ขนาดวิดีโอ: 1280 X 720853 X 480640 X 360
แสดงแผงควบคุมโปรแกรมเล่น
เล่นอัตโนมัติ
เล่นใหม่
ชกกันสนุกมากเลยครับ
แดงไดจะเเจ้งเหลื่มดีสว่นนำ้อาวุธไม้ตอ่ลุงดูนะ
ถ้าไม่ล้มเสียรูปมวยชนะเห็นวางแข็งสามกอออกอาการทั้งยก
ยกห้าสามกอวางแข้งส่วนมากจะโดนบังหมดไม่เข้าเลย
ถึงไม่ล้มก็แพ้
เทวฤทธิ์น้อย ชุมพรพิทักษ์
เทวฤทธิ์น้อย เอส.เค.วี.ยิมส์
ขุนเข่าถูขี้ไคลในตำนาน
พี่เลี้ยงเงินเก่งมากยก5ออกมามีเตะขวานำก่อนไม่งั้นมัวแต่จะเดีนไปคว้าโดนแดงเตะซ้ายแพ้ขาดแน่แต่ช่วงกลางจนถึงท้ายเงินกำลังจะพลิกมาเป็นต่อดันโดนเตะกวาดล้ม2ครั้งมวยกำลังหาจุดชี้แพ้ชนะมาเจอ2ดอกนี้เรียบร้อย,ยอมรับว่าช่วงนั้นนี้คือ2ใน3ขุนเข่าของทรงชัยเลยยังมีลำน้ามูลอีก.
เทวฤทธิ์น้อย ขุนเข่าถูขี้ไคลในตำนาน สมัยนั้นยังพอชกสนุก ออกอาวุธต่อเนื่อง อาวุธยังถือว่าเน้น และยังพอจะแจ้งบ้าง แม้จะหนักไปทางลูกเข่าก็ตาม แต่พอผ่านมาเข้าสู่ยุคมวยเศรษฐกิจพองสบู่แตก (ปี2540 เป็นต้นไป) น้ำหนักมากขึ้น ค่านิยมการเล่นการให้คะแนนเปลี่ยนไปเน้นให้เครดิตลูกแข็งแรง กลายเป็นมวยเน้นลูกแข็งใล่ปล้ำพัดอย่างเดียว แถวยังจ้องจะลงเอวรัดใต้ปีกอยู่เรื่อย จนได้ฉายาจากผู้สื่อข่าวสายมวยให้เกียรติตั้งให้ เป็น ขุนเข่าถูขี้ไคล อย่างเต็มภาคภูมิ ที่จริง คำว่าเข่าถูขี้ไคลเขาไช้เรียกมวยที่ปล้ำเข่ากันไปมาไม่จะแจ้งก่อนหน้านั้นเกือบเป็นสิบปี ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นฉายาให้นักมวยคนใดเฉพาะเจาะจง โดยคนที่ประดิษฐ์วาทกรรมนี้ก็ไช่ใคร พิศณุ นิลกลัด นั่นเอง แต่ถึงจะกลายเป็นนักมวยคนแรกที่ถือได้ว่าได้ฉายานี้ไปเป็นฉายาประจำตัว แต่ช่วงนั้นถือว่าฟอร์มของเค้าจัดว่าดีต่อเนื่องอยู่พักใหญ่ๆ เพราะเนื่องจากค่านิยมมวยถูกจริตสไตล์การชกของพี่แก และได้เข้าร่วมชกมวยรอบอีซูซุด้วย ซึ่วสมัยนั้นยังถือว่าฮิตฮอตอยู่ และที่จริงควรจะดังกว่านี้ถ้าน้ำหนักแกไม่พุ่งพรวดขึ้นไปเป็นมวยใหญ่ตามกาลเวลา (130 ปอนด์สำหรับมวยไทยก็ถือว่าใหญ่แล้ว) เนื่องจากต่อยมวยผ่านยุคผ่านสมัยมาจนเก๋าพอตัว (ก็ต่อยมาตั้งแต่ยุคมวยไทยรุ่งเรืองอย่างที่เห็นในคลิปนี้แหละ) อีกทั่งได้ย้ายข้ามศึกจากวันทรงชัยไปศึกวันมวยไทยของเจ๊กเส่ย ซึ่งอยู่ในช่วงยุคปลายแล้ว พร้อมกับแปะสีเสื้อใหม่ของเสี่ยเล็ก เป็น เอส.เค.วี.ยิมส์ และถือว่าได้เป็นมวยเอกแห่งยุคนั้นเลย ได้ชกเป็นคู่เอกของศึกประจำ จนศึกวันมวยไทยจะล่มแหล่มิล้มแหล่จนถึงขั้นแฟนมวยท้วงเพราะความห่วยแตกการจัดศึกเจ้าของศึกที่นับวันยิ่งแย่ลงๆตามสังขาลของเจ๊กเส่ย พี่แกและเสี่ยเจ้าของสีเสื้อใหม่อยู่ด้วยไม่ได้แล้ว ตอนหลังย้ายข้ามมาที่ลุมพินีอีกครั้งโดยซบชกกับศึกเพชรสุภาพรรณของเสี่ยบู๊ เมืองเพชร ไม่รู้ว่าในชีวิตการชกมวยของแกมาเคยได้เป็นมวยเงินแสนกับเค้ามั๊ย แต่ที่ต่อยกันอยู่ที่เห็นในคลิปนี้แกไม่มีทางก้าวมาเป็นมวยเอกได้ด้วยเชิงชกและชั้นเชิงแค่นี้ เพราะยุคที่เห็นนี้ลำพังแค่ความแข็งแรงไม่สามารถเป็นมวยเอกค่าตัวมวยเงินแสนกว่าๆถึงสองแสนได้หรอก ก็อย่างที่เห็น มวยยุคนี้อาวุธมวยและการเคลื่อนที่ของนักมวย ทั้งขยันและพริ้วรวดเร็วมาก ไม่มีถึงตัวกันง่ายๆหรอก กว่าจะจับตีได้ โดนทั้งแข้งและเข่าไปเท่าไหร่น่ะนั้น หนักๆทั้งน้าน พอประกบตีวงในถ้าเป็นช่วงยุคที่ว่าพองสบู่แตกยังพอตีหนักๆดอกสองดอกแล้วรัดแน่นๆให้หน้าเสี่ยพาพวกเฮเสียงดังให้ราคาใหลแล้วรอกรรมการมาแยก หรือไม่ลงรวบเอวซอยเข่าแล้วหักเททิ้งตามลูกถนัด แต่ยุคนั้นการแยกเร็วซะที่ไหน ปล่อยให้ตีกันเต็มที่ ออกได้ออกไปไม่มีแยกง่าย ราคาหน้าเสี่ยก็ไม่ค่อยสำคัญเหมือนยุคนี้ อาวุธและความฟิตเท่านั้นถึงจะอยู่เป็นมวยทำเงินได้ และคู่ชกแกยุคนั้นธรรมดาซะที่ไหน เผลอเจอเข่าเจอศอกของคู่ชกหนักกว่าของตัวเองอีก เพราะยุคนั้นการที่จะเป็นมวยเอกได้ต้องไม่ธรรมดาจริงๆ
ถ้าเป็น7สีแยกแล้วครับ
ชกกันสนุกมากเลยครับ
แดงไดจะเเจ้งเหลื่มดีสว่นนำ้อาวุธไม้ตอ่ลุงดูนะ
ถ้าไม่ล้มเสียรูปมวยชนะเห็นวางแข็งสามกอออกอาการทั้งยก
ยกห้าสามกอวางแข้งส่วนมากจะโดนบังหมดไม่เข้าเลย
ถึงไม่ล้มก็แพ้
เทวฤทธิ์น้อย ชุมพรพิทักษ์
เทวฤทธิ์น้อย เอส.เค.วี.ยิมส์
ขุนเข่าถูขี้ไคลในตำนาน
พี่เลี้ยงเงินเก่งมากยก5ออกมามีเตะขวานำก่อนไม่งั้นมัวแต่จะเดีนไปคว้าโดนแดงเตะซ้ายแพ้ขาดแน่แต่ช่วงกลางจนถึงท้ายเงินกำลังจะพลิกมาเป็นต่อดันโดนเตะกวาดล้ม2ครั้งมวยกำลังหาจุดชี้แพ้ชนะมาเจอ2ดอกนี้เรียบร้อย,ยอมรับว่าช่วงนั้นนี้คือ2ใน3ขุนเข่าของทรงชัยเลยยังมีลำน้ามูลอีก.
เทวฤทธิ์น้อย ขุนเข่าถูขี้ไคลในตำนาน สมัยนั้นยังพอชกสนุก ออกอาวุธต่อเนื่อง อาวุธยังถือว่าเน้น และยังพอจะแจ้งบ้าง แม้จะหนักไปทางลูกเข่าก็ตาม แต่พอผ่านมาเข้าสู่ยุคมวยเศรษฐกิจพองสบู่แตก (ปี2540 เป็นต้นไป) น้ำหนักมากขึ้น ค่านิยมการเล่นการให้คะแนนเปลี่ยนไปเน้นให้เครดิตลูกแข็งแรง กลายเป็นมวยเน้นลูกแข็งใล่ปล้ำพัดอย่างเดียว แถวยังจ้องจะลงเอวรัดใต้ปีกอยู่เรื่อย จนได้ฉายาจากผู้สื่อข่าวสายมวยให้เกียรติตั้งให้ เป็น ขุนเข่าถูขี้ไคล อย่างเต็มภาคภูมิ ที่จริง คำว่าเข่าถูขี้ไคลเขาไช้เรียกมวยที่ปล้ำเข่ากันไปมาไม่จะแจ้งก่อนหน้านั้นเกือบเป็นสิบปี ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นฉายาให้นักมวยคนใดเฉพาะเจาะจง โดยคนที่ประดิษฐ์วาทกรรมนี้ก็ไช่ใคร พิศณุ นิลกลัด นั่นเอง แต่ถึงจะกลายเป็นนักมวยคนแรกที่ถือได้ว่าได้ฉายานี้ไปเป็นฉายาประจำตัว แต่ช่วงนั้นถือว่าฟอร์มของเค้าจัดว่าดีต่อเนื่องอยู่พักใหญ่ๆ เพราะเนื่องจากค่านิยมมวยถูกจริตสไตล์การชกของพี่แก และได้เข้าร่วมชกมวยรอบอีซูซุด้วย ซึ่วสมัยนั้นยังถือว่าฮิตฮอตอยู่ และที่จริงควรจะดังกว่านี้ถ้าน้ำหนักแกไม่พุ่งพรวดขึ้นไปเป็นมวยใหญ่ตามกาลเวลา (130 ปอนด์สำหรับมวยไทยก็ถือว่าใหญ่แล้ว) เนื่องจากต่อยมวยผ่านยุคผ่านสมัยมาจนเก๋าพอตัว (ก็ต่อยมาตั้งแต่ยุคมวยไทยรุ่งเรืองอย่างที่เห็นในคลิปนี้แหละ) อีกทั่งได้ย้ายข้ามศึกจากวันทรงชัยไปศึกวันมวยไทยของเจ๊กเส่ย ซึ่งอยู่ในช่วงยุคปลายแล้ว พร้อมกับแปะสีเสื้อใหม่ของเสี่ยเล็ก เป็น เอส.เค.วี.ยิมส์ และถือว่าได้เป็นมวยเอกแห่งยุคนั้นเลย ได้ชกเป็นคู่เอกของศึกประจำ จนศึกวันมวยไทยจะล่มแหล่มิล้มแหล่จนถึงขั้นแฟนมวยท้วงเพราะความห่วยแตกการจัดศึกเจ้าของศึกที่นับวันยิ่งแย่ลงๆตามสังขาลของเจ๊กเส่ย พี่แกและเสี่ยเจ้าของสีเสื้อใหม่อยู่ด้วยไม่ได้แล้ว ตอนหลังย้ายข้ามมาที่ลุมพินีอีกครั้งโดยซบชกกับศึกเพชรสุภาพรรณของเสี่ยบู๊ เมืองเพชร ไม่รู้ว่าในชีวิตการชกมวยของแกมาเคยได้เป็นมวยเงินแสนกับเค้ามั๊ย
แต่ที่ต่อยกันอยู่ที่เห็นในคลิปนี้แกไม่มีทางก้าวมาเป็นมวยเอกได้ด้วยเชิงชกและชั้นเชิงแค่นี้ เพราะยุคที่เห็นนี้ลำพังแค่ความแข็งแรงไม่สามารถเป็นมวยเอกค่าตัวมวยเงินแสนกว่าๆถึงสองแสนได้หรอก ก็อย่างที่เห็น มวยยุคนี้อาวุธมวยและการเคลื่อนที่ของนักมวย ทั้งขยันและพริ้วรวดเร็วมาก ไม่มีถึงตัวกันง่ายๆหรอก กว่าจะจับตีได้ โดนทั้งแข้งและเข่าไปเท่าไหร่น่ะนั้น หนักๆทั้งน้าน พอประกบตีวงในถ้าเป็นช่วงยุคที่ว่าพองสบู่แตกยังพอตีหนักๆดอกสองดอกแล้วรัดแน่นๆให้หน้าเสี่ยพาพวกเฮเสียงดังให้ราคาใหลแล้วรอกรรมการมาแยก หรือไม่ลงรวบเอวซอยเข่าแล้วหักเททิ้งตามลูกถนัด แต่ยุคนั้นการแยกเร็วซะที่ไหน ปล่อยให้ตีกันเต็มที่ ออกได้ออกไปไม่มีแยกง่าย ราคาหน้าเสี่ยก็ไม่ค่อยสำคัญเหมือนยุคนี้ อาวุธและความฟิตเท่านั้นถึงจะอยู่เป็นมวยทำเงินได้ และคู่ชกแกยุคนั้นธรรมดาซะที่ไหน เผลอเจอเข่าเจอศอกของคู่ชกหนักกว่าของตัวเองอีก เพราะยุคนั้นการที่จะเป็นมวยเอกได้ต้องไม่ธรรมดาจริงๆ
ถ้าเป็น7สีแยกแล้วครับ