ขนาดวิดีโอ: 1280 X 720853 X 480640 X 360
แสดงแผงควบคุมโปรแกรมเล่น
เล่นอัตโนมัติ
เล่นใหม่
"สูงสุดคืนสู่สามัญ คือ สัจธรรมของชีวิตมนุษย์"..มันช่างงดงามเสียเหลือเกิน.. อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ ธรรมะ อันสูงสุดจริงๆครับ.. ขอบคุณท่านอาจารย์ที่สละเวลาเพื่อศาสนาครับ..ขออนุโมทนากุศลนี้เพื่อเป็นกำลังใจครับ ❤
🙏🏻🙏🏻🙏🏻
เพิ่งพบคำบรรยายนี้ของท่าน ขอกราบท่านด้วยความเคารพยิ่ง ธรรมะจัดสรรจริงๆครับ _ เห็น รู้ ต่อ อิทัปปัจจยตา อัตตา (ปฏิจสมุปปบาท) อนัตตา อตัมมยตา สุญญตา อันเป็นไปด้วย ตถตา ครับ
สาธุ กรายขอยพระคุณมากค่ะ สอนดีมากฯเลย ค่ะ
เข้าถึงธาตุรู้ครังแรกยังเห็นว่าเรารู้ แท้จริงแล้วรู้ไม่ใช่เรารู้ แท้จริงแค่รู้
ขอบคุณ อ.มากเลยครับ ที่ยํ้า อัตตา กับ อนัตตา ตอนท้าย เห็นภาพ การมีอยู่ของทั้งสองเลย ❤❤❤
น้อมกราบท่านอาจารย์ทวีศักดิ์ มาณ โอกาสนี้อย่างสูง
กราบสาธุธรรมค่ะ
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์คะ ที่ช่วยปูพื้นฐานให้คะ ชอบและติดตามรอฟังธรรมบรรยายจากท่านมาโดยตลอดเป็นไปได้ไหมคะที่จะเพิ่มวันหรือเวลาบรรยายต่อไปอีกหลายๆตอนก็ได้นะคะ ธรรมที่สอนให้เห็นถูกต้องตามความเป็นจริง ให้เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง อย่างที่ท่านอาจารย์บอกสอนหาฟังได้ยาก เป็นบุญที่ได้มีโอกาสได้ฟังธรรมจากท่านอาจารย์คะ อนุโมทนาสาธุสาธุในความเมตตากรุณาของท่านอาจารย์คะ
ขอบคุณค่ะอาจารย์ เคยได้ทิ้งสิ่งที่ถูกรู้ ซึ่งตอนนั้นเข้าใจว่าเราทิ้งผู้รู้แล้ว หลังๆมาจึงเข้าใจว่าเราแค่ทิ้งสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้นเอง ก็เลยมองหาว่าจะทำลายผู้รู้ยังไง เพราะก็เหมือนว่าเราเห็นแต่สิ่งที่ถูกรู้ แต่มีอีกตัวที่มันเฉยๆ ไม่อินังขังขอบกับอะไรอยู่ เช่น เห็นภาพดาราที่สวยหล่อถูกใจ แต่เหมือนความถูกใจที่ว่ามันเข้าไม่ถึงส่วนลึก คือไอ้ตัวเฉยๆนั่น จนรู้สึกเหมือนมันแกล้งถูกใจไปงั้นเอง (ทั้งที่บางครั้งเราก็อินมากกับความสวยหล่อของดารานักแสดงนั้น)มาฟังอาจารย์ในเทปนี้ ก็เลยเข้าใจมากขึ้น ว่าเราทำถูกแล้ว คือทิ้งสิ่งที่ถูกรู้ แต่ตัวรู้มันก็อยู่ของมันอย่างนั้นเอง เข้าใจเรื่องธาตุรู้มากขึ้นเลยค่ะ กราบขอบคุณอาจารย์มากค่ะ 🙏🙏🙏
กราบขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ 🙏🏻 ท่านสอนได้เข้าใจง่าย คิดตามได้อย่างละเอียดละออ และเมตตาปูพื้นฐานให้มองเห็นสภาพธรรม ขอบพระคุณมากๆเหลือเกินค่ะ
ท่านสุดยอดครับ
ขอบคุณ อจ ที่สละเวลามาถ่ายทอดธรรมะอันลึกซึ้ง ในมุมวิทยาศาสตร์ชั้นสูงผนวกกันได้อย่างเข้าใจที่สุด
ชอบวิธีอธิบายธรรมะของอาจารย์ค่ะ
ชอบอาจารย์สอนมากๆๆๆค่ะ อนุโมทนาบุญและขอบคุณอาจารย์มากค่ะ🙏
ขอบพระคุณมากๆค่ะ ความรู้นี้เป็นประโยชน์มากค่ะ🙏🏻🙏🏻🙏🏻♥️
อาจารย์สอนเข้าใจง่ายขอบคุณคะ🙏🧘♀️
อาจารย์อธิบายธรรมะให้เข้าใจได้แจ่มแจ้งค่ะ 🙏กราบขอบพระคุณมากค่ะ
สาธุ..สุดยอดสิ่งที่ควรฟังจริงๆค่ะ
😂😂😂ให้ไม่ยึดมั่นถือมันเพราะไม่ใช่ของเราแภมตัวทุกข์@ต้นทางที่สัมมาสติ❤❤❤
Thanks ajanh so clear (ສົມມຸດແລະປຮະມັດ)is parallel until your last breath then you have only one left ປຮະມັດ. No more ຜູ້ຮູ້ໄນຂັນຫ້າ only pure conscientious.
อาจารย์สอนเข้าใจมากๆ ตรงประเด็น สาธุครับ เมือดูจิตมากๆจริงๆเเล้วเราจะไม่มีตัวตนเหมือนเรานั่งดูละครชีวิตตัวของเราเองเล่นไปเรื่อยยันจบ
การสอนของท่าน เอาสิ่งที่เห็นจับต้องได้ทางโลก ให้มองเห็นได้ ไม่แต่เฉพาะนามธรรม 41:59
ท่านสอนได้เข้าใจดีค่ะ
กราบ ขอบพระคุณค่ะ และอนุโมทนาสาธุธรรมด้วยค่ะ
สาธุค่ะ รอฟังค่ะ
อนุโมทนาบุญด้วยครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
กราบสวัสดีค่ะ🙏
รอฟังค่ะยินดีในบุญค่ะ
❤❤❤ขอบคุณครับ❤❤❤
สาธุ
ท่านอธิบายช่วยให้เข้าใจง่าย clear
กราบสวัสดีอาจารย์ค่ะ
สาธุ ครับ
1.จิตส่งออก จึงเกิดทุกข์ เพราะยินดี ยินร้ายกับผัสสะที่มากระทบ เกิดนันทิ 2.ทำลายผู้รู้ & ทำลายจิตวิญญาณคือผู้รู้หรือจิตในขันธ์ 5 3.สันทิฏฐิโก รู้แล้วปฏิบัติ ปัจจัตตัง เฉพาะตน4.มรรคองค์8 คือศีล สมาธิ ปัญญา คือเครื่องมือ ต้องปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญาจึงหลุดพ้น ศีล 5 บริสุทธิ์ ทำสมาธิ โดยอานาปานสติ ใช้จิตตามรู้ดูลมหายใจเข้า-ออก จิตตามรู้กับอิริยาบท ยืนเดินนั่งนอน หรือบริกรรมคำพุทโธ ฯลฯ จนจิตสงบ สว่าง สะอาด ด้วยความเพียร(สัมมาวายามะ อาจจะนาน หลายเดือน หลายปี) จนจิตเข้าสู่ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ และอัปนาสมาธิ ให้ดึงมาพิจารณาอาการ 32 ปัญจกัมมัฏฐาน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง หรือ อสุภกัมมัฏฐาน ว่ากายไม่งาม จนเห็นเป็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาฝึกต่อไป จะทำใหิจิตวิมุตติ หลุดพ้น ในที่สุด ครับบางคนทำมา 10 ปี ก็ยังไม่ไปถึงไหน เพราะระหว่างฝึกปฏิบัติ ยังเกิด เวทนากายและใจ นิวรณ์ 5 ให้ทำต่อไปด้วยความเพียรอดทนต่อไป ขอให้ดวงตาเห็นธรรม เห็นทุกข์ ครับ
กราบสวัสดีท่านอาจารย์คะ
Thank you
สาธุค่ะ, อาจารย์
สาธุๆ
ขอบคุณท่านอาจารย์ที่มอบแผนที่พร้อมรายละเอียดและเข็มทิศให้ ขอบคุณครับ
มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ควรเปิดสอนคณะ ทางเดินสู่นิพพาน
ไม่ค่อยเห็นด้วยครับ1 เพราะอาจารย์ที่เก่งในการอธิบายระดับนี้หายาก2 คนที่ฝึกวิปัสสนา และสมถะในแนวทางที่ถูกต้องมีน้อย3 ชีวิตชาวบ้านที่ยังทำมาหากิน ที่ยังไม่ได้ฝึกรักษาศีล 5 ขึ้นไป คงไม่สิทธิเข้าใจคำว่า ทางไปนิพพานคหสต.นะครับ
มีสอนสมาธิ3หน่วยกิตค่ะ
@@mtay1544 ออ งั้น ก็ต้องสอนครับ เพราะเป็นรายวิชาในหลักสูตร
กราบอาจารย์ค่ะนับว่าเป็นบุญที่ได้ฟัง อ.บรรยายค่ะ.
ฟัง อ.แล้วเข้าใจพระธรรมคำสอนมากขึ้น.
กราบอนุโมทนาสาธุ
จิต..มีตันหา.มีอวิชชา.อุปาทาน//จิต..จึงใม่ป้นใปเพื่อ...ผุ้รุ้
กราบสาธุค่ะอาจารย์🙏
สาธุบุญที่ได้ฟังครับ
เราจึงควรทำลายทั้ง..จิต และผุัรุ้
จากประสบการณ์ของตัวเอง ยิ่งรู้มากยิ่งแบกตำรามากโดยไม่รู้ตัว สัญญาทำงานตลอด เป็นอุปสรรคอีกอย่างนึงของผู้ปฏิบัติ
อาจารย์จึงบอกให้รู้จักการละไงครับเราต้องพึงรู้ว่าละอะไรแล้วดีแล้วไปต่อได้ตรงนี้หล่ะ ต้องใช้ปัญญาพิจารณาแยกแยะว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ
ขอแชร์จากประสบการณ์ตรงที่ได้รับโดยตรงจากการปฎิบัตินะครับ ขออธิบายแบ็กกราวด์ และจุดทีี่ทำให้เกิดความก้าวหน้าตามลำดับ ผมเคยฝึกปฎิบัติมาตามค่ายปฎิบัติธรรมมาสมัยมัธยม ซึ่งเป็นคอร์สที่เรียกว่าเข้มข้นระดับนึง รู้วิธีนั่งสมาธิเดินจงกรมมาก่อน ไปมา 2 รอบ รอบละ 7 วัน รวมกัน 14 วัน ปฎิบัติมาถึงจุดที่เห็นสันตติ คือการขาดเป็นช่วง ๆ ของสติ ที่ไม่ว่าสมาธิจะแน่นแค่ไหน เวลาเดินจงกรมที่สติกำหนดที่ขา ก็จะเห็นภาพตัดเป็นช่วง ๆ เหมือนแผ่นฟิลม์ จุดที่ทำให้ก้าวหน้าจริง ๆ คือ หลังจากนั้นอีก 10 กว่าปี เป็นช่วงที่เป็นทุกข์เพราะต้องไปเมืองนอก ทำงานหนักไม่ได้ตังค์ ตั้งใจไปเรียนแต่กลับโดนหลอกใช้งาน หวาดกลัว แถมโดนด่าพ่อด่าแม่ให้ฟัง จนคับแค้นใจจะตอบโต้อะไรก็ไม่ได้เพราะไปอยู่บ้านเขา ที่พึ่งสุดท้ายคือ *ปฎิบัติ โดยตั้งจิตเจตนาไว้ว่าเป็นการหนีทุกข์ หรือขอให้พ้นจากความทุกข์นี้อย่างเดียว เพราะทุกข์หนักเหลือเกิน* อันนี้นับว่าเป็นสัมมาทิฎิฐิ วิธีปฎิบัติ คือ ก่อนกำหนดจิตกายานุปัสนา เดินมรณุสติก่อนสักรอบ เพื่อตัดความห่วง ความกังวลหวาดกลัวกับอนาคตข้างหน้า จากนั้นก็พิจารณากายานุสปัสนาไปในระหว่างทำงานในครัว เรียกว่านอกจากที่ได้นอนวันละ 6 ชั่วโมงแล้วที่เหลือคือการปฎิบัติในชีวิตประจำวันเกือบทั้งหมด เพราะหวาดกลัวกับอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะเอางัยต่อกะชีวิตดีแทบทุกนาที กลัวเมื่อไหร่ปฎิบัติเมื่อนั้น จนกระทั่งผ่านไปประมาณ 6-7 เดือน เมื่อจิตถึงพร้อม...
มีอยู่คืนหนึ่ง ระหว่างนอนปฎิบัติ รู้สึกเหมือนจู่ ๆ ที่นอนกลายเป็นหลุม จู่ ๆ จิตก็โดนดูดลงไป วูบนึง รู้ตัวอีกทีคือ กายดับแล้ว กล่าวคือ มีสติสัมปชัญญะพร้อม แต่ไม่รับรู้ถึงประสาทสัมผัสใด ๆ อีกเลย อายตนะ ไม่ได้ยิน รู้สึก หรืออะไรใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นสภาวะที่ไร้ร่าง ทุกอย่างดับหมดเหลือแต่จิต ซึ่งเห็นดวงแสงอยู่ตรงหน้า แล้วเรารู้ว่านี่แหละคือจิตเรา ถามว่ารู้ได้งัย ว่าเป็นจิตของเรา มันเหมือนกับการที่คุณรู้ได้งัยว่า แขนนั้น เป็นของคุณ คือ มันแค่รู้ว่านี่แหละจิตเรา ดังนั้น สิ่งที่ครูบาอาจารย์ ท่านสอนว่าจิตเห็นจิต สำหรับผมมันคือแบบนี้ ตรงตามตัวอักษร ถามว่าจิตกับผู้รู้ มันแยกกันอย่่างไร คือ คุณมีดวงแสงอยู่ข้างหน้าที่มันเป็นจิตของคุณ แล้วอะไรที่ทำให้คุณรู้ว่านี่คือจิตของคุณนั่นแหละ คือ ตัวที่มันมองดวงแสงนั่นแหละคือ ตัวผู้รู้
ในสภาวะนั้น เป็นอย่างไร1)สุขไม่มีประมาณ หาอะไรเปรียบไม่ได้ ตรงตามที่สอนกันมา สุขที่เกิดจากสมาธิเหนือยิ่งกว่าความสุขทางโลก สุขแค่ไหน ขนาดที่ว่าต่อให้ตายตอนนั้นก็ไม่เสียดายชีวิต (ผมไม่ได้บรรลุนะคับ ยังเป็นฆราวาส กิเลสยังมีอยู่เป็นปกติ ซึ่งนี่คือสุขที่เกิดจากฌานเท่านั้น ตามที่ผมเข้าใจ)2) สภาวะนั้นไม่มีเวลา เพราะประสาทสัมผัสด้านเวลาจะดับ พร้อมกับกายและอายตนะอื่น ๆ ข้อสรุปนี้เกิดจากการที่ผมรู้สึกว่าอยู่ในสภาวะนั่นแปบเดียว แต่พอออกมาแล้วดูเวลาคือ ผ่านไป 2 ชั่วโมงแล้ว3) ที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าจิตนี้สั่งให้ขยายได้เท่าจักรวาบจนมองไปทางไหนก็เห็นแต่แสงสว่าง หรือ ให้หดเล็กเท่าปลายเข็มได้ จริงคับ ทำได้แต่ตอนนั้นที่ทำคือ นึกแล้วสักพัก(ไม่ใช่ทันที)จิตหรือดวงแสงมันก็จะขยาย หรือดตามที่เราต้องการจริงคับ ครูบาอาจารย์ที่ทรงฌานในบ้านเรามีอยู่มากนะครับ4)นอกจากดวงจิตที่เป็นดวงแสงแล้ว ตัวผู้รู้ที่ดูดวงจิตอยู่ แล้วนอกนั้นคือความว่างเปล่า พื้นที่เป็นอนันต์แต่สสารเป็นศูนย์ ไม่มีแม้แต่ฝุ่นสักเม็ด ลมสักวูบ ตรงนี้ผมจำได้ถึงคำสอนครูบาอาจารย์ว่า ให้ละจิต ผมเลยเอาตัวผู้รู้ ไปดูที่ความว่างเปล่า เรื่อย ๆ ไปจนกระทั่งตัวผู้รู้กำลังจะดับกำลังจะเข้าภวังค์ รู้แค่ว่าไปไกลมากในความว่างเปล่า แต่พอจะเข้าภวังค์ สติกำลังจะดับกลัวทำผิด เพราะจำได้ว่าสติต้องกำกับตลอดเลยดึงกลับมาที่ดวงจิตต่อ มันก็แว่บกลับมาอยู่ตรงดวงจิตแบบพริบตาเดียว (จิตเห็นจิตแล้ว พบผู้รู้แล้วแต่ทำลายผู้รู้ไม่ได้ครับ ไม่รู้ว่าต้องทำยังงัย)
สภาวะของการออกจากฌาน คือ คล้ายๆ กับการสั่งดวงจิตให้ขยายให้หด คือให้นึกหรือระลึกว่าต้องการออกแล้ว จากนั้นสักพักนึง เหมือนเดิม ดวงจิตจะเริ่มเคลื่อน ของผมมันลอยหมุนคว้างวนเป็นก้นหอยพุ่งไปข้างหน้า แล้วก็ออกมา กายตื่นเหมือนตกจากที่สูงสะดุ้งเฮือกสุดตัว จากนั้นนั่งร้องไห้ตอนตี 2 ความรู้สึกทุกอย่างมันท่วมท้นไปหมด ทั้งเสียดายความสุข ทั้งความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือ ตอนนั้นผมรู้สึกอย่างนี้ครับ คือ ธรรมะนี่มันอยู่ในจิตในใจ เราเรียนนั่งสมาธิมาเป็นสิบปีไม่รู้เรื่อง เรื่องละเอียดแบบนี้อยู่ในใจแบบนี้ หัวจิตหัวใจของพระพุทธองค์ท่านทำได้อย่างไรที่จะเอาสิ่งเหล่านี้มาสอน ต้องทรงลำบากขนาดไหนกว่าจะสอนสั่งชาวโลกให้รู้ได้สักคน พระธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ท่าก็เปิดหมดทุกอย่าง บอกตรง ๆ ไม่มีปิดบัง ขนาดนั้นคนปัญญาอย่างเรายังทำได้มั่งไม่ได้มั่ง แต่ท่านก็ยังทรงพร่ำสอน สุขอันเกิดจากการปฎิบัติ ก็เป็นจริงตามนั้น พระสงฆ์ธรรมทายาทที่อุตส่าห์รักษาให้ธรรมนี้บริสุทธิ์ กว่า 2 พันปีจนมาถึงเราได้ ความรู้สึกทุกอย่าวพรั่งพรูปนเป ออกมาหมด นั่งร้องไห้สะอื้นฮัก ๆ อยู่คนเดียว สรุปเป็นประโยค พระพุทธ คือ ผู้เปิดเผยพระธรรมและทรงไว้ด้วยปริยัติ พระปริยัติธรรม คือ สิ่งที่ผู้ศรัทธาได้น้อมนำไปปฏิบัติ ผู้ได้รับผลจาการปฎิบัตินั้นแล้วจึงจะเป็น พระสงฆ์... หลังออกจาฌาน มีผลทำให้ประสาทสัมผัสไวขึ้นมาก ตามองเห็นแสงสีที่ไม่เคยเห็นได้มากขึ้น หูได้ยินลายละเอียดของเสียงเล็กๆ น้อย ๆ ที่ไม่เคยสังเกตุ อย่างเสียงของใบไม้ที่ปลิวไป ครูดกับลำต้น พื้นถนน เป็นอยู่หลายวัน ไม่รวมถึงเรื่องอื่น ๆ ที่รับรู้มาเป็นประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ
สำหรับผม เทคนิค มีดังนี้1) ตั้งจิตสำหรับการปฎิบัติเพื่อพ้นจากความทุกข์ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ คือ ไม่เอาอย่างอื่นเลย คือ จะพ้นทุกข์อย่างเดียว ไม่หลอกตัวเอง2) ก่อนลงมือปฎิบัติ หาทุกข์เจอแล้วหากรรมฐานที่ข่มมันได้มาข่มมันก่อน อย่างผมทุกข์เพราะความกังวล ความห่วงถึงอนาคตข้างหน้า ใช้มรณานุสติ เพื่อข่มว่าอนาคต ตายทุกคนไม่ต้องไปห่วงใครทั้งนั้น สุดท้ายมีแต่ความตายเป็นที่ตั้ง (กองนี้ดีนะใครขี้เกียจ ลองกองนี้บ่อย ๆ จะ เวลาขี้เกียจ ๆ มันมาเตือนนะ ทำให้กลัวตาย ไม่ได้กลัวตายเพราะจะตาย แต่กลัวตายเพราะต้องไปนับ 1 ใหม่ เกิดใหม่มาสัญญาเดิมจะเหลือแค่ไหนก็ไม่รู้ จะเจอคนสอนไหมก็ไม่รู้ รีบทำตอนนี้แล้วหนีออกก่อนดีกว่า)3) การปฎิบัติเป็นเรื่องจริงจัง แต่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย กล่าวคือ ควรปฎิบัติทุกชั่วขณะจิตที่มีโอกาส การปฏิบัติบ่อย ๆ เหมือนการหยอดกระปุก หยอดไปเรื่อย ๆ สม่ำเสมอ วันที่สะสมจนครบ มันถึงพร้อมเมื่อไหร่ มันไปของมันเองได้ ไม่มช่ว่าจะต้องให้มครพาไป ถ้าองค์ประกอบครบมันไปของมันเองเลย แต่ไปแล้วติดตรงไหน ก็ค่อยออกมาสอบถามจากครูบาอาจารย์ผู้รู้
🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏
ກາບສາທຸ ສາທຸ ສາທຸ
ดูจากอุบลราชธานี
สาธุ สาธุ ธรรม หนอ...
เจอกับตัวเองค่า
สาธุ ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ
กราบสาธุคะ
เก่งมากครับ บรมครู ชอบมากครับรู้ลึก
สาธุครับ
รอครับ ขอบคุณครับ
ขอบคุณอาจารย์มาก แม่ชีได้พิจารณาตาม ขอสรุปตามความเข้าใจของตัวเองให้อาจารย์ฟังนิดนึงนะคะว่าเป็นไปตามที่อาจารย์สอนหรือไม่ คือ เมื่อเรามีสติตามรู้อารมณ์ที่มากระทบแล้วเรารู้การกระทบให้เราดูเฉยๆ ไม่ไปปรุงร่วม เมื่อจิตถูกรู้มันก็หายไป นี่คือจิตถูกทำลาย ใช่ไหมค่ะ
คำ ตถาคต ควรทรง จำไว้ จิต มโน วิญญาณ คือสิ่งเดียวกัน ...อย่าลืม คำ ตถาคต .สำคัญ มาก ทรงจำไว้คล่องปากขึ้นใจ แทงตลอดอย่างดีด้วยทิฐิ.. ใช้ได้ ทั้งชาติ นี้ ถึงชาติหน้าภพหน้า ตลอดจนถึง สัมปรายภพ.... ถึงจะเป็นสมมุติ บัญญัติ ถึง นิพพาน แล้วต้องทิ้ง ก็จริง แต่ มัน เป็นไปเพื่อ วิชชา ถ้าจะไม่ให้ขัดแย้งกันควรใชคำตถาคต มาอธิบาย จะไม่มีคำว่าขัดแย้งกันแน่นอนครับ ...ส่วนคนจะเข้าใจไม่เข้าใจ ควร ฟังคำตถาคต เนืองๆ แล้วจะ เข้าใจเอง 🙏🙏
คำตถาคต ผ่านการแปลมาแล้ว หลายภาษา ปรับปรุงหลาย Version และไม่ใช่แม้แต่ ภาษาบาลี ลองตรึกตรองดีๆจะเข้าใจไม่ยาก ว่าทุกวันนี้ แปลเป็นไทย ใช่คำตถาคต จริง 100% ไหม
ท่านพูดเหมือนผู้ที่ท่านปฏิบัติธรรมอย่างเข้าใจแจ่มแจ้ง ขอถามท่านด้วยความเคารพนะท่าน ความรู้ต่างๆที่ท่านนำมาพูดเกิดจากผลของการที่ท่านได้ปฏิบัติธรรมใช่ไหมครับ
ไชยการ😢🎉😮ที่🎉
สำหรับผม คนส่วนใหญ่จะใช้สังขารปรุงแต่งแล้วเข้าใจว่าเป็นปัญญาและเก็บเป็นสัญญา ในมรรคมีองค์8 ต้องมีความดำริชอบ ที่ไม่สามารถย่อได้ หลวงปู่ดูลย์ให้เจริญมรรค ด้วยการทำเพื่อให้จิตเติบโตด้วยมรรค แก้มิจฉาทิฏฐิด้วยมรรค โดยการปฏิบัติ ให้จิตเห็นจริงใน กาย เวทนา จิต ธรรม สุดท้ายมีสติ โดยการดูซื่อๆ ไม่ต้องปรุงแต่งธรรมะ เพราะธรรมะมีในตัวทุกคน แต่สิ่งแรกที่ต้องชนะคือ ตัวทิฐิ ของตนเอง
คนไม่เคยว่ายน้ำแต่มาเป็นครูสอนว่ายน้ำมีลูกศิษย์เต็มห้องเลย
ธรรมลึกซึ้ง เป็นบุญแล้วที่ได้มีผู้ถ่ายทอดและได้มีโอกาสได้มารับฟัง และจะเป็นบุญมากที่สุด ถ้ามีใจน้อมรับฟังจนเกิดการเข้าถึง🙏🙏🙏
ปริศนาธรรมวันนี้: คนที่ปีนขึ้นบนยอดเขาและมองลงมาข้างล่างเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริงอย่างชัดเจน จึงจะสามารถบอกถึงสภาพรอบรอบเขาได้ และท่านอาจารย์สามารถบอกได้ชัดเจนท่านคิดว่าอาจารย์อยู่บนยอดเขาหรือเปล่า? ถ้าท่านยังไม่ถึงยอดเขาอย่าพึ่งปรามาสท่านเพราะจะติดกรรมนรกอเวจีขุมสุดท้าย เพราะท่านที่จะพยากรณ์อาจารย์ได้จะต้องเป็นคนที่อยู่บนยอดเขาจุดเดียวกับที่ท่านอยู่เท่านั้น..เอวัง
นักปฏิบัติจะเข้าใจดีและแยกแยะได้เองครับ อย่าไปสนใจว่าเป็นความรู้ตามสัญญาหรือเกิดจากการปฏิบัติ
จิต...ใม่ปราถนาผู้รู้/ผู้รู้..จึงใม่ปราถนาจิต
จิต..จึงใม่เป้นที่ตั้งแห่ง/ผู้รู้//ผู้รู้จึง..ใม่อาศัยอยู่กับ..จิต
ผู้รู้อนัตตา อ.อริยเจ้า
การเรียกชื่อนามเป็นชื่อต่างๆมากมายก็เพราะที่เกิดแตกต่างกันและทำหน้าที่ต่างวาระกันอาจมีอายุไม่เท่ากันด้วย หากบรรยายธรรมไม่ตรงตามอารมณ์ของพระตถาคต อาจระคายเคืองพระวรกายพระองค์ ส่วนผู้รู้ตามผืดอาจเจ็บหนักเจ็บหนักหรืออักเสพที่ช่องปากหลุมดำรูหนอนและกระดูกสันหลังช่วงต้นคอและช่วงเอวเหนือดระเบนแหนบ 3 ข้อส่งผลกระทบต่อไขสันหลังด้วย น่าจะปรีกษาหารือกับ อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์
จิต...ถูกผู้รู้ทำลาย//จิต..จึงทำลายผู้รุ้
เมื่อ..ทำลายผุ้รุ้และจิต../นิพพาน..ย่อมปรากฏขึ้น
รอนานนะเนี้ย😂😅
จิต..และผู้รู้/จึงอาศัยอยุ่...ร่วมกันใม่ใด้..อีก
เมื่อนิพพานปรากฏขึ้น...ผุ้รู้รู้และจิต..ย่อมถุกทำลาย//ปัญญา..ย่อมมีอยุ่..//
สาธุค่ะ รบกวนท่านผู้รู้ตอบให้หายสงสัยด้วยค่ะ คือ ทำไมรู้สึกว่า ผู้รู้ไม่ใช่เรา บางทีเรากำลังให้ผู้รู้ดูสภาวะผู้ถูกรู้ แต่บางทีหลับเงียบเฉย จึงรู้สึกว่าผู้รู้ก็บังคับไม่ได้ ดูมันคล้ายมีเราที่คิดซ้อนในตัวผู้รู้ ถึงคิดแบบนั้นได้ แต่คิดไม่ออกว่าเรานี้อยู่ตรงไหน. งงกับตัวเองค่ะ ท่านผู้รู้ช่วยตอบให้หายสงสัยด้วยนะคะ ขอกราบขอบคุณค่ะ
รู้สักแต่ว่ารู้
@@huey4987 ขอบคุณค่ะ ยังไม่เข้าใจ คิดเอาเองว่า เรานั่นแหละคือผู้รู้ แต่ผู้รู้เปลี่ยนเป็นปัญญาญาณ ในขณะที่เกิดเหตุการณ์ใช่มั้ยคะ คิดเองเออเองค่ะ เหมือนงงๆตลอดค่ะ
1ความเห็นนะคะ เพราะแท้จริงเราคืออนัตตา ไม่มีตัวตน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ความคิดปรุงแต่งทำให้มีตัวเรา หากปล่อยวางได้ ไม่ยึดถือว่าเป็นเรา เป็นของเราจิตจะเป็นอิสระจากการถูกกิเลสครอบงำค่ะ
คุณลองปล่อยผู้รู้ไปสิ ไม่ต้องเอาผู้รู้อีกแล้ว
จิต.และผุ้รุ้...ควรถุกทำลาย//ปัญญา..จึงปรากฏขึ้น
ขอโทษนะ หลายๆท่านอธิบายยาว สลับซับซ้อน วกวน จนงง คนฟังเบื่อ สุดท้ายไม่เข้าใจ ง่ายไปนะ ทุกข์คือผล สุขคือต้นเหตุ จะดับทุกข์ต้องดับที่เหตุ คือดับที่สุขนั่นเอง
ทำลายผู้รู้แล้ว...จิตย่อมถุกผุ้รุ้ทำลาย
สาวกา หิ จตุนฺนํ ธาตูนํ เอกเทสเมว สมฺมสิตฺวา นิพฺพานํ ปาปุณนฺติ. แปลว่า”ขึ้นชื่อว่าสาวก ท. เมื่อพิจารณาธาตุอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงบางส่วนเท่านั้นแล้วก็สามารถเข้าถึงนิพพานได้”
แอบงง บางท่าน ทำไมมาแบบเหนือเมฆ มาถามว่าผู้บรรยาย ได้บรรลุธรรมวิเศษ อย่างไร เขาต้องการอะไรคับ 😅
ภายใน
กราบเรียนพระอาจารค่ะ มีข้อสงสัย 2 ข้อค่ะ ถ้าคนตายแล้ววิญญาณ 6 ดับ แต่ธาตุรู้ไม่ดับ แล้วทำไมการสัญญา ที่เป็นสังคตธรรม ถึงตามติดในจิตธาตุรู้ได้อยู่ จึงพาไปเกิดในภพต่างๆได้ เพราะสัญญาคือการกระทำที่เคยทำไว้ได้ตายแล้วสังขารสัญญาน่าจะดับ ทำไมตามไปในจิตที่เป็นอสังคตธรรมได้คะ จึงได้ไปเกิดในภพภูมต่างๆได้ตามสัญญา (กรรม) ที่บันทึกในจิตถึงไม่หายไปตามไปในจิตรู้ซึงเป็นอสังคตธรรมได้อย่างไร
ขออนุญาตครับ เหตุที่มีภวังค์ คอยรักษาสิ่งที่เราได้เคยทำไว้ทั้งบุญและบาป ท่านแปลว่าภวังคจิต คือองค์ของภพ เมื่อถึงวาระตาย(จุติ) ภวังคจิต นี้จะทำหน้าที่รักษาบุญและบาปเสมือนกับเป็นตัวจดบันทึกบุญบาป เมื่อเกิดการเกิดในภพใหม่(ปฏิสนธิ) ภวังคจิต จึงหอบหิ้วเอาบุญบาป ความเคยชินต่างๆติดตามมาด้วย เสมือนการย้ายจากโกดังเก่า(ภพเก่า)มาไว้ในโกดังใหม่(ภพใหม่)นั่นเองครับ
@@ricky251971แสดงว่า องค์ภวังค์ฯ ตั้งอยู่ในจิตรผู้รู้ เหมือนฝังชิปไว้ แม้ขอขมากรรม ตั้งใจไม่อยากซ้ำรอยเดิม ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ใช่ไหมคะ
ขอบคุณค่ะท่าน ที่กรุณา
ขอบคุณค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
ขอบคุณค่า
เคารพนอบน้อมสภาวะจิตบรรยายพุทธะภาวะธรรมชาติของอาจารย์มีประโยนช์ในชีวิตจุดเล็กของผมในการขยายปัญญาแจ้งธรรมชาติของชีวิตผมกลื่นกินธรรมชาติจิตผมจนเป็นศูนย์สิ้นว่าผมไม่มีสาธุๆๆอาจารย์ไขธรรมะชาติคือทำมาชาดททำมาดาๆ
ความรู้ของอาจารยลึกซึ้งกว้างขวางมาก "แต่เหมือนซื้อทัวร์เชียงใหม่ แล้วอ.พาไปภูเก็ตอธิบายเกี่ยวกับทะเล เพื่อเปรียบเทียบว่าภูเก็ตกับเชียงใหม่ต่างกันอย่างไร เวลาเที่ยวเชี่ยงใหม่คนก็เหนื่อย
เพราะ..ผู้รู้.ทำลายจิต//จิต..จึงควรทำลายผู้รุ้
ไม่มีหรอกครับ แบบนั้น
เมากาวหรอครับ
จิตไม่ใช่วัตถุที่สามารถยกอย่างมาให้เห็นด้วยตาเปล่าได้ แล้วจะไปทำลายได้อย่างไร ถ้าจะวัดผลน่าจะดูว่าละอะไรได้บ้าง แม้กระทั่งคำว่าอนัตตา จริงๆ แล้วก็ยังต้องอาศัยตัวตนที่มีชีวิตอยู่จนถึงวันที่หมดอายุขัยในภพชาติปัจจุบัน 😊
ได้ฟังเค้าสอนเปล่าครับ รึเมากาวอยุ่
@@marenadee226ฟังอยู่ ปัญญาไม่ลึกซึ้งที่จะอาศัยธรรมะที่อาจารย์ท่านแสดงให้เป็นแนวทางแล้วให้ถึงธรรมอันบริสุทธิ์ บริบูรณ์ ยังไม่ได้ เพราะจิตคือนามธรรม การที่จะไปประหารกิเสลละเอียดนั้นม้นก็ไม่ได้ง่าย ยังยอมรับว่ายังไม่สามารถละความเห็นผิดในตัวตนในเบื้องต้นได้อย่างหมดจด - อนุโมทนาพหูสูตรที่เอ่ยวาจาที่ให้พึงระลึกว่าควรสำรวมตนในการฟังการบรรยายหัวข้อธรรมแล้วนำมาปฏิบัติให้รู้ตาม
ผู้รู้..คือปัญญา//ปัญญานั้นแหละ...อาศัยอยุ่กับจิต
ปัจจุบัน
อาจารย์ ลองปะทะยายสุจินต์ดูบ้างรับรองปวดหัว แก่จะให้เราละเดียวนั้นเลย อนัตตา
ในส่วนโลกุตระ อ. พบผู้รู้ให้ไปดูร่างกาย เขาจะพาดู พาทำ พาวิปัสนาออกมาเป็นธาตุ จิตเป็นธาตุวิปัสนาเพื่อดับอวิชชา(รูปณาณสิ้นสุด) ( เริ่มต้นอรูปณาณ ส่วน เหนือโลก) ผู้รู้จะพาวิปัสนาการเกิดต่อ เรามาจากไหน มาอย่างไร มามีสังขารในครรภ์มารดา และดับสังขาร ผัสสะ เวทนา ตัญหาถูกดับทั้งหมดรงนี้ ต่อด้วยดูวิญญาณ ดับอุปาทานทั้งหมดจนสิ้น พบจิตที่หลุดพ้นเป็นกลม ๆ สว่าง สะอาด สงบ จิตยิ้ม กราบพระพุทธเจ้า สาธุ ทั้งหมดนี้ผู้รู้พาวิปัสนาทำทั้งหมด ดังนั้นพบผู้รู้ถ้าไปต่อได้อย่าออก ให้วิปัสนาร่างกายต่อ
นิพพานก็คือ...อือ..
พระเคี้ยวหมาก และสูบบุหรี่ เป็นกิเลส หรือเป็นเรื่องของธาตุขันธ์ตามที่พระชอบอ้างกัน....ท่าน อ.ช่วยอธิบายธาตุขันธ์ และกิเลสว่าเกี่ยวเนื่องกันหรือไม่ยังไงครับ
ปฏิบัติเป็นเรื่องของจิต เคี้ยวหมากเป็นเรื่องของกายหยาบ แยกค่ะ การไปสงสัยในเรื่องพวกนี้ถือว่าส่งจิตออกนอกและมีวิจิกิจฉาทำให้ไม่เจริญก้าวหน้าทางปฏิบัติได้ค่ะ ดูตัวเองพัฒนาตัวเองดีกว่าค่ะ สาธุ
@@mtay1544 มองคนละมุมครับ เพราะสุราคือน้ำเมา เมรัยคือสิ่งมึนเมาเช่นหมากพลู บุหรี่ซึ่งศีลข้อห้าห้ามไว้ชัดเจน...แต่มีพระเคี้ยวหมากและพระขี้ยาเต็มวัดวาอาราม ยกเว้นพระสายท่านพุทธทาส อยากถามท่านว่า หมากพลู บุหรี่ซึ่งเจ้าบุหรี่เป็นของต้องห้ามในทางโลกต่างรณรงค์ห้ามดูดในชุมชนแต่ไฉนพระยังด้านอยู่ อ.สมภพวัดไตรสิกขาท่านพูดชัดเจน หมากพลู บุหรี่ มีตัวตนรูปร่างสัมผัสได้ยังเลิกกันไม่ได้เลย แล้วยังจะมาอวดอ้างว่าตัดกิเลสที่มองไม่เห็นรูปร่างได้อีก....อยากให้ตอบเรื่องธาตุขันธ์คงเป็นกายหยาบดังท่านตอบมาละครับ..งั้นถามต่อละกันเมื่อกายหยาบคือธาตุขันธ์มีความอยากเคี้ยวหมาก อยากสูบบุหรี่ ความอยากเป็นกิเลสมั้ยครับ..
การเคี้ยวหมาก สูบบุหรี่ มันกลายเป็นเรื่องของนิสัย ร่างกายติดที่สาร ความคุ้นเคยติดที่ต้องมีการเคี้ยว หรือสูบ สรุป เป็นเรื่องของสังขาร เรื่องของสัญญา จนเป็นอนุสัย ซึ่งแต่เดิมที ก็ติดหมากติดบุหรี่มาด้วยกิเลสความอยากนั่นแหละ แต่พออยู่ไปมันกลายเป็นเคยชินของ สังขาร ของสัญญา ของวิญญาณเรา ของความต้องการทางเวทนา พอปฏิบัติจนหมดหลักสูตร กิเลสมันก็หายหมด แค่รบกับกิเลสมันก็ยากพอแล้ว รบกับนิสัยชั่วๆที่ก่อให้เกิดบาปและอกุศลจนมันหายไป มันก็พอแล้ว จะให้รบกับบบรรดานิสัยอื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยต่อจิต มันก็คงไม่ต้องแล้ว มันไม่ได้ดึงถ่วงด้วยอกุศลกรรมของจิต อีกอย่าง เมื่อหมดกิเลสแล้ว ความต้องการที่จะแก้โน่น ปรับนี่ มันก็หมดไปด้วย คนกิเลสหมด เขารู้ตัวว่ากิเลสหมด เขาก็จบแค่นั้นครับ ไม่ต้องฝึกต่อ จะไม่ต้องดัด จะไม่ต้องข่มต่อแล้ว เพราะที่เหลือมันไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยต่อจิต มันหมดความอยากแล้ว ท่านจึงปล่อยความเคยชินของขันธ์มันดำเนินต่อไป รอเพียงขันธ์มันสลาย ก็จบครับ
ปฎิบัติแล้วก็จะกจะรู้เอง
ผมว่า วงจรปฏิจจสมุปบาท ตัวปัญหาคือพอปรุงแต่งแล้วมีตัณหา
การทำลายผู้รู้..นั่นแหละคือการทำลาบจิต
ทำลายยังไงจิต
ข้อ2 ถ้าทุกคนมีจิตดั้งเดิมเป็นประภัสสรแล้วนิพพานก็คือจิตประภัสสรคือนิพพาน ไม่เกิดอีก แล้วทำไมจิตดั้งเดิมประภัสสรเรามีทุกคนครั้งแรกถึงเกิดได้คะ
อันนี้อธิบายยาก เพราะพวกเราศึกษามาหลากหลายตำรา อย่างที่อาจารย์กล่าวว่า "เราหลงตำรา" คำว่าจิตประภัสสร จริงๆแล้วไม่ได้หมายถึงความบริสุทธิ์ไม่มีกิเลส แต่เพราะมีเชื้อของกิเลสอยู่แต่ยังขาดเหตุปัจจัยมาปรุงแต่ง กิเลสจึงไม่ปรากฏให้เห็น ประภัสสร จึงไม่ใช่ความบริสุทธิ์หมดจด ชนิดเดียวกันกับจิตบริสุทธิ์ดั้งเดิม(นิพานธาตุ) เช่นผู้มีกิเลสที่ทำฌานสี่ได้ ก็ถึงความประภัสสรำได้ แต่ยังมีกิเลสอนุสัยหลบซ่อนอยู่ในภวังคจิตครับ
ต่อ ดังนั้นคำถามที่ว่า ถ้าทุกคนมีจิตเดิมแท้อยู่แล้วนั้น ทำไมเรามีความบริสุทธิ์อยู่แล้ว จึงกลับมามีกิเลสปนเปื้อนอีกได้ ข้อนี้ทางเถรวาท ของเรามักจะนำมาหักล้าง คำว่าทุกคนมีจิตเดิมแท้ หรือมีนิพพานอยู่แล้ว ข้อนี้หากไม่ใช่ผู้ปฏิบัติจนเข้าถึงธรรม หรือไม่มีจิตใจเปิดรับความรู้ทางมหายานด้วยใจเป็นธรรม ก็จะขัดแย้งกันได้ครับ อันที่จริงถ้าฟังอาจารย์ผู้บรรยายดีๆ จะเข้าใจคำตอบนี้ คือท่านพูดถึงความมีอยู่ของ อสังคตะธรรม หรือธาตุรู้บริสุทธิ์ ว่ามีอยู่แล้วตามธรรมชาติ แต่ธาตุรู้ในขันธ์๕ เป็นธาตุรู้ที่เกิดจากการปรุงแต่ง คือรู้บริสุทธิ์ เป็นอสังคตะ มาตลอดกาล ไม่ขึ้นอยู่กับการเกิดหรือการไม่เกิดของจิตดวงไหนๆ เราต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน ส่วนรู้ในขันธ์๕ เป็นส่วนของ"สังคตะธรรม" คือมันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดตามเหตุปัจจัย อาจารย์ได้พูดดักเอาไว้แล้วประมาณว่า "เพราะเราต้องการทำสังคตะธรรม ให้ไปเป็นอสังคตะธรรม" เป็นสิ่งที่ทำให้ตายก็ทำไม่ได้ ตรงนี้ชัดเจนมาก เราต้องทำความเข้าใจจรงนี้ดีๆดังนั้น เราอย่าเอาความเป็นจิตผู้รู้ในขันธ์๕ ไปปนกับธาตุรู้บริสุทธิ์ อันเป็นธรรมชาติที่ไม่เคยถูกปรุงแต่ง เราจะงงครับ ต้องฟังอาจารย์หลายๆรอบ และต้องปฏิบัติควบคู่กันไปด้วย จึงจะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ถ้าตั้งต้นถูกอย่างที่อาจารย์กล่าว เราจะพบผู้รู้และทำลายผู้รู้ได้ตามหัวข้อที่อาจารย์บรรยาย(ทำลายผู้รู้หมายถึงปล่อยวางมิใช่ไปทำลายจริงๆเมื่อปล่อยวางได้ไม่ถูกครอบงำ จะเกิดการรวมเป็นหนึ่งไม่มีสอง )
@@ricky251971 ขอบคุณค่ะท่าน สาธุ สาธุ สาธุ
ถ้าไม่เก่งจริง ไม่เคยปฏิบัติ จะมาบรรยายที่จุฬาได้หรอครับ นั่นจุฬานะครับ
"พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ พบจิตให้ทำลายจิต" ประโยคนี้ หลวงปู่ดูลย์ พูดจริง ๆ หรือครับ
จะใปทำลายจิต..ทำไม
พบผุ้รุ้ให้ทำลายผุ้รู้ พบจิตให้ทำลายจิต รบกวนช่วยอธิบายให้ยิ่งขึ้นกว่านี้ด้วยเถิด
เข้าใจตอนนี้ว่า ทำลายผู้รู้ /จิต หมายถึง ควบคุมการปรุงแต่ง และ/หรือ วาง ธาตุรู้ในขันธ์ห้าด้วยการฝึกฝน จนเป็นอัตโนมัติ ในที่สุดก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ "อสังขธาตุ"ที่มีอยู่ในทุกอนูของจักรวาล อาจจะอีกหลายภพหลายชาติ จึงสำเร็จ อันนี้มาจากอาจารย์ บรรยาย กับ จากหลวงพ่อปราโมทร์ กับหลวงปู่ดุลย์
ตรงนี้ขอแก้ เป็น วางจิตหนะครับ คือ มันจะวางเอง ว่าจิตนี้ ผู้รู้นี้ สติ นี้ไม่ใช่ของเรา วางทั้งหมด คืนธรรมชาติ สภาะวะ ไร้ตัวตน จะปรากฏขึ้น ตรงนั้นแหละครับ คือนิพพาน แล้วให้ วางสภาวะไร้ตัวตนนั้นเสีย อย่า ไปยึดไว้ จะใช้ค่อย จับมาปรุง ใช้เสร็จก็วางคืนครับ
พบจิตทำลายจิต ว้าว
เหตุที่เห็นรถยนต์แล้วมิใช่รถยนต์เพราะ หากคุณใช้กล้องElectronขยายมวลจะเห็นอนุภาคคลื่นวิ่งหมุนเวียนจะไม่มีความเป็นรถยนต์อยู่เลย แล้วจะยังเรียกเป็นรถยนต์ไดจะใด อ่ะ!
อ
"สูงสุดคืนสู่สามัญ คือ สัจธรรมของชีวิตมนุษย์"..มันช่างงดงามเสียเหลือเกิน.. อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ ธรรมะ อันสูงสุดจริงๆครับ.. ขอบคุณท่านอาจารย์ที่สละเวลาเพื่อศาสนาครับ..ขออนุโมทนากุศลนี้เพื่อเป็นกำลังใจครับ ❤
🙏🏻🙏🏻🙏🏻
เพิ่งพบคำบรรยายนี้ของท่าน ขอกราบท่านด้วยความเคารพยิ่ง ธรรมะจัดสรรจริงๆครับ _ เห็น รู้ ต่อ อิทัปปัจจยตา อัตตา (ปฏิจสมุปปบาท) อนัตตา อตัมมยตา สุญญตา อันเป็นไปด้วย ตถตา ครับ
สาธุ กรายขอยพระคุณมากค่ะ สอนดีมากฯเลย ค่ะ
เข้าถึงธาตุรู้ครังแรกยังเห็นว่าเรารู้ แท้จริงแล้วรู้ไม่ใช่เรารู้ แท้จริงแค่รู้
ขอบคุณ อ.มากเลยครับ ที่ยํ้า อัตตา กับ อนัตตา ตอนท้าย เห็นภาพ การมีอยู่ของทั้งสองเลย ❤❤❤
น้อมกราบท่านอาจารย์ทวีศักดิ์ มาณ โอกาสนี้อย่างสูง
กราบสาธุธรรมค่ะ
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์คะ ที่ช่วยปูพื้นฐานให้คะ ชอบและติดตามรอฟังธรรมบรรยายจากท่านมาโดยตลอดเป็นไปได้ไหมคะที่จะเพิ่มวันหรือเวลาบรรยายต่อไปอีกหลายๆตอนก็ได้นะคะ ธรรมที่สอนให้เห็นถูกต้องตามความเป็นจริง ให้เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง อย่างที่ท่านอาจารย์บอกสอนหาฟังได้ยาก เป็นบุญที่ได้มีโอกาสได้ฟังธรรมจากท่านอาจารย์คะ อนุโมทนาสาธุสาธุในความเมตตากรุณาของท่านอาจารย์คะ
ขอบคุณค่ะอาจารย์ เคยได้ทิ้งสิ่งที่ถูกรู้ ซึ่งตอนนั้นเข้าใจว่าเราทิ้งผู้รู้แล้ว หลังๆมาจึงเข้าใจว่าเราแค่ทิ้งสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้นเอง ก็เลยมองหาว่าจะทำลายผู้รู้ยังไง เพราะก็เหมือนว่าเราเห็นแต่สิ่งที่ถูกรู้ แต่มีอีกตัวที่มันเฉยๆ ไม่อินังขังขอบกับอะไรอยู่ เช่น เห็นภาพดาราที่สวยหล่อถูกใจ แต่เหมือนความถูกใจที่ว่ามันเข้าไม่ถึงส่วนลึก คือไอ้ตัวเฉยๆนั่น จนรู้สึกเหมือนมันแกล้งถูกใจไปงั้นเอง (ทั้งที่บางครั้งเราก็อินมากกับความสวยหล่อของดารานักแสดงนั้น)
มาฟังอาจารย์ในเทปนี้ ก็เลยเข้าใจมากขึ้น ว่าเราทำถูกแล้ว คือทิ้งสิ่งที่ถูกรู้ แต่ตัวรู้มันก็อยู่ของมันอย่างนั้นเอง เข้าใจเรื่องธาตุรู้มากขึ้นเลยค่ะ
กราบขอบคุณอาจารย์มากค่ะ 🙏🙏🙏
กราบขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ 🙏🏻 ท่านสอนได้เข้าใจง่าย คิดตามได้อย่างละเอียดละออ และเมตตาปูพื้นฐานให้มองเห็นสภาพธรรม ขอบพระคุณมากๆเหลือเกินค่ะ
ท่านสุดยอดครับ
ขอบคุณ อจ ที่สละเวลามาถ่ายทอดธรรมะอันลึกซึ้ง ในมุมวิทยาศาสตร์ชั้นสูงผนวกกันได้อย่างเข้าใจที่สุด
ชอบวิธีอธิบายธรรมะของอาจารย์ค่ะ
ชอบอาจารย์สอนมากๆๆๆค่ะ อนุโมทนาบุญและขอบคุณอาจารย์มากค่ะ🙏
ขอบพระคุณมากๆค่ะ ความรู้นี้เป็นประโยชน์มากค่ะ🙏🏻🙏🏻🙏🏻♥️
อาจารย์สอนเข้าใจง่ายขอบคุณคะ🙏🧘♀️
อาจารย์อธิบายธรรมะให้เข้าใจได้แจ่มแจ้งค่ะ 🙏กราบขอบพระคุณมากค่ะ
สาธุ..สุดยอดสิ่งที่ควรฟังจริงๆค่ะ
😂😂😂ให้ไม่ยึดมั่นถือมันเพราะไม่ใช่ของเราแภมตัวทุกข์@ต้นทางที่สัมมาสติ❤❤❤
Thanks ajanh so clear (ສົມມຸດແລະ
ປຮະມັດ)is parallel until your last breath then you have only one left ປຮະມັດ. No more ຜູ້ຮູ້ໄນຂັນຫ້າ only pure conscientious.
อาจารย์สอนเข้าใจมากๆ ตรงประเด็น สาธุครับ เมือดูจิตมากๆจริงๆเเล้วเราจะไม่มีตัวตนเหมือนเรานั่งดูละครชีวิตตัวของเราเองเล่นไปเรื่อยยันจบ
การสอนของท่าน เอาสิ่งที่เห็นจับต้องได้ทางโลก ให้มองเห็นได้ ไม่แต่เฉพาะนามธรรม 41:59
ท่านสอนได้เข้าใจดีค่ะ
กราบ ขอบพระคุณค่ะ และอนุโมทนาสาธุธรรมด้วยค่ะ
สาธุค่ะ รอฟังค่ะ
อนุโมทนาบุญด้วยครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
กราบสวัสดีค่ะ🙏
รอฟังค่ะยินดีในบุญค่ะ
❤❤❤ขอบคุณครับ❤❤❤
สาธุ
ท่านอธิบายช่วยให้เข้าใจง่าย clear
กราบสวัสดีอาจารย์ค่ะ
สาธุ ครับ
1.จิตส่งออก จึงเกิดทุกข์ เพราะยินดี ยินร้ายกับผัสสะที่มากระทบ เกิดนันทิ
2.ทำลายผู้รู้ & ทำลายจิต
วิญญาณคือผู้รู้หรือจิตในขันธ์ 5
3.สันทิฏฐิโก รู้แล้วปฏิบัติ ปัจจัตตัง เฉพาะตน
4.มรรคองค์8 คือศีล สมาธิ ปัญญา คือเครื่องมือ ต้องปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญาจึงหลุดพ้น
ศีล 5 บริสุทธิ์
ทำสมาธิ โดยอานาปานสติ ใช้จิตตามรู้ดูลมหายใจเข้า-ออก จิตตามรู้กับอิริยาบท ยืนเดินนั่งนอน หรือบริกรรมคำพุทโธ ฯลฯ
จนจิตสงบ สว่าง สะอาด ด้วยความเพียร(สัมมาวายามะ อาจจะนาน หลายเดือน หลายปี) จนจิตเข้าสู่ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ และอัปนาสมาธิ ให้ดึงมาพิจารณาอาการ 32 ปัญจกัมมัฏฐาน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง หรือ อสุภกัมมัฏฐาน ว่ากายไม่งาม
จนเห็นเป็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ฝึกต่อไป จะทำใหิจิตวิมุตติ หลุดพ้น ในที่สุด ครับ
บางคนทำมา 10 ปี ก็ยังไม่ไปถึงไหน เพราะระหว่างฝึกปฏิบัติ ยังเกิด เวทนากายและใจ นิวรณ์ 5 ให้ทำต่อไปด้วยความเพียรอดทนต่อไป
ขอให้ดวงตาเห็นธรรม เห็นทุกข์ ครับ
กราบสวัสดีท่านอาจารย์คะ
Thank you
สาธุค่ะ, อาจารย์
สาธุๆ
ขอบคุณท่านอาจารย์ที่มอบแผนที่พร้อมรายละเอียดและเข็มทิศให้ ขอบคุณครับ
มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ควรเปิดสอนคณะ ทางเดินสู่นิพพาน
ไม่ค่อยเห็นด้วยครับ
1 เพราะอาจารย์ที่เก่งในการอธิบายระดับนี้หายาก
2 คนที่ฝึกวิปัสสนา และสมถะในแนวทางที่ถูกต้องมีน้อย
3 ชีวิตชาวบ้านที่ยังทำมาหากิน ที่ยังไม่ได้ฝึกรักษาศีล 5 ขึ้นไป คงไม่สิทธิเข้าใจคำว่า ทางไปนิพพาน
คหสต.นะครับ
มีสอนสมาธิ3หน่วยกิตค่ะ
@@mtay1544 ออ งั้น ก็ต้องสอนครับ เพราะเป็นรายวิชาในหลักสูตร
กราบอาจารย์ค่ะนับว่าเป็นบุญที่ได้ฟัง อ.บรรยายค่ะ.
ฟัง อ.แล้วเข้าใจพระธรรมคำสอนมากขึ้น.
กราบอนุโมทนาสาธุ
จิต..มีตันหา.มีอวิชชา.อุปาทาน//จิต..จึงใม่ป้นใปเพื่อ...ผุ้รุ้
กราบสาธุค่ะอาจารย์🙏
สาธุบุญที่ได้ฟังครับ
เราจึงควรทำลายทั้ง..จิต และผุัรุ้
จากประสบการณ์ของตัวเอง ยิ่งรู้มากยิ่งแบกตำรามากโดยไม่รู้ตัว สัญญาทำงานตลอด เป็นอุปสรรคอีกอย่างนึงของผู้ปฏิบัติ
อาจารย์จึงบอกให้รู้จักการละไงครับ
เราต้องพึงรู้ว่าละอะไรแล้วดีแล้วไปต่อได้
ตรงนี้หล่ะ ต้องใช้ปัญญาพิจารณาแยกแยะว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ
ขอแชร์จากประสบการณ์ตรงที่ได้รับโดยตรงจากการปฎิบัตินะครับ ขออธิบายแบ็กกราวด์ และจุดทีี่ทำให้เกิดความก้าวหน้าตามลำดับ ผมเคยฝึกปฎิบัติมาตามค่ายปฎิบัติธรรมมาสมัยมัธยม ซึ่งเป็นคอร์สที่เรียกว่าเข้มข้นระดับนึง รู้วิธีนั่งสมาธิเดินจงกรมมาก่อน ไปมา 2 รอบ รอบละ 7 วัน รวมกัน 14 วัน ปฎิบัติมาถึงจุดที่เห็นสันตติ คือการขาดเป็นช่วง ๆ ของสติ ที่ไม่ว่าสมาธิจะแน่นแค่ไหน เวลาเดินจงกรมที่สติกำหนดที่ขา ก็จะเห็นภาพตัดเป็นช่วง ๆ เหมือนแผ่นฟิลม์ จุดที่ทำให้ก้าวหน้าจริง ๆ คือ หลังจากนั้นอีก 10 กว่าปี เป็นช่วงที่เป็นทุกข์เพราะต้องไปเมืองนอก ทำงานหนักไม่ได้ตังค์ ตั้งใจไปเรียนแต่กลับโดนหลอกใช้งาน หวาดกลัว แถมโดนด่าพ่อด่าแม่ให้ฟัง จนคับแค้นใจจะตอบโต้อะไรก็ไม่ได้เพราะไปอยู่บ้านเขา ที่พึ่งสุดท้ายคือ *ปฎิบัติ โดยตั้งจิตเจตนาไว้ว่าเป็นการหนีทุกข์ หรือขอให้พ้นจากความทุกข์นี้อย่างเดียว เพราะทุกข์หนักเหลือเกิน* อันนี้นับว่าเป็นสัมมาทิฎิฐิ วิธีปฎิบัติ คือ ก่อนกำหนดจิตกายานุปัสนา เดินมรณุสติก่อนสักรอบ เพื่อตัดความห่วง ความกังวลหวาดกลัวกับอนาคตข้างหน้า จากนั้นก็พิจารณากายานุสปัสนาไปในระหว่างทำงานในครัว เรียกว่านอกจากที่ได้นอนวันละ 6 ชั่วโมงแล้วที่เหลือคือการปฎิบัติในชีวิตประจำวันเกือบทั้งหมด เพราะหวาดกลัวกับอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะเอางัยต่อกะชีวิตดีแทบทุกนาที กลัวเมื่อไหร่ปฎิบัติเมื่อนั้น จนกระทั่งผ่านไปประมาณ 6-7 เดือน เมื่อจิตถึงพร้อม...
มีอยู่คืนหนึ่ง ระหว่างนอนปฎิบัติ รู้สึกเหมือนจู่ ๆ ที่นอนกลายเป็นหลุม จู่ ๆ จิตก็โดนดูดลงไป วูบนึง รู้ตัวอีกทีคือ กายดับแล้ว กล่าวคือ มีสติสัมปชัญญะพร้อม แต่ไม่รับรู้ถึงประสาทสัมผัสใด ๆ อีกเลย อายตนะ ไม่ได้ยิน รู้สึก หรืออะไรใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นสภาวะที่ไร้ร่าง ทุกอย่างดับหมดเหลือแต่จิต ซึ่งเห็นดวงแสงอยู่ตรงหน้า แล้วเรารู้ว่านี่แหละคือจิตเรา ถามว่ารู้ได้งัย ว่าเป็นจิตของเรา มันเหมือนกับการที่คุณรู้ได้งัยว่า แขนนั้น เป็นของคุณ คือ มันแค่รู้ว่านี่แหละจิตเรา ดังนั้น สิ่งที่ครูบาอาจารย์ ท่านสอนว่าจิตเห็นจิต สำหรับผมมันคือแบบนี้ ตรงตามตัวอักษร ถามว่าจิตกับผู้รู้ มันแยกกันอย่่างไร คือ คุณมีดวงแสงอยู่ข้างหน้าที่มันเป็นจิตของคุณ แล้วอะไรที่ทำให้คุณรู้ว่านี่คือจิตของคุณนั่นแหละ คือ
ตัวที่มันมองดวงแสงนั่นแหละคือ ตัวผู้รู้
ในสภาวะนั้น เป็นอย่างไร
1)สุขไม่มีประมาณ หาอะไรเปรียบไม่ได้ ตรงตามที่สอนกันมา สุขที่เกิดจากสมาธิเหนือยิ่งกว่าความสุขทางโลก สุขแค่ไหน ขนาดที่ว่าต่อให้ตายตอนนั้นก็ไม่เสียดายชีวิต (ผมไม่ได้บรรลุนะคับ ยังเป็นฆราวาส กิเลสยังมีอยู่เป็นปกติ ซึ่งนี่คือสุขที่เกิดจากฌานเท่านั้น ตามที่ผมเข้าใจ)
2) สภาวะนั้นไม่มีเวลา เพราะประสาทสัมผัสด้านเวลาจะดับ พร้อมกับกายและอายตนะอื่น ๆ ข้อสรุปนี้เกิดจากการที่ผมรู้สึกว่าอยู่ในสภาวะนั่นแปบเดียว แต่พอออกมาแล้วดูเวลาคือ ผ่านไป 2 ชั่วโมงแล้ว
3) ที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าจิตนี้สั่งให้ขยายได้เท่าจักรวาบจนมองไปทางไหนก็เห็นแต่แสงสว่าง หรือ ให้หดเล็กเท่าปลายเข็มได้ จริงคับ ทำได้แต่ตอนนั้นที่ทำคือ นึกแล้วสักพัก(ไม่ใช่ทันที)จิตหรือดวงแสงมันก็จะขยาย หรือดตามที่เราต้องการจริงคับ ครูบาอาจารย์ที่ทรงฌานในบ้านเรามีอยู่มากนะครับ
4)นอกจากดวงจิตที่เป็นดวงแสงแล้ว ตัวผู้รู้ที่ดูดวงจิตอยู่ แล้วนอกนั้นคือความว่างเปล่า พื้นที่เป็นอนันต์แต่สสารเป็นศูนย์ ไม่มีแม้แต่ฝุ่นสักเม็ด ลมสักวูบ ตรงนี้ผมจำได้ถึงคำสอนครูบาอาจารย์ว่า ให้ละจิต ผมเลยเอาตัวผู้รู้ ไปดูที่ความว่างเปล่า เรื่อย ๆ ไปจนกระทั่งตัวผู้รู้กำลังจะดับกำลังจะเข้าภวังค์ รู้แค่ว่าไปไกลมากในความว่างเปล่า แต่พอจะเข้าภวังค์ สติกำลังจะดับกลัวทำผิด เพราะจำได้ว่าสติต้องกำกับตลอดเลยดึงกลับมาที่ดวงจิตต่อ มันก็แว่บกลับมาอยู่ตรงดวงจิตแบบพริบตาเดียว (จิตเห็นจิตแล้ว พบผู้รู้แล้วแต่ทำลายผู้รู้ไม่ได้ครับ ไม่รู้ว่าต้องทำยังงัย)
สภาวะของการออกจากฌาน คือ คล้ายๆ กับการสั่งดวงจิตให้ขยายให้หด คือให้นึกหรือระลึกว่าต้องการออกแล้ว จากนั้นสักพักนึง เหมือนเดิม ดวงจิตจะเริ่มเคลื่อน ของผมมันลอยหมุนคว้างวนเป็นก้นหอยพุ่งไปข้างหน้า แล้วก็ออกมา กายตื่นเหมือนตกจากที่สูงสะดุ้งเฮือกสุดตัว จากนั้นนั่งร้องไห้ตอนตี 2 ความรู้สึกทุกอย่างมันท่วมท้นไปหมด ทั้งเสียดายความสุข ทั้งความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือ ตอนนั้นผมรู้สึกอย่างนี้ครับ คือ ธรรมะนี่มันอยู่ในจิตในใจ เราเรียนนั่งสมาธิมาเป็นสิบปีไม่รู้เรื่อง เรื่องละเอียดแบบนี้อยู่ในใจแบบนี้ หัวจิตหัวใจของพระพุทธองค์ท่านทำได้อย่างไรที่จะเอาสิ่งเหล่านี้มาสอน ต้องทรงลำบากขนาดไหนกว่าจะสอนสั่งชาวโลกให้รู้ได้สักคน พระธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ท่าก็เปิดหมดทุกอย่าง บอกตรง ๆ ไม่มีปิดบัง ขนาดนั้นคนปัญญาอย่างเรายังทำได้มั่งไม่ได้มั่ง แต่ท่านก็ยังทรงพร่ำสอน สุขอันเกิดจากการปฎิบัติ ก็เป็นจริงตามนั้น พระสงฆ์ธรรมทายาทที่อุตส่าห์รักษาให้ธรรมนี้บริสุทธิ์ กว่า 2 พันปีจนมาถึงเราได้ ความรู้สึกทุกอย่าวพรั่งพรูปนเป ออกมาหมด นั่งร้องไห้สะอื้นฮัก ๆ อยู่คนเดียว สรุปเป็นประโยค พระพุทธ คือ ผู้เปิดเผยพระธรรมและทรงไว้ด้วยปริยัติ พระปริยัติธรรม คือ สิ่งที่ผู้ศรัทธาได้น้อมนำไปปฏิบัติ ผู้ได้รับผลจาการปฎิบัตินั้นแล้วจึงจะเป็น พระสงฆ์... หลังออกจาฌาน มีผลทำให้ประสาทสัมผัสไวขึ้นมาก ตามองเห็นแสงสีที่ไม่เคยเห็นได้มากขึ้น หูได้ยินลายละเอียดของเสียงเล็กๆ น้อย ๆ ที่ไม่เคยสังเกตุ อย่างเสียงของใบไม้ที่ปลิวไป ครูดกับลำต้น พื้นถนน เป็นอยู่หลายวัน ไม่รวมถึงเรื่องอื่น ๆ ที่รับรู้มาเป็นประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ
สำหรับผม เทคนิค มีดังนี้
1) ตั้งจิตสำหรับการปฎิบัติเพื่อพ้นจากความทุกข์ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ คือ ไม่เอาอย่างอื่นเลย คือ จะพ้นทุกข์อย่างเดียว ไม่หลอกตัวเอง
2) ก่อนลงมือปฎิบัติ หาทุกข์เจอแล้วหากรรมฐานที่ข่มมันได้มาข่มมันก่อน อย่างผมทุกข์เพราะความกังวล ความห่วงถึงอนาคตข้างหน้า ใช้มรณานุสติ เพื่อข่มว่าอนาคต ตายทุกคนไม่ต้องไปห่วงใครทั้งนั้น สุดท้ายมีแต่ความตายเป็นที่ตั้ง (กองนี้ดีนะใครขี้เกียจ ลองกองนี้บ่อย ๆ จะ เวลาขี้เกียจ ๆ มันมาเตือนนะ ทำให้กลัวตาย ไม่ได้กลัวตายเพราะจะตาย แต่กลัวตายเพราะต้องไปนับ 1 ใหม่ เกิดใหม่มาสัญญาเดิมจะเหลือแค่ไหนก็ไม่รู้ จะเจอคนสอนไหมก็ไม่รู้ รีบทำตอนนี้แล้วหนีออกก่อนดีกว่า)
3) การปฎิบัติเป็นเรื่องจริงจัง แต่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย กล่าวคือ ควรปฎิบัติทุกชั่วขณะจิตที่มีโอกาส การปฏิบัติบ่อย ๆ เหมือนการหยอดกระปุก หยอดไปเรื่อย ๆ สม่ำเสมอ วันที่สะสมจนครบ มันถึงพร้อมเมื่อไหร่ มันไปของมันเองได้ ไม่มช่ว่าจะต้องให้มครพาไป ถ้าองค์ประกอบครบมันไปของมันเองเลย แต่ไปแล้วติดตรงไหน ก็ค่อยออกมาสอบถามจากครูบาอาจารย์ผู้รู้
🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏
ກາບສາທຸ ສາທຸ ສາທຸ
ดูจากอุบลราชธานี
สาธุ สาธุ ธรรม หนอ...
เจอกับตัวเองค่า
สาธุ ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ
กราบสาธุคะ
เก่งมากครับ บรมครู ชอบมากครับรู้ลึก
สาธุครับ
รอครับ ขอบคุณครับ
ขอบคุณอาจารย์มาก แม่ชีได้พิจารณาตาม ขอสรุปตามความเข้าใจของตัวเองให้อาจารย์ฟังนิดนึงนะคะว่าเป็นไปตามที่อาจารย์สอนหรือไม่ คือ เมื่อเรามีสติตามรู้อารมณ์ที่มากระทบแล้วเรารู้การกระทบให้เราดูเฉยๆ ไม่ไปปรุงร่วม เมื่อจิตถูกรู้มันก็หายไป นี่คือจิตถูกทำลาย ใช่ไหมค่ะ
คำ ตถาคต ควรทรง จำไว้ จิต มโน วิญญาณ คือสิ่งเดียวกัน ...อย่าลืม คำ ตถาคต .สำคัญ มาก ทรงจำไว้คล่องปากขึ้นใจ แทงตลอดอย่างดีด้วยทิฐิ.. ใช้ได้ ทั้งชาติ นี้ ถึงชาติหน้าภพหน้า ตลอดจนถึง สัมปรายภพ.... ถึงจะเป็นสมมุติ บัญญัติ ถึง นิพพาน แล้วต้องทิ้ง ก็จริง แต่ มัน เป็นไปเพื่อ วิชชา ถ้าจะไม่ให้ขัดแย้งกันควรใชคำตถาคต มาอธิบาย จะไม่มีคำว่าขัดแย้งกันแน่นอนครับ ...ส่วนคนจะเข้าใจไม่เข้าใจ ควร ฟังคำตถาคต เนืองๆ แล้วจะ เข้าใจเอง 🙏🙏
คำตถาคต ผ่านการแปลมาแล้ว หลายภาษา ปรับปรุงหลาย Version และไม่ใช่แม้แต่ ภาษาบาลี ลองตรึกตรองดีๆจะเข้าใจไม่ยาก ว่าทุกวันนี้ แปลเป็นไทย ใช่คำตถาคต จริง 100% ไหม
ท่านพูดเหมือนผู้ที่ท่านปฏิบัติธรรมอย่างเข้าใจแจ่มแจ้ง ขอถามท่านด้วยความเคารพนะท่าน ความรู้ต่างๆที่ท่านนำมาพูดเกิดจากผลของการที่ท่านได้ปฏิบัติธรรมใช่ไหมครับ
ไชยการ😢🎉😮ที่🎉
สำหรับผม คนส่วนใหญ่จะใช้สังขารปรุงแต่งแล้วเข้าใจว่าเป็นปัญญาและเก็บเป็นสัญญา ในมรรคมีองค์8 ต้องมีความดำริชอบ ที่ไม่สามารถย่อได้ หลวงปู่ดูลย์ให้เจริญมรรค ด้วยการทำเพื่อให้จิตเติบโตด้วยมรรค แก้มิจฉาทิฏฐิด้วยมรรค โดยการปฏิบัติ ให้จิตเห็นจริงใน กาย เวทนา จิต ธรรม สุดท้ายมีสติ โดยการดูซื่อๆ ไม่ต้องปรุงแต่งธรรมะ เพราะธรรมะมีในตัวทุกคน แต่สิ่งแรกที่ต้องชนะคือ ตัวทิฐิ ของตนเอง
คนไม่เคยว่ายน้ำแต่มาเป็นครูสอนว่ายน้ำ
มีลูกศิษย์เต็มห้องเลย
ธรรมลึกซึ้ง เป็นบุญแล้วที่ได้มีผู้ถ่ายทอดและได้มีโอกาสได้มารับฟัง และจะเป็นบุญมากที่สุด ถ้ามีใจน้อมรับฟังจนเกิดการเข้าถึง🙏🙏🙏
ปริศนาธรรมวันนี้: คนที่ปีนขึ้นบนยอดเขาและมองลงมาข้างล่างเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริงอย่างชัดเจน จึงจะสามารถบอกถึงสภาพรอบรอบเขาได้ และท่านอาจารย์สามารถบอกได้ชัดเจนท่านคิดว่าอาจารย์อยู่บนยอดเขาหรือเปล่า? ถ้าท่านยังไม่ถึงยอดเขาอย่าพึ่งปรามาสท่านเพราะจะติดกรรมนรกอเวจีขุมสุดท้าย เพราะท่านที่จะพยากรณ์อาจารย์ได้จะต้องเป็นคนที่อยู่บนยอดเขาจุดเดียวกับที่ท่านอยู่เท่านั้น..เอวัง
นักปฏิบัติจะเข้าใจดีและแยกแยะได้เองครับ อย่าไปสนใจว่าเป็นความรู้ตามสัญญาหรือเกิดจากการปฏิบัติ
จิต...ใม่ปราถนาผู้รู้/ผู้รู้..จึงใม่ปราถนาจิต
จิต..จึงใม่เป้นที่ตั้งแห่ง/ผู้รู้//ผู้รู้จึง..ใม่อาศัยอยู่กับ..จิต
ผู้รู้อนัตตา อ.อริยเจ้า
การเรียกชื่อนามเป็นชื่อต่างๆมากมายก็เพราะที่เกิดแตกต่างกันและทำหน้าที่ต่างวาระกันอาจมีอายุไม่เท่ากันด้วย หากบรรยายธรรมไม่ตรงตามอารมณ์ของพระตถาคต อาจระคายเคืองพระวรกายพระองค์ ส่วนผู้รู้ตามผืดอาจเจ็บหนักเจ็บหนักหรืออักเสพที่ช่องปากหลุมดำรูหนอนและกระดูกสันหลังช่วงต้นคอและช่วงเอวเหนือดระเบนแหนบ 3 ข้อส่งผลกระทบต่อไขสันหลังด้วย น่าจะปรีกษาหารือกับ อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์
จิต...ถูกผู้รู้ทำลาย//จิต..จึงทำลายผู้รุ้
เมื่อ..ทำลายผุ้รุ้และจิต../นิพพาน..ย่อมปรากฏขึ้น
รอนานนะเนี้ย😂😅
จิต..และผู้รู้/จึงอาศัยอยุ่...ร่วมกันใม่ใด้..อีก
เมื่อนิพพานปรากฏขึ้น...ผุ้รู้รู้และจิต..ย่อมถุกทำลาย//ปัญญา..ย่อมมีอยุ่..//
สาธุค่ะ รบกวนท่านผู้รู้ตอบให้หายสงสัยด้วยค่ะ คือ ทำไมรู้สึกว่า ผู้รู้ไม่ใช่เรา บางทีเรากำลังให้ผู้รู้ดูสภาวะผู้ถูกรู้ แต่บางทีหลับเงียบเฉย จึงรู้สึกว่าผู้รู้ก็บังคับไม่ได้ ดูมันคล้ายมีเราที่คิดซ้อนในตัวผู้รู้ ถึงคิดแบบนั้นได้ แต่คิดไม่ออกว่าเรานี้อยู่ตรงไหน. งงกับตัวเองค่ะ ท่านผู้รู้ช่วยตอบให้หายสงสัยด้วยนะคะ ขอกราบขอบคุณค่ะ
รู้สักแต่ว่ารู้
@@huey4987 ขอบคุณค่ะ ยังไม่เข้าใจ คิดเอาเองว่า เรานั่นแหละคือผู้รู้ แต่ผู้รู้เปลี่ยนเป็นปัญญาญาณ ในขณะที่เกิดเหตุการณ์ใช่มั้ยคะ คิดเองเออเองค่ะ เหมือนงงๆตลอดค่ะ
1ความเห็นนะคะ เพราะแท้จริงเราคืออนัตตา ไม่มีตัวตน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ความคิดปรุงแต่งทำให้มีตัวเรา หากปล่อยวางได้ ไม่ยึดถือว่าเป็นเรา เป็นของเราจิตจะเป็นอิสระจากการถูกกิเลสครอบงำค่ะ
คุณลองปล่อยผู้รู้ไปสิ ไม่ต้องเอาผู้รู้อีกแล้ว
จิต.และผุ้รุ้...ควรถุกทำลาย//ปัญญา..จึงปรากฏขึ้น
ขอโทษนะ หลายๆท่านอธิบายยาว สลับซับซ้อน วกวน จนงง คนฟังเบื่อ สุดท้ายไม่เข้าใจ ง่ายไปนะ ทุกข์คือผล สุขคือต้นเหตุ จะดับทุกข์ต้องดับที่เหตุ คือดับที่สุขนั่นเอง
ทำลายผู้รู้แล้ว...จิตย่อมถุกผุ้รุ้ทำลาย
สาวกา หิ จตุนฺนํ ธาตูนํ เอกเทสเมว สมฺมสิตฺวา นิพฺพานํ ปาปุณนฺติ. แปลว่า”ขึ้นชื่อว่าสาวก ท. เมื่อพิจารณาธาตุอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงบางส่วนเท่านั้นแล้วก็สามารถเข้าถึงนิพพานได้”
แอบงง บางท่าน ทำไมมาแบบเหนือเมฆ มาถามว่าผู้บรรยาย ได้บรรลุธรรมวิเศษ อย่างไร เขาต้องการอะไรคับ 😅
ภายใน
กราบเรียนพระอาจารค่ะ มีข้อสงสัย 2 ข้อค่ะ ถ้าคนตายแล้ววิญญาณ 6 ดับ แต่ธาตุรู้ไม่ดับ แล้วทำไมการสัญญา ที่เป็นสังคตธรรม ถึงตามติดในจิตธาตุรู้ได้อยู่ จึงพาไปเกิดในภพต่างๆได้ เพราะสัญญาคือการกระทำที่เคยทำไว้ได้ตายแล้วสังขารสัญญาน่าจะดับ ทำไมตามไปในจิตที่เป็นอสังคตธรรมได้คะ จึงได้ไปเกิดในภพภูมต่างๆได้ตามสัญญา (กรรม) ที่บันทึกในจิตถึงไม่หายไปตามไปในจิตรู้ซึงเป็นอสังคตธรรมได้อย่างไร
ขออนุญาตครับ เหตุที่มีภวังค์ คอยรักษาสิ่งที่เราได้เคยทำไว้ทั้งบุญและบาป ท่านแปลว่าภวังคจิต คือองค์ของภพ เมื่อถึงวาระตาย(จุติ) ภวังคจิต นี้จะทำหน้าที่รักษาบุญและบาปเสมือนกับเป็นตัวจดบันทึกบุญบาป เมื่อเกิดการเกิดในภพใหม่(ปฏิสนธิ) ภวังคจิต จึงหอบหิ้วเอาบุญบาป ความเคยชินต่างๆติดตามมาด้วย เสมือนการย้ายจากโกดังเก่า(ภพเก่า)มาไว้ในโกดังใหม่(ภพใหม่)นั่นเองครับ
@@ricky251971แสดงว่า องค์ภวังค์ฯ ตั้งอยู่ในจิตรผู้รู้ เหมือนฝังชิปไว้ แม้ขอขมากรรม ตั้งใจไม่อยากซ้ำรอยเดิม ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ใช่ไหมคะ
ขอบคุณค่ะท่าน ที่กรุณา
ขอบคุณค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
ขอบคุณค่า
เคารพนอบน้อมสภาวะจิตบรรยายพุทธะภาวะธรรมชาติของอาจารย์มีประโยนช์ในชีวิตจุดเล็กของผมในการขยายปัญญาแจ้งธรรมชาติของชีวิตผมกลื่นกินธรรมชาติจิตผมจนเป็นศูนย์สิ้นว่าผมไม่มีสาธุๆๆอาจารย์ไขธรรมะชาติคือทำมาชาดททำมาดาๆ
ความรู้ของอาจารยลึกซึ้งกว้างขวางมาก "แต่เหมือนซื้อทัวร์เชียงใหม่ แล้วอ.พาไปภูเก็ตอธิบายเกี่ยวกับทะเล เพื่อเปรียบเทียบว่าภูเก็ตกับเชียงใหม่ต่างกันอย่างไร เวลาเที่ยวเชี่ยงใหม่คนก็เหนื่อย
เพราะ..ผู้รู้.ทำลายจิต//จิต..จึงควรทำลายผู้รุ้
ไม่มีหรอกครับ แบบนั้น
เมากาวหรอครับ
จิตไม่ใช่วัตถุที่สามารถยกอย่างมาให้เห็นด้วยตาเปล่าได้ แล้วจะไปทำลายได้อย่างไร ถ้าจะวัดผลน่าจะดูว่าละอะไรได้บ้าง แม้กระทั่งคำว่าอนัตตา จริงๆ แล้วก็ยังต้องอาศัยตัวตนที่มีชีวิตอยู่จนถึงวันที่หมดอายุขัยในภพชาติปัจจุบัน 😊
ได้ฟังเค้าสอนเปล่าครับ รึเมากาวอยุ่
@@marenadee226ฟังอยู่ ปัญญาไม่ลึกซึ้งที่จะอาศัยธรรมะที่อาจารย์ท่านแสดงให้เป็นแนวทางแล้วให้ถึงธรรมอันบริสุทธิ์ บริบูรณ์ ยังไม่ได้ เพราะจิตคือนามธรรม การที่จะไปประหารกิเสลละเอียดนั้นม้นก็ไม่ได้ง่าย ยังยอมรับว่ายังไม่สามารถละความเห็นผิดในตัวตนในเบื้องต้นได้อย่างหมดจด - อนุโมทนาพหูสูตรที่เอ่ยวาจาที่ให้พึงระลึกว่าควรสำรวมตนในการฟังการบรรยายหัวข้อธรรมแล้วนำมาปฏิบัติให้รู้ตาม
ผู้รู้..คือปัญญา//ปัญญานั้นแหละ...อาศัยอยุ่กับจิต
ปัจจุบัน
อาจารย์ ลองปะทะยายสุจินต์ดูบ้าง
รับรองปวดหัว แก่จะให้เราละเดียวนั้นเลย อนัตตา
ในส่วนโลกุตระ อ. พบผู้รู้ให้ไปดูร่างกาย เขาจะพาดู พาทำ พาวิปัสนาออกมาเป็นธาตุ จิตเป็นธาตุวิปัสนาเพื่อดับอวิชชา(รูปณาณสิ้นสุด)
( เริ่มต้นอรูปณาณ ส่วน เหนือโลก) ผู้รู้จะพาวิปัสนาการเกิดต่อ เรามาจากไหน มาอย่างไร มามีสังขารในครรภ์มารดา และดับสังขาร ผัสสะ เวทนา ตัญหาถูกดับทั้งหมดรงนี้ ต่อด้วยดูวิญญาณ ดับอุปาทานทั้งหมดจนสิ้น พบจิตที่หลุดพ้นเป็นกลม ๆ สว่าง สะอาด สงบ จิตยิ้ม กราบพระพุทธเจ้า สาธุ
ทั้งหมดนี้ผู้รู้พาวิปัสนาทำทั้งหมด ดังนั้นพบผู้รู้ถ้าไปต่อได้อย่าออก ให้วิปัสนาร่างกายต่อ
นิพพานก็คือ...อือ..
พระเคี้ยวหมาก และสูบบุหรี่ เป็นกิเลส หรือเป็นเรื่องของธาตุขันธ์ตามที่พระชอบอ้างกัน....ท่าน อ.ช่วยอธิบายธาตุขันธ์ และกิเลสว่าเกี่ยวเนื่องกันหรือไม่ยังไงครับ
ปฏิบัติเป็นเรื่องของจิต เคี้ยวหมากเป็นเรื่องของกายหยาบ แยกค่ะ การไปสงสัยในเรื่องพวกนี้ถือว่าส่งจิตออกนอกและมีวิจิกิจฉาทำให้ไม่เจริญก้าวหน้าทางปฏิบัติได้ค่ะ ดูตัวเองพัฒนาตัวเองดีกว่าค่ะ สาธุ
@@mtay1544 มองคนละมุมครับ เพราะสุราคือน้ำเมา เมรัยคือสิ่งมึนเมาเช่นหมากพลู บุหรี่ซึ่งศีลข้อห้าห้ามไว้ชัดเจน...แต่มีพระเคี้ยวหมากและพระขี้ยาเต็มวัดวาอาราม ยกเว้นพระสายท่านพุทธทาส อยากถามท่านว่า หมากพลู บุหรี่ซึ่งเจ้าบุหรี่เป็นของต้องห้ามในทางโลกต่างรณรงค์ห้ามดูดในชุมชนแต่ไฉนพระยังด้านอยู่ อ.สมภพวัดไตรสิกขาท่านพูดชัดเจน หมากพลู บุหรี่ มีตัวตนรูปร่างสัมผัสได้ยังเลิกกันไม่ได้เลย แล้วยังจะมาอวดอ้างว่าตัดกิเลสที่มองไม่เห็นรูปร่างได้อีก....อยากให้ตอบเรื่องธาตุขันธ์คงเป็นกายหยาบดังท่านตอบมาละครับ..งั้นถามต่อละกันเมื่อกายหยาบคือธาตุขันธ์มีความอยากเคี้ยวหมาก อยากสูบบุหรี่ ความอยากเป็นกิเลสมั้ยครับ..
การเคี้ยวหมาก สูบบุหรี่ มันกลายเป็นเรื่องของนิสัย ร่างกายติดที่สาร ความคุ้นเคยติดที่ต้องมีการเคี้ยว หรือสูบ สรุป เป็นเรื่องของสังขาร เรื่องของสัญญา จนเป็นอนุสัย ซึ่งแต่เดิมที ก็ติดหมากติดบุหรี่มาด้วยกิเลสความอยากนั่นแหละ แต่พออยู่ไปมันกลายเป็นเคยชินของ สังขาร ของสัญญา ของวิญญาณเรา ของความต้องการทางเวทนา
พอปฏิบัติจนหมดหลักสูตร กิเลสมันก็หายหมด แค่รบกับกิเลสมันก็ยากพอแล้ว รบกับนิสัยชั่วๆที่ก่อให้เกิดบาปและอกุศลจนมันหายไป มันก็พอแล้ว จะให้รบกับบบรรดานิสัยอื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยต่อจิต มันก็คงไม่ต้องแล้ว มันไม่ได้ดึงถ่วงด้วยอกุศลกรรมของจิต
อีกอย่าง เมื่อหมดกิเลสแล้ว ความต้องการที่จะแก้โน่น ปรับนี่ มันก็หมดไปด้วย คนกิเลสหมด เขารู้ตัวว่ากิเลสหมด เขาก็จบแค่นั้นครับ ไม่ต้องฝึกต่อ จะไม่ต้องดัด จะไม่ต้องข่มต่อแล้ว เพราะที่เหลือมันไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยต่อจิต มันหมดความอยากแล้ว ท่านจึงปล่อยความเคยชินของขันธ์มันดำเนินต่อไป รอเพียงขันธ์มันสลาย ก็จบครับ
ปฎิบัติแล้วก็จะกจะรู้เอง
ผมว่า วงจรปฏิจจสมุปบาท ตัวปัญหาคือพอปรุงแต่งแล้วมีตัณหา
การทำลายผู้รู้..นั่นแหละคือการทำลาบจิต
ทำลายยังไงจิต
ข้อ2 ถ้าทุกคนมีจิตดั้งเดิมเป็นประภัสสรแล้วนิพพานก็คือจิตประภัสสรคือนิพพาน ไม่เกิดอีก แล้วทำไมจิตดั้งเดิมประภัสสรเรามีทุกคนครั้งแรกถึงเกิดได้คะ
อันนี้อธิบายยาก เพราะพวกเราศึกษามาหลากหลายตำรา อย่างที่อาจารย์กล่าวว่า "เราหลงตำรา" คำว่าจิตประภัสสร จริงๆแล้วไม่ได้หมายถึงความบริสุทธิ์ไม่มีกิเลส แต่เพราะมีเชื้อของกิเลสอยู่แต่ยังขาดเหตุปัจจัยมาปรุงแต่ง กิเลสจึงไม่ปรากฏให้เห็น ประภัสสร จึงไม่ใช่ความบริสุทธิ์หมดจด ชนิดเดียวกันกับจิตบริสุทธิ์ดั้งเดิม(นิพานธาตุ) เช่นผู้มีกิเลสที่ทำฌานสี่ได้ ก็ถึงความประภัสสรำได้ แต่ยังมีกิเลสอนุสัยหลบซ่อนอยู่ในภวังคจิตครับ
ต่อ ดังนั้นคำถามที่ว่า ถ้าทุกคนมีจิตเดิมแท้อยู่แล้วนั้น ทำไมเรามีความบริสุทธิ์อยู่แล้ว จึงกลับมามีกิเลสปนเปื้อนอีกได้ ข้อนี้ทางเถรวาท ของเรามักจะนำมาหักล้าง คำว่าทุกคนมีจิตเดิมแท้ หรือมีนิพพานอยู่แล้ว ข้อนี้หากไม่ใช่ผู้ปฏิบัติจนเข้าถึงธรรม หรือไม่มีจิตใจเปิดรับความรู้ทางมหายานด้วยใจเป็นธรรม ก็จะขัดแย้งกันได้ครับ อันที่จริงถ้าฟังอาจารย์ผู้บรรยายดีๆ จะเข้าใจคำตอบนี้ คือท่านพูดถึงความมีอยู่ของ อสังคตะธรรม หรือธาตุรู้บริสุทธิ์ ว่ามีอยู่แล้วตามธรรมชาติ แต่ธาตุรู้ในขันธ์๕ เป็นธาตุรู้ที่เกิดจากการปรุงแต่ง
คือรู้บริสุทธิ์ เป็นอสังคตะ มาตลอดกาล ไม่ขึ้นอยู่กับการเกิดหรือการไม่เกิดของจิตดวงไหนๆ เราต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน
ส่วนรู้ในขันธ์๕ เป็นส่วนของ"สังคตะธรรม" คือมันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดตามเหตุปัจจัย อาจารย์ได้พูดดักเอาไว้แล้วประมาณว่า "เพราะเราต้องการทำสังคตะธรรม ให้ไปเป็นอสังคตะธรรม" เป็นสิ่งที่ทำให้ตายก็ทำไม่ได้ ตรงนี้ชัดเจนมาก เราต้องทำความเข้าใจจรงนี้ดีๆ
ดังนั้น เราอย่าเอาความเป็นจิตผู้รู้ในขันธ์๕ ไปปนกับธาตุรู้บริสุทธิ์ อันเป็นธรรมชาติที่ไม่เคยถูกปรุงแต่ง เราจะงงครับ ต้องฟังอาจารย์หลายๆรอบ และต้องปฏิบัติควบคู่กันไปด้วย จึงจะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ถ้าตั้งต้นถูกอย่างที่อาจารย์กล่าว เราจะพบผู้รู้และทำลายผู้รู้ได้ตามหัวข้อที่อาจารย์บรรยาย
(ทำลายผู้รู้หมายถึงปล่อยวางมิใช่ไปทำลายจริงๆเมื่อปล่อยวางได้ไม่ถูกครอบงำ จะเกิดการรวมเป็นหนึ่งไม่มีสอง )
@@ricky251971 ขอบคุณค่ะท่าน สาธุ สาธุ สาธุ
ถ้าไม่เก่งจริง ไม่เคยปฏิบัติ จะมาบรรยายที่จุฬาได้หรอครับ นั่นจุฬานะครับ
"พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ พบจิตให้ทำลายจิต" ประโยคนี้ หลวงปู่ดูลย์ พูดจริง ๆ หรือครับ
จะใปทำลายจิต..ทำไม
พบผุ้รุ้ให้ทำลายผุ้รู้ พบจิตให้ทำลายจิต รบกวนช่วยอธิบายให้ยิ่งขึ้นกว่านี้ด้วยเถิด
เข้าใจตอนนี้ว่า ทำลายผู้รู้ /จิต หมายถึง ควบคุมการปรุงแต่ง และ/หรือ วาง ธาตุรู้ในขันธ์ห้าด้วยการฝึกฝน จนเป็นอัตโนมัติ ในที่สุดก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ "อสังขธาตุ"ที่มีอยู่ในทุกอนูของจักรวาล อาจจะอีกหลายภพหลายชาติ จึงสำเร็จ อันนี้มาจากอาจารย์ บรรยาย กับ จากหลวงพ่อปราโมทร์ กับหลวงปู่ดุลย์
ตรงนี้ขอแก้ เป็น วางจิตหนะครับ คือ มันจะวางเอง ว่าจิตนี้ ผู้รู้นี้ สติ นี้ไม่ใช่ของเรา วางทั้งหมด คืนธรรมชาติ สภาะวะ ไร้ตัวตน จะปรากฏขึ้น ตรงนั้นแหละครับ คือนิพพาน แล้วให้ วางสภาวะไร้ตัวตนนั้นเสีย อย่า ไปยึดไว้ จะใช้ค่อย จับมาปรุง ใช้เสร็จก็วางคืนครับ
พบจิตทำลายจิต ว้าว
เหตุที่เห็นรถยนต์แล้วมิใช่รถยนต์เพราะ หากคุณใช้กล้องElectronขยายมวลจะเห็นอนุภาคคลื่นวิ่งหมุนเวียนจะไม่มีความเป็นรถยนต์อยู่เลย แล้วจะยังเรียกเป็นรถยนต์ไดจะใด อ่ะ!
อ