ขนาดวิดีโอ: 1280 X 720853 X 480640 X 360
แสดงแผงควบคุมโปรแกรมเล่น
เล่นอัตโนมัติ
เล่นใหม่
เวลา...ถูกกำหนดจากคนที่เป็นนักปราชญ์โบราณในโลกของเราเท่านั้น โดยการสังเกตและการคำนวณ การเคลื่อนที่ หรือการโคจร ของดวงดาว ต่าง ๆ แล้วจึงเขียน เวลา 0.00 - 24.00 น. 1 ช.ม เป็น วินาที นาที่ ช.ม เดือน ปี ถึงอสงไขเวลา พวกเขา กำหนด ปฎิทิน วัด เป็นเดือน เป็นปี เช่นปฎิทินนี้ คำนวนได้อย่างมหัศจรรย์ ยก.ต.ย เวลาของเดือนนี้ คือ..ปฏิทินโหราศาสตร์ไทย สุริยยาตร์มีนาคม พ.ศ.2567 ปีเถาะ เบญจศก จ.ศ. 1385 , ค.ศ. 2024 , ม.ศ. 1945 - 1946 , ร.ศ. 242 [6) สุริยคติ เป็น อธิกสุรทิน , จันทรคติ เป็น ปกติมาส ปกติวาร อัตตาเถลิงศก มาสเกณฑ์ : 17130 , อวมาน : 310 , หรคุณ : 505884 , กัมมัชพล : 132 , อุจจพล : 1071 , ดีถี : 26 , วาร : 1 คำนวณตามระบบดาราศาสตร์ไทย สุริยยาตร์ สมผุส ณ เวลา 24:00น. เวลาท้องถิ่นกรุงเทพฯ (UTC+06:42) / กรุงเทพฯ นักษัตร นักปราชญ์ ที่คำนวณเก่งสุด ๆ ขอบคุณข้อมูลจากจากเว็บ Myhora แต่หากพ้นจากโลกเราไปแล้ว ทุกสิ่ง ก็เป็นไปตามกฎของธรรมชาติตามหลักธรรมะ คืออนัตตา หรือไม่มีอะไรเลย ต่อให้เถียงกันอย่างไร ก็ถกเถียงในโลกมนุษย์เท่านั้น แต่ในจักรวาลก็ยังคงเป็นวัฐจักรของมัน อยู่อย่างนั้น
การมีอยู่ของสรรพสิ่ง ล้วนเป็นการเกิดมาเพราะเหตุปัจจัย มันจะเกิดในรูปแบบใหนล้วนแต่ต้องอาศัยเหตุ ไม่ว่าจะเป็นพลังงานไม่ว่าจะเป็นรูปธรรม นามธรรม โดยเนื้อแท้ของกาลเวลามันหมายถึงการมีอยู่ของการเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปของทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง และแต่ละหนึ่งๆๆๆๆนั้นมันเป็นอะไรๆๆที่เป็นธาตุอยู่ในฐานะต่างๆปนเปกัน ไม่สามารถที่จะย่อยออกมาเพื่อจะหาค่าเวลาจริงๆได้เพราะความเป็นธรรมชาติ มันหมายถึงการอยู่ร่วมกันของธาตุหลายๆๆๆธาตุ เป็นสิ่งที่การหาคำตอบนั้น สมควรหรือไม่เสียเวลาหรือไม่ นั่นคือสิ่งที่ไม่รู้. แม้แต่ ทฤษฏีควอนตั้ม จะมีใครยืนยั่นได้ว่ามาถูกทางแน่นอน มันแค่ยอมรับกันในตอนนี้ว่าน่าจะใช่ที่สุด แต่ใครจะรู้ว่ามันอาจจะกลับหน้ากลับหลังกันก็ได้สำหรับอนาคตที่ยังมาไม่ถึงสิ่งที่พุทธศาสนาสอน คือการตระหนักรู้ในขณะนี้ ถึงสภาวะความจริงที่กำลังมี แม้จะรู้ได้แต่ก็ยังช้าไปที่จะคิดว่ามันมีอยู่เพราะเนื้อแท้นั้นมันดับไปแล้วแต่ก็ได้เพียงรับรู้ถึงความมีทาง หู ตา จมูก ลิ้น กายและใจ การตระหนัก สติ สัมปชัญญะ
เวลา=คุณสมบัติควบคุมสสารทั้งหมดในจักรวาลนิพพาน=ซิงกูลาริตี้ทุกสรรพสิ่ง=คือผลพวงของการระเบิดครั้งใหญ่สรุปให้สั้นๆแค่นี้ล่ะ😂😂😂😂
บางที เวลาอาจไม่มีอยู่จริง เวลาอาจเป็นเพียงแค่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อรองรับสิ่งที่มนุษย์พอจะเข้าใจได้ จริงๆ แล้ว เวลาอาจใช้ได้และเข้าใจได้แค่เพียงในโลกเราเท่านั้น....หากเราออกไปในระดับจักรวาลเวลาอาจจะไม่สามารถรับรู้ได้...เลย ก็เป็นได้😅😅😅
เวลาคือการเปลี่ยนแปลงของมวลมันขึ้นอยู่กับความโน้มถ่วง ความโน้มถ่วงมันขึ้นอยู่กับโค้งงอของอวกาศซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับมวลสาร มันแยกกันไม่ออก ดังนั้นเวลามันก็คือสถานะของมวล
เห็นเช่นกันว่าเวลาก็เป็นเพียงเพราะว่ามีความจำอยู่. ในพุทธศาสนาอาจจะใช้คำเรียกว่าสัญญา. เมื่อไม่นานมานี้ การเปรียบเทียบสิ่งที่เคยเกิดมาก่อนกับสิ่งที่กำลังเกิดและสิ่งที่ยังไม่เกิด สมมุติขึ้นด้วยคำว่าเวลา แต่อย่างไรมนุษย์ก็ยังต่อยอดความคิดเพื่อหาตัวตนของเวลาไม่สิ้นสุดเพื่อความยึดมั่นถือมั่นในความมีตัวตน แต่พอมาทำความเข้าใจในทำนองเดียวกัน. กลับไม่มีตัวตนที่แท้จริงเลย. นั่นคือการขัดแย้งทางความคิดและความจริง. ระหว่างสมมุติและความจริงกับความไม่รู้ซึ้งความจริงที่จริงๆ. ว่า ไม่มีคนจริงๆ เพียงสมมุติว่า เราคือมนุษย์😊😊❤
คิดแบบนี้เหมือนกัน ผมเลยศึกษาลึกมากขึ้น จึงได้รู้ว่ามันสัมพันธ์กันจริง ๆ ครับ
แค่คำว่า ออกไป นั่นก็คือคำว่า เวลา แล้ว
เหมือนความคินี้ใช่แตฟังดูย้อนแย้งนะคะ
นาฬิกา คือสิ่งที่คนสร้างขึ้น แต่เวลาคือสิ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับจักรวาล เวลาคืออีก1มิติ เมื่อรวมกับโลกสามมิติที่เราเดินเหินกันอยู่ทุกวันนี้ จึงรวมกันเป็น4มิติ ดังนั้นเวลามีทุกที่และไม่ใช่สิ่งสมมติ แค่น่าเสียดายว่าคนธรรมดาเราควบคุมหรือย้อนมิติของเวลาไม่ได้ เราแค่ท่องไปข้างหน้าได้เท่านั้น
เวลามันเป็นสิ่งสมมุติ แต่จริงๆเวลามันจะสัมพันธ์กับหลายๆสิ่งในจักรวาลนี้หรือทั้งเอกภพ
เมื่อไหร่ที่เราสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าความเร็วแสงได้ เราก็จะรู้ความจริงของจักรวาลครับเมื่อไหร่ที่นักวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์หน้าตาของแรงโน้มถ่วงได้ เมื่อนั้นมนุษย์จะไขความลับจักรวาลได้ทุกอย่างที่เราส่องกล้องออกไปมอง เราไม่เคยเป็นไปอยู่ตรงนั้น ทำได้แค่ทดสอบด้วยเครื่องมือดังนั้นมันคือการใช้ข้อมูลที่หามาได้ แล้วสร้างทฤษฎีและสมมุติฐานขึ้นมาการที่จะไปเห็นอะไรที่ไกลออกไปในจักรวาลได้ เราต้องเดินทางให้เร็วกว่าแสงและต้องควบคุมแรงโน้มถ่วงได้ (การเผาเชื้อเพลิงเพื่อเอาชนะแรงโน้มถ่วง อันนี้ไม่นับนะ)
เวลาไม่มีตัวตนแต่แรกอยู่แล้ว หากไม่มีเรา ไม่มีมนุษย์ มันก็ไม่มีใครมานับ้วลา เราแค่ตั้งมันขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบทางคณิตศาสตร์ให้คนบนโลก คุยกันรู้เรื่อง มันไม่ใช่สิ่งที่เราค้นพบ มันคือสิ่งที่เราตั้งข้อตกลงร่วมกัน
เรื่องนึงอาจจะมีหลายทฤษฎีครับ..อยากให้เล่าทุกทฤษฎีครับ แบบนี้แหละครับ
เวลาคือช่วงจังหวะหนึ่งของความรู้สึกที่มนุษย์กำหนดขึ้นมาแล้วโยงสัมพันธ์เป็นหน่วยที่ใหญ่ขึ้นไป เช่น จังหวะ 1 วินาทีมาจากจังหวะเสี้ยววินาที 100 ครั้ง จังหวะ 1 นาที มาจากจังหวะวินาที 60 ครั้ง จังหวะ 1 ชั่วโมงมาจากจังหวะนาที 60 ครั้ง ฯลฯ นั่นหมายความว่าในแต่ละหน่วยจังหวะจะมีนิยามของความรู้สึกที่คงที่ เช่น จังหวะวินาที ก็ต้องรู้สึกนานเท่านี้ ถ้าเร็วกว่าหรือช้ากว่าผิดแผกไปจากนี้ก็ไม่ใช่หน่วยวินาที ทีนี้เมื่อเราไปอยู่ในมิติที่ต่างกันมาก ไปอยู่ดาวแห่งหนึ่ง โดยที่เรายังนิยามความรู้สึกจังหวะวินาทีไว้เช่นดังเดิม แต่คุณอาจต้องช็อกเมื่อทราบภายหลังว่า จังหวะวินาทีที่นับ 1 ครั้ง ณ ดาวที่คุณอยู่ดวงนั้น มันเทียบเท่ากับเวลาบนโลกที่ผ่านมาแล้ว 4,600 ล้านปี เราจะอธิบายปรากฏการณ์ลักษณะนี้อย่างไร
เวลา คือที่ที่สร้างทุกสรรพสิ่ง
เวลามันไม่หยุดนิ่ง แต่มันไหลไปตามสิ่งที่มีการสังเกตุการณ์ ถ้าไม่มีผู้สังเกตุการณ์เวลาก็อาจจะกลายออกมาเป็นอีกสิ่ง เหมือนการเปลี่ยนแปลงสถานะทางควอนตั้ม🤔 ซึ่งเราก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไรพอเราไม่สังเกตุการณ์ สภาวะก็จะเหลือแค่3มิติ และจะออกรูปแบบไหนก็ไม่เข้าใจ เพราะเราสังเกตเวลามันตลอด ไม่สังเกตุเราก็ไม่เข้าใจมัน พอเราสังเกตุมันก็จะออกมาในรูปแบบของเวลารึมิติที่4ให้เราเข้าใจ (รึเปล่า)
เวลามีทุกที่ และจุดกำเนิด ก็มีอยู่ทุกที่เช่นกัน และไม่มีจุดสิ้นสุดดังเช่นจักรวาล
สิ่งที่ผมจะบอกอยากให้ทุกคนใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นร่างกายของเราหรือแม้กระทั่งจักรวาล เมื่อมีจุดเริ่มต้นมันก็จะมีจุดจบเสมอ ห้วงเวลานั้นไม่มีอยู่จริง เวลาเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อให้เข้าใจกลับอดีตและอนาคตหรือปัจจุบัน มีสิ่งเดียวที่จะกลับย้อนไปได้ในอดีต ก็คือความคิดหรือความทรงจำ เนื้อเรื่องในชีวิตแต่ละคน ก็เหมือนกับฟองน้ำที่แตก มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแตกดับอยู่เสมอ มีความสุขมีความทุกข์ กับสิ่งที่เราทำไว้ พลังงานที่เราทำไว้ไม่ว่าจะเป็นพลังงานดีหรือพลังงานไม่ดี มันก็จะสะท้อนย้อนกลับใส่เราเสมอ ซึ่งมนุษย์อยู่ในโลก โลกอยู่ในจักรวาล ทุกดวงดาวและจักรวาล ล้วนมีการเกิดและดับอยู่เสมอ ทุกสิ่งทุกอย่างจะหมุนวนรอบตัวเองแม้กระทั่งการเกิดและการตาย มีสิ่งเดียวที่สามารถหลุดพ้นได้ คือการที่เราต้องหลุดพ้นออกจากโคจรการหมุนเวียนเกิดดับ ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างจะมีแกนกลางของมัน แกนกลางนั่นแหละคือจุดเริ่มต้น และมันก็เป็นจุดจบเช่นเดียวกัน😊😊😊😊😊
เกิดดับอยู่เสมอคงไม่ขนาดนั้น แต่มีเกิดดับก็แล้วกัน
@@user-ru6nc5rz6o ไม่ขนาดนั้นคือขนาดไหนครับ เขียนอะไรเข้าใจยากงง555
@@user-ru6nc5rz6o เคยนั่งสมาธิบ้างหรือเปล่าครับ
เกิดแล้วดับหมุนวนอยู่เสมอ ถ้าเป็นวัตถุถ้ามันดับแล้วมันก็ไม่เกิดใหม่กรอกครับ มันไม่มีวิญญาณจะเกิดใหม่ได้ไง
@@user-ru6nc5rz6o มันไม่มีวิญญาณแต่มันก็มีพลังงาน การเกิดใหม่ของมันไม่ใช่ว่ามันจะต้องเกิดแบบเดิมอาจจะเป็นแบบอื่นหรือแบบใหม่ที่เป็นรูปแบบต่างๆ
เวลาสามารถย้อนกลับได้ แต่มนุษย์ไม่สามารถย้อนเวลาได้😊
🙏🙏🙏
😢เหมือนขาดอะไรไปสักอย่างรึสองอย่างใช่ไหมครับ😢มันอาจอยู่อีกด้านก็ได้ครับ😅และถ้าออกไปได้จะเกิดอะไรในด้านนี้ครับ😅แล้วถ้าผมเลือกโยงซัมซุงวอทช์ทิ้งผมอาจได้ แอปเปิ้ลวอทช์มาแทนรึเปล่าครับ😅😅😅
เวลามันคือสิ่งสมมุติ แท้จริงมันคือการเกิดดับของจิต ที่สืบต่อและไหลไปตามกระแสสายธารแห่งความปราถนา
วงกลม อาจไขความลับของเวลา เวลาอาจมีอยู่จริงก็ได้นะครับ แต่ ระยะเวลาอาจจะยาวนานมาก กว่าจะครบรอบของเวลา และวนกลับมา ที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง จริงๆแล้วเราอาจย้อนเวลาได้ แต่ต้องให้เวลามันวนกลับมาเอง ปล. มั่ว/เมากาว😊😅แต่ที่แน่ๆ สอง สามปีหลังมานี้ เวลาผ่านไปเร็วมากครับ
จริง แต่ก่อนรอปีใหม่สงกรานต์นานมาก ทุกวันนี้แป๊ปเดียว อาจเพราะโลกโชเชียลในโทรศัพท์กินเวลาของคนไป แต่ก่อนรถติดทรมานมาก เดี๋ยวนี้รถติดเล่นโทรศัพท์ เมนต์ยังไม่เสร็จไฟเขียวซะแล้ว
เวลาคือการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่และสสาร ในเมื่อสสารมันไม่มีวันหายไป เวลาก้ไม่มีวันสิ้นสุดลง
ที่จริง ในทฤษฎีสัมพัทธภาพ นั้นบอกเองแล้วว่า แต่ละวัตถุ มีเวลาเป็นของตัวเอง .................................. มันไม่ควรจะเดินเท่ากันหมดทั้งเอกภพอยู่แล้ว (ยิ่งหลังพบ cosmic string หรือ เส้นใยอวกาศ จากการเรียงตัวของดาราจักรด้วยแล้ว) ยิ่งทำให้คาดกันไปเยอะแยะมากมายว่า เรื่องเวลา ของไอนสไตน์ ถึงจะเป็นระดับของเอกภพมหภาคก็จริง แต่พอมาเป็นส่วนของ ควอนตัม (ที่ไอนสไตน์นั้นผิดพลาด) เวลาของ เอกภพ มันก็ไม่ได้ต้องสม่ำเสมอกันไปหมดทุกๆ ดาราจักร ( จนต้องไปจบแบบ big freeze ที่มี entropy เท่ากันหมดทั้งเอกภพ) ผมมองว่า แต่ละดาราจักร เวลาก็ยังไม่เท่ากันเลยครับ และ เป็นไปได้ยากกว่าที่จะหาเวลาจุดเริ่มต้นของเอกภพ ** ส่วนประเด็นการฟื้นคืนชีพ ก็อยู่ในเรื่องเวลาของดาราจักรนี่แหละครับ เพราะหากว่า ดาราจักร 2 ดาราจักร ที่หมุนสวนทิศทางกัน (ตัวอย่างเช่น NGC2207 vs IC2163) แล้วเวลาของแต่ละดาราจักร ไม่ใช่ผืนเดียวกันกับพื้นที่ว่างของเอกภพ จะมีดาราจักรนึงที่เล็กกว่า ถูกบิด space-time กลับด้าน จนอาจเกิด Reverse entropy ได้** อันนี้มาจากมุมมองที่ ผมมองว่า โมเดลการชนกันของดาราจักร ที่ใช้ๆ กันอยู่ในปัจจุบันนั้นผิด ❌ ด้วยภาพถ่ายจริง หลายดาราจักร มันไม่ได้เป็นแบบแบบจำลอง ดาราจักรคู่ชน ที่เล็กกว่าส่วนมากจะถูกดูด แผ่นดาราจักรออกจากหลุมดำใจกลางไปเลย ไม่ใช่ ตัวหลุมดำใจกลางเข้าชนก่อนตามแบบจำลอง (ตัวอย่าง Arp 2339-661 หรือ NGC4038-4039 ที่รู้จักกันในดาราจักรหนวดแมลง ซึ่งพอสังเกตุดีดี มันเหมือนภาพต่อจากการชน กลับทิศ ของคู่ดาราจักร NGC2207-IC2163 เลยทีเดียว พอตะแคงรูปในอยู่มุมเดียวกัน )
เอาจริงๆผมอ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ แต่รู้สึกว่ามีเหตุผลและจินตนาการที่ดีเลยกดไลค์ให้เลย
@@user-ru6nc5rz6o ยากมากจริงๆครับ ว่าส่วนที่มันเชื่อมกัน ระหว่าง ควอนตัม - สัมพัทธภาพ มันควรอธิบายออกมายังไง เอาเป็นว่า สัมพัทธภาพ แค่มองภาพรวมกว้างๆ ของเอกภพครับ แต่ควอนตัม มันมองลงลึกมาถึงรายละเอียดด้วย............................. มีตัวอย่างในเรื่องหลุมดำครับ ว่าตกลงหลุมดำ ควรใช้ ควอนตัม หรือ สัมพัทธภาพกันแน่ ในเชิงลักษณะทางกายภาพของมัน ซึ่งส่วนของฟิสิกส์อวกาศ ปัจจุบันมันปฎิเสธ ควอนตัมไม่ได้แล้ว เพราะเราก็ใช้มันอยู่ในยุคปัจจุบัน และในส่วนที่เล็กระดับ เล็กกว่าอะตอมลงไปนั้น อนุภาค ประพฤติตัวเป็นได้ทั้งคลื่นและ อนุภาค ในเวลาเดียวกัน (มันจะงงกันตรงนี้ล่ะครับ แต่มันเหมือนกับว่า เวลานั้นมันควรเป็นอะไร มันก็จะเป็น ตามหน้าที่ของมันที่ถูกสร้างมา) ............................. หลุมดำ ที่อันที่จริงถูกบีบจนเล็กมากๆ จนมีค่าเท่ากับ 1 เอกฐาน มวลเป็นอนันต์ ที่ถูกพูดถึงโดยไอนสไตน์ มันเลยดูไม่เป็นความจริง ครับ เพราะว่าปัจจุบันเราพบแล้วว่า หลุมดำ มีขนาดแตกต่างกันได้ (ไม่ได้เป็น 1 เอกฐาน มวลอนันต์) แต่มันใหญ่ได้เรื่อยๆ ตามขนาดมวล เพียงแค่ผิวของมวลนั้น ซ่อนอยู่ใต้ขอบฟ้าเหตุการณ์ และเวลาไม่ได้หยุดนิ่งด้วย ที่ผิวของหลุมดำ เพราะ ก็ตรวจพบการกลืนกินของหลุมดำในยุคปัจจุบันได้อยู่ นั่นหมายความว่า .................. เวลายังคงเดิน แม้จะอยู่ที่ระยะขอบฟ้าเหตุการณ์ หรือแม้กระทั่งผิวของหลุมดำก็ตาม (ไม่อย่างนั้น คงไม่เกิดความเคลื่อนไหวใดๆ อีกเลยที่หลุมดำ) แค่เวลามันช้ากว่าด้านนอกมากๆ ก็เท่านั้น แต่ก็ ไม่เท่ากับ 0 ........... ซึ่งส่วนนี้อธิบายด้วย String theory แล้วครับ (ก้าวข้ามไอนสไตน์มาแล้วระยะนึงเลยด้วย โดยการนำส่วนของ ควอนตัม มาเป็นพื้นฐานอีกที แทนที่จะให้ สัมพัทธภาพ เป็นพื้นฐาน).................. ว่าที่จริง หลุมดำ นั้น ขนาดขั้นต่ำถึงจะเล็กมากๆ แต่ก็ไม่ใช่เอกฐาน มีขนาดที่ชัดเจน (แถมใหญ่ขึ้นได้ตามขนาดมวลอีกด้วย) แค่เรามองเข้าไปใต้ขอบฟ้าเหตุการณ์เพื่อเห็นผิวของมันไม่ได้ และ เวลารอบๆมันก็ไม่ได้หยุดนิ่งด้วย
ยอมรับเลยครับ ว่านักวิทยาศาสตร์นี่เขาเก่งจริงๆ
@@user-ru6nc5rz6o ใช่ครับ แต่ปัจจุบันผมมองว่าในไทย เราลงน้ำหนักไปให้ไอนสไตน์เยอะเกินไป ทั้งๆที่จริง ถ้าเราตามกันทัน จักรวาลวิทยา จะทราบแล้วว่าหลายอันไอนสไตน์ผิด แล้วไม่ใช่น้อยๆ เลยด้วยนะครับ ด้วยหลายหลักฐานที่พบเจอในปัจจุบัน มันเอาเฉพาะสัมพัทธภาพ ไม่ได้ ควอนตัม อธิบาย และใช้งานจริง ได้ดีกว่าในหลายๆกรณีด้วยซ้ำครับ
@@lordseyren5454อ่านแล้วก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่ครับ แล้วถ้าเวลามันเปลี่ยนเป็นพลังงานได้ มันจะทำให้อะไรที่ขัดแย้งกันสอดคล้องกันใหมครับ
การเดินทางของปัจจุบันคือเวลา ถ้าเดินผ่านมาแล้วคืออดีต ถ้ายังเดินไม่ถึงคืออนาคต.
ดี
เวลาเราใช้ได้เฉพาะโลกครับ เพราะการมุนโคจรแต่ล่ะดวงในระบบสุริยะมันแตกต่างกัน เพราะอยู่ที่มวลมีน้ำหนักก็แตกต่างกันของแต่ล่ะดวงหรือโลกเรา มวลที่หนักย่อมมุนเร็วกว่ามวลที่เป็นอากาศ มวลของดวงอาทิตย์จะหนักกว่าสุด แต่ก็ยังโคจร รอบๆ กาแลกซี่ ขนาดกาเลกซีมันยังโคจรรอบหลุมดำ สรุปง่ายๆ การมุนของหลุมดำนี้แหละเป็นตัวแทนของเวลาในกาแลกซีเรา แต่ กาแล็กซีจะมุนช้ากว่าระบบสุริยะเรา เพราะพื้นที่กว้างกว่าหรือง่ายๆ กาแล็กซี-ระบบสุริยะ-ดวงอาทิตย- โลก สมมุติ ง่ายๆน่ะ หลุ่มดำมุนได้1ปี กาแล็กซี่จะมุนตามแต่เป็น10ปี ระบบสุริยะชั้นนอก100ปี ดวงอาทิตย์1000ปี โลกเรา 10,000 ปี ต่อ
เพราะยังงี้ ถึงเขาวิจัยมา ถ้าเราสามารถเดินทางเร็วเหมือนแสง เราจะออกนอกโลกไปอีก กาแล็กซีโดยใช้เวลา1ปี แต่กับโลกเรา มันกลายเป็นพันๆปีรึหมื่นๆปี เพราะอย่างงี้ผมถึงบอกไป โลกมุนเร็วเพราะมีมวลหนักและเล็กกว่า ดวงอาทิตย์,ระบบสุริยะ,กาแล็กซี แล้วอะไรที่ทำให้ดวงดาวทั้งหลายโคจนได้เพราะระบบสุริยะ และระบบสุริยะก็มุนโคจรเป็นกาแล็กซี แล้วอะไรที่ขับเคลื่อนกาแล็กซี่ให้มุน คำตอบของทั้งหมดก็คือ หลุมดำครับ หลุมดำเปรียบเสมือน มอเตอร์จ่ายไฟจ่ายคลื่นจ่ายแรงดึงดูด ให้ทำงาน ที่นี้พอจะเข้าใจรึยังครับ
@@hafitasun5094..😊ว้าว.ภาษาชาวบ้านเข้าจัยง่ายดี
ในแก่นหลุมดำ คือความนิ่ง นิ่งถึงไม่มีสะสารใดที่ซึ่มเข้าไปได้
ณ ขณะเวลานี้ มีเหตุการณ์ เกิดขึ้น ในทุกที่ ทุกจุด บนพื้นที่ที่นับไม่ได้นี่ โอ้ยยย เป็นตางึด ...ถ้าเปรียบสมองมนุษย์เป็น cpu คงจะ 8 บิต กระแสไฟ-พลังงาน เป็น "ข้อมูล" ที่ป้อนเข้ามา คง น้อย หรือมากไป สรุปมนุษย์มีขีดจำกัดที่จะรู้ได้ ถ้าทำสมาธิขั้นเริ่มต้น เหมือนสมองไบร้ท์ขึ้น ไวขึ้นเยอะ มีแนวโน้มจะเข้าใจเรื่อง มิติ มากขึ้น จากประสบกามตรง เด้ออออสู 😊
😊
ถ้าทุกอย่างคือการสั่นสะเทือน เมื่อเวลาถูกหยุดทุกอย่างจะหยุดสั่นสะเทือน 🧐🧐🧐
มิติที่เรารับรู้ได้คือ โลกเรามีสามมิติ แต่เมื่อทฤษฎีสัมพันธภาพ ถูกไอสไตน์นำเสนอออกมา ทำให้เวลาถูกนำมาเป็นมิติที่4ในโลกของเรา ซึ่งสามมิติแรกที่เรามีคือ กว้าง×ยาว×สูง นี่คือสิ่งที่จับต้องได้ มีอยู่จริง แต่มิติที่4ที่เป็นเวลา มันไม่เม็คเซ้นส์เลย เพราะเวลาเป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์สมมุติขึ้นมาเพื่อให้รู้ว่าอะไรเกิดก่อน อะไรเกิดทีหลัง โดยการใช้เวลาเป็นสิ่งเปรียบเทียบ เพราะแม้แต่นักวิทยาศาสตร์ ก็ยังยืนยันไม่ได้ว่า จริงๆแล้วเวลาคืออะไร?
พระพุทธองค์ทรงมีความรู้เรื่องเอกภพเชิงวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า ความว่างเปล่าและจักรวาล หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า เอกภพคือ ความว่างเปล่าและจักรวาลนั่นเอง นอกจากนี้แล้ว พระพุทธองค์ทรงมีความรู้เรื่องเอกภพเชิงคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า เวลาไร้ขีดจํากัดและเวลามีขีดจำกัด หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า เอกภพคือ เวลาไร้ขีดจํากัดและเวลามีขีดจำกัดนั่นเอง ทั้งนี้ เอกภพเชิงวิทยาศาสตร์และเอกภพเชิงคณิตศาสตร์นั้นมีความหมายเชิงคณิตศาสตร์เดียวกัน กล่าวคือ ไม่มีจุดเริ่มต้นไม่มีจุดจบและมีจุดเริ่มต้นมีจุดจบ ดังนั้นจากความรู้เรื่องเอกภพเชิงคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า เวลาไร้ขีดจํากัดและเวลามีขีดจำกัด อย่างไรก็ตาม สรรพสิ่งถูกกำหนดไว้ที่เวลามีขีดจำกัด(สรรพสิ่งมีอายุขัย) ซึ่งพระพุทธองค์มีอายุขัย80ปี ทั้งนี้ 80ปีคือ เวลามีขีดจำกัด ดังที่กล่าวมาทั้งหมดตั้งแต่ความรู้เรื่องเอกภพเชิงคณิตศาสตร์ ดังนั้นจึงทำให้ได้ผลลัพธ์เชิงคณิตศาสตร์ กล่าวคือ เวลาไร้ขีดจำกัดและ80ปี อย่างไรก็ตาม เวลามีขีดจำกัดนั้นมีประตูอยู่ ดังนั้นจากผลลัพธ์เชิงคณิตศาสตร์ดังกล่าว ซึ่งเป็นที่มาของทฤษฎีที่เรียกว่า การเปิดประตูเวลา ซึ่งพระพุทธองค์ทรงคิดทฤษฎีดังกล่าวนี้เพื่อบรรลุเวลาไร้ขีดจำกัด ทั้งนี้ ทฤษฎีดังกล่าวจะนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า ปรากฏการณ์การเปิดประตูเวลา อย่างไรก็ตาม พระพุทธองค์สามารถคิดค้นสิ่งที่เรียกว่า การทำสมาธิ แท้จริงแล้ว การทำสมาธิคือ ปรากฏการณ์การเปิดประตูเวลานั่นเอง ดังนั้นในที่สุดแล้ว พระพุทธองค์ทรงบรรลุเวลาไร้ขีดจำกัด ซึ่งศาสนาพุทธเรียกอีกนัยหนึ่งว่า ผู้ที่บรรลุนิพพาน แต่ศาสนาฮินดูเรียกอีกนัยหนึ่งว่า ผู้ที่บรรลุอมตะ
เมื่อเวลาหยุดนิ่ง หลักการของเหตุและผลก็ไม่มีอยู่จริง
นิพพานไงคือจุดสิ้นสุดของเวลา
เชื่อลมๆแล้งๆกับสิ่งที่ไม่มีเหตุผล
@@ชัยบดินทร์-ซ8ย แล้วไอ้ที่เชื่อพระเจ้าละมีเหตุผลมากซิมนะ🤣🤣🤣🤣🤣🤣
@@ชัยบดินทร์-ซ8ยคำสอนพุทธมีเหตุผลครับ และผมมีประสบการณ์กับตัวเองมากพอที่จะมั่นใจได้
สรุปหลุมดำไม่ใช่นิพพานบริสุทธิ์ทั้งหมดน่ะ อะไรก็ผิดและอะไรก็ถูก นี่เวลากาล คือ กัลป์กาล
นิพพาน มันเป็นสิ่งที่มนุษย์คิดขึ้นเอง ละนิพพานคือไร ตาย? หรือรับรู้ทุกสิ่งที่จนร่างกายถึงจุดสิ้นของมัน?? สุดท้ายเเล้วบางอย่างที่อยู่เหนือจินตนาการของ เราก็ไม่สามารถรับรู้มันได้จริงๆหรอกคับ เจ้าของเม้นบอกว่านิพพานคือจุดสิ้นสุดของเวลาได้งั้นคุณคงตอบได้ว่าอะไรเกิดมาก่อนเวลาที่เเละเวลาเกิดมาได้ไง??คับ ละสเกลของเวลาที่มนุษย์รับรู้กับสะเกลเวลาของที่อื่นหรือมิติอื่นต่างกันไหมคับ ผมอยากรู้ หรือสเกลเวลาที่มนุษรู้เเค่คิดไปเองเท่านั้นเพื่อบ่งบอกเหตุการต่างๆเเค่นั้น?
เวลาไม่หยุดนิ่ง ในหลุมดำเเค่ช้าลงมากจนเหมือนหยุดนิ่ง
พี่ไปม่สามรอบแล้วสินะ
หลุมดำคือนิพพานโดยแท้
เข้าใจผิดว่าหลุมดำไม่ใช่นิพพานน่ะ
เราดูอดีตได้ แต่กลับไปอดีตไม่ได้
พระอรหันต์สามารถดูอดีตของตัวเองและสัตว์อื่นได้ แต่ไม่สามารถแก้อดีตได้
ยืนยันอีกเสียงครับ ดูอนาคตก็ได้ แต่อนาคตยังไม่นิ่ง ุถ้าคนเปลี่ยนการกระทำ อนาคตก็เปลี่ยนได้
@@rit2025 เรื่องอนาคตเราทำได้แค่คาดการณ์ มันจะเกิดหรือไม่เกิดก็ได้ แต่เราจะไปยังอนาคตเลยเราคงทำไม่ได้ เพราะมันฟังดูย้อนแย้งและขัดแย้งกับกฎต่างของมนุษย์ที่มีอยู่บนโลกใบนี้
@@number01010 ดูในที่นี้คือเห็นภาพในหัวครับ ไม่ได้ไปโผล่นี่นั่นเพื่อดู มีคนดูได้ เห็นได้จริงๆ แต่เขาจะดูของใครแล้วพูดส่งเดชไม่ได้ครับ นอกจากดูในสิ่งที่มีคนถาม และตอบสิ่งที่มีคนถาม แต่ถ้าเราจะไปสู่รู้เรื่องชาวบ้านเขาจะไม่ตอบครับ อันนี้คือญาณทางธรรมนะครับ ญาณทางคุณไสยก็มี พวกลวงโลกต้มตุ๋นก็มี
@@number01010 และไม่ได้คาดเดาครับ สำหรับคนมีญาณจริงๆนะ แต่เหมือนเขานั่งดูหนังที่เป็นเรื่องของเราแบบนั้นเลย
เวลาเป็นแค่คำหลอกเวลามันไม่จริงหรอก ก้อมีแต่เข็มหมุนวนเรื่อยไปพี่โดมได้กล่าวไว้😂
ตัวจริงๆของเวลามันไม่มี สิ่งที่เปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวต่างหากทำให้เหิดเวลา
ผมเคยคิดงี้ แต่ตอนนี้คิดใหม่แล้วเพราะถ้าไม่เกิดการเคลื่อนไหวเลยทุกอย่างหยุดนิ่ง 1นาที แล้วเคลื่อนไหวต่อหลังจากนั้น ก็เท่ากับว่ามันผ่านไปแล้ว1นาที คหสต มันขึ้นอยู่กับว่ามีผู้สังเกตุการณ์มันอยู่รึเปล่าเพราะเราสังเกตุการณ์มันจึงเป็นเวลา ถ้าเราไม่สังเกตุการณ์มัน มันจะออกมาเป็นอะไรแบบไหนจะมีผลยังไง เราอาจจะยังไม่รู้จักไม่เข้าใจ เพราะเราสังเกตุการณ์ใช้มันมาตลอด พอจะน่าสนใจมั้ยครับ ถ้าเอาควอนตั้มเป็นตัวตั้งแบบนี้
คนที่ไป.ยังไม่มีใคร กลับมาตอบ.หลุมดำ. อาจเป็นทางไปยังโลกคู่ขนาน.แต่คนที่ไป ไม่สามารถ กลับมาทางเดิมได้.ใครอยากรู้. ต้องลองไป.ดูค่ะ😅😅😅
เวลาหยุดนิ่งไม่ได้หรอกครับ สมมุติเวลาในจักรวาลนี้หยุดนิ่งไป 1,000 ปี ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้หยุดนิ่งทั้งหมดแม้แต่แสงก็ยังหยุดนิ่ง แต่พอครบ 1,000 ปีทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลกลับมาเคลื่อนไหวเหมือนเดิมก็ตาม แต่ช่วง 1000 ปีที่ผ่านมาก็หมายความว่าเวลาได้ผ่านไปแล้ว 1000 ปีอยู่ดี แสดงว่าสิ่งที่หยุดนิ่งคือสสารและพลังงานทุกอย่างในจักรวาลนี้เท่านั้น แต่เวลาก็ยังคงเดินทางต่อไปจนครบ 1,000 ปี ถ้าเวลาหยุดนิ่งจริงจะต้องไม่มีวันครบ 1,000 ปี เพราะไม่มีการเริ่มนับหนึ่งของเวลาไปจนครบ 1,000 ปี
อืมมม ก็จริง เวลาหยุดไปหนึ่งพันปีแล้วเริ่มใหม่ต่อก็เหมือนไม่หยุดอย่างว่า เพราะไม่มีใครรู้ตัวว่าหยุดไปหนึ่งพันปี
เวลามันหยุดนิ่งไม่ได้ แต่มันไหลไปตามสิ่งที่มีการสังเกตุการณ์ ถ้าไม่มีผู้สังเกตุการณ์เวลาก็อาจจะออกมาเป็นอีกสิ่ง เหมือนการเปลี่ยนแปลงสถานะทางควอนตั้ม🤔 ซึ่งเราก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร และจะออกรูปแบบไหน เพราะเราสังเกตมันตลอด ไม่สังเกตุเราก็ไม่เข้าใจมัน พอเราสังเกตุมันก็จะออกมาในรูปแบบของเวลารึมิติที่4ให้เราเข้าใจ (รึเปล่า)
เวลานี่แหละของจริงหนึ่งเดียวในจักรวาล...เป็นสิ่งเดียวที่ยืนยันำด้ว่าเราเคยมีอยู่ ในช่วงหนึ่ง
ถ้าหากเราบอกว่า วิธีคิด รู้สึก และลงมือปฏิบัติที่ทุกคนทั่วโลกใช้ในการเข้าถึงทุกสรรพสิ่งจากอดีตจนถึงปัจจุบันเป็นการมองโลกด้านเดียวที่ตั้งอยู่บน Standard model! ที่เป็นแค่ Symmetry Systems ที่อธิบายได้สามแรง ไม่รวมแรงโน้มถ่วง ทุกคนจะเชื่อไหม?! ไม่ว่าจะเป็นนักฟิสิกส์ นักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์หรือใครก็ตามทุกคนต่างก็ใช้วิธีคิด รู้สึก และลงมือปฏิบัติแบบเดียวกันแต่กลับคาดหวังที่จะได้ผลลัพธ์หรือคำตอบที่แตกต่างออกไปยกตัวอย่างเช่น คำถามที่ว่า เวลามีอยู่จริงหรือไม่มีอยู่จริงกันแน่ หรืออะไรคือความจริงที่แท้จริงกันแน่ ทั้งคำถามและการค้นหาคำตอบให้กับคำถามล้วนแล้วแต่ไปในทิศทางเดียวกันซึ่งการถามตอบในลักษณะนี้ในโลกมหภาคอาจจะคิดและเข้าใจว่า มาถูกทางแล้ว แต่ในโลกจุลภาคนั้นจะมีวิธีคิด รู้สึก และลงมือปฏิบัติที่ตรงกันข้าม ถ้าหากมนุษย์มองโลกสองด้านคือ ด้านที่ตั้งอยู่บน Symmetry Systems และ Supersymmetry หรือ โลกของอนุภาคและคลื่น ที่รวมเอาผลของแรงโน้มถ่วงและผลของประวัติศาสตร์เข้าไว้ด้วย (วิธีการค้นพบจะใช้วิธีคิด รู้สึก และลงมือปฏิบัติที่ตรงกันข้ามกับที่นักวิทยาศาสตร์และนักฟิสิกส์ค้นพบกายภาพและชีวภาพภายนอก) ไปพร้อมๆกันคำถามต่างๆจะค่อยๆหมดไป
จริงรึป่าวครับ..ที่เขาบอกว่า ความว่างป่าวไม่มีอยู่จริง
ความว่างเปล่าคือความหมายที่เราเข้าใจ ซึ่งความว่างเปล่าจริงๆมันก็ไม่มีอยู่แล้ว เพราะความหมายมันบอกแบบนั้น ถ้ามันมีมันก็ไม่ว่างเปล่าสิ😊😊😊
คำตอบว่า มาอย่างไรมีอย่างไร ก็สุดท้ายคงจะตายก่อนรู้
เวลาไม่มีอยู่จริงมันเป็นสิ่งสมมุติของมนุษย์
แรงดึงดูดอยู่เหนือเวลา เพราะมันสามารถยืดเวลาได้
ไม่มีเราทุกอย่างคือเรา
อ่านเหนื่อยไหมครับ
หน่วยงานศึกษาภูมิศาสตร์ 70ประเทศยืนยันว่าโลกไม่กลมโดย วิธีการ การวางเส้นแนวระนาบ 15เส้นเส้นละ 1แสนกิโลเมตรจากพื้นที่ ทำการวัดไม่พบความต่างห่างกันไม่ถึงเมตรก็มีจากคำถาม น้ำทะเลมหาสมุทรโค้งเป็นทรงกลมขนาดใหญ่ใช่ไหมจึงตอบง่ายๆระยะ2แสนกิโลเมตรห่างกันไม่ถึงครึ่งเมตร นิดเดียวสมการ โลกกลมๆ จบแล้วครับตำราเรียนจะเปลี่ยนใหม่กลางๆปีนี้จากหน่วยสำนักงานการศึกษาภูมิศาสตร์ ก
สัมพัทธภาพ = relativity
เมื่อเกิดเวลาก็เกิด
ทุกอย่างคือสิ่งที่มีอยู่(ไม่ว่าจะก๊าซจะควอนตัม หรือจะอะไรก็ตามที่จะพูด) และสิ่งที่มีอยู่จะต้องเกิดมาจากสิ่งที่มีอยู่ (หมายถึงจะมีไม่ได้ถ้าไม่มีสิ่งที่มีอยู่ก่อนหน้า) ดังนั้นชี้ให้เห็นว่า มีสิ่งมีอยู่มาตั้งแต่เดิมจึงทำให้มีสิ่งต่างๆที่มีอยู่ และสิ่งนั่นมีอยู่เป็นสิ่งแรกที่มีอยู่และเป็นต้นกำเนิดของการมีอยู่ด้วยเหตุนี้สิ่งแรกจะต้องเป็นสิ่งมีอยู่ที่มีอยู่ด้วยตัวเองมาแต่เดิม ไม่มีจุดเริ่มต้น (เพราะถ้าหากบอกว่ามีจุดเริ่มต้นก็จะให้ความหมายว่าเป็นสิ่งมีอยู่ที่เกิดมาจากสิ่งที่ไม่มีอยู่ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่สิ่งมีอยู่จะเกิดมาจากการไม่มี สรุปคือมีสิ่งที่มีอยู่มาแต่เดิมที่เป็นสาเหตุให้สิ่งมีอยู่อื่นๆมีอยู่ (เพราะสิ่งที่เป็นสาเหตุในการกำเนิดผลของเหตุจะต้องเป็นสิ่งที่มีอยู่ เพราะการไม่มีอยู่ไม่สามารถเป็นเหตุของการมีอยู่ได้เพราะไม่มีอยู่)สรุปคือมีสิ่งหนึ่งที่มีอยู่มาเเค่เดิมและไม่มีจุดเริ่มต้น สิ่งนั้นให้กำเนิดทุกสิ่ง และลองมองดูสิว่าสิ่งนั้นให้อะไรกับจักวาลนี้บ้าง มนุษย์ยังหาคำตอบความยิ่งใหญ่ของจักวาลทั้งหมดนี้ไม่ได้เลย ชี้ให้เห็นว่า สิ่งแรกที่มีอยู่มาแต่เดิมต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ที่สูงสุดที่สุดเกินกว่ามนุษยน์จะจินตนาการได้
แต่ละทีจักวาลไม่เหมือนกันครับ
ยิงโตเวลาก็ยิ้งสั้นลง😂
สัมพัทภาพ ไม่ใช่สัมพันธภาพ
เวลาไม่มีอยู่จริงหรอกครับ
สัมพันธภาพ พ่องงง
เวลามันมีที่ไหน มันมีแต่ความเสื่อมของสสารเท่านั้น เกิดขึ้น คงอยู่ ดับไป
เวลาไม่มีวันหมดมันเดินไปเรื่อย และ เวลาอาจไม่มีอยู่จริง
ฟังเป็นเพื่อนไม่คิดมากเราถูกเอเลี่ยนยึดร่างทำผ่านตัวเราเอาเราเป็นชุดเกาะชุดอวกาศเดินบนโลกเขาควบคุมเรา
ไม่มีอะไรคงที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาไม่มี่ที่สิ้นสุดและมันจะเป็นแบบนี้ตลอดไป
เวลาคือช่วงเหตุการณ์ๆหนึ่งที่สิ่งชีวิตคิดกำหนดขึ้น
เวลาคือระยะห่างของวัตถุและสรรพสิ่ง
เวลาไม่มีความขัดแย้งหรอกนาฬิกาทุกๆเรือนเดินตรงกันความคิดเรานี่แหละที่ขัดแย้งกัน
เวลา...ถูกกำหนดจากคนที่เป็นนักปราชญ์โบราณในโลกของเราเท่านั้น โดยการสังเกตและการคำนวณ การเคลื่อนที่ หรือการโคจร ของดวงดาว ต่าง ๆ แล้วจึงเขียน เวลา 0.00 - 24.00 น.
1 ช.ม เป็น วินาที นาที่ ช.ม เดือน ปี ถึงอสงไขเวลา พวกเขา กำหนด ปฎิทิน วัด เป็นเดือน เป็นปี เช่นปฎิทินนี้ คำนวนได้อย่างมหัศจรรย์ ยก.ต.ย เวลาของเดือนนี้ คือ..ปฏิทินโหราศาสตร์ไทย สุริยยาตร์
มีนาคม พ.ศ.2567 ปีเถาะ เบญจศก จ.ศ. 1385 , ค.ศ. 2024 , ม.ศ. 1945 - 1946 , ร.ศ. 242 [6) สุริยคติ เป็น อธิกสุรทิน , จันทรคติ เป็น ปกติมาส ปกติวาร อัตตาเถลิงศก มาสเกณฑ์ : 17130 , อวมาน : 310 , หรคุณ : 505884 , กัมมัชพล : 132 , อุจจพล : 1071 , ดีถี : 26 , วาร : 1 คำนวณตามระบบดาราศาสตร์ไทย สุริยยาตร์ สมผุส ณ เวลา 24:00น. เวลาท้องถิ่นกรุงเทพฯ (UTC+06:42) / กรุงเทพฯ นักษัตร นักปราชญ์ ที่คำนวณเก่งสุด ๆ ขอบคุณข้อมูลจากจากเว็บ Myhora แต่หากพ้นจากโลกเราไปแล้ว ทุกสิ่ง ก็เป็นไปตามกฎของธรรมชาติตามหลักธรรมะ คืออนัตตา หรือไม่มีอะไรเลย ต่อให้เถียงกันอย่างไร ก็ถกเถียงในโลกมนุษย์เท่านั้น แต่ในจักรวาลก็ยังคงเป็นวัฐจักรของมัน อยู่อย่างนั้น
การมีอยู่ของสรรพสิ่ง ล้วนเป็นการเกิดมาเพราะเหตุปัจจัย มันจะเกิดในรูปแบบใหนล้วนแต่ต้องอาศัยเหตุ ไม่ว่าจะเป็นพลังงานไม่ว่าจะเป็นรูปธรรม นามธรรม โดยเนื้อแท้ของกาลเวลามันหมายถึงการมีอยู่ของการเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปของทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง และแต่ละหนึ่งๆๆๆๆนั้นมันเป็นอะไรๆๆที่เป็นธาตุอยู่ในฐานะต่างๆปนเปกัน ไม่สามารถที่จะย่อยออกมาเพื่อจะหาค่าเวลาจริงๆได้เพราะความเป็นธรรมชาติ มันหมายถึงการอยู่ร่วมกันของธาตุหลายๆๆๆธาตุ เป็นสิ่งที่การหาคำตอบนั้น สมควรหรือไม่เสียเวลาหรือไม่ นั่นคือสิ่งที่ไม่รู้. แม้แต่ ทฤษฏีควอนตั้ม จะมีใครยืนยั่นได้ว่ามาถูกทางแน่นอน มันแค่ยอมรับกันในตอนนี้ว่าน่าจะใช่ที่สุด แต่ใครจะรู้ว่ามันอาจจะกลับหน้ากลับหลังกันก็ได้สำหรับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
สิ่งที่พุทธศาสนาสอน คือการตระหนักรู้ในขณะนี้ ถึงสภาวะความจริงที่กำลังมี แม้จะรู้ได้แต่ก็ยังช้าไปที่จะคิดว่ามันมีอยู่เพราะเนื้อแท้นั้นมันดับไปแล้วแต่ก็ได้เพียงรับรู้ถึงความมีทาง หู ตา จมูก ลิ้น กายและใจ การตระหนัก สติ สัมปชัญญะ
เวลา=คุณสมบัติควบคุมสสารทั้งหมดในจักรวาล
นิพพาน=ซิงกูลาริตี้
ทุกสรรพสิ่ง=คือผลพวงของการระเบิดครั้งใหญ่
สรุปให้สั้นๆแค่นี้ล่ะ😂😂😂😂
บางที เวลาอาจไม่มีอยู่จริง เวลาอาจเป็นเพียงแค่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อรองรับสิ่งที่มนุษย์พอจะเข้าใจได้ จริงๆ แล้ว เวลาอาจใช้ได้และเข้าใจได้แค่เพียงในโลกเราเท่านั้น....หากเราออกไปในระดับจักรวาลเวลาอาจจะไม่สามารถรับรู้ได้...เลย ก็เป็นได้😅😅😅
เวลาคือการเปลี่ยนแปลงของมวลมันขึ้นอยู่กับความโน้มถ่วง ความโน้มถ่วงมันขึ้นอยู่กับโค้งงอของอวกาศซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับมวลสาร มันแยกกันไม่ออก ดังนั้นเวลามันก็คือสถานะของมวล
เห็นเช่นกันว่าเวลาก็เป็นเพียงเพราะว่ามีความจำอยู่. ในพุทธศาสนาอาจจะใช้คำเรียกว่าสัญญา. เมื่อไม่นานมานี้ การเปรียบเทียบสิ่งที่เคยเกิดมาก่อนกับสิ่งที่กำลังเกิดและสิ่งที่ยังไม่เกิด สมมุติขึ้นด้วยคำว่าเวลา แต่อย่างไรมนุษย์ก็ยังต่อยอดความคิดเพื่อหาตัวตนของเวลาไม่สิ้นสุดเพื่อความยึดมั่นถือมั่นในความมีตัวตน แต่พอมาทำความเข้าใจในทำนองเดียวกัน. กลับไม่มีตัวตนที่แท้จริงเลย. นั่นคือการขัดแย้งทางความคิดและความจริง. ระหว่างสมมุติและความจริงกับความไม่รู้ซึ้งความจริงที่จริงๆ. ว่า ไม่มีคนจริงๆ เพียงสมมุติว่า เราคือมนุษย์😊😊❤
คิดแบบนี้เหมือนกัน ผมเลยศึกษาลึกมากขึ้น จึงได้รู้ว่ามันสัมพันธ์กันจริง ๆ ครับ
แค่คำว่า ออกไป นั่นก็คือคำว่า เวลา แล้ว
เหมือนความคินี้ใช่แตฟังดูย้อนแย้งนะคะ
นาฬิกา คือสิ่งที่คนสร้างขึ้น แต่เวลาคือสิ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับจักรวาล เวลาคืออีก1มิติ เมื่อรวมกับโลกสามมิติที่เราเดินเหินกันอยู่ทุกวันนี้ จึงรวมกันเป็น4มิติ ดังนั้นเวลามีทุกที่และไม่ใช่สิ่งสมมติ แค่น่าเสียดายว่าคนธรรมดาเราควบคุมหรือย้อนมิติของเวลาไม่ได้ เราแค่ท่องไปข้างหน้าได้เท่านั้น
เวลามันเป็นสิ่งสมมุติ แต่จริงๆเวลามันจะสัมพันธ์กับหลายๆสิ่งในจักรวาลนี้หรือทั้งเอกภพ
เมื่อไหร่ที่เราสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าความเร็วแสงได้ เราก็จะรู้ความจริงของจักรวาลครับ
เมื่อไหร่ที่นักวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์หน้าตาของแรงโน้มถ่วงได้ เมื่อนั้นมนุษย์จะไขความลับจักรวาลได้
ทุกอย่างที่เราส่องกล้องออกไปมอง เราไม่เคยเป็นไปอยู่ตรงนั้น ทำได้แค่ทดสอบด้วยเครื่องมือ
ดังนั้นมันคือการใช้ข้อมูลที่หามาได้ แล้วสร้างทฤษฎีและสมมุติฐานขึ้นมา
การที่จะไปเห็นอะไรที่ไกลออกไปในจักรวาลได้ เราต้องเดินทางให้เร็วกว่าแสงและต้องควบคุมแรงโน้มถ่วงได้
(การเผาเชื้อเพลิงเพื่อเอาชนะแรงโน้มถ่วง อันนี้ไม่นับนะ)
เวลาไม่มีตัวตนแต่แรกอยู่แล้ว หากไม่มีเรา ไม่มีมนุษย์ มันก็ไม่มีใครมานับ้วลา เราแค่ตั้งมันขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบทางคณิตศาสตร์ให้คนบนโลก คุยกันรู้เรื่อง มันไม่ใช่สิ่งที่เราค้นพบ มันคือสิ่งที่เราตั้งข้อตกลงร่วมกัน
เรื่องนึงอาจจะมีหลายทฤษฎีครับ..อยากให้เล่าทุกทฤษฎีครับ แบบนี้แหละครับ
เวลาคือช่วงจังหวะหนึ่งของความรู้สึกที่มนุษย์กำหนดขึ้นมาแล้วโยงสัมพันธ์เป็นหน่วยที่ใหญ่ขึ้นไป เช่น จังหวะ 1 วินาทีมาจากจังหวะเสี้ยววินาที 100 ครั้ง จังหวะ 1 นาที มาจากจังหวะวินาที 60 ครั้ง จังหวะ 1 ชั่วโมงมาจากจังหวะนาที 60 ครั้ง ฯลฯ นั่นหมายความว่าในแต่ละหน่วยจังหวะจะมีนิยามของความรู้สึกที่คงที่ เช่น จังหวะวินาที ก็ต้องรู้สึกนานเท่านี้ ถ้าเร็วกว่าหรือช้ากว่าผิดแผกไปจากนี้ก็ไม่ใช่หน่วยวินาที ทีนี้เมื่อเราไปอยู่ในมิติที่ต่างกันมาก ไปอยู่ดาวแห่งหนึ่ง โดยที่เรายังนิยามความรู้สึกจังหวะวินาทีไว้เช่นดังเดิม แต่คุณอาจต้องช็อกเมื่อทราบภายหลังว่า จังหวะวินาทีที่นับ 1 ครั้ง ณ ดาวที่คุณอยู่ดวงนั้น มันเทียบเท่ากับเวลาบนโลกที่ผ่านมาแล้ว 4,600 ล้านปี เราจะอธิบายปรากฏการณ์ลักษณะนี้อย่างไร
เวลา คือที่ที่สร้างทุกสรรพสิ่ง
เวลามันไม่หยุดนิ่ง แต่มันไหลไปตามสิ่งที่มีการสังเกตุการณ์ ถ้าไม่มีผู้สังเกตุการณ์เวลาก็อาจจะกลายออกมาเป็นอีกสิ่ง เหมือนการเปลี่ยนแปลงสถานะทางควอนตั้ม🤔 ซึ่งเราก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไรพอเราไม่สังเกตุการณ์ สภาวะก็จะเหลือแค่3มิติ และจะออกรูปแบบไหนก็ไม่เข้าใจ
เพราะเราสังเกตเวลามันตลอด ไม่สังเกตุเราก็ไม่เข้าใจมัน พอเราสังเกตุมันก็จะออกมาในรูปแบบของเวลารึมิติที่4ให้เราเข้าใจ (รึเปล่า)
เวลามีทุกที่ และจุดกำเนิด ก็มีอยู่ทุกที่เช่นกัน และไม่มีจุดสิ้นสุดดังเช่นจักรวาล
สิ่งที่ผมจะบอกอยากให้ทุกคนใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นร่างกายของเราหรือแม้กระทั่งจักรวาล เมื่อมีจุดเริ่มต้นมันก็จะมีจุดจบเสมอ ห้วงเวลานั้นไม่มีอยู่จริง เวลาเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อให้เข้าใจกลับอดีตและอนาคตหรือปัจจุบัน มีสิ่งเดียวที่จะกลับย้อนไปได้ในอดีต ก็คือความคิดหรือความทรงจำ เนื้อเรื่องในชีวิตแต่ละคน ก็เหมือนกับฟองน้ำที่แตก มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแตกดับอยู่เสมอ มีความสุขมีความทุกข์ กับสิ่งที่เราทำไว้ พลังงานที่เราทำไว้ไม่ว่าจะเป็นพลังงานดีหรือพลังงานไม่ดี มันก็จะสะท้อนย้อนกลับใส่เราเสมอ ซึ่งมนุษย์อยู่ในโลก โลกอยู่ในจักรวาล ทุกดวงดาวและจักรวาล ล้วนมีการเกิดและดับอยู่เสมอ ทุกสิ่งทุกอย่างจะหมุนวนรอบตัวเองแม้กระทั่งการเกิดและการตาย มีสิ่งเดียวที่สามารถหลุดพ้นได้ คือการที่เราต้องหลุดพ้นออกจากโคจรการหมุนเวียนเกิดดับ ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างจะมีแกนกลางของมัน แกนกลางนั่นแหละคือจุดเริ่มต้น และมันก็เป็นจุดจบเช่นเดียวกัน😊😊😊😊😊
เกิดดับอยู่เสมอคงไม่ขนาดนั้น แต่มีเกิดดับก็แล้วกัน
@@user-ru6nc5rz6o ไม่ขนาดนั้นคือขนาดไหนครับ เขียนอะไรเข้าใจยากงง555
@@user-ru6nc5rz6o เคยนั่งสมาธิบ้างหรือเปล่าครับ
เกิดแล้วดับหมุนวนอยู่เสมอ ถ้าเป็นวัตถุถ้ามันดับแล้วมันก็ไม่เกิดใหม่กรอกครับ มันไม่มีวิญญาณจะเกิดใหม่ได้ไง
@@user-ru6nc5rz6o มันไม่มีวิญญาณแต่มันก็มีพลังงาน การเกิดใหม่ของมันไม่ใช่ว่ามันจะต้องเกิดแบบเดิมอาจจะเป็นแบบอื่นหรือแบบใหม่ที่เป็นรูปแบบต่างๆ
เวลาสามารถย้อนกลับได้ แต่มนุษย์ไม่สามารถย้อนเวลาได้😊
🙏🙏🙏
😢เหมือนขาดอะไรไปสักอย่างรึสองอย่างใช่ไหมครับ😢มันอาจอยู่อีกด้านก็ได้ครับ😅และถ้าออกไปได้จะเกิดอะไรในด้านนี้ครับ😅แล้วถ้าผมเลือกโยงซัมซุงวอทช์ทิ้งผมอาจได้ แอปเปิ้ลวอทช์มาแทนรึเปล่าครับ😅😅😅
เวลามันคือสิ่งสมมุติ แท้จริงมันคือการเกิดดับของจิต ที่สืบต่อและไหลไปตามกระแสสายธารแห่งความปราถนา
วงกลม อาจไขความลับของเวลา เวลาอาจมีอยู่จริงก็ได้นะครับ แต่ ระยะเวลาอาจจะยาวนานมาก กว่าจะครบรอบของเวลา และวนกลับมา ที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง จริงๆแล้วเราอาจย้อนเวลาได้
แต่ต้องให้เวลามันวนกลับมาเอง
ปล. มั่ว/เมากาว😊😅
แต่ที่แน่ๆ สอง สามปีหลังมานี้ เวลาผ่านไปเร็วมากครับ
จริง แต่ก่อนรอปีใหม่สงกรานต์นานมาก ทุกวันนี้แป๊ปเดียว อาจเพราะโลกโชเชียลในโทรศัพท์กินเวลาของคนไป แต่ก่อนรถติดทรมานมาก เดี๋ยวนี้รถติดเล่นโทรศัพท์ เมนต์ยังไม่เสร็จไฟเขียวซะแล้ว
เวลาคือการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่และสสาร ในเมื่อสสารมันไม่มีวันหายไป เวลาก้ไม่มีวันสิ้นสุดลง
ที่จริง ในทฤษฎีสัมพัทธภาพ นั้นบอกเองแล้วว่า แต่ละวัตถุ มีเวลาเป็นของตัวเอง .................................. มันไม่ควรจะเดินเท่ากันหมดทั้งเอกภพอยู่แล้ว (ยิ่งหลังพบ cosmic string หรือ เส้นใยอวกาศ จากการเรียงตัวของดาราจักรด้วยแล้ว) ยิ่งทำให้คาดกันไปเยอะแยะมากมายว่า เรื่องเวลา ของไอนสไตน์ ถึงจะเป็นระดับของเอกภพมหภาคก็จริง แต่พอมาเป็นส่วนของ ควอนตัม (ที่ไอนสไตน์นั้นผิดพลาด) เวลาของ เอกภพ มันก็ไม่ได้ต้องสม่ำเสมอกันไปหมดทุกๆ ดาราจักร ( จนต้องไปจบแบบ big freeze ที่มี entropy เท่ากันหมดทั้งเอกภพ)
ผมมองว่า แต่ละดาราจักร เวลาก็ยังไม่เท่ากันเลยครับ และ เป็นไปได้ยากกว่าที่จะหาเวลาจุดเริ่มต้นของเอกภพ
** ส่วนประเด็นการฟื้นคืนชีพ ก็อยู่ในเรื่องเวลาของดาราจักรนี่แหละครับ เพราะหากว่า ดาราจักร 2 ดาราจักร ที่หมุนสวนทิศทางกัน (ตัวอย่างเช่น NGC2207 vs IC2163) แล้วเวลาของแต่ละดาราจักร ไม่ใช่ผืนเดียวกันกับพื้นที่ว่างของเอกภพ จะมีดาราจักรนึงที่เล็กกว่า ถูกบิด space-time กลับด้าน จนอาจเกิด Reverse entropy ได้
** อันนี้มาจากมุมมองที่ ผมมองว่า โมเดลการชนกันของดาราจักร ที่ใช้ๆ กันอยู่ในปัจจุบันนั้นผิด ❌ ด้วยภาพถ่ายจริง หลายดาราจักร มันไม่ได้เป็นแบบแบบจำลอง ดาราจักรคู่ชน ที่เล็กกว่าส่วนมากจะถูกดูด แผ่นดาราจักรออกจากหลุมดำใจกลางไปเลย ไม่ใช่ ตัวหลุมดำใจกลางเข้าชนก่อนตามแบบจำลอง (ตัวอย่าง Arp 2339-661 หรือ NGC4038-4039 ที่รู้จักกันในดาราจักรหนวดแมลง ซึ่งพอสังเกตุดีดี มันเหมือนภาพต่อจากการชน กลับทิศ ของคู่ดาราจักร NGC2207-IC2163 เลยทีเดียว พอตะแคงรูปในอยู่มุมเดียวกัน )
เอาจริงๆผมอ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ แต่รู้สึกว่ามีเหตุผลและจินตนาการที่ดีเลยกดไลค์ให้เลย
@@user-ru6nc5rz6o ยากมากจริงๆครับ ว่าส่วนที่มันเชื่อมกัน ระหว่าง ควอนตัม - สัมพัทธภาพ มันควรอธิบายออกมายังไง เอาเป็นว่า สัมพัทธภาพ แค่มองภาพรวมกว้างๆ ของเอกภพครับ แต่ควอนตัม มันมองลงลึกมาถึงรายละเอียดด้วย
............................. มีตัวอย่างในเรื่องหลุมดำครับ ว่าตกลงหลุมดำ ควรใช้ ควอนตัม หรือ สัมพัทธภาพกันแน่ ในเชิงลักษณะทางกายภาพของมัน ซึ่งส่วนของฟิสิกส์อวกาศ ปัจจุบันมันปฎิเสธ ควอนตัมไม่ได้แล้ว เพราะเราก็ใช้มันอยู่ในยุคปัจจุบัน และในส่วนที่เล็กระดับ เล็กกว่าอะตอมลงไปนั้น อนุภาค ประพฤติตัวเป็นได้ทั้งคลื่นและ อนุภาค ในเวลาเดียวกัน (มันจะงงกันตรงนี้ล่ะครับ แต่มันเหมือนกับว่า เวลานั้นมันควรเป็นอะไร มันก็จะเป็น ตามหน้าที่ของมันที่ถูกสร้างมา)
............................. หลุมดำ ที่อันที่จริงถูกบีบจนเล็กมากๆ จนมีค่าเท่ากับ 1 เอกฐาน มวลเป็นอนันต์ ที่ถูกพูดถึงโดยไอนสไตน์ มันเลยดูไม่เป็นความจริง ครับ เพราะว่าปัจจุบันเราพบแล้วว่า หลุมดำ มีขนาดแตกต่างกันได้ (ไม่ได้เป็น 1 เอกฐาน มวลอนันต์) แต่มันใหญ่ได้เรื่อยๆ ตามขนาดมวล เพียงแค่ผิวของมวลนั้น ซ่อนอยู่ใต้ขอบฟ้าเหตุการณ์ และเวลาไม่ได้หยุดนิ่งด้วย ที่ผิวของหลุมดำ เพราะ ก็ตรวจพบการกลืนกินของหลุมดำในยุคปัจจุบันได้อยู่ นั่นหมายความว่า .................. เวลายังคงเดิน แม้จะอยู่ที่ระยะขอบฟ้าเหตุการณ์ หรือแม้กระทั่งผิวของหลุมดำก็ตาม (ไม่อย่างนั้น คงไม่เกิดความเคลื่อนไหวใดๆ อีกเลยที่หลุมดำ) แค่เวลามันช้ากว่าด้านนอกมากๆ ก็เท่านั้น แต่ก็ ไม่เท่ากับ 0
........... ซึ่งส่วนนี้อธิบายด้วย String theory แล้วครับ (ก้าวข้ามไอนสไตน์มาแล้วระยะนึงเลยด้วย โดยการนำส่วนของ ควอนตัม มาเป็นพื้นฐานอีกที แทนที่จะให้ สัมพัทธภาพ เป็นพื้นฐาน).................. ว่าที่จริง หลุมดำ นั้น ขนาดขั้นต่ำถึงจะเล็กมากๆ แต่ก็ไม่ใช่เอกฐาน มีขนาดที่ชัดเจน (แถมใหญ่ขึ้นได้ตามขนาดมวลอีกด้วย) แค่เรามองเข้าไปใต้ขอบฟ้าเหตุการณ์เพื่อเห็นผิวของมันไม่ได้ และ เวลารอบๆมันก็ไม่ได้หยุดนิ่งด้วย
ยอมรับเลยครับ ว่านักวิทยาศาสตร์นี่เขาเก่งจริงๆ
@@user-ru6nc5rz6o ใช่ครับ แต่ปัจจุบันผมมองว่าในไทย เราลงน้ำหนักไปให้ไอนสไตน์เยอะเกินไป ทั้งๆที่จริง ถ้าเราตามกันทัน จักรวาลวิทยา จะทราบแล้วว่าหลายอันไอนสไตน์ผิด แล้วไม่ใช่น้อยๆ เลยด้วยนะครับ ด้วยหลายหลักฐานที่พบเจอในปัจจุบัน มันเอาเฉพาะสัมพัทธภาพ ไม่ได้ ควอนตัม อธิบาย และใช้งานจริง ได้ดีกว่าในหลายๆกรณีด้วยซ้ำครับ
@@lordseyren5454อ่านแล้วก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่ครับ แล้วถ้าเวลามันเปลี่ยนเป็นพลังงานได้ มันจะทำให้อะไรที่ขัดแย้งกันสอดคล้องกันใหมครับ
การเดินทางของปัจจุบันคือเวลา ถ้าเดินผ่านมาแล้วคืออดีต ถ้ายังเดินไม่ถึงคืออนาคต.
ดี
เวลาเราใช้ได้เฉพาะโลกครับ เพราะการมุนโคจรแต่ล่ะดวงในระบบสุริยะมันแตกต่างกัน เพราะอยู่ที่มวลมีน้ำหนักก็แตกต่างกันของแต่ล่ะดวงหรือโลกเรา มวลที่หนักย่อมมุนเร็วกว่ามวลที่เป็นอากาศ มวลของดวงอาทิตย์จะหนักกว่าสุด แต่ก็ยังโคจร รอบๆ กาแลกซี่ ขนาดกาเลกซีมันยังโคจรรอบหลุมดำ สรุปง่ายๆ การมุนของหลุมดำนี้แหละเป็นตัวแทนของเวลาในกาแลกซีเรา แต่ กาแล็กซีจะมุนช้ากว่าระบบสุริยะเรา เพราะพื้นที่กว้างกว่าหรือง่ายๆ กาแล็กซี-ระบบสุริยะ-ดวงอาทิตย- โลก สมมุติ ง่ายๆน่ะ หลุ่มดำมุนได้1ปี กาแล็กซี่จะมุนตามแต่เป็น10ปี ระบบสุริยะชั้นนอก100ปี ดวงอาทิตย์1000ปี โลกเรา 10,000 ปี ต่อ
เพราะยังงี้ ถึงเขาวิจัยมา ถ้าเราสามารถเดินทางเร็วเหมือนแสง เราจะออกนอกโลกไปอีก กาแล็กซีโดยใช้เวลา1ปี แต่กับโลกเรา มันกลายเป็นพันๆปีรึหมื่นๆปี เพราะอย่างงี้ผมถึงบอกไป โลกมุนเร็วเพราะมีมวลหนักและเล็กกว่า ดวงอาทิตย์,ระบบสุริยะ,กาแล็กซี แล้วอะไรที่ทำให้ดวงดาวทั้งหลายโคจนได้เพราะระบบสุริยะ และระบบสุริยะก็มุนโคจรเป็นกาแล็กซี แล้วอะไรที่ขับเคลื่อนกาแล็กซี่ให้มุน คำตอบของทั้งหมดก็คือ หลุมดำครับ หลุมดำเปรียบเสมือน มอเตอร์จ่ายไฟจ่ายคลื่นจ่ายแรงดึงดูด ให้ทำงาน ที่นี้พอจะเข้าใจรึยังครับ
@@hafitasun5094..😊ว้าว.ภาษาชาวบ้านเข้าจัยง่ายดี
ในแก่นหลุมดำ คือความนิ่ง นิ่งถึงไม่มีสะสารใดที่ซึ่มเข้าไปได้
ณ ขณะเวลานี้ มีเหตุการณ์ เกิดขึ้น ในทุกที่ ทุกจุด บนพื้นที่ที่นับไม่ได้นี่ โอ้ยยย เป็นตางึด ...ถ้าเปรียบสมองมนุษย์เป็น cpu คงจะ 8 บิต กระแสไฟ-พลังงาน เป็น "ข้อมูล" ที่ป้อนเข้ามา คง น้อย หรือมากไป สรุปมนุษย์มีขีดจำกัดที่จะรู้ได้ ถ้าทำสมาธิขั้นเริ่มต้น เหมือนสมองไบร้ท์ขึ้น ไวขึ้นเยอะ มีแนวโน้มจะเข้าใจเรื่อง มิติ มากขึ้น จากประสบกามตรง เด้ออออสู 😊
😊
ถ้าทุกอย่างคือการสั่นสะเทือน เมื่อเวลาถูกหยุดทุกอย่างจะหยุดสั่นสะเทือน 🧐🧐🧐
มิติที่เรารับรู้ได้คือ โลกเรามีสามมิติ แต่เมื่อทฤษฎีสัมพันธภาพ ถูกไอสไตน์นำเสนอออกมา ทำให้เวลาถูกนำมาเป็นมิติที่4ในโลกของเรา ซึ่งสามมิติแรกที่เรามีคือ กว้าง×ยาว×สูง นี่คือสิ่งที่จับต้องได้ มีอยู่จริง แต่มิติที่4ที่เป็นเวลา มันไม่เม็คเซ้นส์เลย เพราะเวลาเป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์สมมุติขึ้นมาเพื่อให้รู้ว่าอะไรเกิดก่อน อะไรเกิดทีหลัง โดยการใช้เวลาเป็นสิ่งเปรียบเทียบ เพราะแม้แต่นักวิทยาศาสตร์ ก็ยังยืนยันไม่ได้ว่า จริงๆแล้วเวลาคืออะไร?
พระพุทธองค์ทรงมีความรู้เรื่องเอกภพเชิงวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า ความว่างเปล่าและจักรวาล หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า เอกภพคือ ความว่างเปล่าและจักรวาลนั่นเอง นอกจากนี้แล้ว พระพุทธองค์ทรงมีความรู้เรื่องเอกภพเชิงคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า เวลาไร้ขีดจํากัดและเวลามีขีดจำกัด หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า เอกภพคือ เวลาไร้ขีดจํากัดและเวลามีขีดจำกัดนั่นเอง ทั้งนี้ เอกภพเชิงวิทยาศาสตร์และเอกภพเชิงคณิตศาสตร์นั้นมีความหมายเชิงคณิตศาสตร์เดียวกัน กล่าวคือ ไม่มีจุดเริ่มต้นไม่มีจุดจบและมีจุดเริ่มต้นมีจุดจบ ดังนั้นจากความรู้เรื่องเอกภพเชิงคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า เวลาไร้ขีดจํากัดและเวลามีขีดจำกัด อย่างไรก็ตาม สรรพสิ่งถูกกำหนดไว้ที่เวลามีขีดจำกัด(สรรพสิ่งมีอายุขัย) ซึ่งพระพุทธองค์มีอายุขัย80ปี ทั้งนี้ 80ปีคือ เวลามีขีดจำกัด ดังที่กล่าวมาทั้งหมดตั้งแต่ความรู้เรื่องเอกภพเชิงคณิตศาสตร์ ดังนั้นจึงทำให้ได้ผลลัพธ์เชิงคณิตศาสตร์ กล่าวคือ เวลาไร้ขีดจำกัดและ80ปี อย่างไรก็ตาม เวลามีขีดจำกัดนั้นมีประตูอยู่ ดังนั้นจากผลลัพธ์เชิงคณิตศาสตร์ดังกล่าว ซึ่งเป็นที่มาของทฤษฎีที่เรียกว่า การเปิดประตูเวลา ซึ่งพระพุทธองค์ทรงคิดทฤษฎีดังกล่าวนี้เพื่อบรรลุเวลาไร้ขีดจำกัด ทั้งนี้ ทฤษฎีดังกล่าวจะนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า ปรากฏการณ์การเปิดประตูเวลา อย่างไรก็ตาม พระพุทธองค์สามารถคิดค้นสิ่งที่เรียกว่า การทำสมาธิ แท้จริงแล้ว การทำสมาธิคือ ปรากฏการณ์การเปิดประตูเวลานั่นเอง ดังนั้นในที่สุดแล้ว พระพุทธองค์ทรงบรรลุเวลาไร้ขีดจำกัด ซึ่งศาสนาพุทธเรียกอีกนัยหนึ่งว่า ผู้ที่บรรลุนิพพาน แต่ศาสนาฮินดูเรียกอีกนัยหนึ่งว่า ผู้ที่บรรลุอมตะ
เมื่อเวลาหยุดนิ่ง หลักการของเหตุและผลก็ไม่มีอยู่จริง
นิพพานไงคือจุดสิ้นสุดของเวลา
เชื่อลมๆแล้งๆกับสิ่งที่ไม่มีเหตุผล
@@ชัยบดินทร์-ซ8ย แล้วไอ้ที่เชื่อพระเจ้าละมีเหตุผลมากซิมนะ🤣🤣🤣🤣🤣🤣
@@ชัยบดินทร์-ซ8ยคำสอนพุทธมีเหตุผลครับ และผมมีประสบการณ์กับตัวเองมากพอที่จะมั่นใจได้
สรุปหลุมดำไม่ใช่นิพพานบริสุทธิ์ทั้งหมดน่ะ อะไรก็ผิดและอะไรก็ถูก นี่เวลากาล คือ กัลป์กาล
นิพพาน มันเป็นสิ่งที่มนุษย์คิดขึ้นเอง ละนิพพานคือไร ตาย? หรือรับรู้ทุกสิ่งที่จนร่างกายถึงจุดสิ้นของมัน?? สุดท้ายเเล้วบางอย่างที่อยู่เหนือจินตนาการของ เราก็ไม่สามารถรับรู้มันได้จริงๆหรอกคับ เจ้าของเม้นบอกว่านิพพานคือจุดสิ้นสุดของเวลาได้งั้นคุณคงตอบได้ว่าอะไรเกิดมาก่อนเวลาที่เเละเวลาเกิดมาได้ไง??คับ ละสเกลของเวลาที่มนุษย์รับรู้กับสะเกลเวลาของที่อื่นหรือมิติอื่นต่างกันไหมคับ ผมอยากรู้ หรือสเกลเวลาที่มนุษรู้เเค่คิดไปเองเท่านั้นเพื่อบ่งบอกเหตุการต่างๆเเค่นั้น?
เวลาไม่หยุดนิ่ง ในหลุมดำเเค่ช้าลงมากจนเหมือนหยุดนิ่ง
พี่ไปม่สามรอบแล้วสินะ
หลุมดำคือนิพพานโดยแท้
เข้าใจผิดว่าหลุมดำไม่ใช่นิพพานน่ะ
เราดูอดีตได้ แต่กลับไปอดีตไม่ได้
พระอรหันต์สามารถดูอดีตของตัวเองและสัตว์อื่นได้ แต่ไม่สามารถแก้อดีตได้
ยืนยันอีกเสียงครับ ดูอนาคตก็ได้ แต่อนาคตยังไม่นิ่ง ุถ้าคนเปลี่ยนการกระทำ อนาคตก็เปลี่ยนได้
@@rit2025 เรื่องอนาคตเราทำได้แค่คาดการณ์ มันจะเกิดหรือไม่เกิดก็ได้ แต่เราจะไปยังอนาคตเลยเราคงทำไม่ได้ เพราะมันฟังดูย้อนแย้งและขัดแย้งกับกฎต่างของมนุษย์ที่มีอยู่บนโลกใบนี้
@@number01010 ดูในที่นี้คือเห็นภาพในหัวครับ ไม่ได้ไปโผล่นี่นั่นเพื่อดู มีคนดูได้ เห็นได้จริงๆ แต่เขาจะดูของใครแล้วพูดส่งเดชไม่ได้ครับ นอกจากดูในสิ่งที่มีคนถาม และตอบสิ่งที่มีคนถาม แต่ถ้าเราจะไปสู่รู้เรื่องชาวบ้านเขาจะไม่ตอบครับ อันนี้คือญาณทางธรรมนะครับ ญาณทางคุณไสยก็มี พวกลวงโลกต้มตุ๋นก็มี
@@number01010 และไม่ได้คาดเดาครับ สำหรับคนมีญาณจริงๆนะ แต่เหมือนเขานั่งดูหนังที่เป็นเรื่องของเราแบบนั้นเลย
เวลาเป็นแค่คำหลอกเวลามันไม่จริงหรอก ก้อมีแต่เข็มหมุนวนเรื่อยไป
พี่โดมได้กล่าวไว้😂
ตัวจริงๆของเวลามันไม่มี สิ่งที่เปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวต่างหากทำให้เหิดเวลา
ผมเคยคิดงี้ แต่ตอนนี้คิดใหม่แล้วเพราะถ้าไม่เกิดการเคลื่อนไหวเลยทุกอย่างหยุดนิ่ง 1นาที แล้วเคลื่อนไหวต่อหลังจากนั้น ก็เท่ากับว่ามันผ่านไปแล้ว1นาที
คหสต มันขึ้นอยู่กับว่ามีผู้สังเกตุการณ์มันอยู่รึเปล่าเพราะเราสังเกตุการณ์มันจึงเป็นเวลา ถ้าเราไม่สังเกตุการณ์มัน มันจะออกมาเป็นอะไรแบบไหนจะมีผลยังไง เราอาจจะยังไม่รู้จักไม่เข้าใจ เพราะเราสังเกตุการณ์ใช้มันมาตลอด พอจะน่าสนใจมั้ยครับ ถ้าเอาควอนตั้มเป็นตัวตั้งแบบนี้
คนที่ไป.ยังไม่มีใคร
กลับมาตอบ.
หลุมดำ. อาจเป็นทางไป
ยังโลกคู่ขนาน.
แต่คนที่ไป ไม่สามารถ
กลับมาทางเดิมได้.
ใครอยากรู้. ต้องลองไป.ดูค่ะ
😅😅😅
เวลาหยุดนิ่งไม่ได้หรอกครับ สมมุติเวลาในจักรวาลนี้หยุดนิ่งไป 1,000 ปี ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้หยุดนิ่งทั้งหมดแม้แต่แสงก็ยังหยุดนิ่ง แต่พอครบ 1,000 ปีทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลกลับมาเคลื่อนไหวเหมือนเดิมก็ตาม แต่ช่วง 1000 ปีที่ผ่านมาก็หมายความว่าเวลาได้ผ่านไปแล้ว 1000 ปีอยู่ดี แสดงว่าสิ่งที่หยุดนิ่งคือสสารและพลังงานทุกอย่างในจักรวาลนี้เท่านั้น แต่เวลาก็ยังคงเดินทางต่อไปจนครบ 1,000 ปี ถ้าเวลาหยุดนิ่งจริงจะต้องไม่มีวันครบ 1,000 ปี เพราะไม่มีการเริ่มนับหนึ่งของเวลาไปจนครบ 1,000 ปี
อืมมม ก็จริง เวลาหยุดไปหนึ่งพันปีแล้วเริ่มใหม่ต่อก็เหมือนไม่หยุดอย่างว่า เพราะไม่มีใครรู้ตัวว่าหยุดไปหนึ่งพันปี
เวลามันหยุดนิ่งไม่ได้ แต่มันไหลไปตามสิ่งที่มีการสังเกตุการณ์ ถ้าไม่มีผู้สังเกตุการณ์เวลาก็อาจจะออกมาเป็นอีกสิ่ง เหมือนการเปลี่ยนแปลงสถานะทางควอนตั้ม🤔 ซึ่งเราก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร และจะออกรูปแบบไหน เพราะเราสังเกตมันตลอด ไม่สังเกตุเราก็ไม่เข้าใจมัน พอเราสังเกตุมันก็จะออกมาในรูปแบบของเวลารึมิติที่4ให้เราเข้าใจ (รึเปล่า)
เวลานี่แหละของจริงหนึ่งเดียวในจักรวาล...เป็นสิ่งเดียวที่ยืนยันำด้ว่าเราเคยมีอยู่ ในช่วงหนึ่ง
ถ้าหากเราบอกว่า วิธีคิด รู้สึก และลงมือปฏิบัติที่ทุกคนทั่วโลกใช้ในการเข้าถึงทุกสรรพสิ่งจากอดีตจนถึงปัจจุบันเป็นการมองโลกด้านเดียวที่ตั้งอยู่บน Standard model! ที่เป็นแค่ Symmetry Systems ที่อธิบายได้สามแรง ไม่รวมแรงโน้มถ่วง ทุกคนจะเชื่อไหม?! ไม่ว่าจะเป็นนักฟิสิกส์ นักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์หรือใครก็ตามทุกคนต่างก็ใช้วิธีคิด รู้สึก และลงมือปฏิบัติแบบเดียวกันแต่กลับคาดหวังที่จะได้ผลลัพธ์หรือคำตอบที่แตกต่างออกไปยกตัวอย่างเช่น คำถามที่ว่า เวลามีอยู่จริงหรือไม่มีอยู่จริงกันแน่ หรืออะไรคือความจริงที่แท้จริงกันแน่ ทั้งคำถามและการค้นหาคำตอบให้กับคำถามล้วนแล้วแต่ไปในทิศทางเดียวกันซึ่งการถามตอบในลักษณะนี้ในโลกมหภาคอาจจะคิดและเข้าใจว่า มาถูกทางแล้ว แต่ในโลกจุลภาคนั้นจะมีวิธีคิด รู้สึก และลงมือปฏิบัติที่ตรงกันข้าม ถ้าหากมนุษย์มองโลกสองด้านคือ ด้านที่ตั้งอยู่บน Symmetry Systems และ Supersymmetry หรือ โลกของอนุภาคและคลื่น ที่รวมเอาผลของแรงโน้มถ่วงและผลของประวัติศาสตร์เข้าไว้ด้วย (วิธีการค้นพบจะใช้วิธีคิด รู้สึก และลงมือปฏิบัติที่ตรงกันข้ามกับที่นักวิทยาศาสตร์และนักฟิสิกส์ค้นพบกายภาพและชีวภาพภายนอก) ไปพร้อมๆกันคำถามต่างๆจะค่อยๆหมดไป
จริงรึป่าวครับ..ที่เขาบอกว่า ความว่างป่าวไม่มีอยู่จริง
ความว่างเปล่าคือความหมายที่เราเข้าใจ ซึ่งความว่างเปล่าจริงๆมันก็ไม่มีอยู่แล้ว เพราะความหมายมันบอกแบบนั้น ถ้ามันมีมันก็ไม่ว่างเปล่าสิ😊😊😊
คำตอบว่า มาอย่างไรมีอย่างไร ก็สุดท้ายคงจะตายก่อนรู้
เวลาไม่มีอยู่จริงมันเป็นสิ่งสมมุติของมนุษย์
แรงดึงดูดอยู่เหนือเวลา เพราะมันสามารถยืดเวลาได้
ไม่มีเราทุกอย่างคือเรา
อ่านเหนื่อยไหมครับ
หน่วยงานศึกษาภูมิศาสตร์
70ประเทศยืนยันว่าโลกไม่กลม
โดย วิธีการ
การวางเส้นแนวระนาบ
15เส้นเส้นละ 1แสนกิโลเมตร
จากพื้นที่ ทำการวัดไม่พบความต่าง
ห่างกันไม่ถึงเมตรก็มี
จากคำถาม น้ำทะเลมหาสมุทร
โค้งเป็นทรงกลมขนาดใหญ่ใช่ไหม
จึงตอบง่ายๆระยะ2แสนกิโลเมตร
ห่างกันไม่ถึงครึ่งเมตร นิดเดียว
สมการ โลกกลมๆ จบแล้วครับ
ตำราเรียนจะเปลี่ยนใหม่กลางๆปีนี้
จากหน่วยสำนักงานการศึกษาภูมิศาสตร์ ก
สัมพัทธภาพ = relativity
เมื่อเกิดเวลาก็เกิด
ทุกอย่างคือสิ่งที่มีอยู่(ไม่ว่าจะก๊าซจะควอนตัม หรือจะอะไรก็ตามที่จะพูด) และสิ่งที่มีอยู่จะต้องเกิดมาจากสิ่งที่มีอยู่ (หมายถึงจะมีไม่ได้ถ้าไม่มีสิ่งที่มีอยู่ก่อนหน้า) ดังนั้นชี้ให้เห็นว่า มีสิ่งมีอยู่มาตั้งแต่เดิมจึงทำให้มีสิ่งต่างๆที่มีอยู่ และสิ่งนั่นมีอยู่เป็นสิ่งแรกที่มีอยู่และเป็นต้นกำเนิดของการมีอยู่
ด้วยเหตุนี้สิ่งแรกจะต้องเป็นสิ่งมีอยู่ที่มีอยู่ด้วยตัวเองมาแต่เดิม ไม่มีจุดเริ่มต้น (เพราะถ้าหากบอกว่ามีจุดเริ่มต้นก็จะให้ความหมายว่าเป็นสิ่งมีอยู่ที่เกิดมาจากสิ่งที่ไม่มีอยู่ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่สิ่งมีอยู่จะเกิดมาจากการไม่มี สรุปคือมีสิ่งที่มีอยู่มาแต่เดิมที่เป็นสาเหตุให้สิ่งมีอยู่อื่นๆมีอยู่ (เพราะสิ่งที่เป็นสาเหตุในการกำเนิดผลของเหตุจะต้องเป็นสิ่งที่มีอยู่ เพราะการไม่มีอยู่ไม่สามารถเป็นเหตุของการมีอยู่ได้เพราะไม่มีอยู่)
สรุปคือมีสิ่งหนึ่งที่มีอยู่มาเเค่เดิมและไม่มีจุดเริ่มต้น สิ่งนั้นให้กำเนิดทุกสิ่ง และลองมองดูสิว่าสิ่งนั้นให้อะไรกับจักวาลนี้บ้าง มนุษย์ยังหาคำตอบความยิ่งใหญ่ของจักวาลทั้งหมดนี้ไม่ได้เลย ชี้ให้เห็นว่า สิ่งแรกที่มีอยู่มาแต่เดิมต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ที่สูงสุดที่สุดเกินกว่ามนุษยน์จะจินตนาการได้
แต่ละทีจักวาลไม่เหมือนกันครับ
ยิงโตเวลาก็ยิ้งสั้นลง😂
สัมพัทภาพ ไม่ใช่สัมพันธภาพ
เวลาไม่มีอยู่จริงหรอกครับ
สัมพันธภาพ พ่องงง
เวลามันมีที่ไหน มันมีแต่ความเสื่อมของสสารเท่านั้น เกิดขึ้น คงอยู่ ดับไป
เวลาไม่มีวันหมดมันเดินไปเรื่อย และ เวลาอาจไม่มีอยู่จริง
ฟังเป็นเพื่อนไม่คิดมากเราถูกเอเลี่ยนยึดร่างทำผ่านตัวเราเอาเราเป็นชุดเกาะชุดอวกาศเดินบนโลกเขาควบคุมเรา
ไม่มีอะไรคงที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาไม่มี่ที่สิ้นสุดและมันจะเป็นแบบนี้ตลอดไป
เวลาคือช่วงเหตุการณ์ๆหนึ่งที่สิ่งชีวิตคิดกำหนดขึ้น
เวลาคือระยะห่างของวัตถุและสรรพสิ่ง
เวลาไม่มีความขัดแย้งหรอกนาฬิกาทุกๆเรือนเดินตรงกันความคิดเรานี่แหละที่ขัดแย้งกัน