ขนาดวิดีโอ: 1280 X 720853 X 480640 X 360
แสดงแผงควบคุมโปรแกรมเล่น
เล่นอัตโนมัติ
เล่นใหม่
น้อมกราบสาธุเจ้าคะ
น้อมกราบสาธุเจ้าค่ะ🎉🎉🎉
สาธุ...
สาธุสาธุสาธุเจ้าค่ะ
สาธุครับ
🙏🙏🙏❤❤
การละสังโยชน์ 3 ได้นั้น ต้องมีการขัดเกลาจิตของบุคคลที่มีตัวตนอยู่มาก ที่ประกอบด้วยกิเลส ตัณหา ซึ่งเกืดมาจาก โลภ โกรธ หลง ที่สร้างตัวตนเราเขาที่เรียกว่า ตัวกู เป็นอุปทานความเห็นผิดหรือที่เรียกว่า "อวิชชา" เป็นความไม่รู้ ที่มีอยู่มากในบุคคลนั้นๆ การที่จะละสังโยชน์ได้ ต้องมาจากการขัดเกลาตัวกูผู้มีกิเลส ตัณหา ที่เป็นตัวการความยึดมั่นที่เป็นตัวกูออกจากจิต ที่ละเล็กละน้อย แล้วแต่ปัญญาความเพียรของผู้ปฏิบัตินั้น พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้เริ่มจากการละสังโยชน์ในทันที แต่สอนให้ชะล้าง กิเลส ตัณหาที่นำพาให้เกิดตัวกู ที่ยึดตัวตนนี้ไว้ให้คลายออกจากกิเลสตัณหานั้นๆ จะมากล่าวอ้างว่าไม่ต้องไปสนใจมันที่มันมีอยู่ในตน แบบนี้เป็นการสอนธรรม ที่อยู่บนความไม่เข้าใจอย่างมาก การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การคิดเอาว่า น่าจะต้องอย่างนั้นน่าจะอย่างนี้ หรือวิเคราะห์ในตัวหนังสือที่ได้อ่าน หรือร่ำเรียนมา แต่เป็นการหยุดคิดหยุดวิเคราะห์ปัญญาภายนอก และให้ไปรู้ถึงพฤติกรรมของจิต ที่เป็นที่มาของการยึดถือนั้นด้วยสติระลึกรู้ ในปัจจุบันอารมณ์ เมื่อสติเข้าไปรู้สึก (เห็นด้วยตาใน) ว่าลักษณะของพฤติกรรมของจิตเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ซึ่งทำให้เกิดทุกข์ จิตก็จะค่อยๆคลายตัวออก ที่ละเล็ก ทีละน้อย แล้วแต่ความเพียรและปัญญาของผู้ปฏิบัติ จนสติ (ที่มีสมาธิเป็นกำลัง)เข้าไปเห็นกระบวนการของจิตที่เข้าไปยึดในตัวตนว่า กายนี้ไม่ใช่เรา จิตจึงจะเกิดสมาธิที่เรียกว่า อัปนาสมาธิ จึงจะข้ามจากฝั่ง โลกีย์มาโลกุตระได้ โดยการที่สังโยชน์ 3 คลายออก โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล จึงเกิดขึ้นขณะนั้น และกระแสพระนิพพานจะปรากฏ เป็นการสิ้นสงสัยในธรรมที่เรียกว่า วิจิกิจฉา และจะมีศีล 5 ครบบริบูรณ์ และเข้าถึงการเห็นกายนี้ไม่ใช่เราสำเร็จ คือละสังโยชน์ 3 ครบถ้วนแต่ที่หลวงพี่ท่านนี้กล่าวอ้าง คือความคิดเห็น การคิดวิเคราะห์ ว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งไม่ใชมรรควิธีของพระพุทธองค์ แต่เป็นความเห็นผิดที่คิดว่า ต้องเข้าไปละสังโยชน์ได่เลย การใช้เพียงความคิดในการละสังโยชน์ จึงเป็น มิจฉาทิฏฐิ คือความเห็นผิดอย่างแท้จริง ท่านต้องไปปฏิบัติให้เข้าถึง หยุดคิดวิเคราะห์ จะได้มาสอนผู้ใฝ่ธรรมได้ถูกต้อง ไม่ปิดนิพพานให้ตัวเองและผู้อื่น ด้วยความปรารถนาดี🙏
🙏🏻🙏🏻🙏🏻
🙏🙏🙏
น้อมกราบสาธุเจ้าคะ
น้อมกราบสาธุเจ้าค่ะ🎉🎉🎉
สาธุ...
สาธุสาธุสาธุเจ้าค่ะ
สาธุครับ
🙏🙏🙏❤❤
การละสังโยชน์ 3 ได้นั้น ต้องมีการขัดเกลาจิตของบุคคลที่มีตัวตนอยู่มาก ที่ประกอบด้วยกิเลส ตัณหา ซึ่งเกืดมาจาก โลภ โกรธ หลง ที่สร้างตัวตนเราเขาที่เรียกว่า ตัวกู เป็นอุปทานความเห็นผิดหรือที่เรียกว่า "อวิชชา" เป็นความไม่รู้ ที่มีอยู่มากในบุคคลนั้นๆ การที่จะละสังโยชน์ได้ ต้องมาจากการขัดเกลาตัวกูผู้มีกิเลส ตัณหา ที่เป็นตัวการความยึดมั่นที่เป็นตัวกูออกจากจิต ที่ละเล็กละน้อย แล้วแต่ปัญญาความเพียรของผู้ปฏิบัตินั้น พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้เริ่มจากการละสังโยชน์ในทันที แต่สอนให้ชะล้าง กิเลส ตัณหาที่นำพาให้เกิดตัวกู ที่ยึดตัวตนนี้ไว้ให้คลายออกจากกิเลสตัณหานั้นๆ จะมากล่าวอ้างว่าไม่ต้องไปสนใจมันที่มันมีอยู่ในตน แบบนี้เป็นการสอนธรรม ที่อยู่บนความไม่เข้าใจอย่างมาก การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การคิดเอาว่า น่าจะต้องอย่างนั้นน่าจะอย่างนี้ หรือวิเคราะห์ในตัวหนังสือที่ได้อ่าน หรือร่ำเรียนมา แต่เป็นการหยุดคิดหยุดวิเคราะห์ปัญญาภายนอก และให้ไปรู้ถึงพฤติกรรมของจิต ที่เป็นที่มาของการยึดถือนั้นด้วยสติระลึกรู้ ในปัจจุบันอารมณ์ เมื่อสติเข้าไปรู้สึก (เห็นด้วยตาใน) ว่าลักษณะของพฤติกรรมของจิตเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ซึ่งทำให้เกิดทุกข์ จิตก็จะค่อยๆคลายตัวออก ที่ละเล็ก ทีละน้อย แล้วแต่ความเพียรและปัญญาของผู้ปฏิบัติ จนสติ (ที่มีสมาธิเป็นกำลัง)เข้าไปเห็นกระบวนการของจิตที่เข้าไปยึดในตัวตนว่า กายนี้ไม่ใช่เรา จิตจึงจะเกิดสมาธิที่เรียกว่า อัปนาสมาธิ จึงจะข้ามจากฝั่ง โลกีย์มาโลกุตระได้ โดยการที่สังโยชน์ 3 คลายออก โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล จึงเกิดขึ้นขณะนั้น และกระแสพระนิพพานจะปรากฏ เป็นการสิ้นสงสัยในธรรมที่เรียกว่า วิจิกิจฉา และจะมีศีล 5 ครบบริบูรณ์ และเข้าถึงการเห็นกายนี้ไม่ใช่เราสำเร็จ คือละสังโยชน์ 3 ครบถ้วน
แต่ที่หลวงพี่ท่านนี้กล่าวอ้าง คือความคิดเห็น การคิดวิเคราะห์ ว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งไม่ใชมรรควิธีของพระพุทธองค์ แต่เป็นความเห็นผิดที่คิดว่า ต้องเข้าไปละสังโยชน์ได่เลย การใช้เพียงความคิดในการละสังโยชน์ จึงเป็น มิจฉาทิฏฐิ คือความเห็นผิดอย่างแท้จริง ท่านต้องไปปฏิบัติให้เข้าถึง หยุดคิดวิเคราะห์ จะได้มาสอนผู้ใฝ่ธรรมได้ถูกต้อง ไม่ปิดนิพพานให้ตัวเองและผู้อื่น ด้วยความปรารถนาดี🙏
🙏🏻🙏🏻🙏🏻
🙏🙏🙏