Waldorf Astoria Bangkok EP.1 | โรงแรมหรูใจกลางกรุงเทพ ตอนที่ 1 🇹🇭✨
ฝัง
- เผยแพร่เมื่อ 10 ก.พ. 2025
- Waldorf Astoria Bangkok แห่งนี้ให้บริการห้องพักและสวีทสไตล์เรสสิเดนเชียล จำนวนทั้งหมด 171 ห้อง ที่สะท้อนให้เห็นถึงความมีศิลปะที่ประณีต พิถีพิถันด้วยการออกแบบของสถาปนิกชื่อดังชาวฮ่องกงอย่าง Andre Fu และทีมงานของเขาจาก AFSO Desiagn Studio โดยออกแบบให้มีความร่วมสมัยและสอดแทรกเสน่ห์ศิลปะแบบไทย เป็นการตีความที่เหมาะสมกับกรุงเทพฯ ยุคใหม่อย่างแท้จริง โดย Andre Fu รับหน้าที่ในการออกแบบตกแต่งห้องพัก, ห้องอาหาร Front Room, ห้องอาหาร The Brasserie, Pezcock Alley Lounge, ห้องประชุมสัมมนา รวมถึงห้อง Magnolia Ball Room ที่ใช้สำหรับจัดงานเลี้ยงรับรองต่าง ๆ ทั้งนี้ บริเวณชั้นที่ 55-57 ของโรงแรม ยังประกอบด้วยห้องอาหารและบาร์จำนวน 3 ห้อง ที่สามารถเห็นทิวทัศน์ของกรุงเทพฯ ในมุมกว้างที่ได้รับการออกแบบอย่างสวยงาม โดยบริษัทออกแบบคอนเซ็ปต์และดีไซน์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง AvroKO ซึ่งรับหน้าที่ออกแบบภายในห้องอาหาร Bull & Bear, The Loft และ The Champagne Bar ที่สอดรับกับความเป็น Waldorf Astoria ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
The Loft Bar
จุดเด่นอยู่ที่การผสมผสานงานสถาปัตย์สไตล์ Art Nouveau และ Art Deco ที่พร้อมต้อนรับเหล่านักดื่ม บวกวิวสวยๆ ที่ทำให้เห็นกรุงเทพฯ ได้อย่างถนัดตาจากย่านธุรกิจ
บาร์เมเนเจอร์ของ The Loft คือหนุ่มอิตาเลียน Michele Montauti ผู้นำเอาหนังสือ The Old Waldorf Bar Book ที่นักประวัติศาสตร์ Albert Stevens Crockett เป็นผู้บันทึกมาศึกษา ก่อนครีเอตเป็นเมนู เช่น Waldorf (450 บาท) ซึ่งรสออกขมนิดๆ สมุนไพรหน่อยๆ เนื่องจากมีส่วนผสมของโหระพาที่เข้าไปผสมกับน้ำเชื่อมเมเปิ้ลและผักชี เหล้าที่ใช้เป็นเบสคือ เบอร์เบิร์น ก่อนเติมมิติด้วยช็อกโกแลตบิตเตอร์
Waldorf Claret Cups (480 บาท) เบสเป็นคอนยักและไวน์จากบอร์โดซ์ที่ถูกทำการรีดักชัน (Reduction) ตามด้วยดรายคาราซาว มาราสชิโน่ และน้ำมะนาว ผสมกันลงตัว ก่อนท็อปด้วยโซดา จบด้วยการตกแต่งด้วยผลไม้ทรอปิคัลอย่างองุ่นหมักปลายๆ แต่หวานใช้ได้ สายหวานน่าจะชอบ
บาร์แห่งนี้ได้แรงบันดาลใจจาก The Waldorf Bar ซึ่งเป็น American Bar ของโรงแรม Waldorf Astoria ที่นิวยอร์ก ซึ่งปัจจุบันคือที่ตั้งของตึกเอ็มไพร์สเตท ดังนั้นงานสถาปัตยกรรมแนว Art Deco และ Art Nouveau ของบาร์แห่งประวัติศาสตร์ที่ได้รับการกล่าวขานมาอย่างช้านาน จึงถูกขนให้มาอยู่ใน The Loft ชั้น 56 ของโรงแรม Waldorf Astoria Bangkok ย่านราชประสงค์แห่งนี้ด้วย
The Vibe
ทันทีที่ก้าวเข้ามาใน The Loft คุณจะต้องแปลกใจกับคอลเล็กชันงานคอลลาจจากข้าวของต่างๆ ที่อยู่ด้านขวามือของโถงทางเข้า และหากมองลึกเข้าไปข้างในจะเห็นเป็นห้องเล็กๆ แสนส่วนตัว เหมาะสำหรับชมวิวและแลกเปลี่ยนบทสนทนากับคนรู้ใจ แต่ถ้ามองไปข้างหน้าจะพบกับโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ที่ดูขลังด้วยสีที่เขรอะกัง ละม้ายคล้ายโต๊ะทำงานของศิลปิน ในพื้นที่บริเวณนั้นหากมองไปทางซ้าย คุณจะพบกับวิวสวยๆ ของกรุงเทพฯ ในยามค่ำคืน ที่เต็มไปด้วยแสงสีและความเคลื่อนไหวของชีวิตคนกรุง
The Front Room
The Thai Flavors at the new ‘Front Room’
'Front Room' ห้องอาหารไทยหนึ่งเดียวใน Waldorf Astoria Bangkok โรงแรมสุดหรูในย่านราชดำริ ที่เปิดให้บริการอาหารไทย นำเสนอหลากหลายเมนูอาหารที่ทางเชฟรุ่นใหม่ นำโดย เชฟบัว สโรชา รัชตะนาวิน นำประสบการณ์จากครัวไฟน์ไดนิ่งพร้อมแรงบันดาลใจจากอาหารรสมือแม่ มารังสรรค์เป็นอาหารไทยจานเด่น พร้อมเสิร์ฟในห้องอาหารที่มาพร้อมกับบรรยากาศโปร่งโล่งสบายตา แอบกระซิบว่าอาหารไทยที่ Front Room นั้นมีกิมมิกใหม่ ๆ ในทุกจาน ด้วยเชฟบัวได้นำเทคนิคการปรุงอาหารในสไตล์ตะวันตกมาผสมผสานกับแบบไทยอย่างปราณีต และพิถีพิถัน
ด้วยสถานที่ตั้งที่เปรียบเสมือนห้องรับแขกของบ้าน Front Room ถูกดีไซน์ออกมาในรูปแบบร่วมสมัย โดยฝีมือของนักออกแบบชื่อดังชาวฮ่องกง มร. อังเดร ฟู ที่แฝงกลิ่นอายของความเป็นไทย เน้นใช้งานไม้ในการตกแต่ง พร้อมเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์โทนสีสว่าง ให้ความรู้สึกโปร่ง โล่ง และสบาย เข้ากันได้ดีกับวิวต้นไม้บริเวณด้านนอก อีกหนึ่งไฮไลต์เรื่องดีไซน์ของห้องอาหารแห่งนี้คือโคมไฟขนาดใหญ่ ที่ผู้ออกแบบได้รับแรงบันดาลใจมาจากประเพณียี่เป็ง หรือประเพณีลอยโคมของทางภาคเหนือ เพิ่มเสน่ห์ของห้องอาหารแห่งนี้ด้วยโซนครัวที่เปิดโล่ง พร้อมมอบประสบการณ์ให้กับทุกคนที่แวะเวียนเข้ามาได้ร่วมสนุกไปกับการรังสรรค์เมนูของทีมเชฟได้อย่างสมบูรณ์