ขนาดวิดีโอ: 1280 X 720853 X 480640 X 360
แสดงแผงควบคุมโปรแกรมเล่น
เล่นอัตโนมัติ
เล่นใหม่
ความจริง คือ สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง
🙏
อยากฟังเรื่องของฟิสิกส์แห่งเต๋าครับ เคยอ่านตอนสมัยเด็ก
ความจริง..ก็คือความจริง
ความจริงคือสิ่งที่เป็นอย่างนั้นตลอด ไม่ขึ้นกับองค์ประกอบใดๆ ไม่ขึ้นกับเวลา ไม่ขึ้นกับสถานที่ ความจริงต้องเป็นอย่างนั้น เสมอ
อยากฟังเรื่องการย้อนเวลาคนับ
ความจริงคือสิ่งไม่ตาย
การรู้ทางเดิน
ความจริง = เหตุและผล
เกิดความจริงมีแต่ทุกข์ และ ทุกข์ดับ
แล้วสิ่งที่อยากรู้ความจริงคืออะไร
อย่างกะอิสลามมาตั้งคําถามเองเลย เดาเอานะครับอย่าโกรธผมนะ
"โลกว่างเปล่า" อยากรู้อยากเห็นความจริงแท้มีเพียงหนึ่งเท่านั้น หาความรู้กับพุทธศาสนา ไม่หลงทางไม่เสียชาติเกิดครับ
ความจริงคือ “ดาวมีไว้เบิ่ง” ครับ
❤
ความจริงสมมุติ โลกิยะ การปรุงแต่ง กับ ความจริงแท้ สัจธรรม ,ปรมัต ,โลกุตรธรรม
ผมชอบอาจารย์ตรงนี้แหละ ตรงที่ไม่ตีกรอบคำว่าวิทยาศาสตร์แค่สูตรคำนวณต่างๆในตำราเรียน ฟังอาจารย์แล้วรู้สึกว่า วิทยาศาสตร์อยู่ในทุกอย่างในชีวิต ในวิวัฒนาการของมนุษย์ทั้งทางสังคม และทางเทคโนโลยี จินตนาการต่างๆ กว่าคนจะรู้สิ่งต่างๆแบบปัจจุบันคนต้องผ่านการจินตนาการอะไรกันมาต่อเนื่อง แล้วสิ่งที่คนจินตนาการกันในปัจจุบัน ก็คงจะมีคำตอบในวันหน้าสักวัน
ขอส่วนตัวแสดงความคิดเห็นนะครับความจริงคือความคิด ความเข้มข้นของความคิดและจิตเหนือการกระทำ ยิ่งเรารับรู้มากและเข้าใจมากจิตจะสั่งให้กระทำและรับรู้ว่าเป็นความจริง โดยส่วนตัวแล้วผมฟังพี่ตอนสอนฟิสิกส์มากถ้าเราใช้ฟิสิกส์พยายามทำความเข้าใจกับทุกอย่างเราก็จะเห็นความจริงมากขึ้นครับขอบคุณครับ
คำถามที่ควรตอบให้ได้ก่อน คือ คุณต้องการจะรู้ ความจริง ไปทำไม? รู้ไปเพื่ออะไร? ... ถ้าคุณตอบได้ ค่อยไปแสวงหา ความจริง.
ผมอยากฟังฟิซิกครับ ปรัชญาก็ฟังครับผมไม่รู้อะไรเรื่องพวกนี้เลย แค่ฟังแบ้วน่าสนใจเป็นประโยชน์ พึ่งค้นคว้าครับเลยเริ่มจากการฟัง
ปรัญญาคือเริ่มต้นที่อวิชชา
เสริมให้นะครับ ภาพวาดที่พูดถึงช่วง 20:30 คือภาพ The school of Athen โดยศิลปินชื่อ Raphael ครับ
ความจริงแท้มีอยู่แค่ในวิชาคณิตศาสตร์เท่านั้น วิชาแขนงอื่นนั้นไม่มี
อยากฟังพุทธศาสตร์จากอ.ที่เป็นนักฟิสิกส์และเป็นชาวพุทธครับ
เทพแห่งจิตผมชอบพระพุทธเจ้าคับ😊😊😊
ความจริง คือ คนสร้างพระเจ้า
อริยสัจ4 คับ
พระพุทธเจ้าได้อธิบาย "ความจริง" ไว้ว่า.. "เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี:เพราะการเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น. เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี:เพราะการดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป." ในโลกนี้ ความจริงจึงมีหนึ่งเดียว ตามที่พระพุทธเจ้าค้นพบ(อริยสัจ4:ทุกข์-เหตุเกิดทุกข์-การดับทุกข์-หนทางเพื่อให้ดับไปซึางทุกข์) ครับ มนุษย์ที่เชื่อพระพุทธเจ้า และเดินตาม(พิสูจน์)จะค้นพบความจริงแท้นั้นอน่นอน.ครับ
😀
ชอบๆ คลิปนี้ ❤😊
ความจริงไม่มีอยู่จริง ฉันคิดว่านะ ที่จริงแล้ว ความจริงที่เราเรียกกันคือ สิ่งที่คุณเห็น แล้วคุณคิดกับสิ่ง สิ่งนั่นแบบไหนตามความคิดของคนที่มองเห็น มันไม่ใช่ความจริง ความจริงคือมุมมองของแต่ละคนไม่มีกฏตายตัว หรือนานาจิตตัง ความจริงอยู่ในความคิดของทุกคน เลยไม่มีกฎตายตัว ความจริงเลยไม่มีอยู่จริง สิ่งที่เป็นความจริงคือความเชื่อส่วนบุคคล 10คนเชื่อว่าจริง20คนที่คิดและมีมุมมองที่ต่างกันอาจจะมองว่าไม่จริง ความจริงของแต่ละคนุถีงตางกัน
ความจริงคือสิ่งที่เราเชื่อว่าจริงด้วยเหตุปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อความเชื่อของตน
กลับ มาทำยูทูปต่อได้แล้วท่าน
ความจริงทั้งหมดมีอยู่ว่า ที่ผ่านมาไม่มีความจริง
สมณโคดม
พระพุทธเจ้า
ความจริ๊งก็คือความจริงงง ครูปรีชาได้กล่าวไว้
- เมื่อศาสนาอุบัติขึ้นมาก็น่าจะสร้างภาษาที่ใช้สื่อสารได้ดีกว่าภาษาที่มีอยู่- ก็ด้วยอ้างว่าภาษาที่มีอยู่นั้นไม่สามารถอธิบายได้อย่างเพียงพอ แบ่งแยกว่าภาษาคน ภาษาธรรม ซึ่งภาษาธรรมก็คือ ภาษาบาลี-สันสกฤต ที่คนในชมพูทวีปพูดกันปกติเมื่อสอง-สามพันปีก่อนนั่นเอง- เมื่อไม่คิดค้นภาษามาอธิบายในหลักการ ของตน ซ้ำยังหยิบฉวยเอาภาษาอันมวลชนได้ร่วมประดิษฐ์และขัดเกลามาเป็นเวลาเนิ่นนานมาเรียงร้อยเป็นคำคม โวหาร วาทะกรรมต่างๆ- สิ่งที่พากเพียรนั้นกลับเป็นการสร้างสารพัดวาทะกรรมราวนักอภิปรายเรื่องราวชีวิตกำลังครุ่นคิดคำคมเพื่อออกหนังสือฮาวทู. ราวกับการท่องจำเพื่อจะเอาไปปลุกปลอบให้กำลังใจคนบนเวทีการแสดงของไลฟ์โค้ช (ไม่ฟรี)- ศักยภาพของศาสนาดูจะสวนทางกับสิ่งที่ศาสนาพูด แต่เมื่อศาสนาทำก็กลับบอกเป็นเรื่องรู้เฉพาะตน
ชอบมุมมองของอาจารย์ที่มองศาสนาเป็นเรื่องเกี่ยวกับปรัชญา ศาสดาเป็นเหมือนนักปราชญ์ที่พยายามสอนหลักการใช้ชีวิต ผมว่ามันดีมากๆ เลยครับ ไม่ใช่เหมือนประเทศบางประเทศที่มองศาสนาเป็นสิ่งที่ห้ามแตะต้อง ยึดติดงมงายคลั่งไคล้ ยกไว้เหนือหัวราวกับเป็นสิ่งเหนือจริงที่ต้องบูชาจนลืมแก่นที่ศาสดาสอน
ความจริงคือผลลัพธ์ของสิ่งที่ต้องการหาโดยผ่านการประมวลผลจากข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนถ้าเมื่อไรได้ข้อมูลผิดเพี้ยนและได้ไม่ครบความจริงที่ประมวลผลมาก็ไม่ใช่ความจริง ความจริงแท้มีหนึ่งเดียวไปถามโคนันดู เงาในถ้ำ ของเพลโต กับ ดวงจันทร์ ในขันน้ำ ของพระพุทธ ก็ความหมายเดียวกัน สิ่งจริงแท้คือความว่าง ไม่ใช่ ว่างเปล่า ความว่างเป็นอัตตามีอยู่จริง ส่วนสิ่งที่สัมผัสได้เป็นส่วนที่ประกอบขึ้นจากองค์ประกอบของอะตอมเป็นอนัตตาคือไม่มีอยู่จริงคือความหมายของแมทริกในปรัชญาในหนังนั้นเป็นโปรแกรมของเครื่องจักร เป็นสิ่งเดียวกับศาสนาที่เชื่อว่ามีผู้สร้าง ความหมายของพระเจ้าคือมีแต่เดิมไม่เหมือนสิ่งใดพลังไม่สิ้นสุดไม่มีกาลเวลา คือสิ่งเดียวกับความว่างในพุทธ ฉะนั้น ความว่างหรือนิพพานมีอยู่จริงเป็นโลกุตตระจักรวาลนี้ไม่มีอยู่จริงเป็นโลกียะ
ึืคือ มนุษย์ มีเสียงจาก มือเขียนอักษร คำที่ออกมา คือความจริงหนึ่งเดียว คำจากมนุษย์ถ้าไม่เขียนอักษร มนุษย์ จะพูดออกมา ไม่รู้ความหมาย แต่เราเกิดมา เป็นเจ้าของชีวิตตนเอง คิดนึกได้ เพราะเกิดมาไม่ไช่สัตว์
ผมเริ่มสนใจวิทยาศาสตร์อย่างมากๆเลยคับ ตั้งแต่ได้เรื่มคลิ๊กดูวีดีโอของพี่ป๋องแป๋งในรายการใดๆในโลก คลิ๊กแรกคือเรื่องดาวเทียมมีไว้ทำไม...หลังจากนั่นก็เริ่มไล่ดูคลิ๊ปพี่แบบยาวๆเลย
ในบ้านเราเชื่อว่าคําสอนทางศาสนาพุทธ ถือเป็น ULTIMATE REALITYเป็นความจริงขั้นสุดท้าย ครับ
ใช่ครับ พระพุทธเจ้าค้นพบความจริง แห่งโลกคือ อริยสัจ4 (ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค) ครับ.และท่านจะอธิบายความจริงนั้นให้คำว่าว่า "ทุกข์" สรรพสิ่งในโลก เรียกรวมๆกันว่าทุกข์ ซึ่งพระศาสดา บอกว่า ให้เรากำหนดรู้ "สมุทัย" สรรพสิ่งในโลกมีเหตุเกิดทั้งสิ้น :ให้เราละ "นิโรธ" สรรพสิ่งในโลก นำไปสู่การดับ:ให้ทำให้แจ้ง "มรรค" หนทางดำเนินไปให้ดับไม่เหลือแห่งการเกิดแห่งสรรพสิ่ง. ครับ
ทุกข์ ในความหมายของพระพุทธเจ้า ท่านหมายถึง.สิ่งที่ทนอยู่ได้ยาก(1)ที่ที่ปรุงแต่งขึ้น(1)สิ่งที่แปรปรวนไม่คงที่(1)สรุป สรรสิ่งในโลกนี้(ดินน้ำไฟลม)คือทุกข์ ร่างกายของเรา(สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้ง5คติ) ประกอบด้วยขันธ์5 (รูป,เวทนา,สัญญา,สังขาร,วิญญาณ)คือทุกข์
อริยสัจ
ความจริงจากใจคนสามารถแบ่งระดับได้ตามชั้นทางจิตขั้นของความสุขทุกข์ ค่อนข้างเข้าประเด็น ความจริงระดับอภิปรัชญาความเชื่อด้านศาสนาชั้นสูงสุดสู่ขั้นสัจจะ คือ 1 เดียว ขนาดแยกไม่ได้อีกแล้วอมตะตลอดกาลนิรันดร์เลย ขอรับ ครับผม สาธุๆๆ
หาความจริง ระดับสูงสุด 1 เดียว ไม่มี 2 ค่อยๆเป็นเคลื่อนๆไปกันกับเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกของมวลมนุษยชาติ ขอรับ ครับท่าน สาธุๆๆ
หากความจริงคือสิ่งที่โหดร้ายสำหรับใครคนอื่นรอบตัวเจ้าของ ใครจะต้องการบ้างไหมมา มากน้อย บอกใบ้ บ้าบิ่น บังอาจ ประกาศศักดาไปว่าเข้าถึงความจริง ใครจะเชื่อ ความจริง ประสาอะไร ไม่น่าเข้าใกล้ อยากหนีให้ไกล ตัวอันตรายชัดๆ ความจริงคือต้อง ฆ่า ขโมย กาม โกหก เมา ใส่สังคมแลสัตว์โลก ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต โมฆะบุรุษ โมฆะสตรี สิ้นดี ชนิดการมาก็เหมือนเสียชาติเกิด โมฆะคือยกเลิก เสียได้ยิ่งดีกว่า ขอรับ ครับคุณๆเธอ สาธุๆๆ
หากความจริงคือสิ่งที่โหดร้ายสำหรับใครคนอื่นรอบตัวเจ้าของ ใครจะต้องการบ้างไหมมา มากน้อย บอกใบ้ บ้าบิ่น บังอาจ ประกาศศักดาไปว่าเข้าถึงความจริง ใครจะเชื่อ ความจริง ประสาอะไร ไม่น่าเข้าใกล้ อยากหนีให้ไกล ตัวอันตรายชัดๆ ความจริงคือต้อง ฆ่า ขโมย กาม โกหก เมา ใส่สังคมแลสัตว์โลก ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต โมฆะบุรุษ โมฆะสตรี สิ้นดี ชนิดการมาก็เหมือนเสียชาติเกิด โมฆะคือยกเลิก (ชายหนุ่ม)ว่าง (หญิงสาว)เปล่า (พ่อแก่แม่ม่าย)ไม่มีผล เสียได้ยิ่งดีกว่า ขอรับ ครับคุณๆเธอ สาธุๆๆ
ความรู้ของมนุษย์ก็คือ..เรารู้แค่ว่า..1+2=3..แต่เราไม่เคยรู้จริงๆว่า..1,,2,,และ3..จริงๆคืออะไร..เราอาจรู้ว่า..น้ำ+ดิน=โคลน..แต่เราก็ไม่รู้จริงๆว่า..น้ำ,,ดิน,,และโคลน..จริงๆคืออะไร..เราอาจคำนวณสิ่งต่างๆได้..แต่เราก็ไม่รู้จริงๆหรอกว่าสิ่งต่างๆนั้นคืออะไร..
ความจริงคือการเกิด-ดับ ของวิญญาณไงครับ จากวิญญาณดวงที่ที่ปรุงสัญญาขันธ์ด้วยคำว่า"1"(สัญญา คือความจำได้หมายรู้) ดับ วิญาณดวงใหม่ ไปตั้งรับรู้ในสัญญา คือ"2" (ที่ตั้งใหม่) แสดงว่าระหว่าง 1กับ2มันมีช่องว่าง บางๆระหว่างวิญญาณดวงหนึ่งดับกับวิญญาณอีกดวงหนึ่งเกิดอยู่ไง ครับ
คือจำนวนนับงัย
คหสต. ที่สุดของการใช้ภาษาอธิบายความจริง พูดได้แค่ มันเป็นเช่นนั้นเอง.. .ความจริงนอกเหนือจากนี้ คือความจริง โดยกรอบสมมุติให้ค่าของมนุษย์เอง
มนุษย์ทั้งมวลมีชีวิตอยู่ในมายาภาพ..อยู่ในโครงข่าย โปรแกรมๆหนึ่ง ที่สร้างขึ้นโดยความคิด..และเข้าใจว่าสภาวะนั้นเป็นความจริง..เรียกว่าสมมุติสัจจะ..หรือความจริงที่เราคิดเอา..ที่เรารู้จัก..ถ้าศึกษาความฝันอาจจะพบเงื่อนงำนี้..ดังที่ เหลาจือ..หรือ จางจื่อ เป็นคนเดียวกันรึเปล่าไม่แน่ใจ..กล่าวไว้ว่า..ข้าพเจ้าฝันว่าเป็นผีเสื้อบินอยู่ในสวน...พอตื่นขึ้นมา ข้าพเจ้าจึงสงสัยว่า..แท้จริงแล้ว ข้าพเจ้าฝันว่าเป็นผีเสื้อ หรือผีเสื้อตัวนั้นกำลังฝันว่าเป็นข้าพเจ้ากันแน่...ในขณะที่เราฝันนั้น..เราไม่รู้ตัวว่าเรากำลังฝัน..แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ตอนที่เราเรียกว่าชีวิตจริงนี้..เราไม่ได้กำลังฝันอยู่..บางทีความฝันอาจจะบอกเราเป็นไนยอยู่ทุกค่ำคืนว่า..ชีวิตของเจ้าที่เรียกว่าความจริงนั้นมันไม่ต่างอะไรจากความฝันหรอก...เราอาจจะแย้งว่า..ก็ตอนตื่น ฉันอยากไปไหน ทำอะไร คิดอะไร ฉันก็ทำได้..มันไม่ได้ดำเนินไปเองเหมือนในความฝันนี่..นี่คือตัวฉัน.. แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงหรือ..รู้หรือเปล่าว่าตัวคุณคืออะไร..การที่คุณพูดแบบนั้น คิดแบบนั้น ทำแบบนั้น..คุณเป็นคนกำหนดจริงๆหรือ หรือการกระทำต่างๆของคุณเป็นเพียงกลไกที่กระทำไปเองจากความรู้ประสบการณ์ในอดีต คุณพูดและคิดตามสิ่งที่คุณได้อ่านมา ได้เรียนรู้มา จากคำพูดของคนอื่นใช่รึเปล่า..บางทีการรู้ตัวเองเป็นสิ่งที่ยากที่สุดอย่างหนึ่ง...เอางี้ เวลาคุณเห็นใครบางคนที่เขาทำ อะไรที่โง่มากๆ เลวร้ายมากๆ..และเขาก็ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยว่าเขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย..ซึ่งมนุษย์ส่วนมากก็เป็นอย่างนั้น..ไม่ทำก็ได้..แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังทำแบบนั้น..นั่นแหละชีวิตเขาเป็นกลไกที่ถูกกำหนดอยู่..มนุษย์ไม่ได้มีอิสรภาพทางเจตจำนงที่จะทำอะไรดั่งที่เขาเข้าใจเลย..เพราะเขากระทำตามความคิด..และความคิดก็ได้ถูกโปรแกรมไว้แล้ว...จึงมีคำกล่าวว่า.."ผู้ที่ตื่นแล้ว..คือผู้ที่รู้ตัวว่าเขากำลังฝันอยู่..," คำพูดนี้คิดเองนะ..
พระพุทธเจ้า เป็นคนรู้การทำงานของมนุษย์ดีที่สุด ไม่มีใครเก่งยิ่งกว่า รวมไปถึงการทำงานของนามรูปของสัตว์ในภพอื่นๆด้วย พระศาสดากล่าวว่า องค์ประกอบของ"สัตตานัง"ทั้ง5คติ(เทวดา,มนุษย์,เปรตวิสัย,เดรัจฉาน,สัตว์นรก) มีองค์ประกอบ5ส่วนด้วยกันพระองค์เรียกว่า "ขันธ์5" ซึ่งแบ่งย่อยๆออกได้ดังนี้ 1)รูปขันธ์(ธาตุดิ,น้ำ,ไฟ,ลม)คือรูปกายอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย 2)เวทนาขันธ์(ธาตุที่เป็นนาม ประกอบด้วยความรู้สึก สุข,ทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์คือเฉยๆหรืออุเบกขา 3)สัญญาขันธ์(ธาตุที่เป็นนาม ประกอบด้วยการจำหรือความจำได้หมายรู้)เป็นประสบการณ์ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จะเก็บไว้ที่รูปขันธ์ในส่วนของสมอง. 4)สังขารขันธ์(ธาตุที่เป็นนาม หมายถึงความคิดปรุงแต่งที่เป็นเรื่องในอนาคตซึ่งยังไม่เกิดขึ้น) 5)วิญญาณขันธ์(ธาตุที่เป็นนาม หมายถึงธาตุที่รับรู้หรือรู้แจ้งในธาตุอื่นๆอีก4ธาตุข้างต้น) วิญญาณจึงเป็นธาตุสำคัญมากที่ยังความเป็นตัวตนของสัตว์ทั้ง5คติคงอยู่ (พระศาสดาจึงตรัสว่า "เพราะมีวิญญาณจึงมีนามรูป/เพราะมีนามรูปจึงมีวิญญาณ") ขาดส่วนใดส่วนหนึ่ง ไม่ได้(จะดับหรือตาย) การมีตัวตนของสรรพสัตว์ทั้ง5คติ เป็นได้เพียงชั่วคราวและการเกิดดับของขันธ์ที่เป็นนามธรรมก็เกิด-ดับๆ อยู่ตลอดเวลา อยู่ที่วิญญาณจะไปรู้ที่ขันธ์ไหน(รู้ได้ทีละขันธ์)แม้รูปกายยังของสัตว์ไม่ตายก็ตาม พระศาสดาเรียกว่า"อนัตตา" คือเมื่อมีหรือตั้งอยู่แล้วมันจะสื่อมและเสื่อมเรื่อยๆจนถึงขั้นดับ(ตาย)ไป อาการเช่นนี้พระศาสดา เรียกมันว่า.ทุกขัง(ทุกข์) พระองค์ได้พิสูจน์ทราบและค้นพบการทำงานของขันธ์5ของพระองค์เองจนตรัสรู้ว่า ทั้ง5ขันธ์ ของพระองค์จะตกอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า"ไตรลักษณ์" คือ.ความเป็นอนิจจัง(ไมเที่ยง)ทุกขัง(ตั้งอยู่ได้ยาก,มีการปรุงแต่ง,และแปรปรวน) อนัตตา(จึงมีตัวตนชั่วคราว) พระพุทธเจ้าเปรียบเสมือนนักวิทยาศาสตร์ทาง จิตวิญญาณพระองค์ เห็นระบบการทำงานของทั้งนาม(เวทนา,สัญญา,สังขาร,วิญญาณ)และรูปอย่างทะลุแรุโปร่ง(รู้แจ้ง)ที่นักวิยาศาสตร์,แพทย์ มีแค่ความรอบรู้และค้นะบการทำงานของร่างกาย (รูปขันธ์)แต่จะไม่รู้ถึงการทำงานของนามธรรมทั้ง4ขันธ์. (เพราะยังไม่ได้ฝึกพิสูจน์ทราบตามพระองค์) ความรู้นี้เรียกว่า(วิชชา) คือสัจจะความจริง พระศาสดาเรียกว่า.อรืยสัจจ4(ความจริงที่ทำให้มนุษย์เป็นอริยะ) ครับ.ส่วนผู้เดินตาม(สาวก)ก็เป็นอริยะบุคคล(4คู่8บุรุษ)ได้เช่นกัน ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อหรือไม่ได้สดับและไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตน(เดินมรรค8)ก็ยังเรียกว่าสัตว์ (แปลว่าผู้ยึดติดขันธ์5เช่นเดืม)เพราะยังไม่รู้อริยสัจ4(ยังมีอวิชชา)ยังมีความอยาก(ตัณหา)จะเกิดแก่เจ็บตาย วนเวียนอยู่ในระบบสมมุติ(ทั้ง5คติ)อยู่เช่นเดิม อยู่ที่การกระทำทางกายวาจาใจ ว่าเป็นฝ่ายกุศลหรือฝ่ายอกุศลละ ส่วนอริยบุคคลก็จะหลุดออกไปจากระบบการเกิดแก่เจ็บตาย สูงสุดคือ"นิพพาน"จะเรียกว่าวิมุติหรือวิมุตติฌานทัศนะ แทนคำว่า"สัตตานัง" ครับ ส่วนความฝันขณะที่เรานอนหลับ นั้นพระศาสดาอธิบายว่า จิต(จิต-มโน-วิญญาณคือสิ่งเดียวกัน) ไม่ได้อยู่กับกายแล้ว แต่จิตหรือวิญญาณจะไปจับอยู่กับอีก3ขันธ์ที่เหลือ(เวทนา,สัญญา,สังขาร)อยู่ที่เรื่องราวเป็นเรื่องอดีตหรือเรื่องที่มาไม่ถึง(อนาคต) ครับ ระบบธรรมชาติพระศาสดาสรุปให้ได้ว่า มีแค่2ระบบใหญ่เท่านั่น คือ 1)ระบบสังขตะธาตุ มี5คติ (มีการเกิดมีการเสื่อมเมื้อตั้งอยู่จะมีสิ่งอื่นปรากฏ) 2)ระบบอสังขตะธาตุ คือนิพพาน (ไม่มีการเกิด,ไม่มีการเสื่อม,เมื่อตั้งอยู่จะไม่มีสิ่งอื่นปาราฏ) ครับ
ความจริงคือ ดาวมีไว้เบิ่ง \(･◡･)/สวัสดีคับ
เพลงนี้เพราะ ผมชอบ
ชอบมาก อ. ผมชอบดาราศาสตร์ ปรัชญา ประวัติศาสตร์มาก
เหมือนกันครับ เสียดายที่ไม่มีโอกาสได้เรียน แต่ก็ชอบค้นหาในกูเกิลเอา ยิ่งค้นหา ยิ่งสงสัยยิ่งชอบครับ
ผ่านมาสองปีเพิ่งได้เห็นคลิปนี้ ชอบมาก สนุกเหมือนนั่งฟังจารย์ที่โรงเรียนเลย
ขอบคุณๆๆๆๆ
คืออะไรเหรอครับ
ความจริงคือ สถานะสัมผัสจากการรับรู้ดังนั้นความจริงของคนเราและในของแต่ละสิ่งจึงไม่เหมือนกันและไม่เท่ากัน
ความจริงของคนเราและในของแต่ละสิ่งไม่เหมือนกันและไม่เท่ากัน เพราะจะต้องขึ้นอยู่กับ สถานะสัมผัสจากการรับรู้ ของแต่ละสิ่งแต่ละคน ตรงนี้แหละที่มันซ่อนความเป็นจริงที่ไม่ขึ้นกับรูปแบบความเป็นจริงของใครคนใดคนหนึ่งหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้อยู่ในตัวของมัน ดังนั้นความเป็นจริงมีรูปเดียวคือรูปของอำนาจสถานะ แต่เพราะมันคือสถานะสัมผัสจากการรับรู้ ดังนั้นมันจึงเกิดเป็นความจริงแบบมีสถานะในส่วนบุคคลต่างๆนาๆขึ้นมา
อะไรจริงหรือไม่จริงก็ช่างมัน แต่ชีวิตคุณเป็นยังไง
สรุปแล้วคำว่า 'ปรัชญา' คืออะไรคะ
แนวทาง
ความจริงคือ เขาไม่รักผมแล้วครับTTความจริงคือเขาจะแต่งงานแล้วครับTT
มาๆกอด
เลอเนเดกา ครับ นักปราชญ์ญา พิมพ์นิยมสมัยใหม่ ชาวฝรั่งเศษ
ขอบคุณมากครับ สำหรับความรู้ดีๆในคลิปนี้
ปรมัตถสัจจะ=ใบไม้ในกำมือสมมติสัจจะ=ต้นไม้ทั้งป่า
ถ้าปราศจากอายตนะทั้ง๔ เราจะมองเห็นความจริงอย่างไร
วานเล่าเรื่อง ดาราศาสตร์ฟิสิกส์ เลยครับ รวมกันไปเลย ได้ความรู้สองแขนงในเวลาเดียวกัน
ถ้าวิชาพระพุทธศาสตร์สอนอะไรแบบนี้น่าจะดีมากๆ เลย วิชาเรียนของกระทรวงในช่วง10+ปีก่อนผมนี่ไม่อยากเรียนเลย หรือมันขึ้นอยู่กับคนสอน?
ถ้าเรามาคิดดูเรื่องกาลเวลา..เราอาจจะพบเบาะแสที่แปลกประหลาดเกี่ยวกับความจริง..เช่น..อดีตมีอยู่จริงรึเปล่า..มันอยู่ไหนหล่ะเมื่อวานนี้..มันมีอยู่แต่ในความคิดที่เราคิดไปถึงเมื่อวานเท่านั้น..มันเป็นเพียงโปรแกรม ภาพนิ่ง ภาษา..เมมโมรี่ ที่เก็บอยู่ในความทรงจำเท่านั้น..มันไม่ได้มีอยู่จริงๆเลย..อ้าวแล้วความจริงมันจะคืออะไรหละ..ก็เรากำลังเคลื่อนไปอยู่ทุกขณะไม่หยุดนิ่ง..อ้าวแล้วการเคลื่อนไปทุกขณะนี้มันคืออะไรหละ..อะไรหละที่กำลังเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะนี้..มีหลายคำเพื่อใช้เรียก..สื่อสารถึงสิ่งนั้น..เช่น จิต..พระเจ้า..สัจจะ..ความจริงแท้..เต๋า..,,***£€$¢¢÷√√|™®©%..ต่างๆมากมาย..เพื่อใช้เรียกสื่อสารเท่านั้นนะ..แต่เราจะอธิบายมันหรือเรียกมันว่าอะไรมันก็ไม่ใช่สิ่งนั้น..เราจะอธิบายถึงสิ่งที่อธิบายไม่ได้ยังไง..เมื่อพูดถึงมัน มันก็หนีไปแล้ว..นี่เป็นเหตุผลว่า..ทำไมบรรดาองค์กรศาสนา ลัทธิ คำภีร์ระบบความรู้ ปรัชญา ต่างๆที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อสั่งสอนมนุษย์จึงล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง..มันก็กลับมาจุดเดิมไม่ไปไหน..เต็มไปด้วยพวกบ้าคำภีร์ วิชาการ พิธีกรรม แนวคิด แนวปฏิบัติ จารีตประเพณี..แต่หาได้มีความหมาย ความจริง ในนั้นไม่..สุดท้ายก็กลับมาจุดเดิม คือลาภยศ ผลประโยชน์..
ศาสนาไม่ได้ล้มเหลวหรอกครับ ถ้าโลกนี้ไม่มีศาสนา โลกมันจะเถื่อนกว่านี้มากมายอย่างที่คุณอาจจะไม่ได้นึกถึงมาก่อน
ตอนนี้มี อะไร ล้มเหลวหรอ คุณรู้อะไรบางอย่างก็พูดมา พยามยามจะบอกอะไร ที่คุณพูดมา คุณคอดไปเองรึป่าว (นี่คือคุณ)
สนุกมากเลยครับ
ความจิง คืออะไร ความจิงคือเเสงสว่าง ม่ใช่ไฟ ..เเสงสว่างจะนำไปสู่ความเป็นจิง ทีเป็นอนัน ทั้งปัจุบัญ เเละ อนาคต(โลกหน้า)ไฟ จะนำไปสู่ความเป็นจิงทีเจ็บปวด ในโลกนี้เเละโลกหน้า..
ขออภัยครับอยากรู้ว่า อ.อาจวรงค์ นับถือ ศาสนาอะไรครับ
วิทยาศาศาสตร์มีรากเดิมจากปรัชญา ไม่แปลกที่นักฟิสิกส์อย่างอ.ป่องแป่งจะอธิบายปรัชญาพร้อมๆ กับวิทยาศาสตร์ได้อย่างดี ขอบคุณครับ
ชื่อคุณเขียนเป็นภาษาอังกฤษแบบนี้ Vidya
อยากให้ทำเรื่อง พุทธศาสนา ในแง่ วิทยาศาสตร์ แบบง่ายๆจังค่ะ
ชอบมากเลยค่ะ
ความจริงคือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต แม้กระทั่งเรื่องโกหก
ทำต่อๆไปนะ ชอบฟังช่องนี้อยู่
ความจริงอยู่นอกเหนือจาก..คำพูด ภาษา..ความคิด..และกาลเวลา..ทันทีที่เราพูดถึงความจริง..มันก็ไม่ใช่ความจริงอีกต่อไป..มันเป็นเพียงคำพูด..คำอธิบาย..เป็นภาพในความคิด..เป็นความทรงจำ..เป็นอดีต..ความคิดของมนุษย์เป็นภาพลักษณ์..เป็นคำพูด ภาษา..เป็นความทรงจำ..ความรู้..ข้อมูล..เป็นอดีตเสมอ..ความคิดจึงไม่อาจเข้าถึงความจริงได้...ความจริงของวันนี้..ไม่ใช่ความจริงของเมื่อวาน...แม้แต่ตัวเราเองในวันนี้..ก็ไม่ใช่ตัวเราเมื่อวาน...แต่ที่เราเข้าใจว่า..สิ่งนั้นคือสิ่งนั้น ตัวฉันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้..นั่นคือการทำงานของความคิด..ความคิดคือกาลเวลา..มันสร้างสิ่งต่างๆขึ้น สร้างตัวเราตัวเขาขึ้นมา..มันเชื่อมโยงสิ่งต่างๆขึ้นมาเป็นโลกที่เรารู้จักนั่นเอง..แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงมายาภาพ..หาใช่สิ่งจริงแท้ไม่..ความทุกข์และปัญหาทั้งมวลของมนุษย์มาจากการติดอยู่ในมายาภาพนี้..เป็นการยึดมั่นอยู่ในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง..พุทธศาสนาจึงแบ่งเป็น..สมมติสัจจะ..คือความจริงที่เรารู้จักและคิดว่ามันเป็นความจริง..กับ..ปรมัตถ์สัจจะ..คือความจริงแท้สูงสุด..
ดีทั้หมดครับ
ไม่เลย บรรพบุรุษของมนุษย์ที่สปีชีส์เดียวกันกับมนุษย์ยุคปัจจุบัน มีอายุประมาณเมื่อ2แสนปีก่อน สมัยนั้นยังไม่มีภาษาด้วยซ้ำ ยีนส์การพูดพึ่งมีมาเมื่อ7หมื่นถึง5หมื่นปีเลย แล้วพระเจ้าที่กล่าวอ้างมันไปมุดหัวอยู่ไหน ใยจึงทำให้มนุษย์พัฒนาทักษะภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร พัฒนาศาสตร์ต่างๆที่ทำให้วิทยาการก้าวหน้าถึงขั้นทุกวันนี้ ความจริงคือสิ่งที่เป็นอยู่ มิใช่เป็นสิ่งที่กล่าวอ้างหรือพิสูจน์ไม่ได้ ความคิดไม่ใช่กาลเวลา ถ้าสิ่งที่คุณพูดนั้นถูกอย่างนั้นจะมีความเชื่อในเรื่องอื่นที่ต่างไปจากความเชื่อของคุณไปทำไม ทำไมมนุษย์จึงไม่นับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน ใยจึงต้องเกิดศาสนา หรือลัทธิทางความเชื่ออื่นๆขึ้นมา มันดูไม่สมเหตุสมผลนะครับว่าไหม
@@bankza510 มนุษย์นั้นเล็กกระจ้อยร่อยเหลือเกิน
ความจริงอยู่นอกเหนือ กาลเวลา งั้นผมถามคุณว่า สสาร กับ พลังงาน มันคือคามจริงมั้ยครับในมุมคุณ
แม้แต่ท่านก็ไม่สามารถหนีจากความจริงที่มนุษย์ส่วนใหญ่สร้างให้เป็นความเชื่อขึ้นมาครับ เงิน คือตัวอย่างของความเชื่อ ท่านลองไม่ใช้เงินดูครับ ตัวอักษรภาษาไทยที่ท่านพิมพ์มาก็คือความเชื่อเช่นกัน ....ถ้าท่านยังดำเนินชีวิตอยู่หลีกหนีไม่พ้นความเชื่อที่มนุษย์สร้างขึ้นมาได้ครับ เว้นแต่ว่าไปอยู่คนเดียวในป่าล่าสัตว์หาผลไม้กินเอง ไม่ใช้เครื่องมือที่สร้างขึ้น...แม้แต่พระก็ยังดำเนินด้วยความเชื่อ เครื่องแบบ วิถีการดำเนินชีวิตเช่นกัน
ถ้าอย่างนั้น การให้อภัยก็คือการสอนให้ทำลายความจริงใช่ไหมครับ เช่นมีคนมาตบหัวเรา แล้วเรา เกิดความโกรธเพราะถูกตบหัว แต่ก็ให้อภัย เพื่อที่จะไม่โกรธ อย่างนั้นหรือเปล่าครับ
เข้าใจสลับกันหรือป่าวครับ ขณะเข้าตบหัว เราก็โกรธขึ้นมา แล้วเวลาขณะนั้นมันก็ผ่านไป ความจริงใหม่ปรากฏขึ้น คือ ณ ปัจจุบันมือคนที่ตบไม่ได้อยู่ที่หัวเราแล้ว ไม่มีเหตุที่จะต้องโกรธ ถ้าโกรธเท่ากับเราหลงอดีตเป็นปัจจัยให้ทุกข์ เพราะปัจจุบันคือความจริงที่ปรากฏขึ้นเท่านั้น ฝนตกก็กางร้ม ฝนไม่ตกก็ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องใช้ร้ม เปรียบเทียบคร่าวๆ ว่ากันโดยหลักปรัชญานะครับ
อยากฟังเรื่องปรัชญาทางการเมืองค่ะ
ความจริงแท้= สัจธรรม
เพื่อเติมเต็มอาจารย์ต้องปฎิบัติธรรมครับ ถึงตอนนั้นอาจารย์จะสุดยอดครับ ตอนนี้คุณเข้าไก้ลถึงจุดนั้นแล้วครับ
ปฎิบัติธรรมเพื่ออะไรครับปฎิบัติเเล้ว ทำไมถึงจะสุดยอดครับเเล้วที่บอกสุดยอดสุดยอดอะไรครับ เเล้วทำไมถึงคิดว่าสุดยอดครับ เเล้วจะสุดยอดไปทำไมครับ เเล้วที่คิดว่าสุดยอดมันคือความจิงหรอครับ ขอเหตุเเละผลครับไม่เอามโนผลมาก่อนเหตุ
เเครอทปฎิบัติธรรมบางตัวทำตัวเหี้ยคือความจิงครับ
แนะนำเหมือนคนเสพศาสนาทั่วโลกเลยครับคิดมาน้อยๆ วิเคราะห์แบบไม่มีเปเปอร์ตรวจสอบ peer-review และโยนคำแนะนำแบบโล่งๆกลวงๆ ให้ตกหลุมพรางของศาสนาศาสนาหนึ่ง…ศาสนาไหนก็ทำแบบนี้ เป็น pattern ห่วยๆของกลุ่มคนสองประเภท 1) เชื่ออะไรง่ายมากแบบมาตรฐานตรวจต่ำจัด 2) อยากลวงคนไปเข้าลัทธิที่เต็มไปด้วยเพื่อนๆแบบข้อ 1 และมีกลุ่มคนได้ประโยชน์จากการเชื่อคนง่ายแบบนั้นอยู่ข้างบนอึกที
สิ่งต่างๆมีอยู่เพราะการรับรู้ การถูกรับรู้ทำให้เกิดสิ่งต่างๆขึ้น มีอะไรอยู่นอกเหนือการรับรู้รึเปล่า..ถ้ามี..นั่นก็คือสิ่งที่ถูก รับรู้ อีก..ทฤษฎีควอนตัมจึงกล่าวว่า..ดวงจันทร์ไม่ได้อยู่ที่นั่น ถ้าเราไม่ได้สังเกตหรือรับรู้มัน..หรือ..ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้..มันจะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งเมื่อมีการสังเกตรับรู้เท่านั้น..หรือ..ท่านผู้ตรัสรู้แล้วท่านหนึ่งกล่าวว่า..ผู้สังเกตคือสิ่งที่ถูกสังเกต...ซึ่งไอสไตน์ไม่ชอบเอามากๆ ถึงกับกล่าวว่า..พระเจ้าไม่ได้ทอดลูกเต๋า..ความจริงแท้ในโลกควอนตัมนั้นแตกต่างจากระบบความจริง ที่เราเข้าใจเป็นอย่างมาก..อาจจะเรียกได้ว่า.."ความจริง ไม่มีอยู่จริง.."ซึ่งมันเข้าสู่ปรัชญาในระดับ "จิต"..ซึ่งความรู้ในระดับความคิด ตรรกะ เหตุผล อาจจะเข้าถึงได้ยาก..จึงมีคำว่า..ปัญญา..คือการรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรม ในระดับลึกจนเกิดการกระทำที่เป็นความจริงขึ้นมา ความรู้กับ ปัญญา จึงแตกต่างกัน..เราอาจท่องจำหนังสือได้เป็นตู้ๆ..มีความรู้มากมาย.แต่ก็ ไม่เกิดปัญญา...ยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่องการสูบบุหรี่..เรารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการสูบบุหรี่แต่เราก็ยังสูบ นั่นคือไม่เกิดปัญญา..หรือ เอาแก่นของศาสนาเรื่อง..อนัตตา..คือความไม่มีอัตตา ไม่มีตัวตน กำหนดควบคุมอะไรไม่ได้..อันนี้ทุกคนก็คงพอเข้าใจในด้านความรู้ ตรรกะ เหตุผล..แต่จะหาคนรู้แจ้งเห็นจริงจนเกิด ปัญญา หลุดพ้นจากความยึดมั่น เข้าถึงแก่นแท้ของสัจธรรมนั้นยากยิ่งนัก..
โลกมีอยู่ เพราะมีอายตนะ6
สำหรับเรา เราเห็นด้วยกับในหลายส่วนนะ แต่จะมีบางส่วนที่เราเห็นว่าการไม่มีบาปหรือกรรมคือเรื่องไม่ดี แต่ถ้าเป็นเรื่องได้รับกรรมสิ่งดีหรือสิ่งไม่ดีก็อีกเรื่อง เราเห็นความคิดส่วนของรหัสยลัทธินั้น หากเขากล่าวเกี่ยวกับการฆ่าคนนั้นไม่บาป บางทีมีความเป็นไปได้ที่ได้รับอิทธิพลมาจาก 'ปรัชญาภควคีตา' ของศาสนาฮินดูในอินเดียโบราณ ที่เล่าถึงเรื่องพระอรชุนต้องไปรบสงครามเพื่อฆ่าญาติตัวเอง แต่ปลงไม่ตก เพราะกลัวเป็นบาป พระกฤษณะจึงให้คำแนะนำพระอรชุนว่า มนุษย์เรานั้น มีสิ่งที่เรียกว่า วิญญาณ ที่ต้องอาศัยร่างกายเป็นกายหยาบ การออกไปรบที่ดูเหมือนว่าเราออกไปฆ่าคน จริง ๆ แล้วเราเหมือนแค่ปลดปล่อยเขาออกจากกายหยาบนั้น ซึ่งเปรียบเสมือนเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มวิญญาณนั้นให้เป็นอิสระ และเมื่อวิญญาณนั้นปราศจากร่างที่ห่อหุ้มไว้ ก็จะสามารถระร่องลอยไปอยู่ในร่างใหม่ ที่คนทั่วไปเข้าใจว่ามันคือ 'การเกิดใหม่' เมื่อพระอรชุนฟังแล้วก็ปลงได้สักที .คือจะว่าไงดีล่ะ ส่วนตัวคุณอาจบอกว่ามันไม่ดี หากพิจารณาในกรณีของโจรฆ่าคน แต่ถ้าพิจารณาในกรณีของสงคราม หากเราเป็นทหารและฆ่าคนเพื่อรักษาบ้านเมืองล่ะ เราจะยังเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าความชั่วได้ไหม .ที่เราเห็นว่า การไม่มีบาป ไม่มีกรรมมันไม่ใช่เรื่องแย่อย่างที่คิด ก็เพราะว่า 'บาป' และ 'บุญ' เป็นสิ่งที่มนุษย์สมมติมาแต่แรก เพื่อเป็นเครื่องกำกับพฤติกรรมของคนในสังคม อีกทั้งมันยังเป็นสิ่งกระตุ้นให้คนได้ในสิ่งที่ต้องการ เช่น ไม่ฆ่าคน เพราะเป็นบาป กลัวเป็นบาป แต่ไม่ได้ไม่ทำเพราะไม่อยากให้ใครต้องเจ็บปวด หรือไม่อยากเห็นใครนองเลือด, ทำบุญ เพื่อชาติหน้าจะได้สวย แต่อาจไม่ได้เผื่อแผ่ให้คนที่ลำบากบรรเทาความอดอยากจริง ๆ เป็นต้น .แล้วก็ จากที่คุณบอกว่าเป็นแนวคิดที่แย่มาก เราเห็นว่าบางทีคุณอาจใช้กรอบแนวคิดปัจจุบันนำมาพิจารณาแนวคิดในอดีต ซึ่งมีสภาพความเชื่อ สังคมและวัฒนธรรมที่ต่างจากสมัยปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง เราว่ามันก็ไม่ได้แย่นะ ถ้าพิจารณาและเลือกใช้มันได้อย่างเหมาะสมกับเคส ๆ ไป.ข้อต่อมา เราข้อแย้ง "คนที่เชื่อรหัสยลัทธิก็อาจจะฆ่าคนได้เรื่อย" ส่วนนี้เราเห็นว่าไม่จริง เพราะคงไม่ใช่ทุกคนที่เชื่อรหัสยลัทธิแล้วจะฆ่าคนกันเสียทุกคน เพียงแต่เชาจะต้องเชื่ออย่างมีวิจารณญาณ และก็ไม่จำเป็นต้องเลื่อแค่แนวคิดเดียว และต้องเชื่อทั้งหมดเสมอไป ซึ่งทุกอย่าง มีเหรียญสองด้านเสมอ ถ้าใช้ให้ดีก็เกิดประโยชน์ได้.หากจะมองว่าการกระทำไหนดี หรือชั่ว เราอยากให้มองไปความดี และความชั่ว โดยถอดเอาหลักเกณฑ์บาปบุญออกไป เพราะสิ่งที่เรียกว่า 'บาป' และ ''บุญ' มันพ่วงมาด้วยรางวัลและบทลงโทษให้คนกลัว แต่ไม่ได้ให้แง่คิดแก่คนว่า อยากทำดีเพราะมันคือจุดหมายปลายทางในตัวของมันเอง และแน่นอนว่า ไม่ใช่เพราะเราทำไปเพราะเห็นว่ามีความสุข ถ้าเป็นเช่นนั้นจะกลายเป็นว่าเราทำไปเพื่อสนองความต้องการของเราเอง ซึ่งก็คือความสุข (เข้าเรื่องจริยศาสตร์เยอะไปนิดนึง)
ผมว่าคุณตีความว่าบาปบุญผิดไปหน่อย อย่าง ไม่ฆ่าคนเพราะกลัวบาป ไม่ใช่เพราะกลัวเขาเจ็บปวด อันนี้คือ ตีความผิดสุดๆ ที่การฆ่าคนบาปก็เพราะมันทำให้คนอื่นเจ็บปวดนั่นแหละ และเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมฆ่าพืชไม่บาป ฆ่าสัตว์ถึงบาป ทั้งที่พืชและสัตว์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกัน คือ ต้องอ่านรายละเอียดของคำสอนด้วย ไปเอามาประโยคนึงแล้วตีความสรุป ถือว่าพลาดมากๆครับ ในทางศาสนาพุทธ กฏแห่งกรรมบาปบุญเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว พระพุทธไม่ได้เป็นคนกำหนดว่าอะไรบาปอะไรบุญ พระพุทธเจ้าคือผู้ค้นพบกฏเกณฑ์เหล่านี้แล้วนำสิ่งที่ค้นพบมาเผยแพร่ให้คนอื่นได้รู้ เหมือน นิวตัน บอกว่าแรงเท่ากับมวลคูณความเร่ง นิวตันไม่ได้เป็นคนสร้างความจริงข้อนี้ขึ้นมา มันมีอยู่แล้ว แค่นิวตันเป็นคนค้นพบว่าแรงมีค่าเท่ากับเท่าไหร่
การฆ่าคนอาจจะไม่บาป เพราะคุณอาจจะเชื่อว่าบาปบุญเป็นเรื่องสมมติ แต่แนวคิดนี้เป็นแนวคิดสุดโต่งที่ไม่ดีต่อส่วนรวมแน่นอน อย่างไรก็ตามการฆ่าคน คือการพรากชีวิตของบุคคลนั้นๆ ไม่มีใครจะมาพรากชีวิตคนอื่นไปได้ เป็นการเบียดเบียน ถ้าทุกคนคิดสุดโต่งแบบนั้น ไม่อยากจะคิดว่าจะสังคมจะน่ากลัวขนาดไหน
ความจริงคืออะไรนั้นผมไม่รู้ แต่ผมสัมผัสมันได้ด้วยการตื่นจากหลับ
สรรพสิ่ง อยู่ระหว่างความจริง และจินตนาการ...อยู่ระหว่างการ มีอยู่และการ ไม่มี..อยู่ระหว่างสีสันและขาวดำ
พระศาสดาให้ดับต้นเหตุที่เกิดทุกข์ก่อนเป็นอันดับแรก(อริยสัจจ์ข้อ2 สมุทัย) แต่ทุกข์(อริยสัจจ์ข้อ1)ให้ทำการรอบรู้
ย้อนเวลาได้รืคะ
ความจริงคือสิ่งที่ปรากฏ (รับรู้) กับแต่ละสรรพสิ่งความจริงแท้ ไม่มีครับ ^_^
หาเพจเฟสบุ๊คไม่เจอครับ ทั้งๆที่กดไลค์ไว้แล้ว
อาจารยเป็นคนตลกนะคับ นี้คือความจริงของผม
โลกแห่งแบบ นะครับนิยาม form ของเพลโตน่าจะแปลแบบนี้
จริงคือจริง.../เท็จคือจริง.
ชอบมาก เข้าใจง่ายมากๆผมสนใจ ปรัชญา ประวัติศาสตร์ การเมือง วัฒนธรรม สังคมศาสตร์ เข้าใจมากๆๆ
ความจริงก็คือความจริง ครูปรีชาได้กล่าวไว้
ทุกแขนงเลยครับ
ขอบคุณครับสำหรับประสบการณ์ของท่านที่มาแบ่งปัน เพื่อสานต่อองค์ความรู้
อาจารย์น้องครับ ผมตามฟังครับ ขอบคุณมากๆครับ
ติดตามเสมอครับ ตั้งแต่วิทย์แคส ขอให้มีกำลังใจทำต่อไปเรื่อยๆนะครับ
พระพุทธเจ้าโคตมะ พูดถึงใบไม้กำมือเดียว กะใบไม้ในป่าค่ะ...คลิปนี้ 2 ปีมาแล้ว ป้าเพิ่งมาเปิดดู สนใจการอธิบายของคุณในตอนอื่นที่ได้ติดตาม...แต่พอฟังคลิปแล้ว ขอแนะนำให้คุณศึกษาท่านอย่างลึกซึ้งและจริงจัง เปิดใจกว้างๆแล้วจะพบ "ความจริง" ที่ท่านจำแนกไส้ให้ทำความเข้าใจตามระดับภูมิปัญญาความพร้อมของแต่ละคนที่จะสามารถเข้าใจได้โดยมีชีวิตดำเนินไปอย่างสมดุลย์ในโลกนี้...."โลกนี้คือละคร,คือมายา" สะท้อนในหนังเรื่อง "Matrix."เรียบร้อยแล้วค่ะ...
ผมชอบ ฟิสิกส์ คณิต ปรัชญา เศรษฐศาสตร์
คุณอาจวรงค์ คุยอธิบายได้สนุกมาก เข้าใจง่ายในหลายสาขา ติดตามอยู่ครับ ขอบคุณมากๆครับ
ล้ำสุดครับ
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ครับ
ชอบฟังเรื่อง ดาราศาสตร์ > ปรัชญา > ฟิสิกส์ครับ 555
ความจริงคือสิ่งที่หาข้อเท็จจริงอื่นมาโต้แย้งมิได้ (หมายถึงหาแล้วไม่มี ไม่มีจริง ไม่ใช่หาไม่ได้ เช่น มึงมีเมียน้อยปะอย่าให้กูจับได้นะ555 อันนี้คือยังหาไม่ได้555)
ชอบทุกเรื่องที่พี่เล่าเลยครับ
ความจริง คือ สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง
🙏
อยากฟังเรื่องของฟิสิกส์แห่งเต๋าครับ เคยอ่านตอนสมัยเด็ก
ความจริง..ก็คือความจริง
ความจริงคือสิ่งที่เป็นอย่างนั้นตลอด ไม่ขึ้นกับองค์ประกอบใดๆ ไม่ขึ้นกับเวลา ไม่ขึ้นกับสถานที่ ความจริงต้องเป็นอย่างนั้น เสมอ
อยากฟังเรื่องการย้อนเวลาคนับ
ความจริงคือสิ่งไม่ตาย
การรู้ทางเดิน
ความจริง = เหตุและผล
เกิดความจริงมีแต่ทุกข์ และ ทุกข์ดับ
แล้วสิ่งที่อยากรู้ความจริงคืออะไร
อย่างกะอิสลามมาตั้งคําถามเองเลย เดาเอานะครับอย่าโกรธผมนะ
"โลกว่างเปล่า" อยากรู้อยากเห็นความจริงแท้มีเพียงหนึ่งเท่านั้น หาความรู้กับพุทธศาสนา ไม่หลงทางไม่เสียชาติเกิดครับ
ความจริงคือ “ดาวมีไว้เบิ่ง” ครับ
❤
ความจริงสมมุติ โลกิยะ การปรุงแต่ง กับ ความจริงแท้ สัจธรรม ,ปรมัต ,โลกุตรธรรม
ผมชอบอาจารย์ตรงนี้แหละ ตรงที่ไม่ตีกรอบคำว่าวิทยาศาสตร์แค่สูตรคำนวณต่างๆในตำราเรียน ฟังอาจารย์แล้วรู้สึกว่า วิทยาศาสตร์อยู่ในทุกอย่างในชีวิต ในวิวัฒนาการของมนุษย์ทั้งทางสังคม และทางเทคโนโลยี จินตนาการต่างๆ กว่าคนจะรู้สิ่งต่างๆแบบปัจจุบันคนต้องผ่านการจินตนาการอะไรกันมาต่อเนื่อง แล้วสิ่งที่คนจินตนาการกันในปัจจุบัน ก็คงจะมีคำตอบในวันหน้าสักวัน
ขอส่วนตัวแสดงความคิดเห็นนะครับ
ความจริงคือความคิด ความเข้มข้นของความคิดและจิตเหนือการกระทำ ยิ่งเรารับรู้มากและเข้าใจมากจิตจะสั่งให้กระทำและรับรู้ว่าเป็นความจริง โดยส่วนตัวแล้วผมฟังพี่ตอนสอนฟิสิกส์มากถ้าเราใช้ฟิสิกส์พยายามทำความเข้าใจกับทุกอย่างเราก็จะเห็นความจริงมากขึ้นครับขอบคุณครับ
คำถามที่ควรตอบให้ได้ก่อน คือ คุณต้องการจะรู้ ความจริง ไปทำไม? รู้ไปเพื่ออะไร? ... ถ้าคุณตอบได้ ค่อยไปแสวงหา ความจริง.
ผมอยากฟังฟิซิกครับ ปรัชญาก็ฟังครับ
ผมไม่รู้อะไรเรื่องพวกนี้เลย แค่ฟังแบ้วน่าสนใจเป็นประโยชน์ พึ่งค้นคว้าครับ
เลยเริ่มจากการฟัง
ปรัญญาคือเริ่มต้นที่อวิชชา
เสริมให้นะครับ ภาพวาดที่พูดถึงช่วง 20:30 คือภาพ The school of Athen โดยศิลปินชื่อ Raphael ครับ
ความจริงแท้มีอยู่แค่ในวิชาคณิตศาสตร์เท่านั้น วิชาแขนงอื่นนั้นไม่มี
อยากฟังพุทธศาสตร์จากอ.ที่เป็นนักฟิสิกส์และเป็นชาวพุทธครับ
เทพแห่งจิตผมชอบพระพุทธเจ้าคับ😊😊😊
ความจริง คือ คนสร้างพระเจ้า
อริยสัจ4 คับ
พระพุทธเจ้าได้อธิบาย "ความจริง" ไว้ว่า..
"เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี:เพราะการเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น.
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี:เพราะการดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป."
ในโลกนี้ ความจริงจึงมีหนึ่งเดียว ตามที่พระพุทธเจ้าค้นพบ(อริยสัจ4:ทุกข์-เหตุเกิดทุกข์-การดับทุกข์-หนทางเพื่อให้ดับไปซึางทุกข์) ครับ
มนุษย์ที่เชื่อพระพุทธเจ้า และเดินตาม(พิสูจน์)จะค้นพบความจริงแท้นั้นอน่นอน.ครับ
😀
ชอบๆ คลิปนี้ ❤😊
ความจริงไม่มีอยู่จริง ฉันคิดว่านะ ที่จริงแล้ว ความจริงที่เราเรียกกันคือ สิ่งที่คุณเห็น แล้วคุณคิดกับสิ่ง สิ่งนั่นแบบไหนตามความคิดของคนที่มองเห็น มันไม่ใช่ความจริง ความจริงคือมุมมองของแต่ละคนไม่มีกฏตายตัว หรือนานาจิตตัง ความจริงอยู่ในความคิดของทุกคน เลยไม่มีกฎตายตัว ความจริงเลยไม่มีอยู่จริง สิ่งที่เป็นความจริงคือความเชื่อส่วนบุคคล 10คนเชื่อว่าจริง20คนที่คิดและมีมุมมองที่ต่างกันอาจจะมองว่าไม่จริง ความจริงของแต่ละคนุถีงตางกัน
ความจริงคือสิ่งที่เราเชื่อว่าจริงด้วยเหตุปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อความเชื่อของตน
กลับ มาทำยูทูปต่อได้แล้วท่าน
ความจริงทั้งหมดมีอยู่ว่า ที่ผ่านมาไม่มีความจริง
สมณโคดม
พระพุทธเจ้า
ความจริ๊งก็คือความจริงงง ครูปรีชาได้กล่าวไว้
- เมื่อศาสนาอุบัติขึ้นมาก็น่าจะสร้างภาษาที่ใช้สื่อสารได้ดีกว่าภาษาที่มีอยู่
- ก็ด้วยอ้างว่าภาษาที่มีอยู่นั้นไม่สามารถอธิบายได้อย่างเพียงพอ แบ่งแยกว่าภาษาคน ภาษาธรรม ซึ่งภาษาธรรมก็คือ ภาษาบาลี-สันสกฤต ที่คนในชมพูทวีปพูดกันปกติเมื่อสอง-สามพันปีก่อนนั่นเอง
- เมื่อไม่คิดค้นภาษามาอธิบายในหลักการ ของตน ซ้ำยังหยิบฉวยเอาภาษาอันมวลชนได้ร่วมประดิษฐ์และขัดเกลามาเป็นเวลาเนิ่นนานมาเรียงร้อยเป็นคำคม โวหาร วาทะกรรมต่างๆ
- สิ่งที่พากเพียรนั้นกลับเป็นการสร้างสารพัดวาทะกรรมราวนักอภิปรายเรื่องราวชีวิตกำลังครุ่นคิดคำคมเพื่อออกหนังสือฮาวทู. ราวกับการท่องจำเพื่อจะเอาไปปลุกปลอบให้กำลังใจคนบนเวทีการแสดงของไลฟ์โค้ช (ไม่ฟรี)
- ศักยภาพของศาสนาดูจะสวนทางกับสิ่งที่ศาสนาพูด แต่เมื่อศาสนาทำก็กลับบอกเป็นเรื่องรู้เฉพาะตน
ชอบมุมมองของอาจารย์ที่มองศาสนาเป็นเรื่องเกี่ยวกับปรัชญา ศาสดาเป็นเหมือนนักปราชญ์ที่พยายามสอนหลักการใช้ชีวิต ผมว่ามันดีมากๆ เลยครับ ไม่ใช่เหมือนประเทศบางประเทศที่มองศาสนาเป็นสิ่งที่ห้ามแตะต้อง ยึดติดงมงายคลั่งไคล้ ยกไว้เหนือหัวราวกับเป็นสิ่งเหนือจริงที่ต้องบูชาจนลืมแก่นที่ศาสดาสอน
ความจริงคือผลลัพธ์ของสิ่งที่ต้องการหาโดยผ่านการประมวลผลจากข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนถ้าเมื่อไรได้ข้อมูลผิดเพี้ยนและได้ไม่ครบความจริงที่ประมวลผลมาก็ไม่ใช่ความจริง ความจริงแท้มีหนึ่งเดียวไปถามโคนันดู เงาในถ้ำ ของเพลโต กับ ดวงจันทร์ ในขันน้ำ ของพระพุทธ ก็ความหมายเดียวกัน สิ่งจริงแท้คือความว่าง ไม่ใช่ ว่างเปล่า ความว่างเป็นอัตตามีอยู่จริง ส่วนสิ่งที่สัมผัสได้เป็นส่วนที่ประกอบขึ้นจากองค์ประกอบของอะตอมเป็นอนัตตาคือไม่มีอยู่จริงคือความหมายของแมทริกในปรัชญาในหนังนั้นเป็นโปรแกรมของเครื่องจักร เป็นสิ่งเดียวกับศาสนาที่เชื่อว่ามีผู้สร้าง ความหมายของพระเจ้าคือมีแต่เดิมไม่เหมือนสิ่งใดพลังไม่สิ้นสุดไม่มีกาลเวลา คือสิ่งเดียวกับความว่างในพุทธ ฉะนั้น ความว่างหรือนิพพานมีอยู่จริงเป็นโลกุตตระจักรวาลนี้ไม่มีอยู่จริงเป็นโลกียะ
ึืคือ มนุษย์ มีเสียงจาก มือเขียนอักษร คำที่ออกมา คือความจริงหนึ่งเดียว คำจากมนุษย์ถ้าไม่เขียนอักษร มนุษย์ จะพูดออกมา ไม่รู้ความหมาย แต่เราเกิดมา เป็นเจ้าของชีวิตตนเอง คิดนึกได้ เพราะเกิดมาไม่ไช่สัตว์
ผมเริ่มสนใจวิทยาศาสตร์อย่างมากๆเลยคับ ตั้งแต่ได้เรื่มคลิ๊กดูวีดีโอของพี่ป๋องแป๋งในรายการใดๆในโลก คลิ๊กแรกคือเรื่องดาวเทียมมีไว้ทำไม...หลังจากนั่นก็เริ่มไล่ดูคลิ๊ปพี่แบบยาวๆเลย
ในบ้านเราเชื่อว่า
คําสอนทางศาสนาพุทธ ถือเป็น ULTIMATE REALITY
เป็นความจริงขั้นสุดท้าย ครับ
ใช่ครับ พระพุทธเจ้าค้นพบความจริง แห่งโลกคือ อริยสัจ4 (ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค) ครับ.และท่านจะอธิบายความจริงนั้นให้คำว่าว่า
"ทุกข์" สรรพสิ่งในโลก เรียกรวมๆกันว่าทุกข์ ซึ่งพระศาสดา บอกว่า ให้เรากำหนดรู้
"สมุทัย" สรรพสิ่งในโลกมีเหตุเกิดทั้งสิ้น :ให้เราละ
"นิโรธ" สรรพสิ่งในโลก นำไปสู่การดับ:ให้ทำให้แจ้ง
"มรรค" หนทางดำเนินไปให้ดับไม่เหลือแห่งการเกิดแห่งสรรพสิ่ง. ครับ
ทุกข์ ในความหมายของพระพุทธเจ้า ท่านหมายถึง.สิ่งที่ทนอยู่ได้ยาก(1)ที่ที่ปรุงแต่งขึ้น(1)สิ่งที่แปรปรวนไม่คงที่(1)
สรุป สรรสิ่งในโลกนี้(ดินน้ำไฟลม)คือทุกข์
ร่างกายของเรา(สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้ง5คติ) ประกอบด้วยขันธ์5 (รูป,เวทนา,สัญญา,สังขาร,วิญญาณ)คือทุกข์
อริยสัจ
ความจริงจากใจคนสามารถแบ่งระดับได้ตามชั้นทางจิตขั้นของความสุขทุกข์ ค่อนข้างเข้าประเด็น ความจริงระดับอภิปรัชญาความเชื่อด้านศาสนาชั้นสูงสุดสู่ขั้นสัจจะ คือ 1 เดียว ขนาดแยกไม่ได้อีกแล้วอมตะตลอดกาลนิรันดร์เลย ขอรับ ครับผม สาธุๆๆ
หาความจริง ระดับสูงสุด 1 เดียว ไม่มี 2 ค่อยๆเป็นเคลื่อนๆไปกันกับเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกของมวลมนุษยชาติ ขอรับ ครับท่าน สาธุๆๆ
หากความจริงคือสิ่งที่โหดร้ายสำหรับใครคนอื่นรอบตัวเจ้าของ ใครจะต้องการบ้างไหมมา มากน้อย บอกใบ้ บ้าบิ่น บังอาจ ประกาศศักดาไปว่าเข้าถึงความจริง ใครจะเชื่อ ความจริง ประสาอะไร ไม่น่าเข้าใกล้ อยากหนีให้ไกล ตัวอันตรายชัดๆ ความจริงคือต้อง ฆ่า ขโมย กาม โกหก เมา ใส่สังคมแลสัตว์โลก ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต โมฆะบุรุษ โมฆะสตรี สิ้นดี ชนิดการมาก็เหมือนเสียชาติเกิด โมฆะคือยกเลิก เสียได้ยิ่งดีกว่า ขอรับ ครับคุณๆเธอ สาธุๆๆ
หากความจริงคือสิ่งที่โหดร้ายสำหรับใครคนอื่นรอบตัวเจ้าของ ใครจะต้องการบ้างไหมมา มากน้อย บอกใบ้ บ้าบิ่น บังอาจ ประกาศศักดาไปว่าเข้าถึงความจริง ใครจะเชื่อ ความจริง ประสาอะไร ไม่น่าเข้าใกล้ อยากหนีให้ไกล ตัวอันตรายชัดๆ ความจริงคือต้อง ฆ่า ขโมย กาม โกหก เมา ใส่สังคมแลสัตว์โลก ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต โมฆะบุรุษ โมฆะสตรี สิ้นดี ชนิดการมาก็เหมือนเสียชาติเกิด โมฆะคือยกเลิก (ชายหนุ่ม)ว่าง (หญิงสาว)เปล่า (พ่อแก่แม่ม่าย)ไม่มีผล เสียได้ยิ่งดีกว่า ขอรับ ครับคุณๆเธอ สาธุๆๆ
ความรู้ของมนุษย์ก็คือ..เรารู้แค่ว่า..1+2=3..แต่เราไม่เคยรู้จริงๆว่า..1,,2,,และ3..จริงๆคืออะไร..เราอาจรู้ว่า..น้ำ+ดิน=โคลน..แต่เราก็ไม่รู้จริงๆว่า..น้ำ,,ดิน,,และโคลน..จริงๆคืออะไร..เราอาจคำนวณสิ่งต่างๆได้..แต่เราก็ไม่รู้จริงๆหรอกว่าสิ่งต่างๆนั้นคืออะไร..
ความจริงคือการเกิด-ดับ ของวิญญาณไงครับ จากวิญญาณดวงที่ที่ปรุงสัญญาขันธ์ด้วยคำว่า"1"(สัญญา คือความจำได้หมายรู้) ดับ วิญาณดวงใหม่ ไปตั้งรับรู้ในสัญญา คือ"2" (ที่ตั้งใหม่) แสดงว่าระหว่าง 1กับ2มันมีช่องว่าง บางๆระหว่างวิญญาณดวงหนึ่งดับกับวิญญาณอีกดวงหนึ่งเกิดอยู่ไง ครับ
คือจำนวนนับงัย
คหสต. ที่สุดของการใช้ภาษาอธิบายความจริง พูดได้แค่ มันเป็นเช่นนั้นเอง.. .
ความจริงนอกเหนือจากนี้ คือความจริง โดยกรอบสมมุติให้ค่าของมนุษย์เอง
มนุษย์ทั้งมวลมีชีวิตอยู่ในมายาภาพ..อยู่ในโครงข่าย โปรแกรมๆหนึ่ง ที่สร้างขึ้นโดยความคิด..และเข้าใจว่าสภาวะนั้นเป็นความจริง..เรียกว่าสมมุติสัจจะ..หรือความจริงที่เราคิดเอา..ที่เรารู้จัก..ถ้าศึกษาความฝันอาจจะพบเงื่อนงำนี้..ดังที่ เหลาจือ..หรือ จางจื่อ เป็นคนเดียวกันรึเปล่าไม่แน่ใจ..กล่าวไว้ว่า..ข้าพเจ้าฝันว่าเป็นผีเสื้อบินอยู่ในสวน...พอตื่นขึ้นมา ข้าพเจ้าจึงสงสัยว่า..แท้จริงแล้ว ข้าพเจ้าฝันว่าเป็นผีเสื้อ หรือผีเสื้อตัวนั้นกำลังฝันว่าเป็นข้าพเจ้ากันแน่...
ในขณะที่เราฝันนั้น..เราไม่รู้ตัวว่าเรากำลังฝัน..แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ตอนที่เราเรียกว่าชีวิตจริงนี้..เราไม่ได้กำลังฝันอยู่..บางทีความฝันอาจจะบอกเราเป็นไนยอยู่ทุกค่ำคืนว่า..ชีวิตของเจ้าที่เรียกว่าความจริงนั้นมันไม่ต่างอะไรจากความฝันหรอก...
เราอาจจะแย้งว่า..ก็ตอนตื่น ฉันอยากไปไหน ทำอะไร คิดอะไร ฉันก็ทำได้..มันไม่ได้ดำเนินไปเองเหมือนในความฝันนี่..นี่คือตัวฉัน.. แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงหรือ..รู้หรือเปล่าว่าตัวคุณคืออะไร..การที่คุณพูดแบบนั้น คิดแบบนั้น ทำแบบนั้น..คุณเป็นคนกำหนดจริงๆหรือ หรือการกระทำต่างๆของคุณเป็นเพียงกลไกที่กระทำไปเองจากความรู้ประสบการณ์ในอดีต คุณพูดและคิดตามสิ่งที่คุณได้อ่านมา ได้เรียนรู้มา จากคำพูดของคนอื่นใช่รึเปล่า..บางทีการรู้ตัวเองเป็นสิ่งที่ยากที่สุดอย่างหนึ่ง...เอางี้ เวลาคุณเห็นใครบางคนที่เขาทำ อะไรที่โง่มากๆ เลวร้ายมากๆ..และเขาก็ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยว่าเขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย..ซึ่งมนุษย์ส่วนมากก็เป็นอย่างนั้น..ไม่ทำก็ได้..แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังทำแบบนั้น..นั่นแหละชีวิตเขาเป็นกลไกที่ถูกกำหนดอยู่..มนุษย์ไม่ได้มีอิสรภาพทางเจตจำนงที่จะทำอะไรดั่งที่เขาเข้าใจเลย..เพราะเขากระทำตามความคิด..และความคิดก็ได้ถูกโปรแกรมไว้แล้ว...จึงมีคำกล่าวว่า.."ผู้ที่ตื่นแล้ว..คือผู้ที่รู้ตัวว่าเขากำลังฝันอยู่..," คำพูดนี้คิดเองนะ..
พระพุทธเจ้า เป็นคนรู้การทำงานของมนุษย์ดีที่สุด ไม่มีใครเก่งยิ่งกว่า รวมไปถึงการทำงานของนามรูปของสัตว์ในภพอื่นๆด้วย พระศาสดากล่าวว่า องค์ประกอบของ"สัตตานัง"ทั้ง5คติ(เทวดา,มนุษย์,เปรตวิสัย,เดรัจฉาน,สัตว์นรก) มีองค์ประกอบ5ส่วนด้วยกันพระองค์เรียกว่า "ขันธ์5" ซึ่งแบ่งย่อยๆออกได้ดังนี้
1)รูปขันธ์(ธาตุดิ,น้ำ,ไฟ,ลม)คือรูปกายอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย
2)เวทนาขันธ์(ธาตุที่เป็นนาม ประกอบด้วยความรู้สึก สุข,ทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์คือเฉยๆหรืออุเบกขา
3)สัญญาขันธ์(ธาตุที่เป็นนาม ประกอบด้วยการจำหรือความจำได้หมายรู้)เป็นประสบการณ์ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จะเก็บไว้ที่รูปขันธ์ในส่วนของสมอง.
4)สังขารขันธ์(ธาตุที่เป็นนาม หมายถึงความคิดปรุงแต่งที่เป็นเรื่องในอนาคตซึ่งยังไม่เกิดขึ้น)
5)วิญญาณขันธ์(ธาตุที่เป็นนาม หมายถึงธาตุที่รับรู้หรือรู้แจ้งในธาตุอื่นๆอีก4ธาตุข้างต้น) วิญญาณจึงเป็นธาตุสำคัญมากที่ยังความเป็นตัวตนของสัตว์ทั้ง5คติคงอยู่ (พระศาสดาจึงตรัสว่า "เพราะมีวิญญาณจึงมีนามรูป/เพราะมีนามรูปจึงมีวิญญาณ") ขาดส่วนใดส่วนหนึ่ง ไม่ได้(จะดับหรือตาย)
การมีตัวตนของสรรพสัตว์ทั้ง5คติ เป็นได้เพียงชั่วคราวและการเกิดดับของขันธ์ที่เป็นนามธรรมก็เกิด-ดับๆ อยู่ตลอดเวลา อยู่ที่วิญญาณจะไปรู้ที่ขันธ์ไหน(รู้ได้ทีละขันธ์)แม้รูปกายยังของสัตว์ไม่ตายก็ตาม พระศาสดาเรียกว่า"อนัตตา" คือเมื่อมีหรือตั้งอยู่แล้วมันจะสื่อมและเสื่อมเรื่อยๆจนถึงขั้นดับ(ตาย)ไป อาการเช่นนี้พระศาสดา เรียกมันว่า.ทุกขัง(ทุกข์)
พระองค์ได้พิสูจน์ทราบและค้นพบการทำงานของขันธ์5ของพระองค์เองจนตรัสรู้ว่า ทั้ง5ขันธ์ ของพระองค์จะตกอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า"ไตรลักษณ์" คือ.ความเป็นอนิจจัง(ไมเที่ยง)ทุกขัง(ตั้งอยู่ได้ยาก,มีการปรุงแต่ง,และแปรปรวน) อนัตตา(จึงมีตัวตนชั่วคราว)
พระพุทธเจ้าเปรียบเสมือนนักวิทยาศาสตร์ทาง จิตวิญญาณพระองค์ เห็นระบบการทำงานของทั้งนาม(เวทนา,สัญญา,สังขาร,วิญญาณ)และรูปอย่างทะลุแรุโปร่ง(รู้แจ้ง)ที่นักวิยาศาสตร์,แพทย์ มีแค่ความรอบรู้และค้นะบการทำงานของร่างกาย (รูปขันธ์)แต่จะไม่รู้ถึงการทำงานของนามธรรมทั้ง4ขันธ์. (เพราะยังไม่ได้ฝึกพิสูจน์ทราบตามพระองค์)
ความรู้นี้เรียกว่า(วิชชา) คือสัจจะความจริง พระศาสดาเรียกว่า.อรืยสัจจ4(ความจริงที่ทำให้มนุษย์เป็นอริยะ) ครับ.ส่วนผู้เดินตาม(สาวก)ก็เป็นอริยะบุคคล(4คู่8บุรุษ)ได้เช่นกัน
ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อหรือไม่ได้สดับและไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตน(เดินมรรค8)ก็ยังเรียกว่าสัตว์ (แปลว่าผู้ยึดติดขันธ์5เช่นเดืม)เพราะยังไม่รู้อริยสัจ4(ยังมีอวิชชา)ยังมีความอยาก(ตัณหา)จะเกิดแก่เจ็บตาย วนเวียนอยู่ในระบบสมมุติ(ทั้ง5คติ)อยู่เช่นเดิม อยู่ที่การกระทำทางกายวาจาใจ ว่าเป็นฝ่ายกุศลหรือฝ่ายอกุศลละ ส่วนอริยบุคคลก็จะหลุดออกไปจากระบบการเกิดแก่เจ็บตาย สูงสุดคือ"นิพพาน"จะเรียกว่าวิมุติหรือวิมุตติฌานทัศนะ แทนคำว่า"สัตตานัง" ครับ
ส่วนความฝันขณะที่เรานอนหลับ นั้นพระศาสดาอธิบายว่า จิต(จิต-มโน-วิญญาณคือสิ่งเดียวกัน) ไม่ได้อยู่กับกายแล้ว แต่จิตหรือวิญญาณจะไปจับอยู่กับอีก3ขันธ์ที่เหลือ(เวทนา,สัญญา,สังขาร)อยู่ที่เรื่องราวเป็นเรื่องอดีตหรือเรื่องที่มาไม่ถึง(อนาคต) ครับ
ระบบธรรมชาติพระศาสดาสรุปให้ได้ว่า มีแค่2ระบบใหญ่เท่านั่น คือ
1)ระบบสังขตะธาตุ มี5คติ (มีการเกิดมีการเสื่อมเมื้อตั้งอยู่จะมีสิ่งอื่นปรากฏ)
2)ระบบอสังขตะธาตุ คือนิพพาน (ไม่มีการเกิด,ไม่มีการเสื่อม,เมื่อตั้งอยู่จะไม่มีสิ่งอื่นปาราฏ) ครับ
ความจริงคือ ดาวมีไว้เบิ่ง \(･◡･)/สวัสดีคับ
เพลงนี้เพราะ ผมชอบ
ชอบมาก อ. ผมชอบดาราศาสตร์ ปรัชญา ประวัติศาสตร์มาก
เหมือนกันครับ เสียดายที่ไม่มีโอกาสได้เรียน แต่ก็ชอบค้นหาในกูเกิลเอา ยิ่งค้นหา ยิ่งสงสัยยิ่งชอบครับ
ผ่านมาสองปีเพิ่งได้เห็นคลิปนี้ ชอบมาก สนุกเหมือนนั่งฟังจารย์ที่โรงเรียนเลย
ขอบคุณๆๆๆๆ
คืออะไรเหรอครับ
ความจริงคือ สถานะสัมผัสจากการรับรู้
ดังนั้นความจริงของคนเราและในของแต่ละสิ่งจึงไม่เหมือนกันและไม่เท่ากัน
ความจริงของคนเราและในของแต่ละสิ่งไม่เหมือนกันและไม่เท่ากัน เพราะจะต้องขึ้นอยู่กับ สถานะสัมผัสจากการรับรู้ ของแต่ละสิ่งแต่ละคน ตรงนี้แหละที่มันซ่อนความเป็นจริงที่ไม่ขึ้นกับรูปแบบความเป็นจริงของใครคนใดคนหนึ่งหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้อยู่ในตัวของมัน ดังนั้นความเป็นจริงมีรูปเดียวคือรูปของอำนาจสถานะ แต่เพราะมันคือสถานะสัมผัสจากการรับรู้ ดังนั้นมันจึงเกิดเป็นความจริงแบบมีสถานะในส่วนบุคคลต่างๆนาๆขึ้นมา
อะไรจริงหรือไม่จริงก็ช่างมัน แต่ชีวิตคุณเป็นยังไง
สรุปแล้วคำว่า 'ปรัชญา' คืออะไรคะ
แนวทาง
ความจริงคือ เขาไม่รักผมแล้วครับTT
ความจริงคือเขาจะแต่งงานแล้วครับTT
มาๆกอด
เลอเนเดกา ครับ นักปราชญ์ญา พิมพ์นิยมสมัยใหม่ ชาวฝรั่งเศษ
ขอบคุณมากครับ สำหรับความรู้ดีๆในคลิปนี้
ปรมัตถสัจจะ=ใบไม้ในกำมือ
สมมติสัจจะ=ต้นไม้ทั้งป่า
ถ้าปราศจากอายตนะทั้ง๔ เราจะมองเห็นความจริงอย่างไร
วานเล่าเรื่อง ดาราศาสตร์ฟิสิกส์ เลยครับ รวมกันไปเลย ได้ความรู้สองแขนงในเวลาเดียวกัน
ถ้าวิชาพระพุทธศาสตร์สอนอะไรแบบนี้น่าจะดีมากๆ เลย วิชาเรียนของกระทรวงในช่วง10+ปีก่อนผมนี่ไม่อยากเรียนเลย หรือมันขึ้นอยู่กับคนสอน?
ถ้าเรามาคิดดูเรื่องกาลเวลา..เราอาจจะพบเบาะแสที่แปลกประหลาดเกี่ยวกับความจริง..เช่น..อดีตมีอยู่จริงรึเปล่า..มันอยู่ไหนหล่ะเมื่อวานนี้..มันมีอยู่แต่ในความคิดที่เราคิดไปถึงเมื่อวานเท่านั้น..มันเป็นเพียงโปรแกรม ภาพนิ่ง ภาษา..เมมโมรี่ ที่เก็บอยู่ในความทรงจำเท่านั้น..มันไม่ได้มีอยู่จริงๆเลย..อ้าวแล้วความจริงมันจะคืออะไรหละ..ก็เรากำลังเคลื่อนไปอยู่ทุกขณะไม่หยุดนิ่ง..อ้าวแล้วการเคลื่อนไปทุกขณะนี้มันคืออะไรหละ..อะไรหละที่กำลังเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะนี้..มีหลายคำเพื่อใช้เรียก..สื่อสารถึงสิ่งนั้น..เช่น จิต..พระเจ้า..สัจจะ..ความจริงแท้..เต๋า..,,***£€$¢¢÷√√|™®©%..ต่างๆมากมาย..เพื่อใช้เรียกสื่อสารเท่านั้นนะ..แต่เราจะอธิบายมันหรือเรียกมันว่าอะไรมันก็ไม่ใช่สิ่งนั้น..เราจะอธิบายถึงสิ่งที่อธิบายไม่ได้ยังไง..เมื่อพูดถึงมัน มันก็หนีไปแล้ว..นี่เป็นเหตุผลว่า..ทำไมบรรดาองค์กรศาสนา ลัทธิ คำภีร์ระบบความรู้ ปรัชญา ต่างๆที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อสั่งสอนมนุษย์จึงล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง..มันก็กลับมาจุดเดิมไม่ไปไหน..เต็มไปด้วยพวกบ้าคำภีร์ วิชาการ พิธีกรรม แนวคิด แนวปฏิบัติ จารีตประเพณี..แต่หาได้มีความหมาย ความจริง ในนั้นไม่..สุดท้ายก็กลับมาจุดเดิม คือลาภยศ ผลประโยชน์..
ศาสนาไม่ได้ล้มเหลวหรอกครับ ถ้าโลกนี้ไม่มีศาสนา โลกมันจะเถื่อนกว่านี้มากมายอย่างที่คุณอาจจะไม่ได้นึกถึงมาก่อน
ตอนนี้มี อะไร ล้มเหลวหรอ คุณรู้อะไรบางอย่างก็พูดมา พยามยามจะบอกอะไร ที่คุณพูดมา คุณคอดไปเองรึป่าว (นี่คือคุณ)
สนุกมากเลยครับ
ความจิง คืออะไร ความจิงคือเเสงสว่าง ม่ใช่ไฟ ..
เเสงสว่างจะนำไปสู่ความเป็นจิง ทีเป็นอนัน ทั้งปัจุบัญ เเละ อนาคต(โลกหน้า)
ไฟ จะนำไปสู่ความเป็นจิงทีเจ็บปวด ในโลกนี้เเละโลกหน้า..
ขออภัยครับอยากรู้ว่า อ.อาจวรงค์ นับถือ ศาสนาอะไรครับ
วิทยาศาศาสตร์มีรากเดิมจากปรัชญา ไม่แปลกที่นักฟิสิกส์อย่างอ.ป่องแป่งจะอธิบายปรัชญาพร้อมๆ กับวิทยาศาสตร์ได้อย่างดี ขอบคุณครับ
ชื่อคุณเขียนเป็นภาษาอังกฤษแบบนี้ Vidya
อยากให้ทำเรื่อง พุทธศาสนา ในแง่ วิทยาศาสตร์ แบบง่ายๆจังค่ะ
ชอบมากเลยค่ะ
ความจริงคือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต แม้กระทั่งเรื่องโกหก
ทำต่อๆไปนะ ชอบฟังช่องนี้อยู่
ความจริงอยู่นอกเหนือจาก..คำพูด ภาษา..ความคิด..และกาลเวลา..ทันทีที่เราพูดถึงความจริง..มันก็ไม่ใช่ความจริงอีกต่อไป..มันเป็นเพียงคำพูด..คำอธิบาย..เป็นภาพในความคิด..เป็นความทรงจำ..เป็นอดีต..ความคิดของมนุษย์เป็นภาพลักษณ์..เป็นคำพูด ภาษา..เป็นความทรงจำ..ความรู้..ข้อมูล..เป็นอดีตเสมอ..ความคิดจึงไม่อาจเข้าถึงความจริงได้...ความจริงของวันนี้..ไม่ใช่ความจริงของเมื่อวาน...แม้แต่ตัวเราเองในวันนี้..ก็ไม่ใช่ตัวเราเมื่อวาน...แต่ที่เราเข้าใจว่า..สิ่งนั้นคือสิ่งนั้น ตัวฉันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้..นั่นคือการทำงานของความคิด..ความคิดคือกาลเวลา..มันสร้างสิ่งต่างๆขึ้น สร้างตัวเราตัวเขาขึ้นมา..มันเชื่อมโยงสิ่งต่างๆขึ้นมาเป็นโลกที่เรารู้จักนั่นเอง..แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงมายาภาพ..หาใช่สิ่งจริงแท้ไม่..ความทุกข์และปัญหาทั้งมวลของมนุษย์มาจากการติดอยู่ในมายาภาพนี้..เป็นการยึดมั่นอยู่ในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง..พุทธศาสนาจึงแบ่งเป็น..สมมติสัจจะ..คือความจริงที่เรารู้จักและคิดว่ามันเป็นความจริง..กับ..ปรมัตถ์สัจจะ..คือความจริงแท้สูงสุด..
ดีทั้หมดครับ
ไม่เลย บรรพบุรุษของมนุษย์ที่สปีชีส์เดียวกันกับมนุษย์ยุคปัจจุบัน มีอายุประมาณเมื่อ2แสนปีก่อน สมัยนั้นยังไม่มีภาษาด้วยซ้ำ ยีนส์การพูดพึ่งมีมาเมื่อ7หมื่นถึง5หมื่นปีเลย แล้วพระเจ้าที่กล่าวอ้างมันไปมุดหัวอยู่ไหน ใยจึงทำให้มนุษย์พัฒนาทักษะภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร พัฒนาศาสตร์ต่างๆที่ทำให้วิทยาการก้าวหน้าถึงขั้นทุกวันนี้ ความจริงคือสิ่งที่เป็นอยู่ มิใช่เป็นสิ่งที่กล่าวอ้างหรือพิสูจน์ไม่ได้ ความคิดไม่ใช่กาลเวลา ถ้าสิ่งที่คุณพูดนั้นถูกอย่างนั้นจะมีความเชื่อในเรื่องอื่นที่ต่างไปจากความเชื่อของคุณไปทำไม ทำไมมนุษย์จึงไม่นับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน ใยจึงต้องเกิดศาสนา หรือลัทธิทางความเชื่ออื่นๆขึ้นมา มันดูไม่สมเหตุสมผลนะครับว่าไหม
@@bankza510 มนุษย์นั้นเล็กกระจ้อยร่อยเหลือเกิน
ความจริงอยู่นอกเหนือ กาลเวลา งั้นผมถามคุณว่า สสาร กับ พลังงาน มันคือคามจริงมั้ยครับในมุมคุณ
แม้แต่ท่านก็ไม่สามารถหนีจากความจริงที่มนุษย์ส่วนใหญ่สร้างให้เป็นความเชื่อขึ้นมาครับ เงิน คือตัวอย่างของความเชื่อ ท่านลองไม่ใช้เงินดูครับ ตัวอักษรภาษาไทยที่ท่านพิมพ์มาก็คือความเชื่อเช่นกัน ....ถ้าท่านยังดำเนินชีวิตอยู่หลีกหนีไม่พ้นความเชื่อที่มนุษย์สร้างขึ้นมาได้ครับ เว้นแต่ว่าไปอยู่คนเดียวในป่าล่าสัตว์หาผลไม้กินเอง ไม่ใช้เครื่องมือที่สร้างขึ้น...แม้แต่พระก็ยังดำเนินด้วยความเชื่อ เครื่องแบบ วิถีการดำเนินชีวิตเช่นกัน
ถ้าอย่างนั้น การให้อภัยก็คือการสอนให้ทำลายความจริงใช่ไหมครับ เช่นมีคนมาตบหัวเรา แล้วเรา เกิดความโกรธเพราะถูกตบหัว แต่ก็ให้อภัย เพื่อที่จะไม่โกรธ อย่างนั้นหรือเปล่าครับ
เข้าใจสลับกันหรือป่าวครับ ขณะเข้าตบหัว เราก็โกรธขึ้นมา แล้วเวลาขณะนั้นมันก็ผ่านไป ความจริงใหม่ปรากฏขึ้น คือ ณ ปัจจุบันมือคนที่ตบไม่ได้อยู่ที่หัวเราแล้ว ไม่มีเหตุที่จะต้องโกรธ ถ้าโกรธเท่ากับเราหลงอดีตเป็นปัจจัยให้ทุกข์ เพราะปัจจุบันคือความจริงที่ปรากฏขึ้นเท่านั้น ฝนตกก็กางร้ม ฝนไม่ตกก็ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องใช้ร้ม เปรียบเทียบคร่าวๆ ว่ากันโดยหลักปรัชญานะครับ
อยากฟังเรื่องปรัชญาทางการเมืองค่ะ
ความจริงแท้= สัจธรรม
เพื่อเติมเต็มอาจารย์ต้องปฎิบัติธรรมครับ ถึงตอนนั้นอาจารย์จะสุดยอดครับ ตอนนี้คุณเข้าไก้ลถึงจุดนั้นแล้วครับ
ปฎิบัติธรรมเพื่ออะไรครับปฎิบัติเเล้ว ทำไมถึงจะสุดยอดครับเเล้วที่บอกสุดยอดสุดยอดอะไรครับ เเล้วทำไมถึงคิดว่าสุดยอดครับ เเล้วจะสุดยอดไปทำไมครับ เเล้วที่คิดว่าสุดยอดมันคือความจิงหรอครับ ขอเหตุเเละผลครับไม่เอามโนผลมาก่อนเหตุ
เเครอทปฎิบัติธรรมบางตัวทำตัวเหี้ยคือความจิงครับ
แนะนำเหมือนคนเสพศาสนาทั่วโลกเลยครับ
คิดมาน้อยๆ วิเคราะห์แบบไม่มีเปเปอร์ตรวจสอบ peer-review และโยนคำแนะนำแบบโล่งๆกลวงๆ ให้ตกหลุมพรางของศาสนาศาสนาหนึ่ง
…ศาสนาไหนก็ทำแบบนี้ เป็น pattern ห่วยๆของกลุ่มคนสองประเภท 1) เชื่ออะไรง่ายมากแบบมาตรฐานตรวจต่ำจัด 2) อยากลวงคนไปเข้าลัทธิที่เต็มไปด้วยเพื่อนๆแบบข้อ 1 และมีกลุ่มคนได้ประโยชน์จากการเชื่อคนง่ายแบบนั้นอยู่ข้างบนอึกที
สิ่งต่างๆมีอยู่เพราะการรับรู้ การถูกรับรู้ทำให้เกิดสิ่งต่างๆขึ้น มีอะไรอยู่นอกเหนือการรับรู้รึเปล่า..ถ้ามี..นั่นก็คือสิ่งที่ถูก รับรู้ อีก..ทฤษฎีควอนตัมจึงกล่าวว่า..ดวงจันทร์ไม่ได้อยู่ที่นั่น ถ้าเราไม่ได้สังเกตหรือรับรู้มัน..หรือ..ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้..มันจะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งเมื่อมีการสังเกตรับรู้เท่านั้น..หรือ..ท่านผู้ตรัสรู้แล้วท่านหนึ่งกล่าวว่า..ผู้สังเกตคือสิ่งที่ถูกสังเกต...ซึ่งไอสไตน์ไม่ชอบเอามากๆ ถึงกับกล่าวว่า..พระเจ้าไม่ได้ทอดลูกเต๋า..ความจริงแท้ในโลกควอนตัมนั้นแตกต่างจากระบบความจริง ที่เราเข้าใจเป็นอย่างมาก..อาจจะเรียกได้ว่า.."ความจริง ไม่มีอยู่จริง.."ซึ่งมันเข้าสู่ปรัชญาในระดับ "จิต"..ซึ่งความรู้ในระดับความคิด ตรรกะ เหตุผล อาจจะเข้าถึงได้ยาก..จึงมีคำว่า..ปัญญา..คือการรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรม ในระดับลึกจนเกิดการกระทำที่เป็นความจริงขึ้นมา ความรู้กับ ปัญญา จึงแตกต่างกัน..เราอาจท่องจำหนังสือได้เป็นตู้ๆ..มีความรู้มากมาย.แต่ก็ ไม่เกิดปัญญา...ยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่องการสูบบุหรี่..เรารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการสูบบุหรี่แต่เราก็ยังสูบ นั่นคือไม่เกิดปัญญา..หรือ เอาแก่นของศาสนาเรื่อง..อนัตตา..คือความไม่มีอัตตา ไม่มีตัวตน กำหนดควบคุมอะไรไม่ได้..อันนี้ทุกคนก็คงพอเข้าใจในด้านความรู้ ตรรกะ เหตุผล..แต่จะหาคนรู้แจ้งเห็นจริงจนเกิด ปัญญา หลุดพ้นจากความยึดมั่น เข้าถึงแก่นแท้ของสัจธรรมนั้นยากยิ่งนัก..
โลกมีอยู่ เพราะมีอายตนะ6
สำหรับเรา เราเห็นด้วยกับในหลายส่วนนะ แต่จะมีบางส่วนที่เราเห็นว่าการไม่มีบาปหรือกรรมคือเรื่องไม่ดี แต่ถ้าเป็นเรื่องได้รับกรรมสิ่งดีหรือสิ่งไม่ดีก็อีกเรื่อง เราเห็นความคิดส่วนของรหัสยลัทธินั้น หากเขากล่าวเกี่ยวกับการฆ่าคนนั้นไม่บาป บางทีมีความเป็นไปได้ที่ได้รับอิทธิพลมาจาก 'ปรัชญาภควคีตา' ของศาสนาฮินดูในอินเดียโบราณ ที่เล่าถึงเรื่องพระอรชุนต้องไปรบสงครามเพื่อฆ่าญาติตัวเอง แต่ปลงไม่ตก เพราะกลัวเป็นบาป พระกฤษณะจึงให้คำแนะนำพระอรชุนว่า มนุษย์เรานั้น มีสิ่งที่เรียกว่า วิญญาณ ที่ต้องอาศัยร่างกายเป็นกายหยาบ การออกไปรบที่ดูเหมือนว่าเราออกไปฆ่าคน จริง ๆ แล้วเราเหมือนแค่ปลดปล่อยเขาออกจากกายหยาบนั้น ซึ่งเปรียบเสมือนเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มวิญญาณนั้นให้เป็นอิสระ และเมื่อวิญญาณนั้นปราศจากร่างที่ห่อหุ้มไว้ ก็จะสามารถระร่องลอยไปอยู่ในร่างใหม่ ที่คนทั่วไปเข้าใจว่ามันคือ 'การเกิดใหม่' เมื่อพระอรชุนฟังแล้วก็ปลงได้สักที
.
คือจะว่าไงดีล่ะ ส่วนตัวคุณอาจบอกว่ามันไม่ดี หากพิจารณาในกรณีของโจรฆ่าคน แต่ถ้าพิจารณาในกรณีของสงคราม หากเราเป็นทหารและฆ่าคนเพื่อรักษาบ้านเมืองล่ะ เราจะยังเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าความชั่วได้ไหม
.
ที่เราเห็นว่า การไม่มีบาป ไม่มีกรรมมันไม่ใช่เรื่องแย่อย่างที่คิด ก็เพราะว่า 'บาป' และ 'บุญ' เป็นสิ่งที่มนุษย์สมมติมาแต่แรก เพื่อเป็นเครื่องกำกับพฤติกรรมของคนในสังคม อีกทั้งมันยังเป็นสิ่งกระตุ้นให้คนได้ในสิ่งที่ต้องการ เช่น ไม่ฆ่าคน เพราะเป็นบาป กลัวเป็นบาป แต่ไม่ได้ไม่ทำเพราะไม่อยากให้ใครต้องเจ็บปวด หรือไม่อยากเห็นใครนองเลือด, ทำบุญ เพื่อชาติหน้าจะได้สวย แต่อาจไม่ได้เผื่อแผ่ให้คนที่ลำบากบรรเทาความอดอยากจริง ๆ เป็นต้น
.
แล้วก็ จากที่คุณบอกว่าเป็นแนวคิดที่แย่มาก เราเห็นว่าบางทีคุณอาจใช้กรอบแนวคิดปัจจุบันนำมาพิจารณาแนวคิดในอดีต ซึ่งมีสภาพความเชื่อ สังคมและวัฒนธรรมที่ต่างจากสมัยปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง เราว่ามันก็ไม่ได้แย่นะ ถ้าพิจารณาและเลือกใช้มันได้อย่างเหมาะสมกับเคส ๆ ไป
.
ข้อต่อมา เราข้อแย้ง "คนที่เชื่อรหัสยลัทธิก็อาจจะฆ่าคนได้เรื่อย" ส่วนนี้เราเห็นว่าไม่จริง เพราะคงไม่ใช่ทุกคนที่เชื่อรหัสยลัทธิแล้วจะฆ่าคนกันเสียทุกคน เพียงแต่เชาจะต้องเชื่ออย่างมีวิจารณญาณ และก็ไม่จำเป็นต้องเลื่อแค่แนวคิดเดียว และต้องเชื่อทั้งหมดเสมอไป ซึ่งทุกอย่าง มีเหรียญสองด้านเสมอ ถ้าใช้ให้ดีก็เกิดประโยชน์ได้
.
หากจะมองว่าการกระทำไหนดี หรือชั่ว เราอยากให้มองไปความดี และความชั่ว โดยถอดเอาหลักเกณฑ์บาปบุญออกไป เพราะสิ่งที่เรียกว่า 'บาป' และ ''บุญ' มันพ่วงมาด้วยรางวัลและบทลงโทษให้คนกลัว แต่ไม่ได้ให้แง่คิดแก่คนว่า อยากทำดีเพราะมันคือจุดหมายปลายทางในตัวของมันเอง และแน่นอนว่า ไม่ใช่เพราะเราทำไปเพราะเห็นว่ามีความสุข ถ้าเป็นเช่นนั้นจะกลายเป็นว่าเราทำไปเพื่อสนองความต้องการของเราเอง ซึ่งก็คือความสุข (เข้าเรื่องจริยศาสตร์เยอะไปนิดนึง)
ผมว่าคุณตีความว่าบาปบุญผิดไปหน่อย อย่าง ไม่ฆ่าคนเพราะกลัวบาป ไม่ใช่เพราะกลัวเขาเจ็บปวด อันนี้คือ ตีความผิดสุดๆ ที่การฆ่าคนบาปก็เพราะมันทำให้คนอื่นเจ็บปวดนั่นแหละ และเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมฆ่าพืชไม่บาป ฆ่าสัตว์ถึงบาป ทั้งที่พืชและสัตว์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกัน คือ ต้องอ่านรายละเอียดของคำสอนด้วย ไปเอามาประโยคนึงแล้วตีความสรุป ถือว่าพลาดมากๆครับ ในทางศาสนาพุทธ กฏแห่งกรรมบาปบุญเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว พระพุทธไม่ได้เป็นคนกำหนดว่าอะไรบาปอะไรบุญ พระพุทธเจ้าคือผู้ค้นพบกฏเกณฑ์เหล่านี้แล้วนำสิ่งที่ค้นพบมาเผยแพร่ให้คนอื่นได้รู้ เหมือน นิวตัน บอกว่าแรงเท่ากับมวลคูณความเร่ง นิวตันไม่ได้เป็นคนสร้างความจริงข้อนี้ขึ้นมา มันมีอยู่แล้ว แค่นิวตันเป็นคนค้นพบว่าแรงมีค่าเท่ากับเท่าไหร่
การฆ่าคนอาจจะไม่บาป เพราะคุณอาจจะเชื่อว่าบาปบุญเป็นเรื่องสมมติ แต่แนวคิดนี้เป็นแนวคิดสุดโต่งที่ไม่ดีต่อส่วนรวมแน่นอน อย่างไรก็ตามการฆ่าคน คือการพรากชีวิตของบุคคลนั้นๆ ไม่มีใครจะมาพรากชีวิตคนอื่นไปได้ เป็นการเบียดเบียน ถ้าทุกคนคิดสุดโต่งแบบนั้น ไม่อยากจะคิดว่าจะสังคมจะน่ากลัวขนาดไหน
ความจริงคืออะไรนั้นผมไม่รู้ แต่ผมสัมผัสมันได้ด้วยการตื่นจากหลับ
สรรพสิ่ง อยู่ระหว่างความจริง และจินตนาการ...อยู่ระหว่างการ มีอยู่และการ ไม่มี..อยู่ระหว่างสีสันและขาวดำ
พระศาสดาให้ดับต้นเหตุที่เกิดทุกข์ก่อนเป็นอันดับแรก(อริยสัจจ์ข้อ2 สมุทัย) แต่ทุกข์(อริยสัจจ์ข้อ1)ให้ทำการรอบรู้
ย้อนเวลาได้รืคะ
ความจริงคือสิ่งที่ปรากฏ (รับรู้) กับแต่ละสรรพสิ่ง
ความจริงแท้ ไม่มีครับ ^_^
หาเพจเฟสบุ๊คไม่เจอครับ ทั้งๆที่กดไลค์ไว้แล้ว
อาจารยเป็นคนตลกนะคับ นี้คือความจริงของผม
โลกแห่งแบบ นะครับนิยาม form ของเพลโตน่าจะแปลแบบนี้
จริงคือจริง.../เท็จคือจริง.
ชอบมาก เข้าใจง่ายมากๆผมสนใจ ปรัชญา ประวัติศาสตร์ การเมือง วัฒนธรรม สังคมศาสตร์ เข้าใจมากๆๆ
ความจริงก็คือความจริง ครูปรีชาได้กล่าวไว้
ทุกแขนงเลยครับ
ขอบคุณครับสำหรับประสบการณ์ของท่านที่มาแบ่งปัน เพื่อสานต่อองค์ความรู้
อาจารย์น้องครับ ผมตามฟังครับ ขอบคุณมากๆครับ
ติดตามเสมอครับ ตั้งแต่วิทย์แคส ขอให้มีกำลังใจทำต่อไปเรื่อยๆนะครับ
พระพุทธเจ้าโคตมะ พูดถึงใบไม้กำมือเดียว กะใบไม้ในป่าค่ะ...
คลิปนี้ 2 ปีมาแล้ว ป้าเพิ่งมาเปิดดู สนใจการอธิบายของคุณในตอนอื่นที่ได้ติดตาม...
แต่พอฟังคลิปแล้ว ขอแนะนำให้คุณศึกษาท่านอย่างลึกซึ้งและจริงจัง เปิดใจกว้างๆแล้วจะพบ "ความจริง" ที่ท่านจำแนกไส้ให้ทำความเข้าใจตามระดับภูมิปัญญาความพร้อมของแต่ละคนที่จะสามารถเข้าใจได้โดยมีชีวิตดำเนินไปอย่างสมดุลย์ในโลกนี้...."โลกนี้คือละคร,คือมายา" สะท้อนในหนังเรื่อง "Matrix."เรียบร้อยแล้วค่ะ...
ผมชอบ ฟิสิกส์ คณิต ปรัชญา เศรษฐศาสตร์
คุณอาจวรงค์ คุยอธิบายได้สนุกมาก เข้าใจง่ายในหลายสาขา ติดตามอยู่ครับ ขอบคุณมากๆครับ
ล้ำสุดครับ
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ครับ
ชอบฟังเรื่อง ดาราศาสตร์ > ปรัชญา > ฟิสิกส์ครับ 555
ความจริงคือสิ่งที่หาข้อเท็จจริงอื่นมาโต้แย้งมิได้ (หมายถึงหาแล้วไม่มี ไม่มีจริง ไม่ใช่หาไม่ได้ เช่น มึงมีเมียน้อยปะอย่าให้กูจับได้นะ555 อันนี้คือยังหาไม่ได้555)
ชอบทุกเรื่องที่พี่เล่าเลยครับ