The Buddha was a great storyteller. He teaches difficult pychology subjects easily. By using metaphors for comparisons. The scriptures of Buddhism, including Theravada, Mahayana, and Zen, therefore have many stories to interpret.
Buddha's teachings was developed for use by religious or philosophers. It has an essence that is different from its origin. To respond to the opinions of the public which had previous beliefs If one cannot distinguish that the Buddha's teachings are not religion or philosophy, it will lead to misunderstandings.
![เปิดบ้าน เปิด Supercar อั๋นโอกิ เคยเอา rolls Royce เเลกพระ องค์ละ 100 ล้าน l [Nickynachat]](http://i.ytimg.com/vi/FeGwJwXauZ0/mqdefault.jpg)
ขอบพระคุณอาจารย์อย่างยิ่งครับ 🙏🙏🙏บางคลิปจะฟังหลายรอบ ได้ความรู้ทางปรัชญาและพุทธศาสนามากยิ่งครับ
The Buddha was a great storyteller. He teaches difficult pychology subjects easily. By using metaphors for comparisons. The scriptures of Buddhism, including Theravada, Mahayana, and Zen, therefore have many stories to interpret.
Buddha's teachings was developed for use by religious or philosophers. It has an essence that is different from its origin. To respond to the opinions of the public which had previous beliefs If one cannot distinguish that the Buddha's teachings are not religion or philosophy, it will lead to misunderstandings.
สาธุ
อนุโมทนาสาธุการ
สาธุครับ
ขอบคุณครับอาจารย์ 🙏
ขอบคุณมากครับ
เข้าใจชัดเจนเลยเข้าใจผิดมานาน
ขอบคุณครับ
ผมผู้เรียนมาน้อย ทำไมถึงชอบฟังอาจารย์พูดทุกหัวข้อ ฟังแล้วรู้สึกดีขึ้น เหมือนเข้าใจแต่ไม่จำครับ(จำได้ไม่หมดครับ)แต่มันจะมี ความปล่อยวาง ในสิ่งอยากรู้ครับ ครับ
พระอภิธรรม คือการอธิบายความจริงแบบ พิศดารมากๆ เหมาะสำหรับผู้มีปัญญา ในหลักสูตร ทั้งหมดที่ทำการเรียน/สอน ทั้ง๙ปริจเฉท ทำให้ผู้ศึกษาได้ประสบการณ์ที่ดีมากๆ
9 ปริเฉจ นี่คัมภีร์อภิธรรมมัตถสังคหะ เป็นคัมภีร์ชั้นรอง สรุปอภิธรรมปิฎก 7 คัมภีร์ครับ
หลวงปู่เทสก์ท่านพูดน่าฟัง ว่าเซน อันนี้ท่านพูดถึงเซนที่อยู่ในเมืองไทย เอาแต่ปัญญาไม่เอาสมาธิ มันล้างกิเลสไม่ได้จริงหรอก ท่านพูดอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราจะเจริญปัญญาเพื่อเอาชนะกิเลสเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ จิตจะทิ้งสมาธิไม่ได้
พรรษาที่๗พระพุทธองค์ประทับอ ยู่ในพรรษาที่ใหน ทรงสอนอะไรที่ใด เรื่องอะไร
ในพระอภิธรรมแบ่งออกเป็นรูปกับนาม ส่วนของนามคือ วิญญาณ เวทนา สัญญา สังขาร เราอาจกล่าวได้ว่าตอนนี้ A.I น่าจะมีองค์ประกอบอย่างน้อย คือ มี รูป มี สัญญา(ฐานข้อมูล) มีสังขาร(การปรุงแต่ง)อยู่ในระดับเริ่มต้นเพราะต้องตอบสนองต่อคำสั่ง แต่สิ่งที่ยังขาดคือ ตัว วิญญาณ กับเวทนา เท่านั้นไหมครับ เท่าที่ติดตามความก้าวหน้าในเชิงเทคโนโลยี การผสานระหว่างสมองของคนที่ใกล้ตายหรือคนป่วยจะเป็นสิ่งที่ผสานรวมกันไปในที่สุดนะครับ สิ่งที่น่ากลัวก็คือ หากมีสิ่งที่มนุษย์เราเรียกว่า A.I. มันคิดได้เอง มันจะหมายถึงอะไรได้อีกรึครับ ถ้าไม่ใช่ ตัววิญญาณ กับ เวทนา
คัดลอกมาให้อ่านครับ
พุทธิ วิจัย21 มีนาคม 2565 เวลา 01:48
เวทนาปลอมๆ
คนบางคนเห็นภาพข่าวบางภาพ ดูหนังละครบางฉากบางตอน มีเพลงประกอบหรืออ่านข้อความบางคอมเม้นต์ในโซเชี่ยล เกิดอาการน้ำตาซึมจนถึงน้ำตาแตก แสดงเวทนาทางใจออกมาราวกับคนเป็นโรคซึมเศร้าที่ร้องไห้กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของคนอื่นที่พลัดพรากหรืออยู่ห่างไกล พ่อแม่ คนรัก สัตว์เลี้ยงซึ่งในชีวิตจริงของตัวเองก็มียังอยู่กับสิ่งที่รัก ไม่เคยพบเจอเรื่องเสียใจมากมายเท่าไรเลย ความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าแม้ไม่ได้อยู่ต่อหน้าใคร มันจึงไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งทำ เหมือนเราเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกสร้างขึ้นมาแล้วใส่โปรแกรมให้มีเวทนาทางใจเพื่อเลียนแบบมนุษย์ นี่มันเป็นความปรุงแต่งไม่ใช่ความจริงสินะ เวทนาทางใจมันปรุงแต่งจิต ปรุงแต่งความคิดเราจนเราหลงว่ามันจริงทุกเรื่อง การเสพข่าวการเมือง ข่าวดราม่า เสพละครซีรี่ย์ อินไปกับเรื่องราวต่างๆ แสดงความคิดเห็น หลงลืมตัวตนกันทั้งบ้านทั้งเมือง หาคนสักคนที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแทบไม่เจอ
สัญญาปลอมๆ
ตอนเด็กๆครูขานชื่อนักเรียนคนใด คนนั้นก็ตอบว่ามาครับ มาค่ะ บ่งบอกว่าหมายรู้ตัวเองว่าเป็นใคร หมายรู้มาจนโตทำงานว่าคือคนเดียวกัน ผู้ซึ่งสะสมความรู้มาตามระดับที่ได้เรียน และจดจำเรื่องราวในชีวิตแต่ละช่วงวัยของตัวเอง ไม่มีใครคิดว่าอดีตทั้งหมดไม่ใช่ความจริงหรือไม่มีเรา เพราะทุกคนแต่งตัว แต่งหน้าให้ดูดีเมื่อไปเจอใครต่อใคร การหมายรู้ความสวยความงาม เห็นผิดว่ามันเป็นเรา ทุกคนสามารถแสวงหาความสุขทางกายและใจได้อย่างเสรี และมีวิญญาณเที่ยงแท้ยังอยู่เมื่อตายลง เป็นสัญญาวิปลาส ทำให้ต่างก็ดิ้นรนต่อสู้แย่งชิงเพื่อสนองตัวตนที่เป็นตัวรูปและตัวนาม ยากนักจะสนใจเรียนรู้ตัวเองจนรู้จักอย่างถ่องแท้ว่า ความคิดความเชื่อที่อยู่ในหัวมันไม่ต่างจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เขียนขึ้นมา ทำให้ทุกคนมีกระบวนการคิดอันเป็นตรรกะจนโต้แย้งเห็นต่างกับคนอื่นได้ทุกเรื่อง แล้วก็หลงตนว่าเป็นผู้มีปัญญา ทั้งๆที่มันเป็นสัญญาที่หลอกเราทั้งชีวิต
สังขารปลอมๆ
สัญญาดั้งเดิมหรือข้อมูลแท้ๆของมนุษย์เปิดเผยให้เราเห็นเป็นรูปธรรมจากรูปร่างหน้าตาและโรคพันธุกรรม สังขารแท้ๆอันมาจากสัญญาดั้งเดิมสืบทอดมาจากปู่ย่าตายาย ปรากฏให้เห็นได้ในพ่อแม่และลูกหลานเรา ทั้งรูปและนามไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีที่มา ความสืบเนื่องจากอดีตด้วยความเป็นอิทัปปัจจยตาพระอริยเจ้ารู้แจ้งแทงตลอดกลับไปยังอดีตได้ด้วยญาณทัศน์ แต่ก็ใช่จะยากเกินจะเข้าใจได้ด้วยปรีชาญาณของปุถุชน แล้วจะรู้ว่าสัญญาปลอมๆมันทำให้เกิดสังขารปลอมๆอย่างไร ทำให้มนุษย์ทั้งหลายกลายเป็นเครื่องจักร เป็นทาสของระบบขนาดใหญ่ที่ลากจูงไปอย่างมืดบอด ไม่มีความรู้เนื้อรู้ตัวในชีวิตปัจจุบัน ต่างปรุงแต่งตัวตนทั้งที่เป็นรูปและนามปลอมๆตลอดเวลา เชื่ออย่างสนิทใจว่ามันคือเรา เป็นเราทั้งชีวิตที่ดิ้นรนไม่สิ้นสุด เพียงเอะใจในความปลอมของรูป ความปลอมของเวทนา ความปลอมของสัญญา ความปลอมของสังขาร ก็จะตื่นจากฝันได้
วิญญาณปลอมๆ
มนุษย์จึงไม่ต่างกับสุดยอดหุ่นยนต์ที่ถูกสร้างให้มีเวทนา มีสัญญา มีสังขาร แล้วมันก็เชื่อว่าตัวมันมีวิญญาณที่เป็นของมันเฉพาะ ทั้งๆที่หุ่นยนต์ทุกตัวไม่มีวิญญาณใดเลย ชนทุกศาสนาจึงไม่ต่างกับสุดยอดหุ่นยนต์ ไม่เคยตื่นจากฝันจึงเชื่อว่าความฝันทั้งหมดเป็นความจริง เป็นหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมความฝันหลอก วิญญาณอมตะที่ทุกคนเข้าใจไม่มีอยู่จริง มันประกอบด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขารที่ปลอมตั้งแต่ต้น ความสุขความทุกข์หรือนรกสวรรค์ทางใจ ตลอดจนความสุขความทุกข์หรือนรกสวรรค์ทางกายมันสมจริงสุดๆ แต่เจ้าชายสิทธัตถะท่านจับโกหกได้ มันดูเหมือนจริงแต่ไม่ใช่ของจริง พระองค์จึงออกบวชเพื่อแสวงหาสัจธรรม เพื่อความหลุดพ้นจากตัวตนปลอมๆนี้ ในยุคนี้จะมีใครเล่าสงสัยอย่างพระองค์ว่าความรู้ที่เล่าเรียนมาทั้งหมดมันถูกโปรแกรมขึ้นมา พระพุทธเจ้าคือหุ่นยนต์ที่ตื่นจากฝัน หลุดพ้นจากโปรแกรมมารู้ตัวได้ เห็นความจริงด้วยตนเอง
ต่อครับ
รูปปลอมๆ
ขันธ์ห้าที่คุณอ่านหรือฟังมาจากบุคคลทีคุณศรัทธา เป็นเพียงภาพสเกตส์ในกระดาษจากผู้ที่เห็นรูปด้วยตา ไม่ต่างกับการเรียนวิชากายวิภาคที่เข้าใจรูปอย่างปลอมๆ ไม่อาจแยกรูปนั้นเป็นตัวตนทางกายและตัวตนทางใจได้ จึงมีโลกทัศน์ต่อตนเองเช่นเดียวกับหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมว่าฉันเป็นมนุษย์ มีชื่อ มีความคิด มีจิตใจอย่างมนุษย์ แต่มันไม่เคยรู้ตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าประจักษ์ ตถาคตคือผู้ที่รู้ตัวได้อย่างมนุษย์ ในขณะที่ชาวพุทธมากมายรู้ตัวแบบหุ่นยนต์ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกนี้เป็นหุ่นยนต์ทั้งสิ้น มีมนุษย์เท่านั้นที่สามารถรู้ตัวอย่างพระพุทธเจ้า รู้ว่าฉันเป็นมนุษย์อย่างไรได้ แต่เพราะความปลอมของรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่เล่ามานั่นเองที่หลอกมนุษย์อยู่
เรียนไปเถอะเดี๋ยวเกิด เดี๋ยวดับ ความคิด
ฉันขออภัย ในบางลีลา
บางวาจา ที่พูดไป
ต่างคนทำ ต่างคนได้
โคของใคร ย่อมเข้าคอก คนนั้น
เดียรถีย์ เป็นทางที่ต่างกัน
เดียรถีย์ เป็นทางที่ต่างไป
ต่างคน ต่างเดิน ตามแต่ใจ
อยู่ที่ใคร ค้นพบตัวเอง
เครดิต : เอ๊ะ! กูเป็นใคร?
เพราะญาณวิปปยุตกับญาณสัมปยุตมันต่างกัน?
เพราะโลกียปัญญากับโลกุตตรปัญญามันต่างกัน?
เพราะเจโตวิมุตติกับปัญญาวิมุตติมันต่างกัน?
จึงจำแนกคนเป็น 2 พวก
พวกที่หนึ่ง ; ไม่รู้เรื่อง "จิตตสิขา" ไม่เอา "จิตผู้รู้" จึงเป็นเหตุให้หลงทางไปเป็นพวก "เดียรถีย์"
1.มิจฉาสติ
2.มิจฉาสมาธิ
3.มิจฉาวิมุตติ
มิจฉาคือมาจาก "อปุญญาภิสังขารและอาเนญชาภิสังขาร" หรือจะมาจาก "ปุญญาภิสังขาร" ก็ได้ด้วย เนื่องจากเป็น "ญาณวิปปยุต" เข้าใจด้วยปรีชาญาณ (intellect) รู้ผ่านตรรกะความคิด
การพูดว่าไม่มีตัวตน ไม่มีเรา ด้วยว่าไม่เห็นสังขารทั้ง 3 เป็นเหตุให้คิด ให้พูด ให้กระทำนั้น ชี้ได้เลยว่า
ไม่รู้จัก "ญาณสัมปยุต" แต่คิดว่ารู้หรือมี
ไม่รู้จัก "โลกุตตรปัญญา" แต่คิดว่ารู้หรือมี
ไม่รู้จัก "ปัญญาวิมุตติ" แต่คิดว่ารู้หรือมี
บรรดาผู้ก่อตั้งสำนักต่างๆในยุทธจักรจึงเป็นพวกแรก
ที่คิดว่ารู้ คิดว่ามีอย่างพระอรหันต์
ที่คิดว่ารู้ คิดว่ามีอย่างพระพุทธเจ้า
อ้างว่าเดินบนเส้นทางวิถีพุทธทั้งที่เป็นพวกเดียรถีย์ แต่เอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาใส่ความคิดเห็นด้วยปัญญาความรู้ อันไม่พ้นจาก "ปรัชญาจิตนิยม" ได้จริงเลยสักคน
พวกที่สอง ; เรียนรู้เรื่อง "จิตตสิกขา" มี "จิตผู้รู้" เพียรเหตุอันควรให้เกิดมรรคผลนิพพาน
1.สัมมาสติ
2.สัมมาสมาธิ
3.สัมมาวิมุตติ
สัมมาคือมาจาก "ปุญญาภิสังขาร" เกิดมหากุศลจิต ที่ประกอบด้วย "ญาณสัมปยุต" ประจักษ์ด้วยปัญญาญาณ (intuitIon) รู้รูปรู้นามในปัจจุบัน
เห็นด้วยวิปัสสนาว่าตัวรูปกับตัวนามเป็นสังขตธรรม เกิดจากสังขารอันไม่พ้นไตรลักษณ์
1.เป็นอนิจจตาเพราะไม่เที่ยง
2.เป็นทุกขตาเพราะถูกบีบคั้น
3.เป็นอนัตตาเพราะอยู่เหนือการควบคุม
แล้วพระพุทธเจ้าเอาพระอภิธรรมที่ไหนไปโปรดพุทธมารดา..😂😂😂😂
พระองค์ ไม่เคยสอนใคร ว่า จิตมีกี่ดวง ชื่ออะไรบ้าง...
พระองค์ ไม่เคยสอนว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีคน....
... แสดงให้เห็นว่า เป็นสิ่งที่แต่งขึ้นมาภายหลัง... จึงทำให้ต้องมีการ ตีความกันไป ตามความเห็นของตน..
.. ทำไม พระสูตร กับ พระวินัย ไม่มีปัญหา...
.. พระอภิธรรม เป็นตำราสอน การละกิเลส สอนให้เป็น พระอริยบุคคล.. แล้วทำไม เจ้าสำนักอภิธรรม ไม่ได้เป็น พระอรหันต์ ทั้งที่ รู้มา 40 ปี 50 ปี...
รู้แต่ไม่เห็น จึงมิใช่ของจริง พระอภิธรรมมาแต่งขึ้นทีหลังผู้แต่งอาจจะรู้แจ้งไม่หมด เช่นจิต มี 89 ดวงพิศดาร 121 ดวง ดวงหนึ่งเกิดดวงหนึ่งดับ มันมิใช่ครับ สั่งที่เกิด ดับ มันเป็นอาการของ จิต มิใช่ จิต ส่วนจิตมิมีการ เกิด ดับ จิต เป็นธรรมชาติธาตุรู้ มิมีตัว ตน แต่มีอยู่ละเอียดยี่งนัก เห็นได้แสนยากำหนดรู้ไม่ได้ว่าเกิดมาแต่เมื่อไหร่นานแต่ไหน เบื้องตนเบื้องปลายเป็นอย่างไร ครับ ถ้าเห็นจิต เป็นจิตเอง หายสงสัย คือคำตอบ ก็ถูกต้องที่สุด ? เชื่อง่ายก็ปัญญาอ่อน ปฏิเสธไม่เชื่อก็ปัญญากระด้าง หลงโง่งมงายทั้งนั้น เพียรพิจารณาใคร่ครวญดูให้เห็นแจ้งด้วย จิต
ขนาดช่องอนุบาล...คุณก็ยังอนุบาล...บูลลี่ไปหน่อย
" จิต 89,121 ดวงหนึ่งเกิด ดวงหนึ่ง ดับ มันไม่ใช่.."
เหมือน ร่างกายคน เมื่อวาน กับวันนี้ คนเดียวกันหรือ ไม่ คุณจะตอบอย่างไรครับ
- คนละคน เพราะเซลเก่าตาย (ไม่หมด) เซลใหม่เกิด =✓
- คนเดียวกัน เพราะเซลเก่าบางส่วน ยังอยู่ = ✓
มันเป็นแค่วาทะใช้สื่อสาร
**** รู้ แต่ไม่เห็น ยังไม่ใช่ของจริง... คุณกำลัง (จะ) บอกว่า คุณเห็นจิต...แต่บอกว่า ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ จิตมาจากไหน,เกิดได้อย่างไร ?
ถ้าอย่างนั้น รู้ กับ เห็น ไม่ต่างกัน ชาวบ้านเรียกว่า"คือกัน" แล้วจะบูลลี่กันเพื่อ..?
จิตมีหนึ่งดวง ประกอบด้วย วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคคตา สหิตัง ปฐมชาณ กุสละจิตตัง สัญญาจิตตัง กริยาจิตตัง อะไรอีก ก็ลืมแล้ว จิตมีหนึ่งดวง แต่สังสารกระตุ้นเตือนมีหลายดวง ทั้งการมองเห็น เป็นต้น...มั่วป่าววะ ..กรู .😮😮😮😮