ขนาดวิดีโอ: 1280 X 720853 X 480640 X 360
แสดงแผงควบคุมโปรแกรมเล่น
เล่นอัตโนมัติ
เล่นใหม่
สิ่งที่คนชอบทำบุญปฏิบัติธรรมมองข้ามไปคือมีธรรมในขณะนี้และสิ่งที่ทำปัญญารู้อะไรไหม บางคนแสวงหาธรรมเหนือจรดใต้แต่ลืมว่ามีธรรมขณะนี้ ปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวัน แม้ไม่ได้อยู่ในห้อง ที่เงียบในสำนักปฏิบัติธรรม ความจริงไม่มีสำนักปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ซึ่งสติและปัญญาปฏิบัติไม่ใช่เราปฏิบัติ ปัญหาที่น่ากลัวคือปัจจุบันสำนักปฏิบัติธรรมและวัดสอนผิด พระภิกษุและคฤหัสถ์สอนผิด ก็ไปฟังสิ่งที่ผิด สอนให้ทำสติ(ลืมอนัตตา)สอนให้รู้ลม ดูจิต นั่งสมาธิแต่ไม่มีปัญญารู้อะไร สอนคอร์สแก้กรรมด้วยความเห็นผิด เพราะที่ทำคือนิ่งแต่ไม่มีปัญญารู้ความจริง ความนิ่งจดจ่อลมจดจ่อสิ่งใด ไม่ใช่ความสงบ ไม่ใช่สติ ไม่ใช่อานาปานสติ แต่จดจ้องด้วยโลภะกิเลสและไม่มีปัญญารู้ธรรมตามความเป็นจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรมและขัดแย้งกับพุทธวจนคือธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาไม่ใช่เรา บังคับสติไม่ได้ เมื่อเลือกรู้ลมเลือกดูจิต ก็ผิดตั้งแต่ต้น จึงเป็นสำนักที่สอนผิดเป็นอัญญเดียรถีย์ ดังนั้นจึงต่างจากการไปวัดพระเชตวัน วัดพระเวฬุวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมให้เกิดปัญญารู้ความจริงในขณะนี้ที่สอดคล้องกับอนัตตา กลับมาหนทางปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องคือฟังธรรมเกิดปัญญาที่เข้าใจถูกว่าเป็นธรรมในขณะนี้ที่เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่งคือธรรมที่ปรากฏทาง ตา..ใจ (ทุติยปหานสูตร) ขณะนั้นปฏิบัติเกิดแล้วคือสติและปัญญาเกิดรู้ความจริง โดยไม่เลือกไม่บังคับแล้วแต่ว่าสติจะเกิดหรือไม่ พระพุทธศาสนาจึงเป็นเรื่องของปัญญา ไม่ใช่ทำสมาธิ เดินจงกรมแต่ไม่มีปัญญารู้อะไร ก็ไม่ใช่หนทางดับทุกข์ แต่เพิ่มทุกข์เพิ่มกิเลสโดยไม่รู้ตัวนั่นเองครับ จึงกล่าวด้วยความหวังดี แต่สำหรับผู้สะสมปัญญามาเท่านั้นไม่ใช่ไปเปลี่ยนผู้เห็นผิดแต่อย่างใด พระพุทธเจ้าทรงติเตียนสำนักเห็นผิดทั้งหลายเพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลกที่สะสมความเห็นถูกมาเท่านั้น ขออนุโมทนาครับ
ปัญญา เป็นธรรมเฉพาะตน เป็นอนัตตา เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เกิดเพราะนั่งเพราะเดิน ไม่ใช่ให้ฟังไม่กี่คำแล้วก็สอนนั่งสอนเดิน ผิด ฟังแล้วเกิดปัญญาหรือยังถึงทำ " *เมื่อใด* *ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า* ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข *เมื่อนั้น* ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่" คัดค้านทุกพระสูตร ค้านยันอรรถกถา แต่จะทำ จริงไหม
เยอะไปโว้ยยย
พระพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา มีเยอะกว่านี้มากมาย ล้วนสอดคล้องต้องกัน และไม่มีคำไหนไม่มีประโยชน์เลย
กราบ🙏🏻🙏🏻🙏🏻
#พระโสดาบันยังล่วงศีล๕ไหมพระโสดาบันมีศีล ๕ สมบูรณ์ไม่ล่วงผิดศีล ๕ อีกเลยเพราะละภัยเวร ๕ ประการได้ตามพระไตรปิฎก(เวรภยสูตร) แต่ที่อันตรายคือเข้าใจผิดว่าแค่รักษาศีล ๕ มีศรัทธาในพระรัตนตรัยก็เป็นพระโสดาบันแล้ว เอาผลมาเป็นเหตุคือ แท้ที่จริงการรักษาศีล ๕ สมบูรณ์เป็นผลที่เกิดจากการเป็นพระโสดาบัน คนอ่านพุทธวจนยกพุทธวจนแต่เข้าใจผิด จึงเอาผลมาเป็นเหตุเพราะเหตุของการบรรลุเป็นพระโสดาบันไม่ใช่การรักษาศีล ๕ สมบูรณ์ครับทุติยสาริปุตตสูตรว่าด้วยองค์ธรรมเครื่องบรรลุโสดา [๑๔๒๗] ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามท่านพระสารีบุตรว่า ดูก่อนสารีบุตร ที่เรียกว่า โสตาปัตติยังคะ (๑) ๆ ดังนี้ โสตาปัตติยังคะเป็นไฉน. [๑๔๒๘] ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โสตาปัตติยังคะ คือ สัปปุริสสังเสวะ การคบสัตบุรุษ ๑ สัทธรรมสวนะ ฟังคำสั่งสอนของท่าน ๑ โยนิโสมนสิการ กระทำไว้ในใจโดยอุบายที่ชอบ ๑ ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑. [๑๔๒๙] พ. ถูกละๆ สารีบุตร โสตาปัตติยังคะ คือ สัปปุริสสังเสวะ ๑ สัทธรรมสวนะ ๑ โยนิโสมนสิการ ๑ ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ๑.ขออนุโมทนา
พระโสดาบันถึงศีล 5เป็นอัตโนมัตครับ แต่การรักษาศีล 5 เป็นการฝึก แผ้วถางทางเดินให้ถึงพระโสดาบัน
@@nirvana-now พระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุทางสายเดียวคือสติปัฏฐานสี่ ซึ่งมีอธิศีล ไม่ใช่ศีลห้า ที่ก่อนพระพุทธศาสนาก็มี ไม่ใช่หนทางดับกิเลส จึงมีวิปัสสนา สติปัฏฐานสี่เป็นหนทางดับกิเลส ดังนั้นความเห็นผิด คือ แค่รักษาศีลห้าให้ดีก็เป็นพระโสดาบัน ครับ ดังนั้นเราต้องเข้าใจหนทางดับกิเลสที่ถูกต้อง ปราศจากปัญญาไม่ได้เลย นี่คือสิ่งที่ลืมกันว่าปัญญารู้อะไร เมื่อปัญญาดี ศีลก็ดีตามลำดับ ที่เป็นอธิศีล ที่ไม่ใช่แค่ศีลห้าธรรมดาทั่วไปครับ นี่คือความละเอียดของพระธรรมครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย กราบอาจารย์ผเดิม ยี่สมบุญ สัตบุรุษผู้กล่าวธัมมะได้ละเอียดลึกซึ้งแตกฉานอย่างยิ่ง ครับ หาได้ยากนักครับที่มีสอนโดยหัวใจของพระพุทธศาสนาที่ถูกต้องคือธัมมะทั้งปวงเป็นอนัตตา
ขออนุโมทนาที่เข้าใจหลักธรรมสำคัญที่จะทำให้เข้าใจแนวทางการปฏิบัติตามคำสอนพระพุทธเจ้า เพราะเมื่อเข้าใจถูกแม้เบื้องต้นว่าธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาก็จะทำให้เดินทางถูกและรู้หนทางผิดด้วยว่า ทางใดที่จะทำ จะบังคับ จะทำสติ จะเลือกรู้ลม เป็นต้น นั่นเป็นทางอัตตา ไม่ใช่สติแต่เป็นโลภะความต้องการ แต่ทางถูกคือปัญญาที่เริ่มมั่นคงในความไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาที่มีแต่ธรรม จนสติและปัญญาเกิดรู้ความจริงในขณะนี้ที่กำลังปรากฏนั่นเอง อันเกิดจากการฟังบ่อยๆเนืองๆในสิ่งที่ถูกต้อง ครับ พระธรรมมีประโยชน์สำหรับผู้สะสมปัญญา พระธรรมที่ถูกยิ่งเผยแพร่ยิ่งรุ่งเรืองซึ่งไม่ใช่คำของกระผมแต่เป็นคำของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตามพระไตรปิฎกนั่นเองครับ ยินดีอนุโมทนาในความเห็นถูกครับ
ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ใจไม่ใช่หัวใจ หมายถึงจิต
อนุโมทนาสาธุๆๆ กับ อจ.เผดิม ทุกๆคลิป ที่ผมตั้งใจฟังมาแล้ว และที่ฟังซ้ำ อีกหลายๆรอบ แต่ละคลิป ด้วย เพื่อความเข้าใจถูก ยิ่งๆขึ้นไป อจ.อธิบาย ย่อยธรรมะ ได้ชัดเจน ฟังเข้าใจได้ง่ายๆ ทุกๆคลิป เลยละครับ ผมติดตาม ฟัง..คลิป อจ.เผดิม มา น่าจะปีกว่าแล้ว และ จะตั้งใจ ติดตามฟัง ต่อเนื่องไป เรื่อยๆ ด้วยความตั้งใจ นะครับ ผมขอ อนุโมทนาบุญ กับ อจ.และสหายธรรม ทุกๆท่านด้วย อีกครั้ง นะครับ🙂
ขอน้อมนมเด้งๆ
กราบสาธุในพระธรรมค่ะขอบพระคุณค่ะอาจารย์
ขอบพระคุณอาจารย์ผเดิมอย่างสูงครับ ขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนา สะสมความเห็นผิดมามาก ก็เป็นปัจจัยให้ต้องหลงไปพบไปฟังสิ่งที่ผิด เมื่อฟังแล้วยังไม่เกิดปัญญา ก็ย่อมไม่เห็นโทษของสิ่งที่ได้ฟังนั้น ก็หลงทำตามด้วยความติดข้องในความเห็นผิดนั้น เมื่อทำแล้วยังไม่เกิดปัญญา ก็ย่อมไม่เห็นโทษของการกระทำนั้น ก็ตั้งมั่นหยั่งลงในการกระทำนั้น ความเห็นผิดนั้นก็ย่อมไพบูลย์ยิ่ง ภายหน้าก็จะมีแต่เหินห่างพระธรรมคำสอนออกไป สุดท้ายแม้แต่คำว่าพุทธก็จะไม่ได้ยิน ศีลก็จะไม่มีให้รักษา วนเวียนลงอบายภูมิไม่จบไม่สิ้น เพราะอะไรก็เพราะประมาทในความยากความลึกซึ้งของพระธรรมคำสอน ย่อมประมาทตั้งแต่เบื้องต้น ประมาทในท่ามกลาง และประมาทไปจนถึงที่สุด
ขออนุโมทนาอย่างยิ่งครับที่เข้าใจความลึกซึ้งของพระธรรมพระพุทธเจ้าจึงให้เป็นผู้ไม่ประมาทในการศึกษาคำพระพุทธเจ้า โดยมีความเห็นถูกว่าสำคัญที่ปัญญา และขออนุโมทนาในการเกื้อกูลสหายธรรมที่ยังเข้าใจผิดในการสนทนาตอบและเป็นการช่วยดำรงพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้องแท้จริง ขออนุโมทนาในกุศลและปัญญาครับ
@@sabbe.dhamma.anatta ยังไงวะ???
เริ่มที่ค่อย ๆ เข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังด้วยดี ด้วยดียังไง ด้วยความเคารพความจริง ด้วยความเห็นโทษของความไม่รู้ ด้วยความเพียรที่จะเห็นตรง ปัญญาตนเท่านั้นคือที่พึ่ง ผู้อื่นมาทำปัญญาให้ตนไม่ได้
@@sabbe.dhamma.anatta ขออนุโมทนาที่กล่าวสนทนาด้วยเมตตาหวังดีและแสดงความจริงของพระธรรมเพื่อเกื้อกูลสหายธรรมครับ
สาธุๆครับอาจราย์
กราบอนุโมทนาสาธุคะ
พระโสดาบัน ศีล๕บริสุทธิ์อยู่แล้ว รายละเอียดอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่19😊😊
อนุโมทนาสาธุค่ะอาจารย์
กราบอนุโมทนา สาธุค่ะ อ.ผเดิม 🙏🙏🙏
ขอบพระคุณค่ะอาจารย์ ^^
อนุโมทนาบุญกุศล ฟังธรรมะ อาจารย์ Paderm สาธๆ
สาธุ สาธุ สาธุ ในธรรมะคะ กราบท่านอาจารย์คะ
สติและปัญญาปฎิบัติ ไม่ใช่เราปฎิบัติ ละเอียดลึกซึ้งมาก กราบอนุโมทนาสาธุค่ะท่านอาจารย์
จริงและตรงใจครับ อาจารย์
น้อมกราบสาธุในพระธรรมครับ
กราบอาจารย์ผเดิมที่เคารพอย่างสูงอาจารย์กล่าวคำจริงตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าขออนุโมทนาสาธุ...🙏👍🌄...จากจังหวัดนราธิวาสครับผม...🙏
อนุโมทนา สาธุ ๆ ค่ะ
สาธุค่ะ ขอให้อาจารย์สุขภาพแข็งแรงค่ะ จะได้บอกบุญให้ชาวโลกมีความสว่างทั้งทางโลกและทางธรรมค่ะ🙏🙏🙏
ขออนุโมทนาในการฟังเข้าใจพระธรรมด้วยครับ
แต่ผมคิดอีกอย่างว่า เริ่มแรกสัตว์ผู้ข้องอยู่ในภพน้อยใหญ่ก็มิได้มีปัญญาอินทรีย์แก่กล้ามาแต่เดิม แต่เพราะเริ่มจากการทำทานเล็กๆน้อยๆ กับผู้มีศีลบ้าง ให้กับสัตว์เดรัจฉานบ้าง พอสะสมบารมีมาเรื่อยจึงเริ่มมีอินทรีย์บารมีที่เริ่มแก่กล้า จนเริ่มประณีตขึ้นและฟังธรรมเข้าใจมากขึ้นตามการสะสม ของบารมีญาณแต่จะให้ เจริญอนัตตสัญญาแล้วละกิเลสทันทีก็ต้องตามการสะสมกุศลธรรมของแต่ละคนคือบารมี 10 ของแต่ละคน แต่วันนึงมีเวลาทำกุศลอะไร มีโอกาสทำกุศลอะไรเล็กๆน้อยก็ควรทำเนืองๆ ให้ทานเนืองๆ เรียกว่าประสบความสำเร็จกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ ในทุกวัน ผมให้ทานวันละ 3 เวลา ทำแบบนี้มาเกิน 3 ปีแล้ว ทำบุญได้เกือบ 3 พันครั้ง ทั้งในเขตบุญของพระพุทธเจ้า ทั้งนอกเขตบุญ ให้เดรัจฉานบ้าง มนุษย์บ้าง มารดาบ้าง ญาติตนเองบ้าง เห็นว่ากุศลเจริญ ศีลดีขึ้น สภาวะธรรมที่ไม่เคยเกิดก็เกิดขึ้นมา ผมพิจารณาแล้วว่าไม่ควรลังเลสงสัยในการให้ทานเล็กๆน้อยๆ ไม่ควรทอดธุระในกุศลธรรมทุกประการแม้เพียงเล็กน้อย ควรให้ทานเนืองๆ เมื่อมีโอกาส ถามว่าตอนนี้ทำบุญอะไรได้ก็ทำไปก่อน รู้ว่าทรัพย์ที่นำไปทำบุญเป็นทรัพย์ที่เกิดจากอาชีวะที่บริสุทธิ์ก็เป็นบุญไม่ใช่น้อย และจิตของผู้ให้ ผู้รับอีกซึ่งผมก็มิกล้าถือประมาณในบุคคลใด เพราะกลัวการกล่าวผิด กล่าวตู่ผู้อื่น จะทำให้ตนเองเสื่อมจากกุศล ผมพิจารณาว่าทำบุญอะไรได้ ควรทำไปก่อน ทำบ่อยๆ ทำเนืองๆ ถ้ามัวรอปัญญาให้มันเกิดเองคง เป็นความเห็นผิดเพราะต้องเจริญกุศลในปัจจุบันเนืองๆไปก่อน
ก็แสดงว่าฟังคลิปนี้ไม่เข้าใจและไปโยงประเด็นที่ไม่ถูกกับคลิปนี้ เพราะในคลิปไม่มีการห้ามการเจริญุกศลประการต่างๆเลย แต่ในคลิปอธิบายสำนักปฏิบัติที่สอนผิดและวัดพุทธพาณิชย์ วัดที่สอนผิด และไม่มีสำนักปฏิบัติในพระพุทธศาสนา จึงไม่ควรไปปฏิบัติในสถานที่ผิด ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าตรัสติเตียนสำนักเดียรถีย์ทั้งหลายและติเตียนภิกษุละเมิดพระธรรมวินัย ดังนั้นจะกล่าวขัดแย้งไม่เห็นด้วยก็ต้องฟังให้เข้าใจในคลิปให้ถูกก็จะไม่เกิดความสับสนและเข้าใจผิด ที่ไปคิดเองว่าห้ามการทำบุญห้ามการให้ทานห้ามทำกุศลนั่นเองครับ ขออนุโมทนา
ไม่ได้ห้ามให้ทำกุศล ไม่ได้ห้ามให้ทำบุญอะไรก็ทำไปก่อน ไม่ได้ห้ามให้ให้ทำทานเนืองๆ แต่เนื่องจากเรื่องที่กล่าวมามันไม่เที่ยง เกิดและดับไป เป็นไปตามเหตุและปัจจัย เราบังคับบัญชาไม่ได้ ดังนั้นคิดว่าจะทำอะไรมันคือมีตัวเราทำทั้งหมดตลอด❤
บารมี เกิดร่วมกับปัญญา คือความเห็นถูกทีละเล็กละน้อย ที่ลาดลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ จึงไม่มีบารมีที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ไม่ใช่การรอปัญญาให้เกิดเอง อันนี้เป็นการฟังไม่รู้เรื่อง เพราะรอให้เกิดเองคือรอสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ผิด หรือเห็นว่าทำนั่นทำนี่เช่นความเห็นว่ามีเราทำบุญมีเราเป็นผู้รับผลบุญนั้นแล้วจะเกิดปัญญานี่ก็ผิด ต้องเข้าใจว่า ธรรมทั้งปวงมีฉันทะเป็นมูล ความลึกซึ้งมันเป็นอย่างนี้ ความเข้าใจจะเจริญขึ้นจึงเป็นตรงนี้ขณะนี้เดี๋ยวนี้ มันจึงจะลาดลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับได้ จึงงดงามในเบื้องต้นท่ามกลางจนถึงที่สุดได้ ไม่ใช่มีปัญญาบ้างไม่มีบ้าง ผิด ไม่ใช่พุทธศาสนา ไม่ใช่ทำบุญรอมันเกิด ทำบุญ บุญจริงหรือเปล่า หรือทำเพราะอยากได้ เช่นเดียวกัน บุญขั้นศีลทานก็เป็นธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย มีเหตุปัจจัยก็ต้องทำ ไม่มีความเป็นเราไปห้ามไม่ให้ทำ ไม่ประกอบด้วยความเห็นผิดว่าถึงไม่ทำก็เกิดเอง เพราะนั่นคือเราคิด
@@sabbe.dhamma.anatta ธรรมทั้งปวงมีฉันทะเป็นมูลมีมนัสการเป็นแดนเกิดมีผัสสะเป็นเหตุเกิดมีเวทนาเป็นที่ประชุมลงมีสมาธิเป็นประมุขมีสติเป็นใหญ่มีปัญญาเป็นยิ่งมีวิมุตติเป็นแก่นเป็นอมตะเป็นที่หยั่งลงมีนิพพานเป็นที่สุด ครั้งนึงพระพุทธเจ้าเคยไปบิณฑบาทที่บ้านของอุทยพราหมณ์ อุทยพราหมณ์ตักข้าวใส่บาทพระพุทธเจ้าแม้ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 เขากล่าวว่าพระพุทธเจ้าติดในรสจึงมาบิณฑบาทบ้านข้าพเจ้าบ่อยๆ พระพุทธเจ้าทรงตรัสด้วยคาถาว่า...กสิกรย่อมหว่านพืชบ่อยๆฝนย่อมตกบ่อยๆชาวนาย่อมไถนาบ่อยๆแว่นแคว้นย่อมบริบูรณ์ด้วยธัญชาติบ่อยๆยาจกย่อมขอบ่อยๆทานบดีก็ให้บ่อยๆทานบดีให้บ่อยแล้วก็เข้าถึงสวรรณ์บ่อยๆผู้ต้องการน้ำนมย่อมรีดนมบ่อยๆลูกโคย่อมเข้าหาแม่โคบ่อยๆบุคคลย่อมลำบากและดิ้นรนบ่อยๆคนเขลาย่อมเข้าถึงครรย์บ่อยๆสัตว์ย่อมเกิดและตายบ่อยๆบุคคลทั้งหลายย่อมนำซากศพไปป่าช้าบ่อยๆส่วนผู้มีปัญญา ถึงจะเกิดบ่อยๆก็เพื่อได้มรรคแล้วไม่เกิดอีกดังนี้ ผมให้ทานทุกวันเพราะมีปัญญาเข้าใจเรื่องทานและผลของทานครับ มิได้คิดว่าเป็นตัวเราแต่รู้ว่าเป็นธรรม คือเป็นกุศลธรรม เป็นกรรมดีที่ส่งผลทุกขณะจิต จึงให้ จึงทำ จึงไม่ทอดธุระในกุศลธรรม จึงไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป ไม่ปล่อยให้อายุขัยสิ้นไปโดยเปล่าประโยชน์ 🙏กราบอนุโมทนาในกุศลธรรมครับ
ดังนั้น ปัญญาก็ต้องเจริญขึ้นรู้ตามความจริงว่า ทานที่ให้นั้นมีผล เมื่อปัญญารู้ตามความจริงอย่างนั้นทานนั้นจึงจะเป็นบารมีที่จะนำถึงฝั่งพระนิพพานได้ เพราะทานนั้นย่อมอาศัยปัญญานั้นนำไป จึงไม่ใช่เห็นว่าทำไปก่อน ๆ ไม่เกิดปัญญาไม่เป็นไร ความเห็นนี้เป็นอะไร เป็นมิจฉาปฏิปทา เพราะไม่มีแม้สักขณะจิตเดียวที่ไม่ควรจะเห็นโทษของความไม่รู้
สาธุค่ะ,สาธุค่ะ สาธุค่ะ❤
🙏🙏🙏 กราบอนุโมทนาในกุศลจิตที่ดีงามค่ะ
สาธุค่ะ
สาธุๆๆในธรรมคำสั่งสอนที่แท้จริงค่ะอาจารย์🙏🙏🙏
กราบอนุโมทนาสาธุ...🙏👍🌻
สาธุสาธุสาธุ
กราบอนุโมทนาค่ะ🙏
ไม่รู้ย่อมไม่ผิด พระพุทธเจ้ารู้แจ้งโลกแล้วกล่าวสอนเป็น พระธรรม คือ ธรรมชาติในโลกมีแต่สิ่งสมมุติจากชาติเกิดให้รับรู้ด้วยตัวเราเอง จนมีผู้เจริญตามและยอมบวชตามจึงเป็น พระสงฆ์ ไม่มีใครผิดหรือถูก ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ถึงจะเจริญตามและเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าได้ในที่สุด
สิ่งที่ควรสำเหนียกและควรรู้พิจารณาว่าตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าหรือไม่ครับ มีสองคำที่ท่านกล่าวมา คือ 1.ไม่รู้ย่อมไม่ผิด 2.ไม่มีใครผิดหรือถูก ไม่รู้ย่อมไม่ผิด คำนี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงกิเลสหลักสามอย่างคือ โลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งโมหะ คือความไม่รู้ เป็นกิเลส อวิชชาก็เป็นความไม่รู้ ดังนั้น ไม่รู้ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงคือกิเลสที่เป็นโมหะ อวิชชา ตรงข้ามกับปัญญานั่นเอง ความไม่รู้จึงผิด เหมือนคนไม่รู้อะไร ตาบอด แต่ไปบอกว่าสิ่งนี้เป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงธรรมที่ตรงข้ามคือปัญญาและอวิชชา ที่เป็นความรู้และความไม่รู้นั่นเองครับ คำนี้จึงไม่ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้านั่นเองครับ คำที่สอง ไม่มีใครผิดหรือถูก ก็เป็นคำที่ตรงข้ามคำสอนพระพุทธเจ้า เพราะถ้าไม่มีอะไรผิดถูกแล้ว ฆ่าคนก็ไม่ผิด ทำอะไรก็ไม่ผิด แต่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพวกเห็นผิดในสมัยพุทธกาลคือัญญเดียรถีย์ทั้งหลายนั่นคือความเห็นผิดและทรงสรรเสริญผู้ปฏิบัติถูกที่เป็นความเห็นถูก จึงมีถูกและผิด ดังนั้นควรศึกษาคำพระพุทธเจ้าจะะมีปัญญาเป็นที่พึ่งเพราะเข้าใจผิดแบบนี้ มีตนคือความเห็นผิดเป็นที่พึ่งก็เป็นอันตรายไม่รู้ตัว จะบวชเป็นพระหรือเป็นคฤหัสถ์แต่เห็นผิดก็เป็นศัตรูกับพระพุทธเจ้าเพราะกล่าวคำตรงข้ามกับพระพุทธเจ้านั่นเองครับ
@@paderm อ.ค่ะ ไม่รุ้ย้อมไม่ผิดถ้าอยุ่ในครอบครัวเดียวกันจิตที่ไม่รุ้แหละสอนยากทำผิดบ่อยๆ(หมายถึงผิดศิลทุกข้อ) จิตที่รุ้แล้วแหละมีศิลต้องใช้ความเข้าใจแหละ อินทรียะสังวาระศิลเมตตาแหละอดทนสุงใช่ไหมค่ะ อ.ผเดิม ขออนุญาตถามค่ะ 🙏🙏
เข้าใจคนอื่น ความเห็นถูกไม่สาธาณณะทุกคนครับ อวิชชาความไม่รู้มีมาก ก็เข้าใจ อดทนด้วยเข้าใจถูกว่ามีแต่ธรรมเป็นไป ไม่รู้คือไม่รู้อวิชชาผิด แต่ก็รู้ว่ามีแต่ธรรมที่เป็นอกุศลธรรมเกิดขึ้นแล้ว ก็เบาใจขึ้นที่จะไม่บังคับ ไม่ลืมอุเบกขาด้วยปัญญาครับ
การนำพระธรรมมาเผยแผ่ย่อมเป็นบุญอันสูงสุดดีแล้วเราจะไม่ขอแวะเวียนผ่านมาฟังธรรมทางนี้อีกต่อไป ขอบคุณครับ
@@Sivutlee919 นำสิ่งที่ไม่ถูกต้องมาเป็นบาปไม่ใช่ธรรมพระพุทธเจ้าครับ และไม่ได้เปลี่ยนผู้ที่สะสมความเห็นผิดและไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่รับฟังเหตุผล ครับ พระพุทธเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนผู้ที่เข้าใจผิด ซึ่งมีมากกว่าผู้ที่เห็นถูกได้ แต่ทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้ผู้ที่เห็นถูกเกิดปัญญาเข้าใจ แม้มีคนเดียว พระองค์ก็ทรงเสด็จไปโปรดแสดงความจริง การกล่าวคำจริงประโยชน์คือสำหรับผู้ที่เห็นถูก ได้เข้าใจ ก็มีประโยชน์แล้ว ซึ่งก็เริ่มมีผู้ที่เห็นถูกในเรื่องนี้ด้วยมากมายและทำตามแล้ว ค่อยๆเพิ่มขึ้นครับ พระธรรมความเห็นถูก ไม่ใช่สำหรับคนทั้งหมด แต่สำหรับคนที่สะสมเหตุผลปัญญามานั่นเองครับ ขออนุโมทนา
อนุโมทนาค่ะ
สาธุครับผม
สาธุค่ะ🙏🙏🙏
กราบท่านอาจารย์ค่ะ
ผิดเพี้ยนกันหมด😊😊😊
อนุโมทนาบุญทุกบุญกับอาจารย์เผดิมด้วยครับ สาธุสาธุสาธุ🙏🙏🙏
เกิดมาชาตินี้ไม่เสียของแล้ว ได้มาฟัง อ.เผดิม แบบเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย สะสมไป 😅
กราบสาธุในธรรมมะค่ะ
กราบขออนุโมทนาค่ะ🙏🙏🙏
กราบอนุโมทนากับอาจารย์ด้วยครับ ผมคนหนึ่งสมัยแรกๆ ฟังอาจารย์แล้วขัดใจ จนสุดท้ายมาปฏิบัติเอง ถึงได้รู้เห็นตามความเป็นจริง ว่าไม่มีตัวเราตั้งแต่แรก มีแต่ความเห็นผิด มีแต่ขันธ์ 5 ที่เป็นธรรมชาติที่ทำงานของมันไปเองมาฟังอาจารย์อีกรอบ เข้าใจที่อาจารย์พยายามสื่อสาร พยายามรักษาข้อธรรมของพระพุทธเจ้าไว้เป็นกำลังใจให้ครับกราบขอบพระคุณในความเอื้อเฟื้อกับสัตว์โลกด้วยนะครับ
ยังมีโลภ โกรธ หลง อยู่มั้ย ยังมีทุกข์มั้ย ยังมีความยึดมั่นถือมั่นในอะไรมั้ย ถ้ายังมีก็คือยังเห็นว่ายังมีเรานั่นแหละ อนัตตามโนเอาไม่ได้ ต้องปฏิบัติ
@@base-on-reality ยังมีครับ
@@base-on-realityยังมีโลภ โกรธ หลง อยู่ครับ ยังมียึดถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ครับ แต่ความเห็นว่าเป็นเรา ไม่มีครับ ส่วนอนัตตา เห็นหรือไม่เคยเห็น ก็จำไม่ได้แล้วครับ ถ้าจะถามเพื่อแนะนำธรรมที่ลึกซึ้งขึ้น ก็เป็นเรื่องน่าสรรเสริญครับ แต่ถ้ากอรปจิต เพราะต้องการเพ่งโทษเพื่อนพรหมจารีย์ ก็ไม่มีประโยชน์แก่ใครเลยครับ
ถ้าชาตินี้ไปนิพพานไม่ได้ แต่อยากไปชั้นพรหม จะปฏิบัติอย่างไร
เห็นโทษของการพอใจในรูป เสียง กลิ่น รสใ นชีวิตประจำวัน ถ้ายังพอใจ ไม่ได้เห็นโทษ และไม่รู้จักว่าฌานคืออะไร อยากไป ก็คือไม่ถึง ครับ เพราะเริ่มจากกิเลสไม่ใช่เริ่มจากปัญญาครับ
สาธุๆค่ะ
พระโสดาบันต้องศรัทธาถึง ถึงพระพุทธเจ้าจริงๆ ถึงพระธรรมจริงๆคือศีล 5 ถึง ถึงพระสงฆ์ และก็ถึงมรณานุสติเป็นอารมณ์
พระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุทางสายเดียวคือสติปัฏฐานสี่ ซึ่งมีอธิศีล ไม่ใช่ศีลห้า ที่ก่อนพระพุทธศาสนาก็มี ไม่ใช่หนทางดับกิเลส จึงมีวิปัสสนา สติปัฏฐานสี่เป็นหนทางดับกิเลส ดังนั้นความเห็นผิด คือ แค่รักษาศีลห้าให้ดีก็เป็นพระโสดาบัน ครับ ดังนั้นเราต้องเข้าใจหนทางดับกิเลสที่ถูกต้อง ปราศจากปัญญาไม่ได้เลย นี่คือสิ่งที่ลืมกันว่าปัญญารู้อะไร เมื่อปัญญาดี ศีลก็ดีตามลำดับ ที่เป็นอธิศีล ที่ไม่ใช่แค่ศีลห้าธรรมดาทั่วไปครับ นี่คือความละเอียดของพระธรรมครับ
@@paderm คุณต้องเข้าใจอารมณ์พระโสดาบันว่าศีล 5 ของท่านเป็นอัตโนมัติ ไม่ต้องถือครับ
พระโสดาบันไม่มีเจตนาหรือจึงไม่ถือศีล
@@sabbe.dhamma.anatta เจตนาเป็นตัวกรรม ไม่เจตนาแล้วเอาอะไรทำกรรมครับ แล้วจะเริ่มต้นปฏิบัติให้ถึงมรรคผลอย่างไร ทุกอย่างไม่ได่มาลอยๆ
ธรรมทั้งปวงมีฉันทะเป็นมูล เริ่ม "ปฏิบัติ" ด้วยความเข้าใจที่เกิดขึ้นแล้ว *เมื่อใด* ท่านทั้งหลาย *พึงรู้ได้ด้วยตนเอง* ว่าธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล/กุศล *เมื่อนั้น* พึงละ/เข้าถึง ธรรมเหล่านั้น
🙏🙏🙏
อาจารย์ครับ ขอเมตตาช่วยอธิบายเรื่องอายตนะ การเกิดของขัน5 โดยละเอียดให้ฟังหน่อยครับ
💐⚘️🌻🙏
🌸🙏🙏🙏🌸
💐💐💐💐💐💐🙏
เพราะหลงจึงรู้
รู้ผิด
ไม่มีหลงก็ไม่มีรู้ ไม่มีผิด ก็จะไม่มีถูก
ไม่มีรู้เพราะหลง ผิด แต่เพราะอาศัยความรู้จักหลง จึงละความหลงได้
ไม่มีใคร ที่รู้ โดยไม่เคยหลง ไม่รู้จักหลง ก็เพราะไม่เคยรู้
ใคร ๆ ก็เคยหลง แล้วมีไหม ใครรู้เพราะหลง ไม่มี เพราะหลงจึงรู้ จึงผิด แต่เพราะมีหลงเกิดแล้ว จึงมีรู้เกิดได้ รู้เป็นเหตุ ไม่ใช่ผล ถ้ารู้เป็นผลของหลงก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว หลงไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็รู้ นั่นผิด มัวหวาดกลัวอะไรนักหนาถึงไม่กล้าเข้าประเด็น มัวเล่นต่อคำก็พายเรือในอ่าง เมื่อไหร่จะรู้
ขออนุโมทนาในจิตที่เป็นกุศลมีความเห็นถูกค่ะ
ขออนุญาตถามอาจารย์ครับ ขอยกตัวอย่างสิ่งที่เกิดในชีวิตผมครับ เมื่อตอนผมรู้สึกโกรธตอนทะเลาะกับน้อง ผมจะกำหนดรู้ไปเพ่งดูความรู้สึกโกรธว่าเป็นอย่างไร ความรู้สึกนั้นก็ไม่อยู่แล้ว ผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ ก็เข้าใจว่าทำเช่นนี้ทุกๆความรู้สึกที่เกิดกระทบ และคิดว่า ผู้ที่ฝึกกำลังสติมากพอจะเห็นขั้นตอนการเกิดดับชัดเจน ผมเข้าใจถูกไหมครับอาจารย์ อนุโมทนาครับ
ทำใจให้โกรธคนที่รักที่สุดได้ไหม ทำใจให้รักคนที่เกลียดที่สุดได้ไหม สภาพธรรมต่าง ๆ เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย เมื่อโกรธหากเกิดความเห็นโทษด้วยปัญญาขึ้น ก็ไม่มีปัจจัยให้ความโกรธนั้นเกิดสืบต่อ แต่ก็ไม่ใช่ว่าต้องเป็นปัญญา หรือเป็นเมตตาจิต ปุถุชนส่วนมากยังมีความติดข้อง เมื่อโกรธแล้วก็ไม่ชอบลักษณะของความโกรธนั้น เพราะมีความติดข้องในความไม่โกรธเป็นต้น ก็คือเกิดโลภะขึ้นขวางโทสะ ดังนั้นจะเห็นว่าขณะนั้นเป็นโลภะหรือเป็นสติ สิ่งที่จะรู้ก็คือปัญญา แต่ถ้าไปเห็นว่าปัญญาทำขึ้นคิดขึ้นมาได้ ก็ควรพิจารณาว่านั่นไม่ใช่ปัญญา ก็เป็นความติดข้องในความเห็นผิด ว่าจะทำสติทำปัญญาขึ้นมาระงับโกรธนั้น เมื่อเข้าใจดังนี้แล้ว ก็ไม่ควรโกรธ ไม่ควรหลงบังคับสติบังคับปัญญา ความเข้าใจนี้นั่นเองที่จะค่อย ๆ ละความโกรธได้
@@sabbe.dhamma.anatta ผมทำใจโกรธใครไม่ได้ ทำใจให้รักก็ไม่ได้หากไม่มีเหตุครับ ถ้าสิ่งที่ผมทำมันผิดเพราะการพิจารณาดูความโกรธ ที่มันหายไปคือเป็นโลภะเข้ามาแทน ผมขอเรียนถามอาจารย์ว่า ผมจะทำวิธีไหนเพื่อให้เกิดปัญญาเห็นโทษอย่างถูกต้องได้ หรอครับอาจารย์อนุโมทนาครับ
ปัญญาก็เป็นธรรมะ เป็นอนัตตา ไม่มีผู้บังคับบัญชาหรือทำให้เกิดขึ้นได้ การที่จะเจริญปัญญาขึ้น เบื้องต้นก็ต้องมีปัญญาเกิดขึ้น จึงจะรู้ว่าจะเจริญปัญญาต่อไปได้อย่างไร ปัญญาในเบื้องต้นเกิดขึ้นได้เพราะมีการฟังคำสอนพระพุทธเจ้าเข้าใจ และต้องเป็นการฟังเข้าใจไม่ใช่ฟังไม่เข้าใจ ไม่ใช่คิดเอาว่าเข้าใจ แต่เพราะเข้าใจจึงคิดไตร่ตรองไปได้โดยชอบ คือมีปัญญานำคิดไปชอบ ดังนั้นควรฟังพระพุทธเจ้าให้ดี ว่าทรงสอนว่าอย่างไร เมื่อเข้าใจแล้วจึงจะรู้ว่าจะทำอย่างไรปัญญาจึงจะเจริญขึ้น แล้วจะไม่ต้องถามใครว่าทำอย่างไร
@@kumponsiripak9040ผมขออนุญาตแนะนำแบบนี้นะครับ ผมเจริญปััญญาด้วยการปลง ปลงในที่นี้ คือเห็นเหตุการณ์เรื่องราวในชีวิตประจำวัน เช่นข่าวฆ่ากัน ข่าวลักทรัพย์ ข่าวทุกอย่าง ทั้งดี ไม่ดี แล้วก็ปลงคล้ายๆเวทนา ไม่ใช่ด้วยจิตที่สงสารแต่เป็นจิตที่เรียนรู้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนไม่เที่ยง ฝึกไปอย่างนี้จนรู้สึกเฉยๆกับเรื่องรอบตัว ไม่ยินดียินร้าย สงบ แต่มีความสุขจากภายใน คล้ายๆยิ้มมุมปาก เอาแค่นี้ก่อน
การปฎิบัติธรรม ที่ถูกต้อง คือการฟังธรรมจากพระพุทธองค์ การสวดมนต์พระพุทธองค์ก็ไม่ได้ทรงสอนใช่ไหมค่ะ
การฟังกับการปฏิบัติแม้จะเป็นความงดงามด้วยกันทั้งคู่ แต่ไม่เหมือนกัน การปฏิบัติธรรม คือการที่ปัญญาในขั้นปฏิบัติ อาศัยมนสิการปัญญาที่เกิดขึ้นแล้วในขั้นปริยัติทำกิจอบรมเจริญความรู้ให้ยิ่งขึ้น ปัญญาในขั้นปริยัติเริ่มที่ฟังเข้าใจ ไม่ใช่ฟังแล้วไม่เข้าใจ จะฟังเป็นร้อยปีพันปีถ้าไม่เกิดปัญญาเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังนั้นก็ไม่มีประโยชน์ หลงคิดว่าฟังเยอะ ๆ จำเยอะ ๆ แล้วจะดีนั่นก็ไม่ใช่ พระพุทธศาสนาจึงเริ่มที่ความเข้าใจ เพื่อเข้าใจยิ่งขึ้น จนเข้าใจถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง จึงเป็นความงดงามในเบื้องต้นท่ามกลางและในที่สุด เมื่อฟังแล้วไม่เข้าใจก็คือไม่เข้าใจ เป็นผู้ตรงว่าไม่เข้าใจ มั่นคงว่าไม่มีอะไรให้พึ่งนอกจากปัญญาตน ว่าไม่มีสัตว์บุคคลใดจะมาทำปัญญาให้ตนได้ คือไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้สวดมนต์ ให้สังเกตุว่าไม่มีพระสูตรไหนกล่าวถึงการสวดมนต์ การสวดมนต์คือการทบทวนการสั่งสอนของพระพุทธองค์ ทบทวนแล้วไตร่ตรองพระธรรมคำสั่งสอน
@@HONO452504ยุคปัจจุบันอ้างสาธยายผิดและทำผิดสวดมนต์ผิดดังนี้ครับ ในวันอาสาฬหบูชาพระพุทธเจ้าไม่ได้ให้พระปัญญจัวคคีย์สวดธรรมจักรสวดปฏิจจสมุปบาท แต่ทรงแสดงพระธรรมธรรมจักรในภาษาที่พระปัญญจวัคคีย์เข้าใจให้พระปัญญจวัคคีย์ฟัง ตั้งใจสดับฟังคือธรรมจักร ไม่ใช่พระปัญญจวัคคีย์ไปท่องสวด พระอัญญาโกณฑัญญะจึงเกิดปัญญาเห็นธรรม เพราะทรงแสดงพระธรรม ท่านฟังเกิดปัญญาจักษุ นี่คือเหตุเกิดปัญญาคือฟัง ไม่ใช่มาท่องคำ และที่สำคัญเข้าใจสาธยายผิด อ้างสาธยายแต่ไม่ใช่สาธยาย จึงหลงสวดปฏิจจสมุปบาทและธรรมจักรแบบปัจจุบันที่ทำผิดไม่ใช่สาธยายเพราะอ่านคำ พุทธวจน แล้วแปลความหมายผิด จึงเข้าใจคำว่า สาธยายผิด นี่คือโทษของการไม่ฟังอรรถกถาอธิบาย แต่ก็เป็นการอธิบายคิดเองเข้าใจผิดในคำว่า สาธยาย ครับ สาธยายต้องเข้าใจว่าเป็นภาษาบาลีซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นของคนสมัยนั้นครับ ที่ฟังรู้เรื่อง และมาสาธยายเพื่อพิจารณาเกิดปัญญาเพราะเข้าใจถูกจึงสาธยาย แต่คนสมัยนี้ เอามาสาธยายท่องบ่นเป็นคำบาลี ฟังไม่รู้เรื่อง ไม่ต่างจากนกแก้วนกขุนทอง เพราะฉะนั้น การสาธยายเพื่อความเข้าใจถูก และผู้ที่กล่าวสาธยายมีความเข้าใจถูก ไม่ใช่ไม่รู้อะไร มาสาธยายบทสวดต่างๆท่องจำ นั่นไม่ใช่การสาธยายในพระพุทธศาสนา ครับ แทนที่จะฟังว่าปฏิจสสมุปบาทคืออะไร อวิชชาไม่รู้อะไร ให้เกิดปัญญาแต่มาท่องเหมือนนกแก้วนกขุนทอง ก็ฟังให้เข้าใจในสิ่งนั้น พิจารณาใคร่ครวญโดยไม่ใช่การสวดท่องจำ ดังนั้นจึงหลงลืมสับสนระหว่าง สัญญา กับ ปัญญา ว่าสัญญาจำ ไม่ใช่ปัญญานั่นเอง ดังนั้นถามคนที่สวดท่องปฏิจจสมุปบาทว่า และสวดท่องธรรมจักรว่า ขณะนี้เห็นมีอวิชชาไหมและมีอวิชชาอย่างไร จะแสดงว่าคำถามนี้ผู้ที่ท่องมีปัญญาเข้าใจหรือจำ ครับ เรียนถาม ครับ และถามสำหรับผู้ที่อ้างสวดปฏิจจสมุปบาท มีพุทธวจน บทใดที่พระพุทธเจ้าสวดปฏิจจสมุปบาท กรุณายกอ้างพุทธวจนนั้นมาด้วยครับ
การสวดก็คือการคงอยู่ของคำสอนจึงกลายมาเป็นพระไตรปิฎกไม่มีการสวดก็ไม่เกิดพระไตรปิฎกครับ…เพราะไม่มีใครจำคำสอนครับ
พูดให้เป็นนกแก้วนกขุนทองก็เป็นเป็นการน้อมระลึกค้นหาความจริงได้หมดครับ….ค่อยปรับค่อยสอนกันให้ถูกต้องแต่อย่าเพิ่งประนามคนนั้นผิดคนนี้ไม่ถูก….
อาจารย์ครับ นิมิตมีกี่รูปแบบครับ ความคิดปรุงแต่ง ในความคิดมีส่วนประกอบอะไรบ้าง ถึงเกิดการคิดปรุงแต่งขึ้นมาได้ รบกวนด้วยครับ
ขอแสดงความเห็นประกอบการพิจารณา ในพุทธพจน์ไม่ได้ทรงแสดงการทำงานเครือข่ายนิวรัลที่อาจเรียกว่าเป็นกายที่เป็นรูปธรรมของความคิด แต่จะลองยกมาเปรียบเทียบ เหมือนถ้ามีกระแสน้ำไหลผ่านพื้นที่หนึ่ง พื้นที่นั้นก็จะค่อย ๆ เกิดร่องรอยเฉพาะตนขึ้นมา ถ้ากระแสน้ำทิศทางหนึ่งความแรงหนึ่งปริมาณหนึ่ง ก็เป็นร่องรอยอย่างหนึ่งซ้อนทับกันอยู่ เวลาผ่านไปร่องรอยเหล่านี้ก็ชัดเจนขึ้น สมองเด็กเห็นช้างไม่รู้ว่าเป็นช้าง ไม่รู้จักนี่งวงนี่หาง เห็นบ่อย ๆ เข้าก็จดจำในความเป็นกลุ่มก้อน ค่อย ๆ ลึกลงไปในรายละเอียดนี่หูนั่นตา จะเห็นว่าร่องรอยเหล่านี้ล้วนเป็นรูปธรรมเป็นผลกรรมเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย แต่ไม่ใช่ตัววิบากที่เป็นนามธรรมจิตเห็นได้ยิน ฯลฯ แต่ก็พอให้พิจารณาได้ว่าในภูมิที่มีรูปขันธ์การจะเป็นบัญญัติหรือนิมิติอนุพยัญชนะก็ต้องอาศัยเกิดร่วมกับความคิดที่เป็นรูปธรรมเหล่านี้เป็นปัจจัย ดังนั้นแม้แต่ความคิดก็ย่อมหาผู้บังคับบัญชาไม่ได้ จึงไม่มีจิตไปบังคับให้สมองตรึกคิดอย่างนี้อย่างนั้น สมองก็ไม่ได้ไปบังคับว่าจิตต้องตรึกคิดอย่างนี้อย่างนั้น แต่เป็นความจริงที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดร่วมกันเป็นอนัตตา
@@jeezjedpad5490 อ่านให้เข้าใจ เทียบเคียงพุทธพจน์ จะได้รู้ว่าถูกหรือผิดด้วยปัญญาตน จะได้ไม่ต้องเที่ยวคอยถามผู้อื่นว่าถูกหรือผิด ว่ามั่นใจหรือเปล่า ถ้าไม่มีปัญญาเป็นของตนเอง มันก็จะต้องถามแบบนี้ไปเรื่อย ๆ หาประโยชน์ใดได้
@@jeezjedpad5490 ทัศนะ มุมมอง ไม่ใช่สิ่งที่ตัดสินถูกผิด เพราะมองดูต้นไม้ ภูเขา ก็เลือกมองได้หลายมุม พรรณนาได้หลายแง่ ไปตามความคิด สิ่งที่ตัดสินว่าสิ่งใดถูกผิด คือ สัมมาทิฐิ
@@jeezjedpad5490ความคิดเป็นอนัตตา เกิดขึ้นดับไปตามเหตุปัจจัย หาผู้บังคับบัญชาไม่ได้ การใช้เครื่องหมาย อัญประกาศ ใช้ในกรณีที่ยกข้อความที่ผู้อื่นพูดมาโดยตรง ที่บอกว่า "คุณพูดว่า ความคิดไม่มีอะไรบังคับบัญชาได้" ไปเอาข้อความนี้มาจากที่ไหน ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นย่อมมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง กิเลสเป็นอนัตตาหาความเป็นสัตว์บุคคลไม่ได้ แล้วใครเป็นผู้บังคับบัญชา มัวแต่คิดจะเถียงจะค้านไปวัน ๆ ขนาดข้อความสั้น ๆ พูดไว้อย่างบอกเขาพูดอีกอย่าง แบบนี้มันก็ไม่รู้เรื่องเสียที เสียเวลา หยุดอวดฉลาด แล้วตั้งใจฟังพระพุทธเจ้า
แล้วท่านจะให้ปฏิบัติอย่างไรคับ
ในคลิปได้อธิบายไว้แล้วครับ กดที่ตัวเลขสีฟ้าจะอธิบายไว้แบ่งเนื้อหาไว้ครับ 14:40 การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องในพระพุทธศาสนาคืออย่างไร
ผมว่า แก่นของพุทธศาสนา อยู่ที่ความ สงบของจิตใจ รู้ตัวตน ไม่ทุกข์ในจิตใจ มีใจเมตตา เป็นต้น ไม่น่าจะใช่แค่การบวชนะครับ
แก่นพระพุทธศาสนา คือความหลุดพ้น ด้วยปัญญา
ทำเหตุที่จะต้องไปเกิดเป็นเปรตไปเเล้ว ทำยังไงถึงต้องไม่ไปเกิดเป็นเปรตครับ
ตราบใดยังไม่ใช่พระอริยบุคคลก็มีคติเกิดไม่แน่นอน ไม่พ้นจากอบายครับผู้ที่จะไม่เกิดเป็นเปรตไม่เกิดในอบายภูมิอีกคือพระอริยะมีพระโสดาบัน เป็นต้น เหตุไม่ให้เกิดเป็นเปรตอีกคือการเจริญปัญญารู้ความจริงที่เป็นสติปัฏฐานอริยมรรครู้ความจริงว่าเป็นธรรมโดยเริ่มจากการฟังเป็นเบื้องต้น แต่ต้องอาศัยระยะเวลายาวนานนับชาติไม่ถ้วนครับ ไม่มีทางอื่นครับ ขออนุโมทนา
@@paderm ขอบพระคุณครับ
กระดูกเป็นปุ๋ย
ยังเข้าใจผิดเรื่องกระดูกนะครับ กระดูกแท้จริงคือการประชุมรวมกันของธรรม ที่เป็นรูปธรรม คือ ธาตุดินน้ำไลม เป็นต้น ถ้ายังยึดถือว่ากระดูกเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นปุ๋ย เป็นต้น ก็เป็นความเข้าใจผิดไม่ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า ละความยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้ครับ ขออนุโมทนาครับ
@@paderm อัฐิของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร
พระพุทธเจ้าตรัสว่า..อย่าเลย วักกลิ ร่างกายอันเปื่อยเน่าที่เธอเห็นนี้ จะมีประโยชน์อะไร? ดูกรวักกลิ ผู้ใดแล เห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นธรรม.วักกลิ เป็นความจริง บุคคลเห็นธรรม ก็ย่อมเห็นเรา บุคคลเห็นเราก็ย่อมเห็นธรรม.วักกลิ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉนรูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?... ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?... เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา?...ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้าเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง?... ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?.... เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา? …. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.เพราะเหตุนั้นแล ฯลฯ อริยสาวกเห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมทราบชัดว่า ฯลฯกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสสอน ท่านพระวักกลิ ด้วยพระโอวาทนี้แล้ว ทรงลุกจากอาสนะ เสด็จไปยังภูเขาคิชฌกูฏ.
สาธุ
กราบอนุโมทนาครับ
สาธุ อนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ
สาธุค่ะ
กราบขอบพระคุณท่านผู้ปรับความเห็นผิดให้ถูก😊
อนุโมทนาบุญด้วยครับที่เข้าใจ เพราะความเห็นถูกที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงจะช่วยเปลี่ยนคนที่เคยสะสมความเห็นถูกมาแต่มีบางครั้งที่เห็นผิดไป ก็กลับมาสู่ความเห็นถูกครับ
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์เผดิมค่ะปัญญาความเห็นถูกเข้าใจถูกนำทางในกิจทั้งปวงค่ะ
น้อมกราบสาธุธรรม
สาธุๆๆครับ
จะให้ย้อนให้เหมือนสมัยพุทธกาลว่างั้นเถอะ
จะสมัยนี้หรือพุทธสมัย พระธรรมวินัยก็ไม่เปลี่ยน เห็นว่าต้องเปลี่ยน คือเอาของชั่วมาแทนของดี
ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนข้องใจมานานแล้วค่ะตอบให้หน่อยคะ่
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ สีสปาวันกรุงโกสัมพี ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบด้วยฝ่าพระหัตถ์ แล้วตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย มาแล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบที่เราถือด้วยผ่ามือกับใบที่บนต้น ไหนจะมากกว่ากัน ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือด้วยฝ่าพระหัตถ์มีประมาณน้อย ที่บนต้นมากกว่า พระเจ้าข้าพ. อย่างนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เรารู้แล้วมิได้บอกเธอทั้งหลายมีมาก ก็เพราะเหตุไร เราจึงไม่บอก. เพราะสิ่งนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ มิใช่พรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ ความสงบ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้ นิพพานเพราะเหตุนั้น เราจึงไม่บอก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งอะไรเราได้บอกแล้ว เราได้บอกแล้วว่า นี้ทุกข์... นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ก็เพราะเหตุไร เราจึงบอกเพราะสิ่งนั้น ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นพรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่าย... นิพพาน เพราะฉะนั้น เราจึงบอก ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงการทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่านี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาจบสีสปาสูตรที่ ๑
ไก่ มีสภาพรู้ ไข่ ไม่มีสภาพรู้ เกิดแล้วย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ดับไปตามเหตุปัจจัย หาผู้บังคับบัญชาไม่ได้ หาความเป็นไก่เป็นไข่ไม่มีในที่ไหนเลย ความจริงก็มีอยู่ขณะนี้เดี๋ยวนี้ให้ศึกษา หากแม้ขณะนี้ก็ไม่รู้ ย่อมไม่เข้าใจถึงเหตุปัจจัยของความเกิดดับ ย่อมไม่รู้ตามความจริงได้ว่าสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่กันและกัน เงื่อนต้นนั้นไม่ปรากฏ
@@sabbe.dhamma.anatta สุดยอด ชอบ การตอบของ อาจารย์ ขออนุญาตก็อปไปเผยแพร่ค่ะ ธรรมะทั้งหมดทั้งสิ้น ละเอียดลึกซึ้งมากจนไม่เหลือที่จะเป็นอัตตาได้เลย ละเอียดจึงยิ่งใหญ่ เป็น พระอภิธรรม สัพเพ ธัมมา อนัตตา กราบอนุโมทนา ท่านอาจารย์ และอาจารย์ผเดิม ทั้งสองท่านเลยค่ะ ตามอ่านตลอดค่ะ สาธุค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุกับอาจารย์ด้วยค่ะ🙏
กราบอนุโมทนาค่ะ
ทำไมสำนักปฎิบัต์จึงเกืดขึ้นเยอะคะได้รับความนืยมมาก
อวิชชาความไม่รู้เยอะ พระพุทธศาสนาและปัญญาเสื่อม ยุคกึ่งพุทธกาลแล้ว อวิชชาย่อมนิยมอวิชชาเป็นธรรมดา ความเห็นถูกย่อมมีน้อยกว่าความเห็นผิดเป็นธรรมดาครับ พระธรรมที่ถูกจึงแสดงกับผู้สะสมความเห็นถูกมาเท่านั้นครับ ขออนุโมทนา
อนุโมทนาสาธุค่ะ
อนุโมทนาสาธุครับ
สิ่งที่คนชอบทำบุญปฏิบัติธรรมมองข้ามไปคือมีธรรมในขณะนี้และสิ่งที่ทำปัญญารู้อะไรไหม บางคนแสวงหาธรรมเหนือจรดใต้แต่ลืมว่ามีธรรมขณะนี้ ปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวัน แม้ไม่ได้อยู่ในห้อง ที่เงียบในสำนักปฏิบัติธรรม ความจริงไม่มีสำนักปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ซึ่งสติและปัญญาปฏิบัติไม่ใช่เราปฏิบัติ ปัญหาที่น่ากลัวคือปัจจุบันสำนักปฏิบัติธรรมและวัดสอนผิด พระภิกษุและคฤหัสถ์สอนผิด ก็ไปฟังสิ่งที่ผิด สอนให้ทำสติ(ลืมอนัตตา)สอนให้รู้ลม ดูจิต นั่งสมาธิแต่ไม่มีปัญญารู้อะไร สอนคอร์สแก้กรรมด้วยความเห็นผิด เพราะที่ทำคือนิ่งแต่ไม่มีปัญญารู้ความจริง ความนิ่งจดจ่อลมจดจ่อสิ่งใด ไม่ใช่ความสงบ ไม่ใช่สติ ไม่ใช่อานาปานสติ แต่จดจ้องด้วยโลภะกิเลสและไม่มีปัญญารู้ธรรมตามความเป็นจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรมและขัดแย้งกับพุทธวจนคือธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาไม่ใช่เรา บังคับสติไม่ได้ เมื่อเลือกรู้ลมเลือกดูจิต ก็ผิดตั้งแต่ต้น จึงเป็นสำนักที่สอนผิดเป็นอัญญเดียรถีย์ ดังนั้นจึงต่างจากการไปวัดพระเชตวัน วัดพระเวฬุวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมให้เกิดปัญญารู้ความจริงในขณะนี้ที่สอดคล้องกับอนัตตา กลับมาหนทางปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องคือฟังธรรมเกิดปัญญาที่เข้าใจถูกว่าเป็นธรรมในขณะนี้ที่เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่งคือธรรมที่ปรากฏทาง ตา..ใจ (ทุติยปหานสูตร) ขณะนั้นปฏิบัติเกิดแล้วคือสติและปัญญาเกิดรู้ความจริง โดยไม่เลือกไม่บังคับแล้วแต่ว่าสติจะเกิดหรือไม่ พระพุทธศาสนาจึงเป็นเรื่องของปัญญา ไม่ใช่ทำสมาธิ เดินจงกรมแต่ไม่มีปัญญารู้อะไร ก็ไม่ใช่หนทางดับทุกข์ แต่เพิ่มทุกข์เพิ่มกิเลสโดยไม่รู้ตัวนั่นเองครับ จึงกล่าวด้วยความหวังดี แต่สำหรับผู้สะสมปัญญามาเท่านั้นไม่ใช่ไปเปลี่ยนผู้เห็นผิดแต่อย่างใด พระพุทธเจ้าทรงติเตียนสำนักเห็นผิดทั้งหลายเพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลกที่สะสมความเห็นถูกมาเท่านั้น ขออนุโมทนาครับ
ปัญญา เป็นธรรมเฉพาะตน เป็นอนัตตา เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เกิดเพราะนั่งเพราะเดิน ไม่ใช่ให้ฟังไม่กี่คำแล้วก็สอนนั่งสอนเดิน ผิด ฟังแล้วเกิดปัญญาหรือยังถึงทำ " *เมื่อใด* *ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า* ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข *เมื่อนั้น* ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่" คัดค้านทุกพระสูตร ค้านยันอรรถกถา แต่จะทำ จริงไหม
เยอะไปโว้ยยย
พระพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา มีเยอะกว่านี้มากมาย ล้วนสอดคล้องต้องกัน และไม่มีคำไหนไม่มีประโยชน์เลย
กราบ🙏🏻🙏🏻🙏🏻
#พระโสดาบันยังล่วงศีล๕ไหม
พระโสดาบันมีศีล ๕ สมบูรณ์ไม่ล่วงผิดศีล ๕ อีกเลยเพราะละภัยเวร ๕ ประการได้ตามพระไตรปิฎก(เวรภยสูตร) แต่ที่อันตรายคือเข้าใจผิดว่าแค่รักษาศีล ๕ มีศรัทธาในพระรัตนตรัยก็เป็นพระโสดาบันแล้ว เอาผลมาเป็นเหตุคือ แท้ที่จริงการรักษาศีล ๕ สมบูรณ์เป็นผลที่เกิดจากการเป็นพระโสดาบัน คนอ่านพุทธวจนยกพุทธวจนแต่เข้าใจผิด จึงเอาผลมาเป็นเหตุเพราะเหตุของการบรรลุเป็นพระโสดาบันไม่ใช่การรักษาศีล ๕ สมบูรณ์ครับ
ทุติยสาริปุตตสูตร
ว่าด้วยองค์ธรรมเครื่องบรรลุโสดา
[๑๔๒๗] ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามท่านพระสารีบุตรว่า ดูก่อนสารีบุตร ที่เรียกว่า โสตาปัตติยังคะ (๑) ๆ ดังนี้ โสตาปัตติยังคะเป็นไฉน.
[๑๔๒๘] ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โสตาปัตติยังคะ คือ สัปปุริสสังเสวะ การคบสัตบุรุษ ๑ สัทธรรมสวนะ ฟังคำสั่งสอนของท่าน ๑ โยนิโสมนสิการ กระทำไว้ในใจโดยอุบายที่ชอบ ๑ ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑.
[๑๔๒๙] พ. ถูกละๆ สารีบุตร โสตาปัตติยังคะ คือ สัปปุริสสังเสวะ ๑ สัทธรรมสวนะ ๑ โยนิโสมนสิการ ๑ ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ๑.
ขออนุโมทนา
พระโสดาบันถึงศีล 5เป็นอัตโนมัตครับ แต่การรักษาศีล 5 เป็นการฝึก แผ้วถางทางเดินให้ถึงพระโสดาบัน
@@nirvana-now พระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุทางสายเดียวคือสติปัฏฐานสี่ ซึ่งมีอธิศีล ไม่ใช่ศีลห้า ที่ก่อนพระพุทธศาสนาก็มี ไม่ใช่หนทางดับกิเลส จึงมีวิปัสสนา สติปัฏฐานสี่เป็นหนทางดับกิเลส ดังนั้นความเห็นผิด คือ แค่รักษาศีลห้าให้ดีก็เป็นพระโสดาบัน ครับ ดังนั้นเราต้องเข้าใจหนทางดับกิเลสที่ถูกต้อง ปราศจากปัญญาไม่ได้เลย นี่คือสิ่งที่ลืมกันว่าปัญญารู้อะไร เมื่อปัญญาดี ศีลก็ดีตามลำดับ ที่เป็นอธิศีล ที่ไม่ใช่แค่ศีลห้าธรรมดาทั่วไปครับ นี่คือความละเอียดของพระธรรมครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย กราบอาจารย์ผเดิม ยี่สมบุญ สัตบุรุษผู้กล่าวธัมมะได้ละเอียดลึกซึ้งแตกฉานอย่างยิ่ง ครับ หาได้ยากนักครับที่มีสอนโดยหัวใจของพระพุทธศาสนาที่ถูกต้องคือธัมมะทั้งปวงเป็นอนัตตา
ขออนุโมทนาที่เข้าใจหลักธรรมสำคัญที่จะทำให้เข้าใจแนวทางการปฏิบัติตามคำสอนพระพุทธเจ้า เพราะเมื่อเข้าใจถูกแม้เบื้องต้นว่าธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาก็จะทำให้เดินทางถูกและรู้หนทางผิดด้วยว่า ทางใดที่จะทำ จะบังคับ จะทำสติ จะเลือกรู้ลม เป็นต้น นั่นเป็นทางอัตตา ไม่ใช่สติแต่เป็นโลภะความต้องการ แต่ทางถูกคือปัญญาที่เริ่มมั่นคงในความไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาที่มีแต่ธรรม จนสติและปัญญาเกิดรู้ความจริงในขณะนี้ที่กำลังปรากฏนั่นเอง อันเกิดจากการฟังบ่อยๆเนืองๆในสิ่งที่ถูกต้อง ครับ พระธรรมมีประโยชน์สำหรับผู้สะสมปัญญา พระธรรมที่ถูกยิ่งเผยแพร่ยิ่งรุ่งเรืองซึ่งไม่ใช่คำของกระผมแต่เป็นคำของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตามพระไตรปิฎกนั่นเองครับ ยินดีอนุโมทนาในความเห็นถูกครับ
ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ใจไม่ใช่หัวใจ หมายถึงจิต
อนุโมทนาสาธุๆๆ กับ อจ.เผดิม ทุกๆคลิป ที่ผมตั้งใจฟังมาแล้ว และที่ฟังซ้ำ อีกหลายๆรอบ แต่ละคลิป ด้วย เพื่อความเข้าใจถูก ยิ่งๆขึ้นไป อจ.อธิบาย ย่อยธรรมะ ได้ชัดเจน ฟังเข้าใจได้ง่ายๆ ทุกๆคลิป เลยละครับ ผมติดตาม ฟัง..คลิป อจ.เผดิม มา น่าจะปีกว่าแล้ว และ จะตั้งใจ ติดตามฟัง ต่อเนื่องไป เรื่อยๆ ด้วยความตั้งใจ นะครับ ผมขอ อนุโมทนาบุญ กับ อจ.และสหายธรรม ทุกๆท่านด้วย อีกครั้ง นะครับ🙂
ขอน้อมนมเด้งๆ
กราบสาธุในพระธรรมค่ะ
ขอบพระคุณค่ะอาจารย์
ขอบพระคุณอาจารย์ผเดิมอย่างสูงครับ ขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนา สะสมความเห็นผิดมามาก ก็เป็นปัจจัยให้ต้องหลงไปพบไปฟังสิ่งที่ผิด เมื่อฟังแล้วยังไม่เกิดปัญญา ก็ย่อมไม่เห็นโทษของสิ่งที่ได้ฟังนั้น ก็หลงทำตามด้วยความติดข้องในความเห็นผิดนั้น เมื่อทำแล้วยังไม่เกิดปัญญา ก็ย่อมไม่เห็นโทษของการกระทำนั้น ก็ตั้งมั่นหยั่งลงในการกระทำนั้น ความเห็นผิดนั้นก็ย่อมไพบูลย์ยิ่ง ภายหน้าก็จะมีแต่เหินห่างพระธรรมคำสอนออกไป สุดท้ายแม้แต่คำว่าพุทธก็จะไม่ได้ยิน ศีลก็จะไม่มีให้รักษา วนเวียนลงอบายภูมิไม่จบไม่สิ้น เพราะอะไรก็เพราะประมาทในความยากความลึกซึ้งของพระธรรมคำสอน ย่อมประมาทตั้งแต่เบื้องต้น ประมาทในท่ามกลาง และประมาทไปจนถึงที่สุด
ขออนุโมทนาอย่างยิ่งครับที่เข้าใจความลึกซึ้งของพระธรรมพระพุทธเจ้าจึงให้เป็นผู้ไม่ประมาทในการศึกษาคำพระพุทธเจ้า โดยมีความเห็นถูกว่าสำคัญที่ปัญญา และขออนุโมทนาในการเกื้อกูลสหายธรรมที่ยังเข้าใจผิดในการสนทนาตอบและเป็นการช่วยดำรงพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้องแท้จริง ขออนุโมทนาในกุศลและปัญญาครับ
@@sabbe.dhamma.anatta ยังไงวะ???
เริ่มที่ค่อย ๆ เข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังด้วยดี ด้วยดียังไง ด้วยความเคารพความจริง ด้วยความเห็นโทษของความไม่รู้ ด้วยความเพียรที่จะเห็นตรง ปัญญาตนเท่านั้นคือที่พึ่ง ผู้อื่นมาทำปัญญาให้ตนไม่ได้
@@sabbe.dhamma.anatta ขออนุโมทนาที่กล่าวสนทนาด้วยเมตตาหวังดีและแสดงความจริงของพระธรรมเพื่อเกื้อกูลสหายธรรมครับ
สาธุๆครับอาจราย์
กราบอนุโมทนาสาธุคะ
พระโสดาบัน ศีล๕บริสุทธิ์อยู่แล้ว รายละเอียดอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่19😊😊
อนุโมทนาสาธุค่ะอาจารย์
กราบอนุโมทนา สาธุค่ะ อ.ผเดิม 🙏🙏🙏
ขอบพระคุณค่ะอาจารย์ ^^
อนุโมทนาบุญกุศล ฟังธรรมะ อาจารย์ Paderm สาธๆ
สาธุ สาธุ สาธุ ในธรรมะคะ กราบท่านอาจารย์คะ
สติและปัญญาปฎิบัติ ไม่ใช่เราปฎิบัติ ละเอียดลึกซึ้งมาก กราบอนุโมทนาสาธุค่ะท่านอาจารย์
จริงและตรงใจครับ อาจารย์
น้อมกราบสาธุในพระธรรมครับ
กราบอาจารย์ผเดิมที่เคารพอย่างสูงอาจารย์กล่าวคำจริงตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าขออนุโมทนาสาธุ...🙏👍🌄...จากจังหวัดนราธิวาสครับผม...🙏
อนุโมทนา สาธุ ๆ ค่ะ
สาธุค่ะ ขอให้อาจารย์สุขภาพแข็งแรงค่ะ จะได้บอกบุญให้ชาวโลกมีความสว่างทั้งทางโลกและทางธรรมค่ะ🙏🙏🙏
ขออนุโมทนาในการฟังเข้าใจพระธรรมด้วยครับ
แต่ผมคิดอีกอย่างว่า เริ่มแรกสัตว์ผู้ข้องอยู่ในภพน้อยใหญ่ก็มิได้มีปัญญาอินทรีย์แก่กล้ามาแต่เดิม แต่เพราะเริ่มจากการทำทานเล็กๆน้อยๆ กับผู้มีศีลบ้าง ให้กับสัตว์เดรัจฉานบ้าง พอสะสมบารมีมาเรื่อยจึงเริ่มมีอินทรีย์บารมีที่เริ่มแก่กล้า จนเริ่มประณีตขึ้นและฟังธรรมเข้าใจมากขึ้นตามการสะสม ของบารมีญาณแต่จะให้
เจริญอนัตตสัญญาแล้วละกิเลสทันทีก็ต้องตามการสะสมกุศลธรรมของแต่ละคนคือบารมี 10 ของแต่ละคน แต่วันนึงมีเวลาทำกุศลอะไร มีโอกาสทำกุศลอะไรเล็กๆน้อยก็ควรทำเนืองๆ ให้ทานเนืองๆ เรียกว่าประสบความสำเร็จกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ ในทุกวัน
ผมให้ทานวันละ 3 เวลา ทำแบบนี้มาเกิน 3 ปีแล้ว ทำบุญได้เกือบ 3 พันครั้ง ทั้งในเขตบุญของพระพุทธเจ้า ทั้งนอกเขตบุญ ให้เดรัจฉานบ้าง มนุษย์บ้าง มารดาบ้าง ญาติตนเองบ้าง เห็นว่ากุศลเจริญ ศีลดีขึ้น สภาวะธรรมที่ไม่เคยเกิดก็เกิดขึ้นมา
ผมพิจารณาแล้วว่าไม่ควรลังเลสงสัยในการให้ทานเล็กๆน้อยๆ ไม่ควรทอดธุระในกุศลธรรมทุกประการแม้เพียงเล็กน้อย ควรให้ทานเนืองๆ เมื่อมีโอกาส
ถามว่าตอนนี้ทำบุญอะไรได้ก็ทำไปก่อน รู้ว่าทรัพย์ที่นำไปทำบุญเป็นทรัพย์ที่เกิดจากอาชีวะที่บริสุทธิ์ก็เป็นบุญไม่ใช่น้อย และจิตของผู้ให้ ผู้รับอีกซึ่งผมก็มิกล้าถือประมาณในบุคคลใด เพราะกลัวการกล่าวผิด กล่าวตู่ผู้อื่น จะทำให้ตนเองเสื่อมจากกุศล
ผมพิจารณาว่าทำบุญอะไรได้ ควรทำไปก่อน ทำบ่อยๆ ทำเนืองๆ ถ้ามัวรอปัญญาให้มันเกิดเองคง เป็นความเห็นผิดเพราะต้องเจริญกุศลในปัจจุบันเนืองๆไปก่อน
ก็แสดงว่าฟังคลิปนี้ไม่เข้าใจและไปโยงประเด็นที่ไม่ถูกกับคลิปนี้ เพราะในคลิปไม่มีการห้ามการเจริญุกศลประการต่างๆเลย แต่ในคลิปอธิบายสำนักปฏิบัติที่สอนผิดและวัดพุทธพาณิชย์ วัดที่สอนผิด และไม่มีสำนักปฏิบัติในพระพุทธศาสนา จึงไม่ควรไปปฏิบัติในสถานที่ผิด ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าตรัสติเตียนสำนักเดียรถีย์ทั้งหลายและติเตียนภิกษุละเมิดพระธรรมวินัย ดังนั้นจะกล่าวขัดแย้งไม่เห็นด้วยก็ต้องฟังให้เข้าใจในคลิปให้ถูกก็จะไม่เกิดความสับสนและเข้าใจผิด ที่ไปคิดเองว่าห้ามการทำบุญห้ามการให้ทานห้ามทำกุศลนั่นเองครับ ขออนุโมทนา
ไม่ได้ห้ามให้ทำกุศล ไม่ได้ห้ามให้ทำบุญอะไรก็ทำไปก่อน ไม่ได้ห้ามให้ให้ทำทานเนืองๆ แต่เนื่องจากเรื่องที่กล่าวมามันไม่เที่ยง เกิดและดับไป เป็นไปตามเหตุและปัจจัย เราบังคับบัญชาไม่ได้ ดังนั้นคิดว่าจะทำอะไรมันคือมีตัวเราทำทั้งหมดตลอด❤
บารมี เกิดร่วมกับปัญญา คือความเห็นถูกทีละเล็กละน้อย ที่ลาดลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ จึงไม่มีบารมีที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ไม่ใช่การรอปัญญาให้เกิดเอง อันนี้เป็นการฟังไม่รู้เรื่อง เพราะรอให้เกิดเองคือรอสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ผิด หรือเห็นว่าทำนั่นทำนี่เช่นความเห็นว่ามีเราทำบุญมีเราเป็นผู้รับผลบุญนั้นแล้วจะเกิดปัญญานี่ก็ผิด ต้องเข้าใจว่า ธรรมทั้งปวงมีฉันทะเป็นมูล ความลึกซึ้งมันเป็นอย่างนี้ ความเข้าใจจะเจริญขึ้นจึงเป็นตรงนี้ขณะนี้เดี๋ยวนี้ มันจึงจะลาดลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับได้ จึงงดงามในเบื้องต้นท่ามกลางจนถึงที่สุดได้ ไม่ใช่มีปัญญาบ้างไม่มีบ้าง ผิด ไม่ใช่พุทธศาสนา ไม่ใช่ทำบุญรอมันเกิด ทำบุญ บุญจริงหรือเปล่า หรือทำเพราะอยากได้ เช่นเดียวกัน บุญขั้นศีลทานก็เป็นธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย มีเหตุปัจจัยก็ต้องทำ ไม่มีความเป็นเราไปห้ามไม่ให้ทำ ไม่ประกอบด้วยความเห็นผิดว่าถึงไม่ทำก็เกิดเอง เพราะนั่นคือเราคิด
@@sabbe.dhamma.anatta ธรรมทั้งปวง
มีฉันทะเป็นมูล
มีมนัสการเป็นแดนเกิด
มีผัสสะเป็นเหตุเกิด
มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง
มีสมาธิเป็นประมุข
มีสติเป็นใหญ่
มีปัญญาเป็นยิ่ง
มีวิมุตติเป็นแก่น
เป็นอมตะเป็นที่หยั่งลง
มีนิพพานเป็นที่สุด
ครั้งนึงพระพุทธเจ้าเคยไปบิณฑบาทที่บ้านของอุทยพราหมณ์ อุทยพราหมณ์ตักข้าวใส่บาทพระพุทธเจ้าแม้ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 เขากล่าวว่าพระพุทธเจ้าติดในรสจึงมาบิณฑบาทบ้านข้าพเจ้าบ่อยๆ
พระพุทธเจ้าทรงตรัสด้วยคาถาว่า...
กสิกรย่อมหว่านพืชบ่อยๆ
ฝนย่อมตกบ่อยๆ
ชาวนาย่อมไถนาบ่อยๆ
แว่นแคว้นย่อมบริบูรณ์ด้วยธัญชาติบ่อยๆ
ยาจกย่อมขอบ่อยๆ
ทานบดีก็ให้บ่อยๆ
ทานบดีให้บ่อยแล้วก็เข้าถึงสวรรณ์บ่อยๆ
ผู้ต้องการน้ำนมย่อมรีดนมบ่อยๆ
ลูกโคย่อมเข้าหาแม่โคบ่อยๆ
บุคคลย่อมลำบากและดิ้นรนบ่อยๆ
คนเขลาย่อมเข้าถึงครรย์บ่อยๆ
สัตว์ย่อมเกิดและตายบ่อยๆ
บุคคลทั้งหลายย่อมนำซากศพไปป่าช้าบ่อยๆ
ส่วนผู้มีปัญญา ถึงจะเกิดบ่อยๆก็เพื่อได้มรรคแล้วไม่เกิดอีกดังนี้
ผมให้ทานทุกวันเพราะมีปัญญาเข้าใจเรื่องทานและผลของทานครับ มิได้คิดว่าเป็นตัวเราแต่รู้ว่าเป็นธรรม คือเป็นกุศลธรรม เป็นกรรมดีที่ส่งผลทุกขณะจิต จึงให้ จึงทำ จึงไม่ทอดธุระในกุศลธรรม จึงไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป ไม่ปล่อยให้อายุขัยสิ้นไปโดยเปล่าประโยชน์ 🙏กราบอนุโมทนาในกุศลธรรมครับ
ดังนั้น ปัญญาก็ต้องเจริญขึ้นรู้ตามความจริงว่า ทานที่ให้นั้นมีผล เมื่อปัญญารู้ตามความจริงอย่างนั้นทานนั้นจึงจะเป็นบารมีที่จะนำถึงฝั่งพระนิพพานได้ เพราะทานนั้นย่อมอาศัยปัญญานั้นนำไป จึงไม่ใช่เห็นว่าทำไปก่อน ๆ ไม่เกิดปัญญาไม่เป็นไร ความเห็นนี้เป็นอะไร เป็นมิจฉาปฏิปทา เพราะไม่มีแม้สักขณะจิตเดียวที่ไม่ควรจะเห็นโทษของความไม่รู้
สาธุค่ะ,สาธุค่ะ สาธุค่ะ❤
🙏🙏🙏 กราบอนุโมทนาในกุศลจิตที่ดีงามค่ะ
สาธุค่ะ
สาธุๆๆในธรรมคำสั่งสอน
ที่แท้จริงค่ะอาจารย์🙏🙏🙏
กราบอนุโมทนาสาธุ...🙏👍🌻
สาธุสาธุสาธุ
กราบอนุโมทนาค่ะ🙏
ไม่รู้ย่อมไม่ผิด พระพุทธเจ้ารู้แจ้งโลกแล้วกล่าวสอนเป็น พระธรรม คือ ธรรมชาติในโลกมีแต่สิ่งสมมุติจากชาติเกิดให้รับรู้ด้วยตัวเราเอง จนมีผู้เจริญตามและยอมบวชตามจึงเป็น พระสงฆ์
ไม่มีใครผิดหรือถูก ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ถึงจะเจริญตามและเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าได้ในที่สุด
สิ่งที่ควรสำเหนียกและควรรู้พิจารณาว่าตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าหรือไม่ครับ มีสองคำที่ท่านกล่าวมา คือ 1.ไม่รู้ย่อมไม่ผิด 2.ไม่มีใครผิดหรือถูก ไม่รู้ย่อมไม่ผิด คำนี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงกิเลสหลักสามอย่างคือ โลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งโมหะ คือความไม่รู้ เป็นกิเลส อวิชชาก็เป็นความไม่รู้ ดังนั้น ไม่รู้ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงคือกิเลสที่เป็นโมหะ อวิชชา ตรงข้ามกับปัญญานั่นเอง ความไม่รู้จึงผิด เหมือนคนไม่รู้อะไร ตาบอด แต่ไปบอกว่าสิ่งนี้เป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงธรรมที่ตรงข้ามคือปัญญาและอวิชชา ที่เป็นความรู้และความไม่รู้นั่นเองครับ คำนี้จึงไม่ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้านั่นเองครับ คำที่สอง ไม่มีใครผิดหรือถูก ก็เป็นคำที่ตรงข้ามคำสอนพระพุทธเจ้า เพราะถ้าไม่มีอะไรผิดถูกแล้ว ฆ่าคนก็ไม่ผิด ทำอะไรก็ไม่ผิด แต่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพวกเห็นผิดในสมัยพุทธกาลคือัญญเดียรถีย์ทั้งหลายนั่นคือความเห็นผิดและทรงสรรเสริญผู้ปฏิบัติถูกที่เป็นความเห็นถูก จึงมีถูกและผิด ดังนั้นควรศึกษาคำพระพุทธเจ้าจะะมีปัญญาเป็นที่พึ่งเพราะเข้าใจผิดแบบนี้ มีตนคือความเห็นผิดเป็นที่พึ่งก็เป็นอันตรายไม่รู้ตัว จะบวชเป็นพระหรือเป็นคฤหัสถ์แต่เห็นผิดก็เป็นศัตรูกับพระพุทธเจ้าเพราะกล่าวคำตรงข้ามกับพระพุทธเจ้านั่นเองครับ
@@paderm อ.ค่ะ ไม่รุ้ย้อมไม่ผิดถ้าอยุ่ในครอบครัวเดียวกันจิตที่ไม่รุ้แหละสอนยากทำผิดบ่อยๆ(หมายถึงผิดศิลทุกข้อ) จิตที่รุ้แล้วแหละมีศิลต้องใช้ความเข้าใจแหละ อินทรียะสังวาระศิลเมตตาแหละอดทนสุงใช่ไหมค่ะ อ.ผเดิม ขออนุญาตถามค่ะ 🙏🙏
เข้าใจคนอื่น ความเห็นถูกไม่สาธาณณะทุกคนครับ อวิชชาความไม่รู้มีมาก ก็เข้าใจ อดทนด้วยเข้าใจถูกว่ามีแต่ธรรมเป็นไป ไม่รู้คือไม่รู้อวิชชาผิด แต่ก็รู้ว่ามีแต่ธรรมที่เป็นอกุศลธรรมเกิดขึ้นแล้ว ก็เบาใจขึ้นที่จะไม่บังคับ ไม่ลืมอุเบกขาด้วยปัญญาครับ
การนำพระธรรมมาเผยแผ่
ย่อมเป็นบุญอันสูงสุดดีแล้ว
เราจะไม่ขอแวะเวียนผ่านมาฟังธรรมทางนี้อีกต่อไป ขอบคุณครับ
@@Sivutlee919 นำสิ่งที่ไม่ถูกต้องมาเป็นบาปไม่ใช่ธรรมพระพุทธเจ้าครับ และไม่ได้เปลี่ยนผู้ที่สะสมความเห็นผิดและไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่รับฟังเหตุผล ครับ พระพุทธเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนผู้ที่เข้าใจผิด ซึ่งมีมากกว่าผู้ที่เห็นถูกได้ แต่ทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้ผู้ที่เห็นถูกเกิดปัญญาเข้าใจ แม้มีคนเดียว พระองค์ก็ทรงเสด็จไปโปรดแสดงความจริง การกล่าวคำจริงประโยชน์คือสำหรับผู้ที่เห็นถูก ได้เข้าใจ ก็มีประโยชน์แล้ว ซึ่งก็เริ่มมีผู้ที่เห็นถูกในเรื่องนี้ด้วยมากมายและทำตามแล้ว ค่อยๆเพิ่มขึ้นครับ พระธรรมความเห็นถูก ไม่ใช่สำหรับคนทั้งหมด แต่สำหรับคนที่สะสมเหตุผลปัญญามานั่นเองครับ ขออนุโมทนา
อนุโมทนาค่ะ
สาธุครับผม
สาธุค่ะ🙏🙏🙏
กราบท่านอาจารย์ค่ะ
ผิดเพี้ยนกันหมด😊😊😊
อนุโมทนาบุญทุกบุญกับอาจารย์เผดิมด้วยครับ สาธุสาธุสาธุ🙏🙏🙏
เกิดมาชาตินี้ไม่เสียของแล้ว ได้มาฟัง อ.เผดิม แบบเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย สะสมไป 😅
กราบสาธุในธรรมมะค่ะ
กราบขออนุโมทนาค่ะ🙏🙏🙏
กราบอนุโมทนากับอาจารย์ด้วยครับ
ผมคนหนึ่งสมัยแรกๆ ฟังอาจารย์แล้วขัดใจ
จนสุดท้ายมาปฏิบัติเอง
ถึงได้รู้เห็นตามความเป็นจริง ว่า
ไม่มีตัวเราตั้งแต่แรก มีแต่ความเห็นผิด มีแต่ขันธ์ 5 ที่เป็นธรรมชาติที่ทำงานของมันไปเอง
มาฟังอาจารย์อีกรอบ เข้าใจที่อาจารย์พยายามสื่อสาร พยายามรักษาข้อธรรมของพระพุทธเจ้าไว้
เป็นกำลังใจให้ครับ
กราบขอบพระคุณในความเอื้อเฟื้อกับสัตว์โลกด้วยนะครับ
ยังมีโลภ โกรธ หลง อยู่มั้ย ยังมีทุกข์มั้ย ยังมีความยึดมั่นถือมั่นในอะไรมั้ย ถ้ายังมีก็คือยังเห็นว่ายังมีเรานั่นแหละ อนัตตามโนเอาไม่ได้ ต้องปฏิบัติ
@@base-on-reality ยังมีครับ
@@base-on-realityยังมีโลภ โกรธ หลง อยู่ครับ
ยังมียึดถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ครับ
แต่ความเห็นว่าเป็นเรา ไม่มีครับ
ส่วนอนัตตา เห็นหรือไม่เคยเห็น ก็จำไม่ได้แล้วครับ
ถ้าจะถามเพื่อแนะนำธรรมที่ลึกซึ้งขึ้น ก็เป็นเรื่องน่าสรรเสริญครับ แต่ถ้ากอรปจิต เพราะต้องการเพ่งโทษเพื่อนพรหมจารีย์ ก็ไม่มีประโยชน์แก่ใครเลยครับ
ถ้าชาตินี้ไปนิพพานไม่ได้ แต่อยากไปชั้นพรหม จะปฏิบัติอย่างไร
เห็นโทษของการพอใจในรูป เสียง กลิ่น รสใ นชีวิตประจำวัน ถ้ายังพอใจ ไม่ได้เห็นโทษ และไม่รู้จักว่าฌานคืออะไร อยากไป ก็คือไม่ถึง ครับ เพราะเริ่มจากกิเลสไม่ใช่เริ่มจากปัญญาครับ
สาธุๆค่ะ
พระโสดาบันต้องศรัทธาถึง ถึงพระพุทธเจ้าจริงๆ ถึงพระธรรมจริงๆคือศีล 5 ถึง ถึงพระสงฆ์ และก็ถึงมรณานุสติเป็นอารมณ์
พระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุทางสายเดียวคือสติปัฏฐานสี่ ซึ่งมีอธิศีล ไม่ใช่ศีลห้า ที่ก่อนพระพุทธศาสนาก็มี ไม่ใช่หนทางดับกิเลส จึงมีวิปัสสนา สติปัฏฐานสี่เป็นหนทางดับกิเลส ดังนั้นความเห็นผิด คือ แค่รักษาศีลห้าให้ดีก็เป็นพระโสดาบัน ครับ ดังนั้นเราต้องเข้าใจหนทางดับกิเลสที่ถูกต้อง ปราศจากปัญญาไม่ได้เลย นี่คือสิ่งที่ลืมกันว่าปัญญารู้อะไร เมื่อปัญญาดี ศีลก็ดีตามลำดับ ที่เป็นอธิศีล ที่ไม่ใช่แค่ศีลห้าธรรมดาทั่วไปครับ นี่คือความละเอียดของพระธรรมครับ
@@paderm คุณต้องเข้าใจอารมณ์พระโสดาบันว่าศีล 5 ของท่านเป็นอัตโนมัติ ไม่ต้องถือครับ
พระโสดาบันไม่มีเจตนาหรือจึงไม่ถือศีล
@@sabbe.dhamma.anatta เจตนาเป็นตัวกรรม ไม่เจตนาแล้วเอาอะไรทำกรรมครับ แล้วจะเริ่มต้นปฏิบัติให้ถึงมรรคผลอย่างไร ทุกอย่างไม่ได่มาลอยๆ
ธรรมทั้งปวงมีฉันทะเป็นมูล เริ่ม "ปฏิบัติ" ด้วยความเข้าใจที่เกิดขึ้นแล้ว *เมื่อใด* ท่านทั้งหลาย *พึงรู้ได้ด้วยตนเอง* ว่าธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล/กุศล *เมื่อนั้น* พึงละ/เข้าถึง ธรรมเหล่านั้น
🙏🙏🙏
อาจารย์ครับ ขอเมตตาช่วยอธิบายเรื่องอายตนะ การเกิดของขัน5 โดยละเอียดให้ฟังหน่อยครับ
💐⚘️🌻🙏
🌸🙏🙏🙏🌸
💐💐💐💐💐💐🙏
เพราะหลงจึงรู้
รู้ผิด
ไม่มีหลงก็ไม่มีรู้ ไม่มีผิด ก็จะไม่มีถูก
ไม่มีรู้เพราะหลง ผิด แต่เพราะอาศัยความรู้จักหลง จึงละความหลงได้
ไม่มีใคร ที่รู้ โดยไม่เคยหลง ไม่รู้จักหลง ก็เพราะไม่เคยรู้
ใคร ๆ ก็เคยหลง แล้วมีไหม ใครรู้เพราะหลง ไม่มี เพราะหลงจึงรู้ จึงผิด แต่เพราะมีหลงเกิดแล้ว จึงมีรู้เกิดได้ รู้เป็นเหตุ ไม่ใช่ผล ถ้ารู้เป็นผลของหลงก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว หลงไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็รู้ นั่นผิด มัวหวาดกลัวอะไรนักหนาถึงไม่กล้าเข้าประเด็น มัวเล่นต่อคำก็พายเรือในอ่าง เมื่อไหร่จะรู้
ขออนุโมทนาในจิตที่เป็นกุศลมีความเห็นถูกค่ะ
ขออนุญาตถามอาจารย์ครับ ขอยกตัวอย่างสิ่งที่เกิดในชีวิตผมครับ เมื่อตอนผมรู้สึกโกรธตอนทะเลาะกับน้อง ผมจะกำหนดรู้ไปเพ่งดูความรู้สึกโกรธว่าเป็นอย่างไร ความรู้สึกนั้นก็ไม่อยู่แล้ว ผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ ก็เข้าใจว่าทำเช่นนี้ทุกๆความรู้สึกที่เกิดกระทบ
และคิดว่า ผู้ที่ฝึกกำลังสติมากพอจะเห็นขั้นตอนการเกิดดับชัดเจน ผมเข้าใจถูกไหมครับอาจารย์ อนุโมทนาครับ
ทำใจให้โกรธคนที่รักที่สุดได้ไหม ทำใจให้รักคนที่เกลียดที่สุดได้ไหม สภาพธรรมต่าง ๆ เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย เมื่อโกรธหากเกิดความเห็นโทษด้วยปัญญาขึ้น ก็ไม่มีปัจจัยให้ความโกรธนั้นเกิดสืบต่อ แต่ก็ไม่ใช่ว่าต้องเป็นปัญญา หรือเป็นเมตตาจิต ปุถุชนส่วนมากยังมีความติดข้อง เมื่อโกรธแล้วก็ไม่ชอบลักษณะของความโกรธนั้น เพราะมีความติดข้องในความไม่โกรธเป็นต้น ก็คือเกิดโลภะขึ้นขวางโทสะ ดังนั้นจะเห็นว่าขณะนั้นเป็นโลภะหรือเป็นสติ สิ่งที่จะรู้ก็คือปัญญา แต่ถ้าไปเห็นว่าปัญญาทำขึ้นคิดขึ้นมาได้ ก็ควรพิจารณาว่านั่นไม่ใช่ปัญญา ก็เป็นความติดข้องในความเห็นผิด ว่าจะทำสติทำปัญญาขึ้นมาระงับโกรธนั้น เมื่อเข้าใจดังนี้แล้ว ก็ไม่ควรโกรธ ไม่ควรหลงบังคับสติบังคับปัญญา ความเข้าใจนี้นั่นเองที่จะค่อย ๆ ละความโกรธได้
@@sabbe.dhamma.anatta ผมทำใจโกรธใครไม่ได้ ทำใจให้รักก็ไม่ได้หากไม่มีเหตุครับ ถ้าสิ่งที่ผมทำมันผิดเพราะการพิจารณาดูความโกรธ ที่มันหายไปคือเป็นโลภะเข้ามาแทน ผมขอเรียนถามอาจารย์ว่า ผมจะทำวิธีไหนเพื่อให้เกิดปัญญาเห็นโทษอย่างถูกต้องได้ หรอครับอาจารย์
อนุโมทนาครับ
ปัญญาก็เป็นธรรมะ เป็นอนัตตา ไม่มีผู้บังคับบัญชาหรือทำให้เกิดขึ้นได้ การที่จะเจริญปัญญาขึ้น เบื้องต้นก็ต้องมีปัญญาเกิดขึ้น จึงจะรู้ว่าจะเจริญปัญญาต่อไปได้อย่างไร ปัญญาในเบื้องต้นเกิดขึ้นได้เพราะมีการฟังคำสอนพระพุทธเจ้าเข้าใจ และต้องเป็นการฟังเข้าใจไม่ใช่ฟังไม่เข้าใจ ไม่ใช่คิดเอาว่าเข้าใจ แต่เพราะเข้าใจจึงคิดไตร่ตรองไปได้โดยชอบ คือมีปัญญานำคิดไปชอบ ดังนั้นควรฟังพระพุทธเจ้าให้ดี ว่าทรงสอนว่าอย่างไร เมื่อเข้าใจแล้วจึงจะรู้ว่าจะทำอย่างไรปัญญาจึงจะเจริญขึ้น แล้วจะไม่ต้องถามใครว่าทำอย่างไร
@@kumponsiripak9040ผมขออนุญาตแนะนำแบบนี้นะครับ ผมเจริญปััญญาด้วยการปลง ปลงในที่นี้ คือเห็นเหตุการณ์เรื่องราวในชีวิตประจำวัน เช่นข่าวฆ่ากัน ข่าวลักทรัพย์ ข่าวทุกอย่าง ทั้งดี ไม่ดี แล้วก็ปลงคล้ายๆเวทนา ไม่ใช่ด้วยจิตที่สงสารแต่เป็นจิตที่เรียนรู้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนไม่เที่ยง
ฝึกไปอย่างนี้จนรู้สึกเฉยๆกับเรื่องรอบตัว ไม่ยินดียินร้าย สงบ แต่มีความสุขจากภายใน คล้ายๆยิ้มมุมปาก เอาแค่นี้ก่อน
การปฎิบัติธรรม ที่ถูกต้อง คือการฟังธรรมจากพระพุทธองค์ การสวดมนต์พระพุทธองค์ก็ไม่ได้ทรงสอนใช่ไหมค่ะ
การฟังกับการปฏิบัติแม้จะเป็นความงดงามด้วยกันทั้งคู่ แต่ไม่เหมือนกัน การปฏิบัติธรรม คือการที่ปัญญาในขั้นปฏิบัติ อาศัยมนสิการปัญญาที่เกิดขึ้นแล้วในขั้นปริยัติทำกิจอบรมเจริญความรู้ให้ยิ่งขึ้น ปัญญาในขั้นปริยัติเริ่มที่ฟังเข้าใจ ไม่ใช่ฟังแล้วไม่เข้าใจ จะฟังเป็นร้อยปีพันปีถ้าไม่เกิดปัญญาเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังนั้นก็ไม่มีประโยชน์ หลงคิดว่าฟังเยอะ ๆ จำเยอะ ๆ แล้วจะดีนั่นก็ไม่ใช่ พระพุทธศาสนาจึงเริ่มที่ความเข้าใจ เพื่อเข้าใจยิ่งขึ้น จนเข้าใจถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง จึงเป็นความงดงามในเบื้องต้นท่ามกลางและในที่สุด เมื่อฟังแล้วไม่เข้าใจก็คือไม่เข้าใจ เป็นผู้ตรงว่าไม่เข้าใจ มั่นคงว่าไม่มีอะไรให้พึ่งนอกจากปัญญาตน ว่าไม่มีสัตว์บุคคลใดจะมาทำปัญญาให้ตนได้ คือไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้สวดมนต์ ให้สังเกตุว่าไม่มีพระสูตรไหนกล่าวถึงการสวดมนต์ การสวดมนต์คือการทบทวนการสั่งสอนของพระพุทธองค์ ทบทวนแล้วไตร่ตรองพระธรรมคำสั่งสอน
@@HONO452504ยุคปัจจุบันอ้างสาธยายผิดและทำผิดสวดมนต์ผิดดังนี้ครับ ในวันอาสาฬหบูชาพระพุทธเจ้าไม่ได้ให้พระปัญญจัวคคีย์สวดธรรมจักรสวดปฏิจจสมุปบาท แต่ทรงแสดงพระธรรมธรรมจักรในภาษาที่พระปัญญจวัคคีย์เข้าใจให้พระปัญญจวัคคีย์ฟัง ตั้งใจสดับฟังคือธรรมจักร ไม่ใช่พระปัญญจวัคคีย์ไปท่องสวด พระอัญญาโกณฑัญญะจึงเกิดปัญญาเห็นธรรม เพราะทรงแสดงพระธรรม ท่านฟังเกิดปัญญาจักษุ นี่คือเหตุเกิดปัญญาคือฟัง ไม่ใช่มาท่องคำ และที่สำคัญเข้าใจสาธยายผิด อ้างสาธยายแต่ไม่ใช่สาธยาย จึงหลงสวดปฏิจจสมุปบาทและธรรมจักรแบบปัจจุบันที่ทำผิดไม่ใช่สาธยายเพราะอ่านคำ พุทธวจน แล้วแปลความหมายผิด จึงเข้าใจคำว่า สาธยายผิด นี่คือโทษของการไม่ฟังอรรถกถาอธิบาย แต่ก็เป็นการอธิบายคิดเองเข้าใจผิดในคำว่า สาธยาย ครับ
สาธยายต้องเข้าใจว่าเป็นภาษาบาลีซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นของคนสมัยนั้นครับ ที่ฟังรู้เรื่อง และมาสาธยายเพื่อพิจารณาเกิดปัญญาเพราะเข้าใจถูกจึงสาธยาย แต่คนสมัยนี้ เอามาสาธยายท่องบ่นเป็นคำบาลี ฟังไม่รู้เรื่อง ไม่ต่างจากนกแก้วนกขุนทอง เพราะฉะนั้น การสาธยายเพื่อความเข้าใจถูก และผู้ที่กล่าวสาธยายมีความเข้าใจถูก ไม่ใช่ไม่รู้อะไร มาสาธยายบทสวดต่างๆท่องจำ นั่นไม่ใช่การสาธยายในพระพุทธศาสนา ครับ แทนที่จะฟังว่าปฏิจสสมุปบาทคืออะไร อวิชชาไม่รู้อะไร ให้เกิดปัญญาแต่มาท่องเหมือนนกแก้วนกขุนทอง ก็ฟังให้เข้าใจในสิ่งนั้น พิจารณาใคร่ครวญโดยไม่ใช่การสวดท่องจำ ดังนั้นจึงหลงลืมสับสนระหว่าง สัญญา กับ ปัญญา ว่าสัญญาจำ ไม่ใช่ปัญญานั่นเอง ดังนั้นถามคนที่สวดท่องปฏิจจสมุปบาทว่า และสวดท่องธรรมจักรว่า ขณะนี้เห็นมีอวิชชาไหมและมีอวิชชาอย่างไร จะแสดงว่าคำถามนี้ผู้ที่ท่องมีปัญญาเข้าใจหรือจำ ครับ เรียนถาม ครับ และถามสำหรับผู้ที่อ้างสวดปฏิจจสมุปบาท มีพุทธวจน บทใดที่พระพุทธเจ้าสวดปฏิจจสมุปบาท กรุณายกอ้างพุทธวจนนั้นมาด้วยครับ
การสวดก็คือการคงอยู่ของคำสอนจึงกลายมาเป็นพระไตรปิฎกไม่มีการสวดก็ไม่เกิดพระไตรปิฎกครับ…เพราะไม่มีใครจำคำสอนครับ
พูดให้เป็นนกแก้วนกขุนทองก็เป็นเป็นการน้อมระลึกค้นหาความจริงได้หมดครับ….ค่อยปรับค่อยสอนกันให้ถูกต้องแต่อย่าเพิ่งประนามคนนั้นผิดคนนี้ไม่ถูก….
อาจารย์ครับ นิมิตมีกี่รูปแบบครับ ความคิดปรุงแต่ง ในความคิดมีส่วนประกอบอะไรบ้าง ถึงเกิดการคิดปรุงแต่งขึ้นมาได้ รบกวนด้วยครับ
ขอแสดงความเห็นประกอบการพิจารณา ในพุทธพจน์ไม่ได้ทรงแสดงการทำงานเครือข่ายนิวรัลที่อาจเรียกว่าเป็นกายที่เป็นรูปธรรมของความคิด แต่จะลองยกมาเปรียบเทียบ เหมือนถ้ามีกระแสน้ำไหลผ่านพื้นที่หนึ่ง พื้นที่นั้นก็จะค่อย ๆ เกิดร่องรอยเฉพาะตนขึ้นมา ถ้ากระแสน้ำทิศทางหนึ่งความแรงหนึ่งปริมาณหนึ่ง ก็เป็นร่องรอยอย่างหนึ่งซ้อนทับกันอยู่ เวลาผ่านไปร่องรอยเหล่านี้ก็ชัดเจนขึ้น สมองเด็กเห็นช้างไม่รู้ว่าเป็นช้าง ไม่รู้จักนี่งวงนี่หาง เห็นบ่อย ๆ เข้าก็จดจำในความเป็นกลุ่มก้อน ค่อย ๆ ลึกลงไปในรายละเอียดนี่หูนั่นตา จะเห็นว่าร่องรอยเหล่านี้ล้วนเป็นรูปธรรมเป็นผลกรรมเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย แต่ไม่ใช่ตัววิบากที่เป็นนามธรรมจิตเห็นได้ยิน ฯลฯ แต่ก็พอให้พิจารณาได้ว่าในภูมิที่มีรูปขันธ์การจะเป็นบัญญัติหรือนิมิติอนุพยัญชนะก็ต้องอาศัยเกิดร่วมกับความคิดที่เป็นรูปธรรมเหล่านี้เป็นปัจจัย ดังนั้นแม้แต่ความคิดก็ย่อมหาผู้บังคับบัญชาไม่ได้ จึงไม่มีจิตไปบังคับให้สมองตรึกคิดอย่างนี้อย่างนั้น สมองก็ไม่ได้ไปบังคับว่าจิตต้องตรึกคิดอย่างนี้อย่างนั้น แต่เป็นความจริงที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดร่วมกันเป็นอนัตตา
@@jeezjedpad5490 อ่านให้เข้าใจ เทียบเคียงพุทธพจน์ จะได้รู้ว่าถูกหรือผิดด้วยปัญญาตน จะได้ไม่ต้องเที่ยวคอยถามผู้อื่นว่าถูกหรือผิด ว่ามั่นใจหรือเปล่า ถ้าไม่มีปัญญาเป็นของตนเอง มันก็จะต้องถามแบบนี้ไปเรื่อย ๆ หาประโยชน์ใดได้
@@jeezjedpad5490 ทัศนะ มุมมอง ไม่ใช่สิ่งที่ตัดสินถูกผิด เพราะมองดูต้นไม้ ภูเขา ก็เลือกมองได้หลายมุม พรรณนาได้หลายแง่ ไปตามความคิด สิ่งที่ตัดสินว่าสิ่งใดถูกผิด คือ สัมมาทิฐิ
@@jeezjedpad5490ความคิดเป็นอนัตตา เกิดขึ้นดับไปตามเหตุปัจจัย หาผู้บังคับบัญชาไม่ได้ การใช้เครื่องหมาย อัญประกาศ ใช้ในกรณีที่ยกข้อความที่ผู้อื่นพูดมาโดยตรง ที่บอกว่า "คุณพูดว่า ความคิดไม่มีอะไรบังคับบัญชาได้" ไปเอาข้อความนี้มาจากที่ไหน ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นย่อมมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง กิเลสเป็นอนัตตาหาความเป็นสัตว์บุคคลไม่ได้ แล้วใครเป็นผู้บังคับบัญชา มัวแต่คิดจะเถียงจะค้านไปวัน ๆ ขนาดข้อความสั้น ๆ พูดไว้อย่างบอกเขาพูดอีกอย่าง แบบนี้มันก็ไม่รู้เรื่องเสียที เสียเวลา หยุดอวดฉลาด แล้วตั้งใจฟังพระพุทธเจ้า
แล้วท่านจะให้ปฏิบัติอย่างไรคับ
ในคลิปได้อธิบายไว้แล้วครับ กดที่ตัวเลขสีฟ้าจะอธิบายไว้แบ่งเนื้อหาไว้ครับ 14:40 การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องในพระพุทธศาสนาคืออย่างไร
ผมว่า แก่นของพุทธศาสนา อยู่ที่ความ สงบของจิตใจ รู้ตัวตน ไม่ทุกข์ในจิตใจ มีใจเมตตา เป็นต้น ไม่น่าจะใช่แค่การบวชนะครับ
แก่นพระพุทธศาสนา คือความหลุดพ้น ด้วยปัญญา
ทำเหตุที่จะต้องไปเกิดเป็นเปรตไปเเล้ว ทำยังไงถึงต้องไม่ไปเกิดเป็นเปรตครับ
ตราบใดยังไม่ใช่พระอริยบุคคลก็มีคติเกิดไม่แน่นอน ไม่พ้นจากอบายครับผู้ที่จะไม่เกิดเป็นเปรตไม่เกิดในอบายภูมิอีกคือพระอริยะมีพระโสดาบัน เป็นต้น เหตุไม่ให้เกิดเป็นเปรตอีกคือการเจริญปัญญารู้ความจริงที่เป็นสติปัฏฐานอริยมรรครู้ความจริงว่าเป็นธรรมโดยเริ่มจากการฟังเป็นเบื้องต้น แต่ต้องอาศัยระยะเวลายาวนานนับชาติไม่ถ้วนครับ ไม่มีทางอื่นครับ ขออนุโมทนา
@@paderm ขอบพระคุณครับ
กระดูกเป็นปุ๋ย
ยังเข้าใจผิดเรื่องกระดูกนะครับ กระดูกแท้จริงคือการประชุมรวมกันของธรรม ที่เป็นรูปธรรม คือ ธาตุดินน้ำไลม เป็นต้น ถ้ายังยึดถือว่ากระดูกเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นปุ๋ย เป็นต้น ก็เป็นความเข้าใจผิดไม่ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า ละความยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้ครับ ขออนุโมทนาครับ
@@paderm อัฐิของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร
พระพุทธเจ้าตรัสว่า..อย่าเลย วักกลิ ร่างกายอันเปื่อยเน่าที่เธอเห็นนี้ จะมีประโยชน์อะไร? ดูกรวักกลิ ผู้ใดแล เห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นธรรม.วักกลิ เป็นความจริง บุคคลเห็นธรรม ก็ย่อมเห็นเรา บุคคลเห็นเราก็ย่อมเห็นธรรม.
วักกลิ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉนรูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?... ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?... เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา?...ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง?... ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?.... เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา? …. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
เพราะเหตุนั้นแล ฯลฯ อริยสาวกเห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมทราบชัดว่า ฯลฯกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสสอน ท่านพระวักกลิ ด้วยพระโอวาทนี้แล้ว ทรงลุกจากอาสนะ เสด็จไปยังภูเขาคิชฌกูฏ.
สาธุ
กราบอนุโมทนาครับ
สาธุ อนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ
สาธุ
สาธุค่ะ
🙏🙏🙏
กราบขอบพระคุณท่านผู้ปรับความเห็นผิดให้ถูก😊
อนุโมทนาบุญด้วยครับที่เข้าใจ เพราะความเห็นถูกที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงจะช่วยเปลี่ยนคนที่เคยสะสมความเห็นถูกมาแต่มีบางครั้งที่เห็นผิดไป ก็กลับมาสู่ความเห็นถูกครับ
กราบอนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ
🙏🙏🙏
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์เผดิมค่ะปัญญาความเห็นถูกเข้าใจถูกนำทางในกิจทั้งปวงค่ะ
กราบอนุโมทนาครับ
น้อมกราบสาธุธรรม
สาธุๆๆครับ
จะให้ย้อนให้เหมือนสมัยพุทธกาลว่างั้นเถอะ
จะสมัยนี้หรือพุทธสมัย พระธรรมวินัยก็ไม่เปลี่ยน เห็นว่าต้องเปลี่ยน คือเอาของชั่วมาแทนของดี
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ
ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนข้องใจมานานแล้วค่ะตอบให้หน่อยคะ่
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ สีสปาวันกรุงโกสัมพี ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบด้วยฝ่าพระหัตถ์ แล้วตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย มาแล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบที่เราถือด้วยผ่ามือกับใบที่บนต้น ไหนจะมากกว่ากัน ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือด้วยฝ่าพระหัตถ์มีประมาณน้อย ที่บนต้นมากกว่า พระเจ้าข้า
พ. อย่างนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เรารู้แล้วมิได้บอกเธอทั้งหลายมีมาก ก็เพราะเหตุไร เราจึงไม่บอก. เพราะสิ่งนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ มิใช่พรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ ความสงบ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้ นิพพานเพราะเหตุนั้น เราจึงไม่บอก
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งอะไรเราได้บอกแล้ว เราได้บอกแล้วว่า นี้ทุกข์... นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ก็เพราะเหตุไร เราจึงบอกเพราะสิ่งนั้น ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นพรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่าย... นิพพาน เพราะฉะนั้น เราจึงบอก ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงการทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่านี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
จบสีสปาสูตรที่ ๑
ไก่ มีสภาพรู้ ไข่ ไม่มีสภาพรู้ เกิดแล้วย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ดับไปตามเหตุปัจจัย หาผู้บังคับบัญชาไม่ได้ หาความเป็นไก่เป็นไข่ไม่มีในที่ไหนเลย ความจริงก็มีอยู่ขณะนี้เดี๋ยวนี้ให้ศึกษา หากแม้ขณะนี้ก็ไม่รู้ ย่อมไม่เข้าใจถึงเหตุปัจจัยของความเกิดดับ ย่อมไม่รู้ตามความจริงได้ว่าสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่กันและกัน เงื่อนต้นนั้นไม่ปรากฏ
@@sabbe.dhamma.anatta สุดยอด ชอบ การตอบของ อาจารย์ ขออนุญาตก็อปไปเผยแพร่ค่ะ ธรรมะทั้งหมดทั้งสิ้น ละเอียดลึกซึ้งมากจนไม่เหลือที่จะเป็นอัตตาได้เลย ละเอียดจึงยิ่งใหญ่ เป็น พระอภิธรรม สัพเพ ธัมมา อนัตตา กราบอนุโมทนา ท่านอาจารย์ และอาจารย์ผเดิม ทั้งสองท่านเลยค่ะ ตามอ่านตลอดค่ะ สาธุค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุกับอาจารย์ด้วยค่ะ🙏
กราบอนุโมทนาค่ะ
ทำไมสำนักปฎิบัต์จึงเกืดขึ้นเยอะคะได้รับความนืยมมาก
อวิชชาความไม่รู้เยอะ พระพุทธศาสนาและปัญญาเสื่อม ยุคกึ่งพุทธกาลแล้ว อวิชชาย่อมนิยมอวิชชาเป็นธรรมดา ความเห็นถูกย่อมมีน้อยกว่าความเห็นผิดเป็นธรรมดาครับ พระธรรมที่ถูกจึงแสดงกับผู้สะสมความเห็นถูกมาเท่านั้นครับ ขออนุโมทนา
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ
กราบอนุโมทนาสาธุคะ
อนุโมทนาสาธุค่ะ
อนุโมทนาสาธุครับ