ขนาดวิดีโอ: 1280 X 720853 X 480640 X 360
แสดงแผงควบคุมโปรแกรมเล่น
เล่นอัตโนมัติ
เล่นใหม่
สาธุ สาธุ สาธุ 🙏🙏🙏
รู้ออกไป มีสิ่งใดๆ ต้องปล่อยวางรู้เข้ามา ไม่มีสิ่งใดๆ ว่างเปล่า
ก้อคือ เรามีอัตตา จับต้องได้ มองเห็นได้ สัมผัสได้ เมื่ออัตตาจบ จะเหลือความว่างเปล่าคือ อนัตตา ❤
สาธุครับ
พระพุทธเจ้าไม่เคยสรุปว่ามีหรือไม่มีนะครับ
กราบ สาธุ สาธุ สาธุ ครับ
อยู่ด้วยอนัตตา อ.อริยเจ้า
นิละธรรม ที่แท้จริง แต่มันคงไม่ถูกใจคนไทยส่วนใหญ่ พวกเขายังคงหลงกับรูปความมีตัวตน ปล่อยพวกเขาไปเหอะไม่มีใครบังคับได้ สุดแล้วแต่
สาธุครับ ท่านกล่าวสอนตามพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ดีแล้ว ขอความบรรลุธรรมมีแก่ท่านในชาตินี้
ภิกษุ ท. ! รูป ไม่เที่ยง, สิ่งใด ไม่เที่ยง สิ่งนั้น เป็นทุกข์, สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้น เป็นอนัตตา, สิ่งใด เป็นอนัตตา พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามที่เป็นจริง อย่างนี้ว่า “นั่น ไม่ใช่ของเรา (เนตํ มม), นั่น ไม่ใช่เรา(เนโสหมสฺมิ), นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา (น เมโส อตฺตา) ” ดังนี้;ภิกษุ ท. ! เวทนา ไม่เที่ยง, สิ่งใด ไม่เที่ยง สิ่งนั้น เป็นทุกข์, สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้น เป็นอนัตตา, สิ่งใด เป็นอนัตตา พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามที่เป็นจริง อย่างนี้ว่า “นั่น ไม่ใช่ของเรา (เนตํ มม), นั่นไม่ใช่เรา(เนโสหมสฺมิ), นั่น ไม่ใช่ตัวตนของเรา (น เมโส อตฺตา) ” ดังนี้;ภิกษุ ท. ! สัญญา ไม่เที่ยง, สิ่งใด ไม่เที่ยง สิ่งนั้น เป็นทุกข์, สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้น เป็นอนัตตา, สิ่งใด เป็นอนัตตา พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามที่เป็นจริง อย่างนี้ว่า “นั่น ไม่ใช่ของเรา, นั่น ไม่ใช่เรา, นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา” ดังนี้;ภิกษุ ท. ! สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง, สิ่งใด ไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์,สิ่งใด เป็นทุกข์ สิ่งนั้น เป็นอนัตตา, สิ่งใด เป็นอนัตตา พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามที่เป็นจริงอย่างนี้ว่า “นั่น ไม่ใช่ของเรา, นั่น ไม่ใช่เรา,นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา” ดังนี้;ภิกษุ ท. ! วิญญาณ ไม่เที่ยง, สิ่งใด ไม่เที่ยง สิ่งนั้น เป็นทุกข์, สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้น เป็นอนัตตา, สิ่งใด เป็นอนัตตา พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามที่เป็นจริงอย่างนี้ว่า “นั่น ไม่ใช่ของเรา, นั่น ไม่ใช่เรา, นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา” ดังนี้ แล.- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๘/๔๒. -
sing sada ตัดคำว่า "เป็น" ออก อย่าใช้คำว่า "เป็น" นำหน้าคำว่า "อนิจจัง" "ทุกข์" "อนัตตา"
คนหลายคนป่วยเป็นโรคเดียวกัน.แต่กินยาแต่ขนานไม่เหมือนกัน.ฉันใดก็ฉันนั้นการจะรู้สภาวธรรม.ก็จะใช้ความรู้ที่ไม่เหมือนกัน.แต่เป้าหมายคือกัน.คือความรู้จริงพิสูจน์ได้จริง.
คือ การรู้ทุกข์ พอรู้ทุกข์ การมั่นหมายจะจางคลาย หรือ ที่คิดว่าสิ่งนั้นเป็นเรา เป็นของๆเราคือ ความเป็นภพสิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆเราพอเราตั้งใจว่าจะเป็นเรา ทุกข์สุดๆ แต่ทุกข์นั่น มีโดยลักษณะ จางคลาย ทุกข์คลาย
อนัตตาธรรมอยู่แล้ว @ อ.อริยเจ้า
เข้าใจยากจริงๆ
กราบนมัสการท่านพระอาจารย์เจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ กราบสาธุสาธุค่ะ
เห็นทุกข์เห็นธรรมค่ะ😂😂😂
สาธุๆๆๆพระรัตนตรัย
หลวงพี่ครับ ถ้าอัตตาไม่มี สักกายทิฐิจะเกิดขึ้นอย่างไรเล่า? จะกล่าวว่าอัตตามีก็ไม่ควร จะกล่าวว่าอัตตาไม่มีก็ไม่ควร
ก็เพราะความเห็นผิดจึงสำคัญมั่นหมายว่า มีตนในขันธ์ห้า ขันธ์ห้าเป็นตน ตนมีในขันธ์ห้า จึงเกิดสักกายทิฐิ สาธุๆค่ะ
สาธุเจ้าค่ะ
อัตตาไม่มี นิพพานจึงไม่มี ไครคิดว่ามีนิพพานคนนั้นยังไม่ได้สำผัสธรรม
ไม่เกิดจึงไม่มีครับ
เรียนให้มากกว่านี้นะจะ
รองศืกษาจากพระป่าดูนะครับ ผู้ที่ได้สำเร็จแล้วทุกองศ มีนืพพานทุก องศครับในพระไคปิฎกไม่มีไม่บอกใว้ ใครทำใครได้ เป็นที่รู้ ฉะเพราะตน ใครย้งไม่ได้ก็บอกว่าไม่มี ถืงบอกว่าให้เรียนให้มากๆๆนะ
พระในเมืองไม่มีนิพพาน ว่างเปล่าพระป่าบอกว่ามี แล้วจะเชื้อใครดีนะ
@@ประเสริฐพงษ์สุวรรณ ลองศึกษาจากพระไตรปิฏกดูก่อนมั้ยครับ
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นอนัตตา เวทนาเป็นอนัตตา สัญญาเป็นอนัตตา สังขารเป็นอนัตตา วิญญาณเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลายอริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป แม้ในเวทนา แม้ในสัญญา แม้ในสังขาร แม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น. เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว. ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี."เพราะเหตุไร ทำไมพระคุณท่าน สอนไม่ตรงกับพระศาสดาของตัวเอง!!พระพุทธเจ้าทรงสอนขันธ์5คืออนัตตา ลักษณะของขันธ์5คือธรรมชาติเกิด,เสื่อม,ดับ เช่นรูปมนุษย์ เกิด,แก่,เจ็บ,ตาย ลักษณะธรรมชาติเช่นนี้ พระพุทธเจ้าสอนให้เรามองเป็นทางสายกลาง ไม่สุดโต้งไปข้างใดข้างหนึ่งคือ ไม่สุดโต้งว่ามีตัวตนตลอดเวลา และไม่สุดโต้งว่าไม่มีตัวตนเลย พระพุทธเจ้าจึงอธิบายด้วยทางสายกลาง อันเป็นสัจจะความจริงแท้ ด้วยคำว่า"อนัตตา"ดังนั้นลักษณะอนัตตาจึงไม่ใชสูญญตา เมื่ออ่านพระสูตรแล้ว อนัตตาคือมีตัวตนชั่วคราว เกิดขึ้น,ตั้งอยู่,แล้วดับไป อนัตตาจึงไม่ใช่สูญญตา
ตาบอดคลำช้าง.... สัพเพ ธัมมา อนัตตา คือสภาวะความเป็นจริงของสังขตธาตุ และอสังขตธาตุ... "มี ไม่ใช่ตัวตน"
เก่ง ขอให้โยมบรรลุโสดาบันโดยเร็วเจริญพร
พระอาจารย์คับ ผมมีความสงสัยว่า ธรรมชาติสร้างเราให้มีตัวตนทำไมคับ หรือว่าการที่เราคิดว่าเรามีตัวตนเกิดจากสิ่งแวดล้อมหล่อหลอมเรา ให้เรามีตัวตน บางทีผมก็อยากรู้ว่าเด็กทารกที่อู่ในครรภ์มารดา เขาคิดไหมว่าเขามีตัวตนไหม
ສາທຸ ທ່ານອາຈານ
บางคนฝึกจิตโดยการไม่จับต้องธนบัตรทรัพย์สินเงินทองเพื่อป้องกันมิให้จิตเข้าไปเกิดการรับรู้ในการสำผัสจับต้อง 555555 จิตของเขาเหล่านั้นย่อมตกอยู่ใต้วัตถุจิตที่ฝึกในลักษณะแบบนี้จะก่อให้เกิดกำแพงกั้น ยึดถือเอาเหตุของวัตถุภายนอก เป็นวัตถุบังคับว่าต้องไม่มีต้องไม่เห็น... 55555 จิตประเภทนี้ เรียกว่าแพ้วัตถุ ถูกต้องไหมขอรับกระผมสาธุ 5555
ผมเชื่อว่าผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่เข้าใจว่า "อัตตา" คือความรู้สึกของกายเนื้อผ่านทางระบบการรับรู้ทางผัสสะของระบบประสาทสำผัส เข้าใจผิดว่าจะต้องไม่มีความรู้สึก ของกายเนื้อ... การละอัตตา คอการละการปรุงแต่งทางจิตวิสัยปรุงแต่งท่ามกลางการสำผัส ปรกติ จิตนี้บังเกิดการรับรู้ทุกอย่างเพียงแต่จิตนี้ไม่เข้าไปกำหนัดปรุงแต่ง ผู้ที่จะฝึกปฏิบัติถึงจุดนี้ใด้จิต จะต้องละในความมีร่างกาย โดยการพิจารณาความตายให้จิตบังเกิดความเข้าใจสภาวะความตายโดยปราศจากจิตที่ยังมีห่วงความวิตกกังวลหวาดกลัวจนจิตนี้บังเกิดความเข้าใจแผ่ไปโดยรอบความรู้สึกของดวงจิตของผู้ฝึกปฏิบัติ ถูกต้องไหมขอรับกระผม สาธุ
ติดต่อไปภาวนากับ พ.อ.จ. ปัญญา ได้ช่องทางไหนบ้างคะ
ขอโทษครับฟ้งมามากแล้ว ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีให้ตายก็ไม่เข้าใจ ผมว่าทุกอย่าง ทุกคนก็เป็นอ้ตตาท้งนั้น ถ้าไม่ใช่อ้ตตา ถูกฟ้นแขนขาดเจ็บไหม ถ้าเป็นอน้ตตาก็ต้องบอกไม่เจ็บ ขาดก็ขาดม้นไม่ใช่ของเรา เวลวตาย เราทิ้งกายเก่า แล้วได้กายใหม่คือจิตเดิมกายใหม่หรือเรียกว่าวิณญาณพอตกนรก ก็กายใหม่นั้ละไปตกนรก ถูกฆ่า ถูกส้บเป็นชิ้นๆร้องเจ็บปวด ถูกตั้มในกะทะทองแดงร้อนเป็นไฟ ร้องโหย หวนด้งละงม ผมถามว่าแล้วใครร้อง วิณญาณเป็นมนุษต ก้บวิณญาณในนรก เป็นคนๆเดียวก้นหรือไม่ แสดงว่าวิณญาณนี้ก็มีเนื้อหน้งมีกะดูกใช่ไหม แล้วตรงไหน เขาเรียกว่าเป็น อน้ตตา ใครช่วย อธิบายใด้ไหม
สิ่งที่ลงไปเกิดในนรกนั้นเป็นอุปาทานที่ไปได้ ขันธ์5 ใหม่ ในนรก เพราะอุปาทานที่ไปหลงในขันธ์5เก่าที่ทำกรรมที่ไม่ดีคนเราเมื่อตายวิญญาณก็ดับแต่ตัวอุปาทานนี้ไม่ดับยังคงต้องหาเกาะขันธ์5ร่ำไปขันธ์5 ประกอบด้วย 1กาย 2อารมณ์ 3ความจำในสิ่งต่างๆ 4ความคิดในสิ่งต่างๆหรือว่าตัวจิต 5 ส่วนตัววิญญาณเป็นตัวรู้เข้าไปรู้ใน4ขันธ์นั้นคนเป็นผู้สร้างหุ่นยนต์โลกเป็นผู้สร้างมนุษย์และทุกสิ่งแต่มนุษย์มีระบบอัตตาหรืออุปาทานสัตว์นรกไม่ใช่จิตเดิมกายใหม่แต่เป็นอุปทานเดิมขันธ์ 5 ใหม่ถ้าคนสามารถสร้างหุ่นยนต์ที่มีความรู้สึกถึงความเจ็บปวดได้ล่ะถ้าคุณเห็นหุ่นยนต์นั้นที่ภายนอกเหมือนคนทุกอย่าง มีสมอง ร้องไห้เป็น ดีใจเป็นและเมื่อหุ่นยนต์นั้นถูกฟันแขนก็ร้องด้วยความเจ็บปวด คุณคิดว่าหุ่นยนต์นั้นเป็นคนจริงหรือเปล่า คุณเห็นไหมเวลากลางคืนทุกคนต้องนอน นอนเหมือนหุ่นไม่ใช่คน ทำไหมคนต้องหลับนอน แล้วไม่ต้องหลับได้ไหม นอนพักผ่อนเฉยๆได้ไหมซัก6ชั่วโมงพอ8โมงก็ไปทำงานตามปกติ ##ทุกคนล้วนเป็นหุ่นยนต์ที่โลกสร้างขึ้นไม่สามารถทำในสิ่งที่ตนปรารถนาได้ทุกสิ่งทำตามใจตัวเองได้บางอย่างฉันไม่อยากแก่ ฉันไม่อยากผมหงอกฉันไม่อยากผมยาว ฉันไม่อยากหัวเราะฉันไม่อยากหิวข้าว ฉันไม่อยากตัวเหม็นฉันไม่โกรธได้ไหม ฉันไม่กลัวได้ไหมทุกอย่างล้วนบังคับไม่ได้ เพราะมันคือระบบอนัตตา ไม่ใช่ระบบอัตตาที่ควบคุมได้เพราะมันเป็นอัตโนมัติของมันถึงเวลามันก็หิวเอง ถึงเวลามันก็ง่วงเองห้ามได้ไหมล่ะตัวก็ตัวคุณ ใจก็ใจคุณ ทำได้ไหมล่ะเข้าใจยัง ขนาดพระพุทธเจ้ายังใช้เวลาตั้งหลายปีกว่าจะเข้าใจ ผมก็เข้าใจแค่ลางๆเป็นบางคราวยังไม่ชัดเจนกำลังทำให้ชัดเจน##ผมเป็นหุ่นยนต์ผมนอนดีกว่าง่วงแล้ว
หุ่นยนต์กับคนนั้นท่านยกมาเทียบกันได้อย่างไร?
เย็นไว้โยม พูดตามการปรุงแต่ง ถูก(ใจ)บ้างผิดบ้าง ที่ถูกสัญญา ที่่ผิดปหานะ(ละ) ใช้พรหมวิหาร๔ คุมการฟังธรรมเทศนา เพื่อเกื้อกูลสัมมับปทาน๔ ป้องกันอกุศลมูลที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิด...
คนและสัตว์ทั้งหลาย ก็คือหุ่นยนต์ที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมานั่นแล พวกเราคือ สรีรยนฺตํ (สรีรยนฺตํ จตุจกฺกํ นวทฺวารํ...ฯลฯ)
@@kampagang9236 บิดเบือนหลักพุทธธรรม. น่ารังเกียจ
@@บุญแทนลี้สกุล-ฏ9ช น่ารังเกียจ ไม่น่ารังเกียจ ก็คือสังขารขันธ์ตัวปรุงแต่ง เป็นสภาพธรรม ไม่ใช่ตัวตน
@@kampagang9236 บิดเบือนพุทธธรรมว่ามนุษย์สัตว์เปนหุ่นยนต์นั้นถูกหรือไม่ไม่เกี่ยวกับน่ารังเกียจเปนสังขารปรุงแต่งซึ่งใครๆก้อรู้(talk is cheap)
"ความลับทางธรรมชาติ" เลยหรือครับ ผมว่าเป็นธรรมชาติที่ถูกมองข้ามมากกว่าครับ อนัตตาคือ ไม่มีตัวตน-ไม่มีอาตมัน (เพราะประกอบขึ้นจากเหตุปัจจัย ซึ่งเป็นของชั่วคราว-ไม่คงทน) และไม่เป็นตัวตน (เพราะไม่สามารถบังคับ กะเกณฑ์ได้ตามต้องการ)
บังคับได้แต่ไม่สามารถบัญชาได้เหมือนร่างเรา
ฟังมาตั้งแต่ต้นจนจบ กระผมพบว่าท่านสอนผิด เข้าใจผิดอย่างมากเลย กราบขอโอกาสเรียนเสนอสิ่งที่ถูกต้องดังนี้กายและใจคือโลก2โลกซ้อนกันอยู่ กายเรียกว่าโลกียะประกอบด้วยมือ เท้า แขน ขา ฯลฯ ใจเรียกว่าโลกุตระประกอบด้วยจิต4 อย่างคือ จิตสัมผัส จิตสังขาร จิตสัญญา จิตวิญญาณ พระพุทธองค์สอนเรื่องขันธ์5 เป็นเรื่องของโลกุตระที่เกิดในใจมี5ส่วนคือ 1 รูป (ในที่นี้ไม่ใช่กายแต่เป็นรูปที่หลับตาเห็นเช่นพูดว่างูเห่าภาพงูเห่าจะปรากฎขึ้นในใจ)เรียกให้ถูกว่า"นามรูป" 2 เวทนา 3สัญญา 4สังขาร 5วิญญาณ ทั้ง5ส่วนนี้เป็นตัวกำเนิด ปฎิจจสมุปบาททั้งวงเรียกว่า "วัฎสังขาร" มีสภาพเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือปรากฎขึ้น ตั้งอยู่ชั่วคราว แล้วดับไป พระพุทธองค์ตรัสว่าขันธ์5เป็น "อนัตตา"นั้นถูกต้องเป็นที่สุด สาธุฯ.
พระราชา, ตาบอดคลำช้าง
โลกุตตรธรรม 9 ไม่มีขันธ์ ๕ , ขันธ์ ๕ ก็คือโลก-โลกียะ-เนื่องด้วยโลก
@@kampagang9236 ท่านไม่เข้าใจคำว่า "โลกุตระ"เลยมั่วไปกันใหญ่ โลกุตระ แปลว่า มีอำนาจเหนือโลก มาจากคำว่า (โลก + อุดร) อุดรแปลว่าเหนือ ไม่ใช่ทิศเหนือ ในที่นี้ โลกในความหมายของพระพุทธองค์คือ กาย ที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบหรือร่างกายของเรานี้เองเรียกว่า "โลกียะ"=โลก+กาย ดังนั้น โลกุตระ จึงหมายถึงสิ่งที่มีอำนาจควบคุม สั่งการ บังคับบัญชาเหนือกายนี้อยู่ซี่งก็คือส่วนที่เรียกว่า "ใจ" นั่นเอง โดยใจเป็นศูนย์กลางมีจิตทั้ง 4 เป็นเหมือนอวัยวะของใจ ทำหน้าที่ร่วมกันเกิดเป็น "ปฏิจจสมุปบาท" ประกอบด้วย 5 ส่วน คือ 1. นามรูป (ภาพที่ปรากฏในใจ) 2. เวทนา 3. สัญญา 4. สังขาร 5. วิญญาณ. ทั้งหมดนี้ไม่มีตัวตนเรียกว่าเป็น "อนัตตา" เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป (การเกิดเป็นอนิจจัง ตั้งอยู่เป็นทุกขัง สลายไปเป็นอนัตตา)
สาธุ สาธุ สาธุ 🙏🙏🙏
รู้ออกไป มีสิ่งใดๆ ต้องปล่อยวาง
รู้เข้ามา ไม่มีสิ่งใดๆ ว่างเปล่า
ก้อคือ เรามีอัตตา จับต้องได้ มองเห็นได้ สัมผัสได้ เมื่ออัตตาจบ จะเหลือความว่างเปล่าคือ อนัตตา ❤
สาธุครับ
พระพุทธเจ้าไม่เคยสรุปว่ามีหรือไม่มีนะครับ
กราบ สาธุ สาธุ สาธุ ครับ
อยู่ด้วยอนัตตา อ.อริยเจ้า
นิละธรรม ที่แท้จริง แต่มันคงไม่ถูกใจคนไทยส่วนใหญ่ พวกเขายังคงหลงกับรูปความมีตัวตน ปล่อยพวกเขาไปเหอะไม่มีใครบังคับได้ สุดแล้วแต่
สาธุครับ ท่านกล่าวสอนตามพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ดีแล้ว ขอความบรรลุธรรมมีแก่ท่านในชาตินี้
ภิกษุ ท. ! รูป ไม่เที่ยง, สิ่งใด ไม่เที่ยง สิ่งนั้น เป็นทุกข์, สิ่งใด
เป็นทุกข์ สิ่งนั้น เป็นอนัตตา, สิ่งใด เป็นอนัตตา พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญา
อันชอบ ตามที่เป็นจริง อย่างนี้ว่า “นั่น ไม่ใช่ของเรา (เนตํ มม), นั่น ไม่ใช่เรา(เนโสหมสฺมิ), นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา (น เมโส อตฺตา) ” ดังนี้;
ภิกษุ ท. ! เวทนา ไม่เที่ยง, สิ่งใด ไม่เที่ยง สิ่งนั้น เป็นทุกข์, สิ่งใด
เป็นทุกข์ สิ่งนั้น เป็นอนัตตา, สิ่งใด เป็นอนัตตา พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญา
อันชอบ ตามที่เป็นจริง อย่างนี้ว่า “นั่น ไม่ใช่ของเรา (เนตํ มม), นั่นไม่ใช่เรา
(เนโสหมสฺมิ), นั่น ไม่ใช่ตัวตนของเรา (น เมโส อตฺตา) ” ดังนี้;
ภิกษุ ท. ! สัญญา ไม่เที่ยง, สิ่งใด ไม่เที่ยง สิ่งนั้น เป็นทุกข์, สิ่งใด
เป็นทุกข์ สิ่งนั้น เป็นอนัตตา, สิ่งใด เป็นอนัตตา พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญา
อันชอบ ตามที่เป็นจริง อย่างนี้ว่า “นั่น ไม่ใช่ของเรา, นั่น ไม่ใช่เรา, นั่น
ไม่ใช่ตัวตนของเรา” ดังนี้;
ภิกษุ ท. ! สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง, สิ่งใด ไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์,
สิ่งใด เป็นทุกข์ สิ่งนั้น เป็นอนัตตา, สิ่งใด เป็นอนัตตา พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วย
ปัญญาอันชอบ ตามที่เป็นจริงอย่างนี้ว่า “นั่น ไม่ใช่ของเรา, นั่น ไม่ใช่เรา,
นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา” ดังนี้;
ภิกษุ ท. ! วิญญาณ ไม่เที่ยง, สิ่งใด ไม่เที่ยง สิ่งนั้น เป็นทุกข์, สิ่งใด
เป็นทุกข์ สิ่งนั้น เป็นอนัตตา, สิ่งใด เป็นอนัตตา พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามที่เป็นจริงอย่างนี้ว่า “นั่น ไม่ใช่ของเรา, นั่น ไม่ใช่เรา, นั่นไม่ใช่
ตัวตนของเรา” ดังนี้ แล.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๘/๔๒.
-
sing sada ตัดคำว่า "เป็น" ออก อย่าใช้คำว่า "เป็น" นำหน้าคำว่า "อนิจจัง" "ทุกข์" "อนัตตา"
คนหลายคนป่วยเป็นโรคเดียวกัน.แต่กินยาแต่ขนานไม่เหมือนกัน.ฉันใดก็ฉันนั้นการจะรู้สภาวธรรม.ก็จะใช้ความรู้ที่ไม่เหมือนกัน.แต่เป้าหมายคือกัน.คือความรู้จริงพิสูจน์ได้จริง.
คือ การรู้ทุกข์
พอรู้ทุกข์ การมั่นหมายจะจางคลาย หรือ ที่คิดว่าสิ่งนั้นเป็นเรา เป็นของๆเรา
คือ ความเป็นภพ
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆเรา
พอเราตั้งใจว่าจะเป็นเรา ทุกข์สุดๆ แต่ทุกข์นั่น มีโดยลักษณะ จางคลาย ทุกข์คลาย
อนัตตาธรรมอยู่แล้ว @ อ.อริยเจ้า
เข้าใจยากจริงๆ
กราบนมัสการท่านพระอาจารย์เจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ กราบสาธุสาธุค่ะ
เห็นทุกข์เห็นธรรมค่ะ😂😂😂
สาธุๆๆๆพระรัตนตรัย
หลวงพี่ครับ ถ้าอัตตาไม่มี สักกายทิฐิจะเกิดขึ้นอย่างไรเล่า? จะกล่าวว่าอัตตามีก็ไม่ควร จะกล่าวว่าอัตตาไม่มีก็ไม่ควร
ก็เพราะความเห็นผิดจึงสำคัญมั่นหมายว่า มีตนในขันธ์ห้า ขันธ์ห้าเป็นตน ตนมีในขันธ์ห้า จึงเกิดสักกายทิฐิ สาธุๆค่ะ
สาธุเจ้าค่ะ
อัตตาไม่มี นิพพานจึงไม่มี ไครคิดว่ามีนิพพานคนนั้นยังไม่ได้สำผัสธรรม
ไม่เกิดจึงไม่มีครับ
เรียนให้มากกว่านี้นะจะ
รองศืกษาจากพระป่าดูนะครับ ผู้ที่ได้
สำเร็จแล้วทุกองศ มีนืพพานทุก องศครับ
ในพระไคปิฎกไม่มีไม่บอกใว้ ใครทำใครได้ เป็นที่รู้ ฉะเพราะตน ใครย้งไม่ได้ก็บอก
ว่าไม่มี ถืงบอกว่าให้เรียนให้มากๆๆนะ
พระในเมืองไม่มีนิพพาน ว่างเปล่า
พระป่าบอกว่ามี แล้วจะเชื้อใครดีนะ
@@ประเสริฐพงษ์สุวรรณ ลองศึกษาจากพระไตรปิฏกดูก่อนมั้ยครับ
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นอนัตตา เวทนาเป็นอนัตตา สัญญาเป็นอนัตตา สังขารเป็นอนัตตา วิญญาณเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลายอริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป แม้ในเวทนา แม้ในสัญญา แม้ในสังขาร แม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น. เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว. ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี."
เพราะเหตุไร ทำไมพระคุณท่าน สอนไม่ตรงกับพระศาสดาของตัวเอง!!
พระพุทธเจ้าทรงสอนขันธ์5คืออนัตตา ลักษณะของขันธ์5คือธรรมชาติเกิด,เสื่อม,ดับ เช่นรูปมนุษย์ เกิด,แก่,เจ็บ,ตาย ลักษณะธรรมชาติเช่นนี้ พระพุทธเจ้าสอนให้เรามองเป็นทางสายกลาง ไม่สุดโต้งไปข้างใดข้างหนึ่งคือ ไม่สุดโต้งว่ามีตัวตนตลอดเวลา และไม่สุดโต้งว่าไม่มีตัวตนเลย พระพุทธเจ้าจึงอธิบายด้วยทางสายกลาง อันเป็นสัจจะความจริงแท้ ด้วยคำว่า"อนัตตา"ดังนั้นลักษณะอนัตตาจึงไม่ใชสูญญตา เมื่ออ่านพระสูตรแล้ว อนัตตาคือมีตัวตนชั่วคราว เกิดขึ้น,ตั้งอยู่,แล้วดับไป อนัตตาจึงไม่ใช่สูญญตา
ตาบอดคลำช้าง.... สัพเพ ธัมมา อนัตตา คือสภาวะความเป็นจริงของสังขตธาตุ และอสังขตธาตุ... "มี ไม่ใช่ตัวตน"
เก่ง ขอให้โยมบรรลุโสดาบันโดยเร็วเจริญพร
พระอาจารย์คับ ผมมีความสงสัยว่า ธรรมชาติสร้างเราให้มีตัวตนทำไมคับ หรือว่าการที่เราคิดว่าเรามีตัวตนเกิดจากสิ่งแวดล้อมหล่อหลอมเรา ให้เรามีตัวตน บางทีผมก็อยากรู้ว่าเด็กทารกที่อู่ในครรภ์มารดา เขาคิดไหมว่าเขามีตัวตนไหม
ສາທຸ ທ່ານອາຈານ
บางคนฝึกจิตโดยการไม่จับต้องธนบัตรทรัพย์สินเงินทองเพื่อป้องกันมิให้จิตเข้าไปเกิดการรับรู้ในการสำผัสจับต้อง 555555 จิตของเขาเหล่านั้นย่อมตกอยู่ใต้วัตถุจิตที่ฝึกในลักษณะแบบนี้จะก่อให้เกิดกำแพงกั้น ยึดถือเอาเหตุของวัตถุภายนอก เป็นวัตถุบังคับว่าต้องไม่มีต้องไม่เห็น... 55555 จิตประเภทนี้ เรียกว่าแพ้วัตถุ ถูกต้องไหมขอรับกระผมสาธุ 5555
ผมเชื่อว่าผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่เข้าใจว่า "อัตตา" คือความรู้สึกของกายเนื้อผ่านทางระบบการรับรู้ทางผัสสะของระบบประสาทสำผัส เข้าใจผิดว่าจะต้องไม่มีความรู้สึก ของกายเนื้อ... การละอัตตา คอการละการปรุงแต่งทางจิตวิสัยปรุงแต่งท่ามกลางการสำผัส ปรกติ จิตนี้บังเกิดการรับรู้ทุกอย่างเพียงแต่จิตนี้ไม่เข้าไปกำหนัดปรุงแต่ง ผู้ที่จะฝึกปฏิบัติถึงจุดนี้ใด้จิต จะต้องละในความมีร่างกาย โดยการพิจารณาความตายให้จิตบังเกิดความเข้าใจสภาวะความตายโดยปราศจากจิตที่ยังมีห่วงความวิตกกังวลหวาดกลัวจนจิตนี้บังเกิดความเข้าใจแผ่ไปโดยรอบความรู้สึกของดวงจิตของผู้ฝึกปฏิบัติ ถูกต้องไหมขอรับกระผม สาธุ
ติดต่อไปภาวนากับ พ.อ.จ. ปัญญา ได้ช่องทางไหนบ้างคะ
ขอโทษครับฟ้งมามากแล้ว ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีให้ตายก็ไม่เข้าใจ ผมว่าทุกอย่าง ทุกคนก็เป็นอ้ตตาท้งนั้น ถ้าไม่ใช่อ้ตตา ถูกฟ้นแขนขาดเจ็บไหม ถ้าเป็นอน้ตตาก็ต้อง
บอกไม่เจ็บ ขาดก็ขาดม้นไม่ใช่ของเรา
เวลวตาย เราทิ้งกายเก่า แล้วได้กายใหม่
คือจิตเดิมกายใหม่หรือเรียกว่าวิณญาณ
พอตกนรก ก็กายใหม่นั้ละไปตกนรก ถูก
ฆ่า ถูกส้บเป็นชิ้นๆร้องเจ็บปวด ถูกตั้มใน
กะทะทองแดงร้อนเป็นไฟ ร้องโหย หวน
ด้งละงม ผมถามว่าแล้วใครร้อง วิณญาณ
เป็นมนุษต ก้บวิณญาณในนรก เป็นคนๆเดียวก้นหรือไม่ แสดงว่าวิณญาณนี้ก็มีเนื้อ
หน้งมีกะดูกใช่ไหม แล้วตรงไหน เขาเรียกว่าเป็น อน้ตตา ใครช่วย อธิบายใด้ไหม
สิ่งที่ลงไปเกิดในนรกนั้นเป็นอุปาทานที่
ไปได้ ขันธ์5 ใหม่ ในนรก เพราะอุปาทานที่ไปหลงในขันธ์5เก่าที่ทำกรรมที่ไม่ดี
คนเราเมื่อตายวิญญาณก็ดับ
แต่ตัวอุปาทานนี้ไม่ดับ
ยังคงต้องหาเกาะขันธ์5ร่ำไป
ขันธ์5 ประกอบด้วย 1กาย 2อารมณ์ 3ความจำในสิ่งต่างๆ 4ความคิดในสิ่งต่างๆหรือว่าตัวจิต 5 ส่วนตัววิญญาณเป็นตัวรู้เข้าไปรู้ใน4ขันธ์นั้น
คนเป็นผู้สร้างหุ่นยนต์
โลกเป็นผู้สร้างมนุษย์และทุกสิ่ง
แต่มนุษย์มีระบบอัตตาหรืออุปาทาน
สัตว์นรกไม่ใช่จิตเดิมกายใหม่
แต่เป็นอุปทานเดิมขันธ์ 5 ใหม่
ถ้าคนสามารถสร้างหุ่นยนต์
ที่มีความรู้สึกถึงความเจ็บปวดได้ล่ะ
ถ้าคุณเห็นหุ่นยนต์นั้นที่ภายนอกเหมือน
คนทุกอย่าง มีสมอง ร้องไห้เป็น ดีใจเป็น
และเมื่อหุ่นยนต์นั้นถูกฟันแขน
ก็ร้องด้วยความเจ็บปวด คุณคิดว่าหุ่นยนต์นั้น
เป็นคนจริงหรือเปล่า คุณเห็นไหมเวลากลางคืนทุกคนต้องนอน นอนเหมือนหุ่นไม่ใช่คน ทำไหมคนต้องหลับนอน แล้วไม่ต้องหลับได้ไหม นอนพักผ่อนเฉยๆได้ไหมซัก6ชั่วโมง
พอ8โมงก็ไปทำงานตามปกติ
##ทุกคนล้วนเป็นหุ่นยนต์ที่โลกสร้างขึ้น
ไม่สามารถทำในสิ่งที่ตนปรารถนาได้ทุกสิ่ง
ทำตามใจตัวเองได้บางอย่าง
ฉันไม่อยากแก่ ฉันไม่อยากผมหงอก
ฉันไม่อยากผมยาว ฉันไม่อยากหัวเราะ
ฉันไม่อยากหิวข้าว ฉันไม่อยากตัวเหม็น
ฉันไม่โกรธได้ไหม ฉันไม่กลัวได้ไหม
ทุกอย่างล้วนบังคับไม่ได้ เพราะมันคือระบบอนัตตา ไม่ใช่ระบบอัตตาที่ควบคุมได้
เพราะมันเป็นอัตโนมัติของมัน
ถึงเวลามันก็หิวเอง ถึงเวลามันก็ง่วงเอง
ห้ามได้ไหมล่ะ
ตัวก็ตัวคุณ ใจก็ใจคุณ ทำได้ไหมล่ะ
เข้าใจยัง ขนาดพระพุทธเจ้ายังใช้เวลา
ตั้งหลายปีกว่าจะเข้าใจ ผมก็เข้าใจแค่ลางๆ
เป็นบางคราวยังไม่ชัดเจนกำลังทำให้ชัดเจน
##ผมเป็นหุ่นยนต์ผมนอนดีกว่าง่วงแล้ว
หุ่นยนต์กับคนนั้นท่านยกมาเทียบกันได้อย่างไร?
เย็นไว้โยม พูดตามการปรุงแต่ง ถูก(ใจ)บ้างผิดบ้าง ที่ถูกสัญญา ที่่ผิดปหานะ(ละ) ใช้พรหมวิหาร๔ คุมการฟังธรรมเทศนา เพื่อเกื้อกูลสัมมับปทาน๔ ป้องกันอกุศลมูลที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิด...
คนและสัตว์ทั้งหลาย ก็คือหุ่นยนต์ที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมานั่นแล พวกเราคือ สรีรยนฺตํ (สรีรยนฺตํ จตุจกฺกํ นวทฺวารํ...ฯลฯ)
@@kampagang9236 บิดเบือนหลักพุทธธรรม. น่ารังเกียจ
@@บุญแทนลี้สกุล-ฏ9ช น่ารังเกียจ ไม่น่ารังเกียจ ก็คือสังขารขันธ์ตัวปรุงแต่ง เป็นสภาพธรรม ไม่ใช่ตัวตน
@@kampagang9236 บิดเบือนพุทธธรรมว่ามนุษย์สัตว์เปนหุ่นยนต์นั้น
ถูกหรือไม่
ไม่เกี่ยวกับน่ารังเกียจเปนสังขารปรุงแต่งซึ่งใครๆก้อรู้(talk is cheap)
"ความลับทางธรรมชาติ" เลยหรือครับ ผมว่าเป็นธรรมชาติที่ถูกมองข้ามมากกว่าครับ
อนัตตาคือ ไม่มีตัวตน-ไม่มีอาตมัน (เพราะประกอบขึ้นจากเหตุปัจจัย ซึ่งเป็นของชั่วคราว-ไม่คงทน) และไม่เป็นตัวตน (เพราะไม่สามารถบังคับ กะเกณฑ์ได้ตามต้องการ)
บังคับได้แต่ไม่สามารถบัญชาได้เหมือนร่างเรา
ฟังมาตั้งแต่ต้นจนจบ กระผมพบว่าท่านสอนผิด เข้าใจผิดอย่างมากเลย กราบขอโอกาสเรียนเสนอสิ่งที่ถูกต้องดังนี้
กายและใจคือโลก2โลกซ้อนกันอยู่ กายเรียกว่าโลกียะประกอบด้วยมือ เท้า แขน ขา ฯลฯ ใจเรียกว่าโลกุตระประกอบด้วยจิต4 อย่างคือ จิตสัมผัส จิตสังขาร จิตสัญญา จิตวิญญาณ พระพุทธองค์สอนเรื่องขันธ์5 เป็นเรื่องของโลกุตระที่เกิดในใจมี5ส่วนคือ 1 รูป (ในที่นี้ไม่ใช่กายแต่เป็นรูปที่หลับตาเห็นเช่นพูดว่างูเห่าภาพงูเห่าจะปรากฎขึ้นในใจ)เรียกให้ถูกว่า"นามรูป" 2 เวทนา 3สัญญา 4สังขาร 5วิญญาณ ทั้ง5ส่วนนี้เป็นตัวกำเนิด ปฎิจจสมุปบาททั้งวงเรียกว่า "วัฎสังขาร" มีสภาพเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือปรากฎขึ้น ตั้งอยู่ชั่วคราว แล้วดับไป พระพุทธองค์ตรัสว่าขันธ์5เป็น "อนัตตา"นั้นถูกต้องเป็นที่สุด สาธุฯ.
พระราชา, ตาบอดคลำช้าง
โลกุตตรธรรม 9 ไม่มีขันธ์ ๕ , ขันธ์ ๕ ก็คือโลก-โลกียะ-เนื่องด้วยโลก
@@kampagang9236 ท่านไม่เข้าใจคำว่า "โลกุตระ"เลยมั่วไปกันใหญ่ โลกุตระ แปลว่า มีอำนาจเหนือโลก มาจากคำว่า (โลก + อุดร) อุดรแปลว่าเหนือ ไม่ใช่ทิศเหนือ ในที่นี้ โลกในความหมายของพระพุทธองค์คือ กาย ที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบหรือร่างกายของเรานี้เองเรียกว่า "โลกียะ"=โลก+กาย ดังนั้น โลกุตระ จึงหมายถึงสิ่งที่มีอำนาจควบคุม สั่งการ บังคับบัญชาเหนือกายนี้อยู่ซี่งก็คือส่วนที่เรียกว่า "ใจ" นั่นเอง โดยใจเป็นศูนย์กลางมีจิตทั้ง 4 เป็นเหมือนอวัยวะของใจ ทำหน้าที่ร่วมกันเกิดเป็น "ปฏิจจสมุปบาท" ประกอบด้วย 5 ส่วน คือ 1. นามรูป (ภาพที่ปรากฏในใจ) 2. เวทนา 3. สัญญา 4. สังขาร 5. วิญญาณ. ทั้งหมดนี้ไม่มีตัวตนเรียกว่าเป็น "อนัตตา" เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป (การเกิดเป็นอนิจจัง ตั้งอยู่เป็นทุกขัง สลายไปเป็นอนัตตา)