะ
[๑๗๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ถึงแม้สมณะหรือพราหมณ์ผู้มีความต้องการวาทะ ผู้แสวงหาวาทะ พึงมาจากทิศบูรพา ... ทิศประจิม ... ทิศอุดร ... ทิศทักษิณ ด้วยประสงค์ว่าจักยกวาทะของภิกษุนั้น ภิกษุนั้นจักสะเทือนสะท้านหรือหวั่นไหวต่อสมณะหรือพราหมณ์นั้นโดยสหธรรม ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เปรียบเหมือนเสาหิน ๑๖ ศอก เสาหินนั้นมีรากลึกลงไปข้างล่าง ๘ ศอก ข้างบน ๘ ศอก ถึงแม้ลมฝนอย่างแรงจะพัดมาแต่ทิศบูรพา ... ทิศประจิม ...ทิศอุดร ... ทิศทักษิณ ก็ไม่สะเทือนสะท้านหวั่นไหว ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะรากลึกเพราะเสาหินเขาฝังไว้ดีแล้ว ฉันใด ก็ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯนี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ถึงแม้สมณะหรือพราหมณ์ผู้ต้องการวาทะ ผู้แสวงหาวาทะ พึงมาจากทิศบูรพา ... ทิศประจิม ... ทิศอุดร ... ทิศทักษิณ ด้วยประสงค์ว่า จักยกวาทะของภิกษุนั้นภิกษุนั้นจักสะเทือนสะท้านหรือหวั่นไหวต่อสมณะหรือพราหมณ์นั้นโดยสหธรรม ข้อนั้นมิใช่ฐานะที่จะมีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเห็นอริยสัจ ๔ ดีแล้ว ฉันนั้นเหมือนกัน อริยสัจ ๔เป็นไฉน? คือ ทุกขอริยสัจ ฯลฯ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ #เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯนี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
พอจบๆ หลวงตาเงียบสงบได้ละ
หนูไปอยู่บ่อนํ้าพระอินแล้วแมวไปนําบ่❤❤❤กา๊กกก..55ๆ😅
สูบบุหรี่ก็ผิดแล้ว สาโท....
2พันกว่าปีไม่เคยผิด พระเกจิรุ่นก่อนๆก็สูบกันมาตลอด เพิ่งมามีกลุ่มบางกลุ่มที่เห็นพระสูบบุหรี่แล้วรู้สึกไม่พอใจ เลยรณรงค์เรื่องการสูบบุหรี่แล้วก็ยื่นเรื่องให้มีกฎหมายบุหรี่ขึ้นมาควบคุมพระ กฎหมายนี้เลยเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี่เอง
อย่าลืมว่าสมัยพุทธกาลไม่มีบุหรี่นะครับ แล้วก็พากันรณรงค์กันจังเลย ว่าไม่ควรบิดเบือนพระวินัย แต่กลับพากันบัญญัติวินัยขึ้นมากันเองเพื่อควบคุมสงฆ์ นรกนะครับ กรรมนี้หนักมาก ทางที่ดีฟังธรรมเพื่อธรรมดีกว่าครับ อย่าเพ่งโทษกันเลย
พระไตรปิฎก เล่มที่๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
ภาวนาสูตร
[๖๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่หมั่นเจริญภาวนา แม้จะพึงเกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอจิตของเราพึงหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ก็จริง แต่จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่หลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ข้อนั้นเพราะเหตุไร จะพึงกล่าวได้ว่า เพราะไม่ได้เจริญ เพราะไม่ได้เจริญอะไร เพราะไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ เปรียบเหมือนแม่ไก่ มีไข่อยู่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง ไข่เหล่านั้น แม่ไก่กกไม่ดี ให้ความอบอุ่นไม่พอ ฟักไม่ดี แม่ไก่นั้น แม้จะพึงเกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอให้ลูกของเราพึงใช้ปลายเล็บเท้าหรือจะงอยปากเจาะกระเปาะไข่ ฟักตัวออกมาโดยสวัสดี ก็จริง แต่ลูกไก่เหล่านั้นไม่สามารถที่จะใช้ปลายเล็บเท้า หรือจะงอยปากเจาะกระเปาะไข่ ฟักตัวออกมาโดยสวัสดีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไรเพราะแม่ไก่กกไม่ดี ให้ความอบอุ่นไม่พอ ฟักไม่ดี ฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุหมั่นเจริญภาวนา แม้จะไม่พึงเกิดความปรารถนาอย่างนี้ว่า โอหนอขอจิตของเราพึงหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ก็จริง แต่จิตของภิกษุนั้นย่อมหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ข้อนั้นเพราะเหตุไร พึงกล่าวได้ว่า เพราะเจริญ เพราะเจริญอะไร เพราะเจริญสติปัฏฐาน ๔ ฯลฯ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ เปรียบเหมือนแม่ไก่มีไข่อยู่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง ไข่เหล่านั้นแม่ไก่กกดี ให้ความอบอุ่นเพียงพอ ฟักดี แม้แม่ไก่นั้นจะไม่พึงปรารถนาอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอให้ลูกของเราพึงใช้ปลายเล็บเท้าหรือจะงอยปากเจาะกระเปาะไข่ ฟักตัวออกมาโดยสวัสดี ก็จริง แต่ลูกไก่เหล่านั้นก็สามารถใช้เท้าหรือจะงอยปากเจาะกระเปาะไข่ ฟักตัวออกมาโดยสวัสดีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไรเพราะไข่เหล่านั้นแม่ไก่กกดี ให้ความอบอุ่นเพียงพอ ฟักดี ฉะนั้น ฯ
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑
สุทธิกะ มรรคภาวนา
#สติปัฏฐาน
[๒๔๘] ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเข้าสติปัฏฐาน ๔ แล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ...๔ อย่าง ... ๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพราง
ความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเข้าสติปัฏฐาน ๔ อยู่ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ
๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้เข้าสติปัฏฐาน ๔ ได้แล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ...๔ อย่าง ... ๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้สติปัฏฐาน ๔ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ
๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ชำนาญสติปัฏฐาน ๔ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าวก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า สติปัฏฐาน ๔ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ...๔ อย่าง ... ๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
#สัมมัปปธาน ๔
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเข้าสัมมัปปธาน ๔ แล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ
๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเข้าสัมมัปปธาน ๔ อยู่ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้เข้าสัมมัปปธาน ๔ ได้แล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ...๔ อย่าง ... ๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพราง
ความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้สัมมัปปธาน ๔ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ
๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ชำนาญสัมมัปปธาน ๔ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ...๔ อย่าง ... ๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพราง
ความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า สัมมัปปธาน ๔ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ...๔ อย่าง ... ๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลัง
กล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
#อิทธิบาท ๔
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเข้าอิทธิบาท ๔ แล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเข้าอิทธิบาท ๔ อยู่ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้เข้าอิทธิบาท ๔ ได้แล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ...๔ อย่าง ... ๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้อิทธิบาท ๔ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ชำนาญอิทธิบาท ๔ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลัง
กล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า อิทธิบาท ๔ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าวถูกใจก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
#อินทรีย์ ๕
[๒๔๙] ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเข้าอินทรีย์ ๕ แล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ...๔ อย่าง ... ๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเข้าอินทรีย์ ๕ อยู่ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้เข้าอินทรีย์ ๕ ได้แล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้อินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ชำนาญอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า อินทรีย์ ๕ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
#พละ ๕
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเข้าพละ ๕ แล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง... ๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเข้าพละ ๕ อยู่ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ... ๕ อย่าง ...๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้เข้าพละ ๕ ได้แล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ...๔ อย่าง ... ๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้พละ ๕ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ชำนาญพละ ๕ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า พละ ๕ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ด้วยอาการ ๓ อย่าง ... ๔ อย่าง ...๕ อย่าง ... ๖ อย่าง ... ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔ อำพรางความเห็น ๕ อำพรางความถูกใจ๖ อำพรางความชอบใจ ๗ อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
หลวงตาพักผ่อนบ้างเถอะค่ะพูดทำไมเรื่องพระธาตุ
พูดเรื่องกรรมดีกรรมชั่ว
ใครทำกรรมใดไว้ต้องรับกรรมนั้นแน่นอน..
ไอ้คมก็โดนที่โคราชนะจ๊ะ
อยากทราบผลการตรวจสอบพระธาตุครับ
ทำไมไม่บอกผลตรวจสอบ จะได้ชัดเจนไปเลย เผาด้วยไฟความร้อน120องศาแล้วเป็นไง
ตามดู2,,วันก่อนและ ให้รับผิดชอบด้วยคนที่พิศูตรไม่จริงท่านไม่เอาเรื่องแต่ทนายและลูกศิษย์คงไม่ยอมพวกที่รังแกคนที่จะปฏิบัติดีและกรรมจะคอยส่งผลมาดูกัน
@@weerachaikunvut3381ด้ยินว่ารอผลอีกสถาบันหนึ่งคับ ยังไม่ออก
ผลตรวจคือเป็นโพลิเมอร์ครับ
@@weerachaikunvut3381หลวงตารอผลจากอีก1สถาบันครับ แต่สถาบันก่อนหน้ายืนยันผลแล้วว่าเปนของจริง เด่วรอผลจากอีกที่ก็คงมีการแถลงอีกทีครับ
ใครอยากได้พระธาตุจะไปยากอะไรก็ เอาไม้ไปเคาะ เอาตามตัวครูบาฉ่าย มีเต็มไปหมด เยอะแยะ ไปถึงก็ไป เคาะหัว เอาเลย ยิ่งเยอะ
ถ้าทำแบบนี้ ทางโลก ท่านฉ่ายจะถูกปาราชิกทันทีโดยไม่ต้องสังวาส
พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้
ทางธรรม สภาวะท่านฉ่ายจะจมแช่แค่นี้ ไม่สามารถเข้าถึงสถภาวะอื่นๆที่มีอยู่
เกิดจากฉันทราคะในอุปาทานขันธ์ ๕ ที่มีอยู่
คอยดูตอนจบจะมีนรกมั้ยนะ
เป็นบุญของลูกหลานชาวพุทธครับหลวงตาสาธุสาธุสาธุ
น้อมกราบสาธุๆๆครับ🙏🙏🙏
สาธุค่ะ
กราบสาธุครับ
สาธุๆๆ
🙏🙏🙏
น้อมกราบสาธุสาธุสาธุครับผม
กราบสาธุ สาธุ สาธุ ครับ
กราบสาธุๆค่ะ
สาธุเจ้าค่ะ
🙏🙏🙏
สาธุๆๆ
มีเรื่องเล่ามันก็ต้องนานเป็นธรรมดาครับผมหลวงตานิมนต์ต่อยาวๆเลยครับ❤
สาธุๆๆ
กราบสาธุๆค่ะ
สาธุครับ
ดูก่อนอานนท์พระธาตุเราก็มียู่ไนโถส้วมนั่นเด้พระธาตุเฮา
กราบสาธุครับ
สาธุ
กราบหลวงตาค่ะหนูขอบอกว่าพระธาตุที่หลวงตาพูดถึงนั้นมีจริงค่ะเพราะหนูเคยไปได้กราบมาแล้วค่ะที่กรุงเทพค่ะ
น้อมกราบหลวงตาสินทรัพย์ครับผมสาธุครับ
พระธาตุนี่ก็มีไว้เพื่อเป็นกำลังใจทางหนึ่งให้ผู้ปฏิบัติ