ขนาดวิดีโอ: 1280 X 720853 X 480640 X 360
แสดงแผงควบคุมโปรแกรมเล่น
เล่นอัตโนมัติ
เล่นใหม่
อนุโมทนา อย่างยิ่งโยมพ่อ ดร.ประมวล เพ็งจันทร์
ขอแสดงความเคารพต่อท่านอาจารย์ ประมวล เพ็งจันทร์ พระพุทธเจ้าของพวกเรานั้น ก็เคยแสดงให้เห็นว่าโลกนั้นกลม โดยได้ทรงเปรียบว่า โลกก็เหมือนผลมะขามป้อมบนฝ่ามือของพระองค์ นี้เป็นประการที่หนึ่งคำว่า ฮู้ซื่อๆ นี้. พระพุทธองค์ก็ได้ทรงพูดไว้ตั้ง2600กว่าปีมาแล้ว “___หายใจออกก็ฮู้ หายใจเข้าก็รู้ เมื่อหายใจออกยาว ก็ฮู้ว่าหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็ฮู้ว่าหายใจเข้ายาว ____” เป็นต้น การ “ฮู้ซื่อๆ”นี้ เป็นเพียงการฝึกสติเพื่อให้ได้สมาธิเท่านั้น ส่วนปัญญานั้นต้องอาศัยการพิจารณา ดังใน”โสดาปัตติยังคธรรม4” คือ 1) สัปปุริสสังเสวะ 2) สัทธัมมัสสวนะ 3) โยนิโสมนสิการ 4) ธัมมานุธัมมปฏิปฏิ. ถ้าไม่มี “โยนิโสมนสิการ” ปัญญาย่อมไม่สามารถเกิดขึ้นได้ การบรรลุธรรมย่อมไม่มี
ความโลภทำให้เกิดวิริยะก็ได้ นั่งเล่นไพ่ทั้งวันทั้งคืน โดยไม่ต้องกินก็ยังได้. ฉะนั้นแล้ว เมื่อพูดถึงความเพียร ต้องเป็นความเพียรที่เป็นเครื่องเผากิเลส และเป็นความเพียรที่เป็น สัมมาวายามะ
ความเห็นที่2). คำว่า ฮู้ซื่อๆ กับคำว่า รู้สักว่ารู้ ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่ท่านพาหิยะนั้น ความหมายห่างไกลกัน84000โยชน์. จะอธิบายก็ยาวเกิน และไม่มีผู้สนใจ จึงขอเว้นไว้
ขอสันติสุขจงมีกับทุกท่านครับ สบายใจดีครับ อยากให้นำวิชาปรัชญามาร่วมเสวนาปรัชญากับการเมืองไทยนิรันดร์ บนการสำแดงจริงครับ ขอพลังบรืสุทธิ์ได้เกิดร่วมกันครับ
ความเห็นที่4) ขอถามว่า ถ้าไม่ใช้ความคิดในการอ่านพระธรรม แล้วจะเกิดความสัทธาได้อย่างไร?เป็นเพราะเราใช้ความคิดในการอ่าน เราจึงไม่สัทธาในคำสอนของศาสนาอื่นๆ
ความเห็นที่5) สรุปก็คือว่า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัยความคิด เมื่อคิดถึง 🖐 ก็รู้มือ ไม่ได้รู้เท้า คิดถึงหัวก็รู้หัว ไม่ได้ไปรู้ท้อง ฉะนั้นแล้ว คำพูดที่ว่า “รู้มือโดยไม่ต้องคิด” จึงเป็นคำพูดที่ผิด เมื่ออ่าน”หฤทัยสูตร”โดยไม่คิดพิจารณาตาม ก็จะไม่รู้ว่า ที่อ่านนั้นอ่านอะไร แล้วจะเกิดความซาบซึ้งในรสของพระสูตรนี้ได้อย่างไร? หลักการของพระพุทธศาสนาของพวกเรานั้น คือ ต้องพิจารณาโดยถี่ถ้วนทุกแง่ทุกมุมแล้วจึงเชื่อ เพราะเป็นศาสนาแห่งปัญญาสำหรับผู้มีปัญญา คำพูดที่ว่า ศัทธาต้องประกอบด้วยปัญญา จึงถูกต้องแล้ว. ศาสนาอื่นที่มีพระเจ้าเป็นผู้สร้าง สาวกของศาสนานั้น ก็มีศัทธาพละเหมือนกัน แต่ไม่มีปัญญา ไม่รู้จักถามว่า แล้วพระเจ้ามาจากไหน? ถ้าพระเจ้าเกิดขึ้นเองได้ ตัวเราก็เกิดขึ้นเองได้เช่นกัน เป็นต้น
เพราะรู้ธรรมนั้น จึงเรียกว่า”ญาณ” กว่าจะเป็น”ญาณ”ได้ ก็ต้องอาศัยความคิดพิจารณาธรรมนั้นอย่างชนิดเอาเป็นเอาตาย ขอยกตัวอย่าง “ธัมมัฏฐิติญาณ” ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า อวิชชาเป็นที่ตั้งแห่งความเกิดขึ้น ความเป็นไป นิมิต กรรม ความประกอบไว้ ความพัวพัน สมุทัย เหตุ และปัจจัยของสังขารทั้งหลาย ด้วยอาการ ๙ อย่างนี้ อวิชชาจึงเป็นปัจจัย สังขารเกิดขึ้นเพราะปัจจัย แม้อวิชชาและสังขารต่างก็เกิดขึ้นเพราะปัจจัย. นี้แสดงให้เห็นเห็นว่า ยากแค่ไหน ผ่านความคิดพิจารณามากเพียงใดกว่าจะได้”ญาณ”ขั้นต้น. ฉะนั้นคำพูดที่ว่า ไม่ต้องอาศัยความคิด จึง ผิดอย่างมหันต์
ความเห็นที่3). อริยสัจ4 ต้องอาศัยความคิดพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง ทุกข์นั้นต้องกำหนดรู้ อะไรเป็นทุกข์ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่มาเปิดเผย พวกเราจะรู้หรือว่า อุปทานขันธ์5เป็นตัวทุกข์. เมื่อเราได้ฟังคำสอนมา เราก็ต้องพยายามคิดพิจารณาให้เห็นทุกข์. ถ้าเห็นทุกข์แล้ว ก็ย่อมจะกลัว แล้วหาทางให้พ้นทุกข์. ในโลกนี้ ปัจจุบันมีสักกี่คนที่กำลังปฏิบัติให้พ้นทุกข์? คำพูดที่ว่า ทุกข์รู้ได้โดยไม่ต้องคิดนี้จึงผิด แม้ว่าคิดว่ารู้แล้ว ความจริงไม่ได้รู้แจ้งเห็นจริง รู้เพราะฟังมาเท่านั้นเอง. อริยสัจที่เหลืออีก3 ก็เป็นอย่างนี้
อนุโมทนา อย่างยิ่งโยมพ่อ ดร.ประมวล เพ็งจันทร์
ขอแสดงความเคารพต่อท่านอาจารย์ ประมวล เพ็งจันทร์
พระพุทธเจ้าของพวกเรานั้น ก็เคยแสดงให้เห็นว่าโลกนั้นกลม โดยได้ทรงเปรียบว่า โลกก็เหมือนผลมะขามป้อมบนฝ่ามือของพระองค์ นี้เป็นประการที่หนึ่ง
คำว่า ฮู้ซื่อๆ นี้. พระพุทธองค์ก็ได้ทรงพูดไว้ตั้ง2600กว่าปีมาแล้ว “___หายใจออกก็ฮู้ หายใจเข้าก็รู้ เมื่อหายใจออกยาว ก็ฮู้ว่าหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็ฮู้ว่าหายใจเข้ายาว ____” เป็นต้น การ “ฮู้ซื่อๆ”นี้ เป็นเพียงการฝึกสติเพื่อให้ได้สมาธิเท่านั้น ส่วนปัญญานั้นต้องอาศัยการพิจารณา ดังใน”โสดาปัตติยังคธรรม4” คือ 1) สัปปุริสสังเสวะ 2) สัทธัมมัสสวนะ 3) โยนิโสมนสิการ 4) ธัมมานุธัมมปฏิปฏิ.
ถ้าไม่มี “โยนิโสมนสิการ” ปัญญาย่อมไม่สามารถเกิดขึ้นได้ การบรรลุธรรมย่อมไม่มี
ความโลภทำให้เกิดวิริยะก็ได้ นั่งเล่นไพ่ทั้งวันทั้งคืน โดยไม่ต้องกินก็ยังได้. ฉะนั้นแล้ว เมื่อพูดถึงความเพียร ต้องเป็นความเพียรที่เป็นเครื่องเผากิเลส และเป็นความเพียรที่เป็น สัมมาวายามะ
ความเห็นที่2). คำว่า ฮู้ซื่อๆ กับคำว่า รู้สักว่ารู้ ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่ท่านพาหิยะนั้น ความหมายห่างไกลกัน84000โยชน์. จะอธิบายก็ยาวเกิน และไม่มีผู้สนใจ จึงขอเว้นไว้
ขอสันติสุขจงมีกับทุกท่านครับ สบายใจดีครับ อยากให้นำวิชาปรัชญามาร่วมเสวนาปรัชญากับการเมืองไทยนิรันดร์ บนการสำแดงจริงครับ ขอพลังบรืสุทธิ์ได้เกิดร่วมกันครับ
ความเห็นที่4) ขอถามว่า ถ้าไม่ใช้ความคิดในการอ่านพระธรรม แล้วจะเกิดความสัทธาได้อย่างไร?
เป็นเพราะเราใช้ความคิดในการอ่าน เราจึงไม่สัทธาในคำสอนของศาสนาอื่นๆ
ความเห็นที่5) สรุปก็คือว่า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัยความคิด เมื่อคิดถึง 🖐 ก็รู้มือ ไม่ได้รู้เท้า คิดถึงหัวก็รู้หัว ไม่ได้ไปรู้ท้อง
ฉะนั้นแล้ว คำพูดที่ว่า “รู้มือโดยไม่ต้องคิด” จึงเป็นคำพูดที่ผิด เมื่ออ่าน”หฤทัยสูตร”โดยไม่คิดพิจารณาตาม ก็จะไม่รู้ว่า ที่อ่านนั้นอ่านอะไร แล้วจะเกิดความซาบซึ้งในรสของพระสูตรนี้ได้อย่างไร? หลักการของพระพุทธศาสนาของพวกเรานั้น คือ ต้องพิจารณาโดยถี่ถ้วนทุกแง่ทุกมุมแล้วจึงเชื่อ เพราะเป็นศาสนาแห่งปัญญาสำหรับผู้มีปัญญา คำพูดที่ว่า ศัทธาต้องประกอบด้วยปัญญา จึงถูกต้องแล้ว. ศาสนาอื่นที่มีพระเจ้าเป็นผู้สร้าง สาวกของศาสนานั้น ก็มีศัทธาพละเหมือนกัน แต่ไม่มีปัญญา ไม่รู้จักถามว่า แล้วพระเจ้ามาจากไหน? ถ้าพระเจ้าเกิดขึ้นเองได้ ตัวเราก็เกิดขึ้นเองได้เช่นกัน เป็นต้น
เพราะรู้ธรรมนั้น จึงเรียกว่า”ญาณ” กว่าจะเป็น”ญาณ”ได้ ก็ต้องอาศัยความคิดพิจารณาธรรมนั้นอย่างชนิดเอาเป็นเอาตาย ขอยกตัวอย่าง “ธัมมัฏฐิติญาณ” ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า อวิชชาเป็นที่ตั้งแห่งความเกิดขึ้น ความเป็นไป นิมิต กรรม ความประกอบไว้ ความพัวพัน สมุทัย เหตุ และปัจจัยของสังขารทั้งหลาย ด้วยอาการ ๙ อย่างนี้ อวิชชาจึงเป็นปัจจัย สังขารเกิดขึ้นเพราะปัจจัย แม้อวิชชาและสังขารต่างก็เกิดขึ้นเพราะปัจจัย. นี้แสดงให้เห็นเห็นว่า ยากแค่ไหน ผ่านความคิดพิจารณามากเพียงใดกว่าจะได้”ญาณ”ขั้นต้น. ฉะนั้นคำพูดที่ว่า ไม่ต้องอาศัยความคิด จึง ผิดอย่างมหันต์
ความเห็นที่3). อริยสัจ4 ต้องอาศัยความคิดพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง ทุกข์นั้นต้องกำหนดรู้ อะไรเป็นทุกข์ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่มาเปิดเผย พวกเราจะรู้หรือว่า อุปทานขันธ์5เป็นตัวทุกข์. เมื่อเราได้ฟังคำสอนมา เราก็ต้องพยายามคิดพิจารณาให้เห็นทุกข์. ถ้าเห็นทุกข์แล้ว ก็ย่อมจะกลัว แล้วหาทางให้พ้นทุกข์. ในโลกนี้ ปัจจุบันมีสักกี่คนที่กำลังปฏิบัติให้พ้นทุกข์? คำพูดที่ว่า ทุกข์รู้ได้โดยไม่ต้องคิดนี้จึงผิด แม้ว่าคิดว่ารู้แล้ว ความจริงไม่ได้รู้แจ้งเห็นจริง รู้เพราะฟังมาเท่านั้นเอง. อริยสัจที่เหลืออีก3 ก็เป็นอย่างนี้