ขนาดวิดีโอ: 1280 X 720853 X 480640 X 360
แสดงแผงควบคุมโปรแกรมเล่น
เล่นอัตโนมัติ
เล่นใหม่
มีผู้รู้มากมายแต่ไม่ปฎิบัติ ผลถึงได้แค่รู้ แต่ไมลึกซึ้งพอ
ผมดูแล้วผู้ที่ปฏิบัติเคร่งครัดจะอยู่กับการปฏิบัติจนคนเข้าไม่ถึงมีมากพอควรครับ ยังมีพระที่อยู่ในป่าในเขาอยู่ คนที่ปฏิบัติสมาธิและมีปัญญาก็มีนะผมว่า
นิพพานคือสภาวะครับ อยู่ในเมืองก็นิพพานได้ มันคือความเข้าใจสภาวะความธรรมดาของจิต และสรรพสิ่งจนเกิดการละความยึดมั่นถือมั่นแล้วทุกสิ่ง จิตจึงไม่เกิดภพเกิดชาติครับ แค่อาณาปานสติก็เข้าถึงนิพพานได้แล้วครับ@@cate-y3b
สาธุ
ขอขอบคุณ
ฟังแล้าดีมากคะ
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ขออนุโมทนาสาธุ คะ
❤ สาธุขออนุโมทนาครับ
กราบสาธุธรรมเจ้าค่ะ
กราบ.สวัสดีท่านอาจายร์.ด้วยความเคารพ
สุดยอด..อาจารย์..นี้คือความจริง..น้อมรับค่ะ
สวัสดีท่านอ.ค่ะ หนูได้ฟังเรื่องนิพพาน ไม่กี่นาที ด้วยติดภารกิจแต่ลึกซึ้ง เข้าใจได้อย่างถ่องแท้เลยค่ะ 🙏 จะกลับมาชมย้อนหลังค่ะ
สาธุๆ ครับ
ความเห็นที่ 8 )อาจารย์พูดว่า “นิพพาน….แม้กระทั่งหาจาก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็หาไม่เจอ เพราะ อนิจัง ทุกขัง อนัตตา ล้วนแล้วแต่ moving เคลื่อนที่ตลอดเวลา………มันไม่ใช่ตัวไปสู่นิพพาน ถ้ามันเป็นตัวไปสู่นิพพาน ป่านนี้พวกคุณไปแล้ว อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ใครไม่รู้ว่ะ อยากจะรู้….”ขอแสดงความเห็นค้านดังนี้๑. พระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า 5 รูปแรก คือพระปัญจวัคคีย์นั้น บรรลุเป็นพระขีณาสพเพราะได้ฟัง”อนัตตลักขณะสูตร” สูตรนี้ อาจารย์ก็รู้ว่า พระพุทธองค์ทรงตรัสสั่งสอนถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นเอง๒. ปัญหาที่ว่า พระไตรลักษณ์เคลื่อนที่ตลอดเวลาหรือเปล่า? ก็ขอยกไว้ เพราะไม่เป็นสาระเกี่ยวข้องกับพระนิพพานที่อาจารย์ตีความ หรือความเห็นส่วนตัวของอาจารย์เท่านั้น ตราบใดที่ยังไม่เห็นนิพพานก็ได้แต่คาดคะแนไปตามระดับความรู้และความเข้าใจในธรรม
น้อมกราบท่านอาจารย์ทวีศักดิ์ด้วยเศียรเกล้า กราบขอบพระคุณคะ
กราบสวัสดีอาจารย์ค่ะ
ขอบคุณที่เจอ
อนุโมทนาสาธุครับอาจารย์
ความเห็นที่ 7 )อายตนะแม้นั้น ชื่อว่าไม่มีการมา เพราะเป็นฐานะที่ไม่ควรมา เหมือนจากละแวกบ้านมาสู่ละแวกบ้านชื่อว่าไม่มีการไป เพราะไม่เป็นฐานะที่ควรจะไปชื่อว่าไม่มีฐิติ เพราะไม่มีฐานะที่จะตั้งอยู่ เหมือนแผ่นดินและภูเขาเป็นต้นอนึ่ง ชื่อว่าไม่มีการเกิด เพราะไม่มีปัจจัย ชื่อว่าไม่มีจุติ เพราะไม่มีการตายเป็นสภาวะนั้น พระนิพพานนั้นล้วนชื่อว่า”ไม่มีที่ตั้งอาศัย” เพราะมีสภาวะเป็นอรูป และเพาะไม่มีปัจจัย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าไม่มีที่ตั้ง ชื่อว่า”ไม่เปลี่ยนแปลง” เพราะไม่มีความเป็นไปพร้อม และเพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อความเป็นไปในพระนิพพานนั้น ชื่อว่า”ไม่มีอารมณ์” เพราะไม่มีอารมณ์อะไรๆเป็นที่ยึดเหนี่ยว และเพราะไม่มุ่งถึงอารมณ์ที่อุปถัมภ์เหมือนสัมปยุตธรรมมีเวทนาเป็นต้น แม้ที่มีสภาวะเป็นอรูป(เป็นนาม) ฉะนั้น พระนิพพานนั้น พระพุทธองค์จึงกล่าวว่า เป็นอายตนะ พระนิพพานซึ่งมีลักษณะตามที่กล่าวแล้ว ดังนี้นั่นแหละ จึงชื่อว่าเป็นที่สุด คือเป็นที่สิ้นสุดแห่งวัฏทุกข์ทั้งสิ้น เพราะเมื่อมีการบรรลุพระนิพพาน ทุกข์ทั้งหมดก็ไม่มี เพราะเหตุฉะนั้น จึงทรงแสดงว่า พระนิพพานนั้นมีสภาวะเป็นที่สุดแห่งทุกข์นั่นแล
ชัดเจนค่ะ ขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ สาธุ
กราบสาธุค่ะ ท่านอาจารย์
กราบขอบพระคุณ ในทุกคำสอน ขอน้อมนำมาฝึกปฏิบัติค่ะ
กราบสาธุค่ะ
ขอบคุณครับ
ช่องว่างระหว่าง อนุภาคคลื่นอาจก่อให้เกิด Fussionโดยคลื่นเสียงของPiano&Violin is composed by Shympony Ochedtra or equan Figueroa out to integate Sin30°~Cos30° each of both be squared.
ความเห็นที่ 6 )๑๑. “ภิกษุทั้งหลาย อายตนะมีอยู่ ฯลฯ” อายตนะ ในที่นี้หมายถึงนิพพาน พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้งทรงแสดงถึงอสังขตธาตุว่ามีอยู่โดยปรมัติแล้ว จึงทรงแสดงสภาวะที่พระนิพพานนั้นมีอยู่ โดยมุขคือความผ่องแผ้วแห่งธรรมที่ตรงข้ามจากอสังขตธาตุนั้น จึงตรัสว่า”ในอายตนะนั้น ไม่มีปฐวีธาตุ ไม่มีอาโปธาตุ ไม่มีเตโชธาตุ ไม่มีวาโยธาตุ” บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงธรรมที่นับเนื่องในอรูปภพ ไม่มีในพระนิพพานนั้น แม้ในเมื่อพระนิพพานมีสภาวะเป็นอรูป จึงตรัสคำว่า “ไม่มีอากาสานัญจายตนะ ไม่มีวิญญาณัญจายตนะ ไม่มีอากิญจัญญายตนะ ไม่มีเนวสัญญานาสัญญายตนะ” ก็กามโลกไม่มีในพระนิพพานด้วยอารมณ์ใด แม้อิธโลก และปรโลก ก็ไม่มีในพระนิพพานนั้นด้วยอารมณ์นั้น เพราะเหตุนั้น พระพุทธองค์จึงกล่าวว่า “โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี” เนื่องเพราะเหตุที่เมื่อ”รูป”มี ความมืดก็ย่อมมี และเพื่อกำจัดความมืด พระจันทร์และพระอาทิตย์ก็หมุนเวียนไป แต่รูปโดยประการทั้งปวง ไม่มีในที่ใด ความมืดในที่นั้นจักมีได้อย่างไร ฉะนั้นจึงทรงกล่าวว่า”ไม่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ทั้งสองนั้น” ด้วยการกล่าวดังนี้ แสดงถึงพระนิพพานมีความสว่างไสวเป็นสภาวะนั่นเอง พระพุทธเจ้าไม่กล่าว”การมา”จากที่ไหนๆในอายตนะคือพระนิพพานนั้น เพราะพระนิพพานไม่มีฐานะที่จะพึงมา และไม่กล่าวการไปในที่ไหนๆ เพราะฐานะที่พระนิพพานจะพึงถึงไม่มีเพราะการมาและการไปของสัตว์ทั้งหลาย เว้นการกระทำให้เป็นอารมณ์ด้วยญาณ (ย้ำว่า เว้นการกระทำให้เป็นอารมณ์ด้วยญาณ) ไม่มีในพระนิพพานนั้น
ดับขันธุ์ปรินิพพาน คือ ขันธ์ 5(ตัวทุกข์) ของพระอรหันต์ ที่วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏมายาวนาน(ตามกฏของปฏิจสมุปบาท) ได้ดับสนิทไป(เพราะเหตุที่อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ที่เป็นเหตุถูกเพิกถอนไป) นิพพาน จึงถูกเรียกว่าที่สุดแห่งทุกข์ (ทุกข์ดับสนิท) เรียกว่า สุญญตา(ว่างจากทุกข์)
วิญญาณในคัมถีร์อภิธรรมมีกล่าวไว้เพียง "ทวิปัญจวิญญาณ" ซึงเกิดปรากฎมีรูปารมณ์เป็นมีสภาพไม่รู้ และถูกรู้โดยเหตุปีจจัยจากธาตุรู้จนกว่ารูปารมณ์จะดับภายใน ๑๗ขณะจืตวิญญาณจึงดับพร้อม
ความเห็นที่ 5 ) พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากฌานแล้ว หยั่งลงสู่ภวังค์ แล้วปรินิพพานในระหว่างนั้น ชื่อว่าระหว่างฌาน ในลำดับ ๒ นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากฌานแล้ว พิจารณาองค์ฌานอีก หยั่งลงสู่ภวังค์ แล้วปรินิพพานในระหว่างนั้นนั่นแหละ ชื่อว่าระหว่างปัจจเวกขณญาณ แม้ทั้ง ๒ นี้ก็ชื่อว่าระหว่างทั้งนั้น ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเข้าฌานเสด็จออกจากฌาน พิจารณาองค์ฌานแล้วปรินิพพานด้วยภวังคจิต เป็นอัพยากฤตเป็นทุกขสัจจะ. สัตว์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ไม่ว่าพระพุทธเจ้าหรือพระสาวก อย่างต่ำมดดำมดแดง ต้องกระทำกาละด้วยภวังคจิตที่เป็นอัพยากฤต เป็นทุกขสัจทั้งนั้นแล
ความเห็นที่ 4 )๑๐. ที่พระพุทธองค์ทรงกระทำบริกรรมในพระปรินิพพานนั้น ไม่ใช่เพื่อตรวจดูว่า ที่ทรงสอนมา 45 ปีนั้น สอนถูกหรือเปล่า? พระพุทธองค์ทรงมั่นใจตั้งแต่ ทรงตรัสรู้ในคืนวันเพ็ญบนวัชรอาสน์ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิแล้วครับ ข้อพิสูจน์ก็ได้แก่ คำสอนที่ทรงแสดงมาถึง 45 ปี ทำให้สาวกทั้งหลายรวมทั้งเทวดาและมนุษย์บรรลุธรรมมากมายจนนับจำนวนไม่ได้ การคาดเดาและตรรกะของอาจารย์วิบัติมากครับ การที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำบริกรรมในพระปรินิพพานนั้น …. ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงออกจากสัญญาเวทจิตนิโรธ เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ฯลฯ ออกจากตติยฌาน เข้าจตุตถฌาน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้าปฐมฌานในฐานะ ๒๔ ทุติยฌานในฐานะ ๑๓ ตติยฌานก็เหมือนกัน เข้าจตุตถฌานในฐานะ ๑๕ เข้าอย่างไร(ก็ขอละไว้) พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นเจ้าของธรรม เสด็จเข้าพระนครคือปรินิพพาน เสด็จเข้าสมาบัทั้งหมดนับได้ยี่สิบสี่แสนโกฏิ แล้วเข้าเสวยสุขในสมาบัติทั้งหมด เหมือนคนไปต่างประเทศ กอดคนที่เป็นญาติฉะนั้น ในคำนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากจตุตถฌานในลำดับมา เสด็จปรินิพพาน คือ ในลำดับทั้ง ๒ คือ ในลำดับแห่งฌาน ในลำดับแห่งปัจจเวกขณญาณ
กราบสวัสดีและขอบพระคุณท่านอาจารย์ทวีศักดิ์ค่ะ ท่านสามารถอธิบายธรรมให้เกิดความรู้และความเข้าใจได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆค่ะ❤️❤️❤️
สิ่งสิ่งหนึ่งเมื่อมีอวิชชา คือสัตตานัง ผู้เวียนว่ายตายเกิด
ที่ยังสงสัยสภาพนิพพานกันอยู่ ก็เพราะคำว่า นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง นั้นเพราะอะไร ก็เพราะคนที่สงสัยยังเป็นปุถุชนอยู่ จึงคิดเอาเองว่า คำว่า"สุข"ของคำว่า "สุขอย่างยิ่ง" นั้นเป็นสุขขนิดเดียวกับที่ขันธ์ 5 ได้เสวยมายาวนาน แต่ไม่ใช่ เพราะคำว่าสุขที่ว่านี้ คือ เป็นสุขเพราะทุกข์ดับไปแล้ว
🙏🏽🙏🏽
กราบสาธุๆชัดเจนหนอแต่มแจ้งจริงหนอสาธุๆ
ช่วยอธิบายความหมายของคำว่า อทิสมานกาย ให้ฟังได้ไหมตะ
ดินน้ำไฟลม
ภาวะนิพพาน ไม่มีหรอก พวกนักบวชปรัชญาคิดขึ้นเองและเอาไปคุยกันต่อๆไปมันคือความสงบ เป็นบางช่วง เวลายาวหรือสั้นแล้วแต่ๆละคนตายไป ก้อจบการเคลื่อนไหวผู้สอนก้อว่าไปต่างๆนาๆ มากมายในเรื่องต่างๆ จริง หรือไม่จริงเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะจ๊ะอย่าเขื่อว่า ทุกอย่างที่ผู้สอนพูดถูกหมดนะจ๊ะ
ปฏิบัติแล้วหรือครับถึงบอกว่าไม่มี 😊
ปฏิบัติความสงบจิตใจและกาย ปลงอารมณ์และความรู้สึก ไม่ต้องไปมีส่วนได้ส่วนเสียอะไร ปลีกตัวจากเรื่องราวต่างๆ จะสงบจิตใจและความรู้สึกของตนเองได้ง่ายทำสั้นๆนี้ก้อได้ละ ไม่ต้องไปฟังปรัชญาลึกซึ้ง เลอะเทอะอะไรมากมาย จะเข้ารกเข้าพงไปตามความคิดที่เพ้อฝันต่างๆนาๆ ที่ว่ากันไปเรื่อยเปื่อยตามความคิด
@@pissanukatika3720 ความรู้คือรากฐาน คนเราเกิดมาศึกษาสิ่งต่างๆไปมีแต่ได้นะครับปิดใจมีแต่เสียเวลาโลกไม่ได้หยุดหมุนแค่นี้ ผมอยากฝากไว้
@@pissanukatika3720 เหมือนคนทำงานเดิมซ้ำๆมีความสุขดีจึงบอกว่านี่คือความสุขที่แท้จริงทั้งๆที่คนอื่นที่ทำงานอื่นๆก็มีสุขเช่นกัน
@@pissanukatika3720 ความสงบสุขและจุดสูงสุดไม่ได้สงวนไว้ให้กับกลุ่มคนใดนะครับทุกคนเข้าถึงได้
ศูนย์จากอัตตาตัวตน
นิพพานก็คือ..อือ ? แค่ทำตัวให้เหมือนกล้องวงจรปิดได้ก็สุดยอดแล้ว
ว้าว
เอไอ หรือ ไอโฟน ก็เหมือนได้
เกิดไม่ปรากฎ
เป็นปรมัตถ์สุขเป็นสภาวะหลุดพ้นจากอาสวะ ไม่มีจุติอีกแล้ว
น่าจะเหมือน ฟิสิกส์ธรรมดา กับ ฟิสิกส์ควอนตั้มมั้ง สำหรับผู้ยังไม่หลุดพ้น มันก็อิงตามกติกานึงผู้ที่หลุดพ้นไปแล้ว ก็ใช้อีกกติกานึงว่าแต่ผมสงสัยว่าคนเป็นอัลไซเมอร์ การมีลูกมันไม่ใช่ experience เหรอ ??
ชัดเจนจริงหนอแจ่มแจ้งจริงหนอกราบสาธุๆ
ผมเชื่อตามพระศาติมาโดยตลอดเลยครับทั้งที่ศึกษาธรรม
มีผู้รู้มากมายแต่ไม่ปฎิบัติ ผลถึงได้แค่รู้ แต่ไมลึกซึ้งพอ
ผมดูแล้วผู้ที่ปฏิบัติเคร่งครัดจะอยู่กับการปฏิบัติจนคนเข้าไม่ถึงมีมากพอควรครับ ยังมีพระที่อยู่ในป่าในเขาอยู่ คนที่ปฏิบัติสมาธิและมีปัญญาก็มีนะผมว่า
นิพพานคือสภาวะครับ อยู่ในเมืองก็นิพพานได้ มันคือความเข้าใจสภาวะความธรรมดาของจิต และสรรพสิ่งจนเกิดการละความยึดมั่นถือมั่นแล้วทุกสิ่ง จิตจึงไม่เกิดภพเกิดชาติครับ แค่อาณาปานสติก็เข้าถึงนิพพานได้แล้วครับ@@cate-y3b
สาธุ
ขอขอบคุณ
ฟังแล้าดีมากคะ
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ขออนุโมทนาสาธุ คะ
❤ สาธุขออนุโมทนาครับ
กราบสาธุธรรมเจ้าค่ะ
กราบ.สวัสดีท่านอาจายร์.ด้วย
ความเคารพ
สุดยอด..อาจารย์..นี้คือความจริง..น้อมรับค่ะ
สวัสดีท่านอ.ค่ะ หนูได้ฟังเรื่องนิพพาน ไม่กี่นาที ด้วยติดภารกิจ
แต่ลึกซึ้ง เข้าใจได้อย่างถ่องแท้เลยค่ะ 🙏 จะกลับมาชมย้อนหลังค่ะ
สาธุๆ ครับ
ความเห็นที่ 8 )
อาจารย์พูดว่า “นิพพาน….แม้กระทั่งหาจาก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็หาไม่เจอ เพราะ อนิจัง ทุกขัง อนัตตา ล้วนแล้วแต่ moving เคลื่อนที่ตลอดเวลา………มันไม่ใช่ตัวไปสู่นิพพาน ถ้ามันเป็นตัวไปสู่นิพพาน ป่านนี้พวกคุณไปแล้ว อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ใครไม่รู้ว่ะ อยากจะรู้….”
ขอแสดงความเห็นค้านดังนี้
๑. พระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า 5 รูปแรก คือพระปัญจวัคคีย์นั้น บรรลุเป็นพระขีณาสพเพราะได้ฟัง”อนัตตลักขณะสูตร” สูตรนี้ อาจารย์ก็รู้ว่า พระพุทธองค์ทรงตรัสสั่งสอนถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นเอง
๒. ปัญหาที่ว่า พระไตรลักษณ์เคลื่อนที่ตลอดเวลาหรือเปล่า? ก็ขอยกไว้ เพราะไม่เป็นสาระเกี่ยวข้องกับพระนิพพานที่อาจารย์ตีความ หรือความเห็นส่วนตัวของอาจารย์เท่านั้น ตราบใดที่ยังไม่เห็นนิพพานก็ได้แต่คาดคะแนไปตามระดับความรู้และความเข้าใจในธรรม
น้อมกราบท่านอาจารย์ทวีศักดิ์ด้วยเศียรเกล้า กราบขอบพระคุณคะ
กราบสวัสดีอาจารย์ค่ะ
ขอบคุณที่เจอ
อนุโมทนาสาธุครับอาจารย์
ความเห็นที่ 7 )
อายตนะแม้นั้น ชื่อว่าไม่มีการมา เพราะเป็นฐานะที่ไม่ควรมา เหมือนจากละแวกบ้านมาสู่ละแวกบ้าน
ชื่อว่าไม่มีการไป เพราะไม่เป็นฐานะที่ควรจะไป
ชื่อว่าไม่มีฐิติ เพราะไม่มีฐานะที่จะตั้งอยู่ เหมือนแผ่นดินและภูเขาเป็นต้น
อนึ่ง ชื่อว่าไม่มีการเกิด เพราะไม่มีปัจจัย ชื่อว่าไม่มีจุติ เพราะไม่มีการตายเป็นสภาวะนั้น
พระนิพพานนั้นล้วนชื่อว่า”ไม่มีที่ตั้งอาศัย” เพราะมีสภาวะเป็นอรูป และเพาะไม่มีปัจจัย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าไม่มีที่ตั้ง ชื่อว่า”ไม่เปลี่ยนแปลง” เพราะไม่มีความเป็นไปพร้อม และเพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อความเป็นไปในพระนิพพานนั้น ชื่อว่า”ไม่มีอารมณ์” เพราะไม่มีอารมณ์อะไรๆเป็นที่ยึดเหนี่ยว และเพราะไม่มุ่งถึงอารมณ์ที่อุปถัมภ์เหมือนสัมปยุตธรรมมีเวทนาเป็นต้น แม้ที่มีสภาวะเป็นอรูป(เป็นนาม) ฉะนั้น พระนิพพานนั้น พระพุทธองค์จึงกล่าวว่า เป็นอายตนะ
พระนิพพานซึ่งมีลักษณะตามที่กล่าวแล้ว ดังนี้นั่นแหละ จึงชื่อว่าเป็นที่สุด คือเป็นที่สิ้นสุดแห่งวัฏทุกข์ทั้งสิ้น เพราะเมื่อมีการบรรลุพระนิพพาน ทุกข์ทั้งหมดก็ไม่มี เพราะเหตุฉะนั้น จึงทรงแสดงว่า พระนิพพานนั้นมีสภาวะเป็นที่สุดแห่งทุกข์นั่นแล
ชัดเจนค่ะ ขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ สาธุ
กราบสาธุค่ะ ท่านอาจารย์
กราบขอบพระคุณ ในทุกคำสอน ขอน้อมนำมาฝึกปฏิบัติค่ะ
กราบสาธุค่ะ
ขอบคุณครับ
ช่องว่างระหว่าง อนุภาคคลื่นอาจก่อให้เกิด Fussionโดยคลื่นเสียงของPiano&Violin is composed by Shympony Ochedtra or equan Figueroa out to integate Sin30°~Cos30° each of both be squared.
ความเห็นที่ 6 )
๑๑. “ภิกษุทั้งหลาย อายตนะมีอยู่ ฯลฯ”
อายตนะ ในที่นี้หมายถึงนิพพาน
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้งทรงแสดงถึงอสังขตธาตุว่ามีอยู่โดยปรมัติแล้ว จึงทรงแสดงสภาวะที่พระนิพพานนั้นมีอยู่ โดยมุขคือความผ่องแผ้วแห่งธรรมที่ตรงข้ามจากอสังขตธาตุนั้น จึงตรัสว่า”ในอายตนะนั้น ไม่มีปฐวีธาตุ ไม่มีอาโปธาตุ ไม่มีเตโชธาตุ ไม่มีวาโยธาตุ”
บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงธรรมที่นับเนื่องในอรูปภพ ไม่มีในพระนิพพานนั้น แม้ในเมื่อพระนิพพานมีสภาวะเป็นอรูป จึงตรัสคำว่า “ไม่มีอากาสานัญจายตนะ ไม่มีวิญญาณัญจายตนะ ไม่มีอากิญจัญญายตนะ ไม่มีเนวสัญญานาสัญญายตนะ”
ก็กามโลกไม่มีในพระนิพพานด้วยอารมณ์ใด แม้อิธโลก และปรโลก ก็ไม่มีในพระนิพพานนั้นด้วยอารมณ์นั้น เพราะเหตุนั้น พระพุทธองค์จึงกล่าวว่า “โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี”
เนื่องเพราะเหตุที่เมื่อ”รูป”มี ความมืดก็ย่อมมี และเพื่อกำจัดความมืด พระจันทร์และพระอาทิตย์ก็หมุนเวียนไป แต่รูปโดยประการทั้งปวง ไม่มีในที่ใด ความมืดในที่นั้นจักมีได้อย่างไร ฉะนั้นจึงทรงกล่าวว่า”ไม่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ทั้งสองนั้น” ด้วยการกล่าวดังนี้ แสดงถึงพระนิพพานมีความสว่างไสวเป็นสภาวะนั่นเอง
พระพุทธเจ้าไม่กล่าว”การมา”จากที่ไหนๆในอายตนะคือพระนิพพานนั้น เพราะพระนิพพานไม่มีฐานะที่จะพึงมา
และไม่กล่าวการไปในที่ไหนๆ เพราะฐานะที่พระนิพพานจะพึงถึงไม่มี
เพราะการมาและการไปของสัตว์ทั้งหลาย เว้นการกระทำให้เป็นอารมณ์ด้วยญาณ (ย้ำว่า เว้นการกระทำให้เป็นอารมณ์ด้วยญาณ) ไม่มีในพระนิพพานนั้น
ดับขันธุ์ปรินิพพาน คือ ขันธ์ 5(ตัวทุกข์) ของพระอรหันต์ ที่วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏมายาวนาน(ตามกฏของปฏิจสมุปบาท) ได้ดับสนิทไป(เพราะเหตุที่อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ที่เป็นเหตุถูกเพิกถอนไป) นิพพาน จึงถูกเรียกว่าที่สุดแห่งทุกข์ (ทุกข์ดับสนิท) เรียกว่า สุญญตา(ว่างจากทุกข์)
วิญญาณในคัมถีร์อภิธรรมมีกล่าวไว้เพียง "ทวิปัญจวิญญาณ" ซึงเกิดปรากฎมีรูปารมณ์เป็นมีสภาพไม่รู้ และถูกรู้โดยเหตุปีจจัยจากธาตุรู้จนกว่ารูปารมณ์จะดับภายใน ๑๗ขณะจืตวิญญาณจึงดับพร้อม
ความเห็นที่ 5 )
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากฌานแล้ว หยั่งลงสู่ภวังค์ แล้วปรินิพพานในระหว่างนั้น ชื่อว่าระหว่างฌาน ในลำดับ ๒ นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากฌานแล้ว พิจารณาองค์ฌานอีก หยั่งลงสู่ภวังค์ แล้วปรินิพพานในระหว่างนั้นนั่นแหละ ชื่อว่าระหว่างปัจจเวกขณญาณ แม้ทั้ง ๒ นี้ก็ชื่อว่าระหว่างทั้งนั้น ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเข้าฌานเสด็จออกจากฌาน พิจารณาองค์ฌานแล้วปรินิพพานด้วยภวังคจิต เป็นอัพยากฤตเป็นทุกขสัจจะ. สัตว์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ไม่ว่าพระพุทธเจ้าหรือพระสาวก อย่างต่ำมดดำมดแดง ต้องกระทำกาละด้วยภวังคจิตที่เป็นอัพยากฤต เป็นทุกขสัจทั้งนั้นแล
ความเห็นที่ 4 )
๑๐. ที่พระพุทธองค์ทรงกระทำบริกรรมในพระปรินิพพานนั้น ไม่ใช่เพื่อตรวจดูว่า ที่ทรงสอนมา 45 ปีนั้น สอนถูกหรือเปล่า? พระพุทธองค์ทรงมั่นใจตั้งแต่ ทรงตรัสรู้ในคืนวันเพ็ญบนวัชรอาสน์ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิแล้วครับ ข้อพิสูจน์ก็ได้แก่ คำสอนที่ทรงแสดงมาถึง 45 ปี ทำให้สาวกทั้งหลายรวมทั้งเทวดาและมนุษย์บรรลุธรรมมากมายจนนับจำนวนไม่ได้ การคาดเดาและตรรกะของอาจารย์วิบัติมากครับ
การที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำบริกรรมในพระปรินิพพานนั้น
…. ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงออกจากสัญญาเวทจิตนิโรธ เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ฯลฯ ออกจากตติยฌาน เข้าจตุตถฌาน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้าปฐมฌานในฐานะ ๒๔ ทุติยฌานในฐานะ ๑๓ ตติยฌานก็เหมือนกัน เข้าจตุตถฌานในฐานะ ๑๕ เข้าอย่างไร(ก็ขอละไว้)
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นเจ้าของธรรม เสด็จเข้าพระนครคือปรินิพพาน เสด็จเข้าสมาบัทั้งหมดนับได้ยี่สิบสี่แสนโกฏิ แล้วเข้าเสวยสุขในสมาบัติทั้งหมด เหมือนคนไปต่างประเทศ กอดคนที่เป็นญาติฉะนั้น
ในคำนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากจตุตถฌานในลำดับมา เสด็จปรินิพพาน คือ ในลำดับทั้ง ๒ คือ ในลำดับแห่งฌาน ในลำดับแห่งปัจจเวกขณญาณ
กราบสวัสดีและขอบพระคุณท่านอาจารย์ทวีศักดิ์ค่ะ ท่านสามารถอธิบายธรรมให้เกิดความรู้และความเข้าใจได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆค่ะ❤️❤️❤️
สิ่งสิ่งหนึ่งเมื่อมีอวิชชา คือสัตตานัง ผู้เวียนว่ายตายเกิด
ที่ยังสงสัยสภาพนิพพานกันอยู่ ก็เพราะคำว่า นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง นั้นเพราะอะไร ก็เพราะคนที่สงสัยยังเป็นปุถุชนอยู่ จึงคิดเอาเองว่า คำว่า"สุข"ของคำว่า "สุขอย่างยิ่ง" นั้นเป็นสุขขนิดเดียวกับที่ขันธ์ 5 ได้เสวยมายาวนาน แต่ไม่ใช่ เพราะคำว่าสุขที่ว่านี้ คือ เป็นสุขเพราะทุกข์ดับไปแล้ว
🙏🏽🙏🏽
กราบสาธุๆชัดเจนหนอแต่มแจ้งจริงหนอสาธุๆ
ช่วยอธิบายความหมายของคำว่า
อทิสมานกาย ให้ฟังได้ไหมตะ
ดินน้ำไฟลม
ภาวะนิพพาน ไม่มีหรอก พวกนักบวชปรัชญาคิดขึ้นเองและเอาไปคุยกันต่อๆไป
มันคือความสงบ เป็นบางช่วง เวลายาวหรือสั้นแล้วแต่ๆละคน
ตายไป ก้อจบการเคลื่อนไหว
ผู้สอนก้อว่าไปต่างๆนาๆ มากมายในเรื่องต่างๆ
จริง หรือไม่จริงเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะจ๊ะ
อย่าเขื่อว่า ทุกอย่างที่ผู้สอนพูดถูกหมดนะจ๊ะ
ปฏิบัติแล้วหรือครับถึงบอกว่าไม่มี 😊
ปฏิบัติความสงบจิตใจและกาย ปลงอารมณ์และความรู้สึก ไม่ต้องไปมีส่วนได้ส่วนเสียอะไร ปลีกตัวจากเรื่องราวต่างๆ จะสงบจิตใจและความรู้สึกของตนเองได้ง่าย
ทำสั้นๆนี้ก้อได้ละ ไม่ต้องไปฟังปรัชญาลึกซึ้ง เลอะเทอะอะไรมากมาย จะเข้ารกเข้าพงไปตามความคิดที่เพ้อฝันต่างๆนาๆ ที่ว่ากันไปเรื่อยเปื่อยตามความคิด
@@pissanukatika3720 ความรู้คือรากฐาน คนเราเกิดมาศึกษาสิ่งต่างๆไปมีแต่ได้นะครับปิดใจมีแต่เสียเวลาโลกไม่ได้หยุดหมุนแค่นี้ ผมอยากฝากไว้
@@pissanukatika3720 เหมือนคนทำงานเดิมซ้ำๆมีความสุขดีจึงบอกว่านี่คือความสุขที่แท้จริงทั้งๆที่คนอื่นที่ทำงานอื่นๆก็มีสุขเช่นกัน
@@pissanukatika3720 ความสงบสุขและจุดสูงสุดไม่ได้สงวนไว้ให้กับกลุ่มคนใดนะครับทุกคนเข้าถึงได้
ศูนย์จากอัตตาตัวตน
นิพพานก็คือ..อือ ? แค่ทำตัวให้เหมือนกล้องวงจรปิดได้ก็สุดยอดแล้ว
ว้าว
เอไอ หรือ ไอโฟน ก็เหมือนได้
เกิดไม่ปรากฎ
เป็นปรมัตถ์สุขเป็นสภาวะหลุดพ้นจากอาสวะ ไม่มีจุติอีกแล้ว
น่าจะเหมือน ฟิสิกส์ธรรมดา กับ ฟิสิกส์ควอนตั้มมั้ง
สำหรับผู้ยังไม่หลุดพ้น มันก็อิงตามกติกานึง
ผู้ที่หลุดพ้นไปแล้ว ก็ใช้อีกกติกานึง
ว่าแต่ผมสงสัยว่าคนเป็นอัลไซเมอร์ การมีลูกมันไม่ใช่ experience เหรอ ??
น้อมกราบท่านอาจารย์ทวีศักดิ์ด้วยเศียรเกล้า กราบขอบพระคุณคะ
กราบสาธุค่ะ
ชัดเจนจริงหนอแจ่มแจ้งจริงหนอกราบสาธุๆ
ชัดเจนจริงหนอแจ่มแจ้งจริงหนอกราบสาธุๆ
ผมเชื่อตามพระศาติมาโดยตลอดเลยครับทั้งที่ศึกษาธรรม