- 2 365
- 666 194
BTU DE Channel
เข้าร่วมเมื่อ 10 ต.ค. 2017
วีดีโอ
BL305 การจัดการขนส่ง หน่วยที่ 10 EP. 1
มุมมอง 185 หลายเดือนก่อน
BL305 การจัดการขนส่ง หน่วยที่ 10 EP. 1
BL305 การจัดการขนส่ง หน่วยที่ 10 EP. 2
มุมมอง 235 หลายเดือนก่อน
BL305 การจัดการขนส่ง หน่วยที่ 10 EP. 2
PH208 สรีรวิทยาของระบบขับถ่ายปัสสาวะ หน่วยที่ 10 Ep.1
มุมมอง 6010 หลายเดือนก่อน
PH208 สรีรวิทยาของระบบขับถ่ายปัสสาวะ หน่วยที่ 10 Ep.1
PH208 สรีรวิทยาของระบบขับถ่ายปัสสาวะ หน่วยที่ 15 Ep.1
มุมมอง 2510 หลายเดือนก่อน
PH208 สรีรวิทยาของระบบขับถ่ายปัสสาวะ หน่วยที่ 15 Ep.1
PH208 สรีรวิทยาของระบบขับถ่ายปัสสาวะ หน่วยที่ 15 Ep.2
มุมมอง 2610 หลายเดือนก่อน
PH208 สรีรวิทยาของระบบขับถ่ายปัสสาวะ หน่วยที่ 15 Ep.2
PH208 สรีรวิทยาของระบบขับถ่ายปัสสาวะ หน่วยที่ 14 Ep.1
มุมมอง 3010 หลายเดือนก่อน
PH208 สรีรวิทยาของระบบขับถ่ายปัสสาวะ หน่วยที่ 14 Ep.1
PH208 สรีรวิทยาของระบบขับถ่ายปัสสาวะ หน่วยที่ 12 Ep.2
มุมมอง 3010 หลายเดือนก่อน
PH208 สรีรวิทยาของระบบขับถ่ายปัสสาวะ หน่วยที่ 12 Ep.2
PH208 สรีรวิทยาของระบบขับถ่ายปัสสาวะ หน่วยที่ 14 Ep.2
มุมมอง 1310 หลายเดือนก่อน
PH208 สรีรวิทยาของระบบขับถ่ายปัสสาวะ หน่วยที่ 14 Ep.2
PH208 สรีรวิทยาของระบบขับถ่ายปัสสาวะ หน่วยที่ 12 Ep.1
มุมมอง 4210 หลายเดือนก่อน
PH208 สรีรวิทยาของระบบขับถ่ายปัสสาวะ หน่วยที่ 12 Ep.1
PA414 จริยธรรม ธรรมาภิบาลเเละจิตอาสา สรุปหน่วยที่ 6 - 10
มุมมอง 3610 หลายเดือนก่อน
PA414 จริยธรรม ธรรมาภิบาลเเละจิตอาสา สรุปหน่วยที่ 6 - 10
PA414 จริยธรรม ธรรมาภิบาลเเละจิตอาสา สรุปหน่วยที่ 1 - 5
มุมมอง 10810 หลายเดือนก่อน
PA414 จริยธรรม ธรรมาภิบาลเเละจิตอาสา สรุปหน่วยที่ 1 - 5
PA414 จริยธรรม ธรรมาภิบาลเเละจิตอาสา สรุปหน่วยที่ 11 - 15
มุมมอง 3910 หลายเดือนก่อน
PA414 จริยธรรม ธรรมาภิบาลเเละจิตอาสา สรุปหน่วยที่ 11 - 15
PA414 จริยธรรม ธรรมาภิบาลเเละจิตอาสา ปัจฉิมนิเทศ
มุมมอง 3410 หลายเดือนก่อน
PA414 จริยธรรม ธรรมาภิบาลเเละจิตอาสา ปัจฉิมนิเทศ
PA414 จริยธรรม ธรรมาภิบาลเเละจิตอาสา หน่วยที่ 15 EP.2
มุมมอง 4510 หลายเดือนก่อน
PA414 จริยธรรม ธรรมาภิบาลเเละจิตอาสา หน่วยที่ 15 EP.2
PA414 จริยธรรม ธรรมาภิบาลเเละจิตอาสา หน่วยที่ 15 EP.1
มุมมอง 6310 หลายเดือนก่อน
PA414 จริยธรรม ธรรมาภิบาลเเละจิตอาสา หน่วยที่ 15 EP.1
PA414 จริยธรรม ธรรมาภิบาลเเละจิตอาสา หน่วยที่ 14 EP.1
มุมมอง 3610 หลายเดือนก่อน
PA414 จริยธรรม ธรรมาภิบาลเเละจิตอาสา หน่วยที่ 14 EP.1
PA414 จริยธรรม ธรรมาภิบาลเเละจิตอาสา หน่วยที่ 14 EP.2
มุมมอง 4610 หลายเดือนก่อน
PA414 จริยธรรม ธรรมาภิบาลเเละจิตอาสา หน่วยที่ 14 EP.2
PA414 จริยธรรม ธรรมาภิบาลเเละจิตอาสา หน่วยที่ 13 EP.2
มุมมอง 3810 หลายเดือนก่อน
PA414 จริยธรรม ธรรมาภิบาลเเละจิตอาสา หน่วยที่ 13 EP.2
PA414 จริยธรรม ธรรมาภิบาลเเละจิตอาสา หน่วยที่ 13 EP.1
มุมมอง 4910 หลายเดือนก่อน
PA414 จริยธรรม ธรรมาภิบาลเเละจิตอาสา หน่วยที่ 13 EP.1
PA414 จริยธรรม ธรรมาภิบาลเเละจิตอาสา หน่วยที่ 12 EP.1
มุมมอง 5110 หลายเดือนก่อน
PA414 จริยธรรม ธรรมาภิบาลเเละจิตอาสา หน่วยที่ 12 EP.1
PA414 จริยธรรม ธรรมาภิบาลเเละจิตอาสา หน่วยที่ 12 EP.2
มุมมอง 5210 หลายเดือนก่อน
PA414 จริยธรรม ธรรมาภิบาลเเละจิตอาสา หน่วยที่ 12 EP.2
ขอบคุณคะอาจารย์❤
เรียนทางไกลป.ตรี จำเป็นต้องฝึกงานไหมคะ
ระบบ GI ค่ะ ไม่ใช่ uro
ระบบ CVS
นี่ระบบ CVS ไม่ใช่ urinary system
อันนี้ ระบบหายใจ
คลิปนี้ ระบบรับสัมผัสและต่อมไร้ท่อ
นี่ระบบสืบพันธุ์ ไม่ใช่ ระบบทางเดินปัสสาวะ อย่ามั่วซิ จนท
จนท ลงคลิป ทำเป็นแค่ copy paste หรอ ไม่คิดหน่อยหรอ อันนี้ มันคลิประบบสืบพันธุ์ ไม่ใช่ทางเดินปัสสาวะ อย่ามักง่าย ทำงานชุ่ยๆ แบบนี้ซิครับ
จนท ลงคลิป ทำเป็นแค่ copy paste หรอ ไม่คิดหน่อยหรอ อันนี้ มันคลิประบบทางเดินอาหาร ไม่ใช่ทางเดินปัสสาวะ อย่ามักง่าย ทำงานชุ่ยๆ แบบนี้ซิครับ
ขอบคุณครับอาจารย์ครับ
ขอบคุณครับอาจารย์ครับ
ขอบคุณครับอาจารย์ครับ
ขอบคุณครับอาจารย์ครับ
ขอบคุณครับอาจารย์ครับ
ขอบคุณครับอาจารย์ครับ
ขอบคุณครับอาจารย์ครับ
ขอบคุณครับอาจารย์ครับ
ขอบคุณอาจารย์มากครับ
หลักสำคัญของกฎหมายเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายมีลักษณะดังนี้: 1. เป็นสัญญาระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ก่อให้เกิดหนี้ที่ต้องชำระด้วยการส่งมอบทรัพย์สินและชำระราคา 2. เป็นสัญญาต่างตอบแทน ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต่างมีหน้าที่ต้องปฏิบัติต่ออีกฝ่าย 3. มีวัตถุประสงค์เพื่อโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อ และเพื่อให้ผู้ขายได้รับราคาค่าทรัพย์สิน 4. สิ่งที่ซื้อขายได้คือทรัพย์สิน ทั้งที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่าง อาจเป็นสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ 5. การซื้อขายทรัพย์สินบางประเภท เช่น อสังหาริมทรัพย์ ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะ 6. การซื้อขายบางกรณีต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ เช่น สัญญาจะซื้อจะขาย หรือการซื้อขายสังหาริมทรัพย์มูลค่าตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป 7. โดยหลักทั่วไป กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายจะโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะทำสัญญา เว้นแต่คู่สัญญาจะตกลงกันเป็นอย่างอื่น
สัญญาซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากสัญญาซื้อขายภายในประเทศ ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้ 1. เป็นสัญญาที่เกิดจากการเสนอและสนองระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อที่มักอยู่คนละประเทศหรือมีสัญชาติต่างกัน 2. คำเสนอและคำสนองเกิดขึ้นและส่งถึงกันจากคนละประเทศ โดยอาจผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีอื่นๆ 3. มีการใช้เอกสารหรือข้อกำหนดมาตรฐาน (Standard Forms or Terms) เช่น Incoterms 4. มีการส่งมอบสินค้าโดยการขนส่งข้ามพรมแดนระหว่างประเทศ ซึ่งอาจไม่ใช่ประเทศที่เกิดสัญญาซื้อขาย เช่น ผู้ผลิตอยู่คนละประเทศกับผู้ซื้อและผู้ขาย 5. มีการชำระราคาระหว่างประเทศ มีสถาบันการเงินเกี่ยวข้อง และมีค่าใช้จ่าย 6. มีการประกันภัยสินค้าที่ซื้อขายในระหว่างการขนส่ง ซึ่งมีค่าใช้จ่าย 7. มีเอกสารที่ต้องใช้ประกอบในการซื้อขาย ส่งออก นำเข้า 8. มีความเกี่ยวข้องกับระบบภาษีศุลกากร การตรวจปล่อยสินค้า และคลังสินค้า ในสัญญาซื้อขายระหว่างประเทศ คู่สัญญาจะต้องตกลงกันในสาระสำคัญดังนี้ 1. ประเภท ชนิด และคุณภาพของสินค้า 2. ปริมาณสินค้า 3. ราคา วิธีกำหนดราคา สกุลเงิน และวิธีการชำระราคา 4. สถานที่ วัน เวลาชำระราคา 5. วัน เวลา และสถานที่ส่งมอบสินค้า 6. รูปแบบการขนส่งที่ใช้ 7. การชำระค่าระวาง ค่าประกันภัย และค่าภาระอื่นๆ 8. เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการรับมอบสินค้าและผ่านพิธีการศุลกากร 9. จุดโอนความเสี่ยงภัยจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อ 10. เงื่อนไขการโอนกรรมสิทธิ์ในสินค้า สัญญาซื้อขายระหว่างประเทศจึงมีความซับซ้อนกว่าสัญญาภายในประเทศ เนื่องจากคู่สัญญามีภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศกัน มีการขนส่งสินค้าข้ามแดน ต้องเกี่ยวข้องกับกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศ พิธีการศุลกากร และต้องตกลงเงื่อนไขเพิ่มเติมที่เกี่ยวกับการส่งมอบสินค้า การโอนความเสี่ยงภัย และการโอนกรรมสิทธิ์ระหว่างกัน
นิติบุคคลในทางกฎหมายมีความหมายและองค์ประกอบดังนี้: ความหมายของนิติบุคคล: - เป็นคำที่ใช้เรียกองค์กรที่กฎหมายกำหนดรูปแบบการจัดตั้งไว้ หรือที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ - เป็นบุคคลที่กฎหมายสมมติขึ้นเพื่อให้เป็นผู้ทรงสิทธิหรือหน้าที่ต่างๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติหรือตามสัญญา - สามารถกระทำกิจการต่างๆ ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ตราสารจัดตั้ง หรือข้อบังคับของนิติบุคคลนั้นๆ องค์ประกอบของนิติบุคคล: 1. บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่เป็นผู้ก่อตั้ง 2. ขอบเขต อำนาจ หน้าที่ในการดำเนินกิจการหรือประกอบธุรกิจ 3. สำนักงานหรือที่ตั้งของนิติบุคคล 4. ที่มาของเงินทุนและจำนวนเงินทุนจดทะเบียน 5. ผู้แทนของนิติบุคคล เช่น กรรมการบริษัท 6. ผู้ถือหุ้นหรือหุ้นส่วนของนิติบุคคล 7. บุคลากรของนิติบุคคล เช่น พนักงาน ลูกจ้าง นิติบุคคลสามารถเกิดขึ้นได้ 2 ทาง คือ: 1. รัฐสภามีกฎหมายจัดตั้งโดยเฉพาะ เช่น กระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจ 2. เอกชนจัดตั้งตามรูปแบบที่กฎหมายกำหนด เช่น บริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วน สมาคม มูลนิธิ นอกจากนี้ นิติบุคคลต้องมีผู้แทนในการดำเนินการ โดยการกระทำของผู้แทนภายในขอบอำนาจจะผูกพันนิติบุคคล และกฎหมายยังกำหนดเรื่องการห้ามผู้แทนที่มีผลประโยชน์ขัดกันกับนิติบุคคลเป็นผู้แทนในกิจการนั้นด้วย
กรณีผลประโยชน์ขัดกัน (Conflict of Interest) หมายถึง กรณีที่ผู้แทนของนิติบุคคลมีผลประโยชน์ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของนิติบุคคล กฎหมายจึงห้ามมิให้ผู้นั้นทำการเป็นผู้แทนนิติบุคคลในกิจการที่มีผลประโยชน์ขัดกันนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 74 ที่ว่า "ถ้าประโยชน์ได้เสียของนิติบุคคลขัดกับประโยชน์ได้เสียของผู้แทนของนิติบุคคลในการอันใด ผู้แทนของนิติบุคคลนั้นจะเป็นผู้แทนในการอันนั้นไม่ได้" เหตุผลที่กฎหมายห้ามมิให้ผู้แทนนิติบุคคลกระทำการแทนในเรื่องที่ตนเองมีผลประโยชน์ขัดกันกับนิติบุคคล เพราะโดยสามัญสำนึก คนเราย่อมต้องดูแลรักษาผลประโยชน์ของตนเองมากกว่าผลประโยชน์ของผู้อื่น จึงไม่สมควรที่จะยอมให้คนๆ เดียวกันตัดสินใจหรือรับผิดชอบดูแลผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายในเวลาเดียวกัน ตัวอย่างเช่น 1. บริษัท ก. ซึ่งมีนาย ข. เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท ต้องการซื้อที่ดินเพื่อขยายกิจการ การที่นาย ข. เสนอขายที่ดินของตนเองให้แก่บริษัท ก. จึงเป็นกรณีที่ผลประโยชน์ของนาย ข. ขัดแย้งกับบริษัท ตามมาตรา 74 นาย ข. จึงไม่สามารถตัดสินใจแทนบริษัทเพื่อซื้อที่ดินของตนเองได้ 2. นาย ค. เป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัท X ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารแช่แข็ง ในขณะเดียวกัน ภรรยาของนาย ค. เป็นเจ้าของบริษัท Y ที่ประกอบธุรกิจนำเข้าวัตถุดิบอาหารแช่แข็ง หากนาย ค. ใช้อำนาจตัดสินใจให้บริษัท X ซื้อวัตถุดิบจากบริษัท Y ของภรรยา ก็จะเป็นกรณีผลประโยชน์ทับซ้อน 3. นาย ฉ. เป็นวิศวกรของบริษัทรับเหมาก่อสร้าง และมีหน้าที่ประเมินราคาการก่อสร้างให้กับบริษัท ต่อมานาย ฉ. ลาออกไปตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้างของตนเอง แล้วมายื่นประมูลงานก่อสร้างกับบริษัทเดิม โดยอาศัยข้อมูลราคาที่เคยทำการประเมินไว้ ซึ่งถือเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่ขัดแย้งกับบริษัทเดิมที่ตนเคยทำงานด้วย นอกจากนี้ แม้ไม่ใช่ผลประโยชน์โดยตรงของผู้แทนนิติบุคคล แต่เป็นผลประโยชน์ของบุคคลในครอบครัว เช่น คู่สมรส หรือบุตรของผู้แทนนิติบุคคล ก็ถือว่าอยู่ในความหมายของคำว่าผลประโยชน์ขัดกันด้วย
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันวินาศภัยในแง่ของการขนส่งสินค้าได้ดังนี้: 1. เป็นการบริหารความเสี่ยงในการขนส่งสินค้า เพื่อป้องกันหรือลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขนส่ง 2. คุ้มครองความเสียหายที่เกิดแก่สินค้าตั้งแต่ผู้ขนส่งรับสินค้าไว้จนกระทั่งส่งมอบให้ผู้รับตราส่ง 3. ผู้เอาประกันภัยต้องมีส่วนได้เสียในสินค้าที่เอาประกัน เช่น เป็นเจ้าของ หรือมีภาระผูกพันทางการเงินเกี่ยวกับสินค้านั้น 4. ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่เปิดเผยข้อมูลสําคัญที่อาจมีผลต่อการรับประกันให้ผู้รับประกันภัยทราบ 5. มีการออกกรมธรรม์เป็นหลักฐานของสัญญา โดยระบุรายละเอียดสําคัญเช่น ทางและวิธีขนส่ง ผู้ขนส่ง สถานที่รับส่งสินค้า ระยะเวลาขนส่ง 6. ผู้รับประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อเกิดความเสียหายตามเงื่อนไขที่ระบุในกรมธรรม์ 7. เมื่อจ่ายค่าสินไหมทดแทนแล้ว ผู้รับประกันภัยจะรับช่วงสิทธิเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ที่ก่อความเสียหายต่อไป 8. ความเสียหายอาจเป็นแบบสิ้นเชิง (Total Loss) หรือบางส่วน (Partial Loss) 9. อาจทําประะกันแบบระบุเที่ยว (Voyage Policy) หรือระบุระยะเวลา (Time Policy) 10. มีการใช้เงื่อนไขมาตรฐานในการคุ้มครองประเภทต่างๆ เช่น Institute Cargo Clauses
สัญญาประกันภัยทางทะเลมี 5 ชนิด/ประเภท ดังนี้ 1. Voyage Policy คือ การรับประกันภัยจากที่หรือสถานที่หนึ่งไปยังที่เหรือสถานที่อีกแห่งหนึ่ง 2. Time Policy คือ การรับประกันภัยที่มีกำหนดเวลารับประกันภัยตามที่กำหนดในสัญญา โดยอาจผสมกันกับแบบ Voyage Policy ด้วย 3. Valued Policy คือ การรับประกันภัยที่มีการกำหนดราคาของวัตถุที่เอาประกันซึ่งต้องชดใช้ไว้แน่นอนในสัญญา 4. Unvalued Policy คือ การรับประกันภัยที่ยังไม่มีการกำหนดมูลค่าของวัตถุที่เอาประกันภัยที่จะต้องชดใช้ไว้เป็นแน่นอน แต่จะกำหนดกันในภายหลังเมื่อเกิดเหตุการณ์สูญหายหรือเสียหายแล้ว 5. Floating Policy or Open Cover คือ การรับประกันภัยแบบเปิดกว้างไว้ก่อนในเรื่องตัววัตถุที่จะเอาประกันภัย โดยยังไม่ได้กำหนดในสัญญาเป็นแน่นอน และยังไม่รู้ว่าเรือลำใดที่จะขนส่งสินค้านั้น
กฎหมายเอกชนด้านโลจิสติกส์มีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดการความเสี่ยงและความรับผิดชอบที่เกิดขึ้นในกระบวนการโลจิสติกส์ โดยมีการกำหนดข้อตกลงและการประกันภัยต่าง ๆ เพื่อป้องกันและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อชีวิต ทรัพย์สิน และความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก ซึ่งรวมถึงการประกันภัยต่อความรับผิดชอบตามกฎหมายที่เกิดจากความประมาทหรือเหตุการณ์ไม่คาดคิดอื่น ๆ จุดมุ่งหมายสำคัญมีดังนี้ 1. เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และกฎระเบียบเกี่ยวกับการประกันภัย โดยเฉพาะการประกันภัยทางทะเลและขนส่ง เพื่อคุ้มครองสินค้าและทรัพย์สินที่อยู่ในระหว่างการขนส่ง ลดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น 2. เพื่อกำหนดหน้าที่ สิทธิ และความรับผิดของบุคคลที่เกี่ยวข้องในกระบวนการโลจิสติกส์ เช่น ผู้ขนส่ง ผู้ส่งมอบ ผู้ประกันภัย ผู้เอาประกันภัย เป็นต้น 3. เพื่อส่งเสริมให้การค้าขายระหว่างประเทศ การขนส่งสินค้า และพาณิชยนาวีมีความเจริญก้าวหน้า โดยการกระจายความเสี่ยงภัยและให้หลักประกันความปลอดภัยแก่สินค้าและทรัพย์สินที่อยู่ระหว่างการขนส่ง ทำให้ผู้ลงทุนมีความมั่นใจในการค้าขายมากขึ้น 4. เพื่อกำหนดวิธีการระงับข้อพิพาทอันเกิดจากการประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ เช่น การเรียกชดใช้ค่าเสียหาย การไกล่เกลี่ย การระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ เป็นต้น สรุปคือ กฎหมายเอกชนด้านโลจิสติกส์มุ่งกำหนดกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัยและการกระจายความเสี่ยงในการขนส่งและโลจิสติกส์ รวมถึงหน้าที่ความรับผิดของผู้เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมการค้าขายและขนส่งสินค้าให้ดำเนินไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย
ประเภทต่าง ๆ ของความเสี่ยงที่สามารถเกิดขึ้นในธุรกิจ โดยเฉพาะในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ VUCA (Volatility, Uncertainty, Complexity, and Ambiguity) และมีรายละเอียดดังนี้: Volatility (ความผันผวน): สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่สามารถคาดเดาได้ ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยีหรือภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ไม่สามารถทำนายได้ล่วงหน้า Uncertainty (ความไม่แน่นอน): สถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนในผลลัพธ์ แม้จะทราบสาเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เช่น การดำเนินธุรกิจในตลาดใหม่ที่ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอ Complexity (ความซับซ้อน): สถานการณ์ที่มีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องและยากที่จะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของปัจจัยเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น การมีเครือข่ายซัพพลายเออร์ที่ซับซ้อนและมีการดำเนินงานระหว่างประเทศหลายแห่ง Ambiguity (ความคลุมเครือ): สถานการณ์ที่มีความไม่ชัดเจนในปัจจัยต่าง ๆ และไม่สามารถเข้าใจถึงความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลของปัจจัยเหล่านั้นได้ ตัวอย่างเช่น การเข้าไปลงทุนในธุรกิจหรือสินค้าที่ไม่มีความรู้หรือข้อมูลเพียงพอ
การประเมินความเสี่ยงในธุรกิจ Supply chain มีดังนี้ ความเสี่ยงที่สามารถเกิดขึ้นในธุรกิจ โดยเฉพาะในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ VUCA (Volatility, Uncertainty, Complexity, and Ambiguity) และมีรายละเอียดดังนี้: Volatility (ความผันผวน): สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่สามารถคาดเดาได้ ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยีหรือภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ไม่สามารถทำนายได้ล่วงหน้า Uncertainty (ความไม่แน่นอน): สถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนในผลลัพธ์ แม้จะทราบสาเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เช่น การดำเนินธุรกิจในตลาดใหม่ที่ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอ Complexity (ความซับซ้อน): สถานการณ์ที่มีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องและยากที่จะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของปัจจัยเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น การมีเครือข่ายซัพพลายเออร์ที่ซับซ้อนและมีการดำเนินงานระหว่างประเทศหลายแห่ง Ambiguity (ความคลุมเครือ): สถานการณ์ที่มีความไม่ชัดเจนในปัจจัยต่าง ๆ และไม่สามารถเข้าใจถึงความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลของปัจจัยเหล่านั้นได้ ตัวอย่างเช่น การเข้าไปลงทุนในธุรกิจหรือสินค้าที่ไม่มีความรู้หรือข้อมูลเพียงพอ ปัจจัยและสาเหตุของความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงการขัดจังหวะ การพยากรณ์ที่ไม่แม่นยำ และปัญหาด้านระบบสารสนเทศและทรัพย์สินทางปัญญา พร้อมทั้งวิธีการบรรเทาความเสี่ยงเหล่านี้ เช่น การสร้างความยืดหยุ่นในกระบวนการผลิต การสำรองสินค้าคงคลัง และการใช้กลยุทธ์การสต็อกเผื่อ เป็นต้น
เครือข่ายไคเร็ตสุ (Keiretsu networks) เป็นรูปแบบหนึ่งของการจัดกลุ่มธุรกิจในประเทศญี่ปุ่น ที่บริษัทต่างๆ จะมีความสัมพันธ์กันผ่านการถือหุ้นข้ามกันและกัน และมีความร่วมมือทางธุรกิจอย่างใกล้ชิด สิ่งสำคัญที่ทำให้เครือข่าย Keiretsu มีรากฐานมั่นคงแข็งแกร่งประกอบด้วยหลายปัจจัยดังนี้: การถือหุ้นข้ามกัน: การที่บริษัทในเครือข่ายถือหุ้นของกันและกันทำให้เกิดความผูกพันทางการเงินและการบริหารที่แน่นแฟ้น ช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินและลดความเสี่ยงจากการเป็นเจ้าของโดยบุคคลภายนอก การสนับสนุนทางการเงินจากธนาคาร: ธนาคารในเครือข่าย Keiretsu มักเป็นศูนย์กลางในการให้กู้ยืมและสนับสนุนทางการเงินแก่บริษัทในเครือข่าย ทำให้บริษัทเหล่านั้นสามารถรับมือกับความท้าทายทางการเงินได้ดีกว่า การแลกเปลี่ยนข้อมูลและความร่วมมือ: บริษัทในเครือข่าย Keiretsu มักมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและทรัพยากรซึ่งกันและกัน ทำให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดต้นทุน ความสัมพันธ์ระยะยาว: ความสัมพันธ์ที่ยาวนานและมั่นคงระหว่างบริษัทในเครือข่ายสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ ทำให้สามารถพึ่งพากันในระยะยาว การประชุมสรุปกลยุทธ์ร่วมกัน: การประชุมร่วมกันเพื่อวางแผนกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินธุรกิจทำให้บริษัทในเครือข่ายมีทิศทางเดียวกันและสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดได้อย่างรวดเร็ว การผูกพันทางวัฒนธรรมและค่านิยม: บริษัทในเครือข่ายมักมีวัฒนธรรมองค์กรและค่านิยมที่คล้ายคลึงกัน ทำให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและราบรื่น การกระจายความเสี่ยง: การมีความหลากหลายของธุรกิจในเครือข่ายทำให้สามารถกระจายความเสี่ยงและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง การใช้ประโยชน์จากความสามารถและทรัพยากรร่วมกัน: บริษัทในเครือข่ายสามารถใช้ประโยชน์จากความสามารถทางเทคโนโลยี ทรัพยากร และความเชี่ยวชาญที่มีร่วมกันได้อย่างเต็มที่ ตัวอย่างเครือข่ายไคเร็ตสุที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่น เช่น Mitsubishi Group, Sumitomo Group และ Fuyo Group เครือข่ายไคเร็ตสุช่วยให้บริษัทในเครือข่ายสามารถรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจและการแข่งขันทางธุรกิจได้ดีขึ้น
สรุปความสัมพันธ์เครือข่ายการผลิต 1. การเชื่อมโยงกับคู่ค้าระหว่างประเทศก่อให้เกิดเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานที่ครอบคลุมหลายภูมิภาค ซึ่งเป็นโอกาสและสนับสนุนความสามารถในการแข่งขันจากการเข้าถึงแหล่งทรัพยากรการผลิต เทคโนโลยี และตลาดใหม่ๆ ทำให้เกิดความรวดเร็วในการเข้าสู่ตลาด 2. การเชื่อมโยงนี้ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของธุรกิจรับจ้างผลิต (Outsourcing) เพื่อลดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรขององค์กร โดยใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบด้านต่างๆ ของประเทศผู้รับจ้างผลิต เช่น ค่าแรง ทักษะแรงงาน ต้นทุนวัตถุดิบ เป็นต้น 3. ตัวอย่างเครือข่ายผลิตที่น่าสนใจ คือ เครือข่าย Keiretsu ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการรวมตัวของกลุ่มธุรกิจใหญ่ทั้งในแนวนอน (ระหว่างอุตสาหกรรม) และแนวตั้ง (จัดหาวัตถุดิบ/รับช่วงผลิต) โดยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดผ่านการถือหุ้นไขว้ ใช้เครื่องหมายการค้าร่วม ให้สินเชื่อพิเศษ ทำให้มีความได้เปรียบด้านต้นทุน ความสัมพันธ์ระยะยาว และการสื่อสารที่ดี 4. Keiretsu ได้ขยายเครือข่ายไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออก โดยสมาชิก Keiretsu ที่เป็นผู้รับช่วงผลิตมักจะตามไปลงทุนด้วย เป็นการแสวงหาผลประโยชน์จากความเป็นผู้นำเทคโนโลยีของญี่ปุ่น ควบคุมการถ่ายทอดเทคโนโลยี รักษาความลับ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
องค์กรต้องมีการบริหารความเสี่ยงองค์กร (Enterprise Risk Management - ERM) ด้วยเหตุผลหลักดังนี้: 1. เพื่อจัดการกับความเสี่ยงที่มีความซับซ้อนมากขึ้นในโลกปัจจุบัน ซึ่งมีการดำเนินธุรกิจทั้งภายในและระหว่างประเทศ ทำให้ปัจจัยความเสี่ยงมาจากหลายทิศทาง 2. การบริหารความเสี่ยงแบบเดิมที่มุ่งเน้นเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง เช่น การประกันภัย หรือความเสี่ยงทางการเงิน ไม่เพียงพออีกต่อไป 3. ERM ช่วยให้องค์กรสามารถมองภาพความเสี่ยงในภาพรวม (holistic view) ขององค์กร 4. ERM ช่วยในการกำหนดกลยุทธ์ทั่วทั้งองค์กร และจัดการความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่องค์กรยอมรับได้ 5. ERM ช่วยสร้างความเชื่อมั่นว่าองค์กรจะสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ 6. ERM ครอบคลุมการบริหารความเสี่ยงในด้านต่างๆ เช่น ผลกำไร ประสิทธิภาพการดำเนินงาน ชื่อเสียง บุคลากร เทคโนโลยี และกฎระเบียบ 7. ERM ช่วยให้องค์กรไม่เพียงแต่รักษามูลค่าเดิมไว้ แต่ยังสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับองค์กรได้อีกด้วย ดังนั้น ERM จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถจัดการความเสี่ยงได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้นในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ซับซ้อนในปัจจุบัน
การบริหารความเสี่ยงองค์กร (Enterprise Risk Management: ERM) คือกระบวนการที่เป็นระบบ ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้กับองค์กรทุกประเภท เพื่อดำเนินการต่างๆ ได้แก่ 1. บ่งชี้เหตุการณ์ความเสี่ยง 2. ประเมินความเสี่ยง 3. จัดลำดับความสำคัญของความเสี่ยง 4. จัดการความเสี่ยง การบริหารความเสี่ยงองค์กรจะช่วยให้องค์กรสามารถพิจารณาระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ กำหนดกรอบการดำเนินงานเพื่อบริหารความไม่แน่นอน ความเสี่ยง และโอกาสทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะนำไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กรทั้งในแง่ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงาน นอกจากนี้การบริหารความเสี่ยงที่ดี ควรให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในองค์กรได้มีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ ตรวจสอบ ประเมินความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงร่วมกันวางแผนป้องกันและควบคุมความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
ตัวแทนออกของ (Customs Broker) คือบุคคลหรือบริษัทที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานศุลกากรของประเทศต่าง ๆ เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการผ่านศุลกากรสำหรับการนำเข้าและส่งออกสินค้า ตัวแทนออกของมีหน้าที่หลักๆ ดังนี้: การเตรียมเอกสาร: ตัวแทนออกของจะช่วยในการเตรียมเอกสารที่จำเป็นในการผ่านศุลกากร เช่น ใบอนุญาตนำเข้า-ส่งออก, ใบแจ้งหนี้, และใบแสดงรายละเอียดสินค้า การตรวจสอบและยื่นเอกสาร: ตัวแทนออกของจะตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารและยื่นเอกสารให้กับหน่วยงานศุลกากรเพื่อให้สินค้าได้รับการอนุมัติให้นำเข้า-ส่งออก การชำระภาษีและค่าธรรมเนียม: ตัวแทนออกของจะช่วยคำนวณภาษี, ค่าธรรมเนียมศุลกากร และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งดำเนินการชำระเงินในนามของลูกค้า การให้คำปรึกษา: ตัวแทนออกของสามารถให้คำปรึกษาเกี่ยวกับกฎหมายและข้อกำหนดการนำเข้า-ส่งออก รวมถึงขั้นตอนและวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง การประสานงาน: ตัวแทนออกของจะทำหน้าที่ประสานงานระหว่างลูกค้า, หน่วยงานศุลกากร และบริษัทขนส่ง เพื่อให้การดำเนินการผ่านศุลกากรเป็นไปอย่างราบรื่น การจัดการโลจิสติกส์: บางครั้งตัวแทนออกของยังช่วยในการจัดการโลจิสติกส์และการขนส่งสินค้าจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเพื่อให้สินค้าไปถึงปลายทางโดยไม่มีปัญหา ตัวแทนออกของมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้กระบวนการนำเข้า-ส่งออกเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และช่วยลดความซับซ้อนของกระบวนการศุลกากรสำหรับธุรกิจและบุคคลทั่วไป
ตามมาตรา 4 การขนส่งตามกฎหมายฉบับนี้เป็นการขนส่งด้วย "รถ" ที่มีจุดเกาะเกี่ยวกับประเทศไทย ในเรื่องดินแดน หรือสัญชาติของคู่สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่งกล่าวคือ 1) เป็นการขนส่งที่สถานที่ที่ "ผู้ขนส่ง" ได้รับมอบของในประเทศไทย หรือ 2) สถานที่ส่งมอบของอยู่ในประเทศไทย หรือ 3) เป็นการขนส่งด้วยรถที่ได้ใช้ดินแดนประเทศไทยเป็นทางผ่านหรือ 4) คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งสัญชาติไทยหรือเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือ 5) แม้มีการขนส่งทางอื่นด้วย แต่ไม่มีการขนถ่ายลงจากรถที่ใช้ในการขนส่งก็ยังถือส่เป็นการรับขน ของ ทางถนนตามความหมายของกฎหมายฉบับนี้ 6) ความรับผิดชอบของผู้ขนส่งตามกฎหมายนี้เกิดขึ้นหากว่าของหรือสินค้าที่ขนส่งสูญหาย เสียหาย หรือส่งมอบชักช้าอันเกิดจากความผิดของผู้ขนส่งในระหว่างที่ของอยู่ในความดูแลของผู้ขนส่ง
สิทธิและหน้าที่ของผู้รับขนของทางถนนระหว่างประเทศมีดังนี้: สิทธิของผู้รับขน: 1. สิทธิในการได้รับค่าขนส่ง: ผู้รับขนมีสิทธิ์ที่จะได้รับค่าขนส่งตามอัตราที่ตกลงกันไว้ในสัญญาหรือในเอกสารการขนส่ง 2. สิทธิในการจำกัดความรับผิด: ผู้รับขนสามารถจำกัดความรับผิดชอบของตนตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ในสัญญาหรือในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น การกำหนดมูลค่าความเสียหายสูงสุดที่ผู้รับขนต้องรับผิดชอบ 3. สิทธิในการจัดเก็บค่าขนส่งล่วงหน้า: ผู้รับขนสามารถเรียกเก็บค่าขนส่งหรือค่าบริการล่วงหน้าได้ก่อนที่จะดำเนินการขนส่ง หน้าที่ของผู้รับขน: 1. หน้าที่ในการขนส่งสินค้า: ผู้รับขนต้องขนส่งสินค้าจากต้นทางไปยังปลายทางตามที่ระบุในสัญญาหรือในเอกสารการขนส่ง โดยต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ 2. หน้าที่ในการดูแลรักษาสินค้า: ผู้รับขนต้องดูแลและรักษาสินค้าให้ปลอดภัยและอยู่ในสภาพดีจนกว่าจะถึงมือผู้รับสินค้า 3. หน้าที่ในการแจ้งข้อมูล: ผู้รับขนต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับสถานะของสินค้าหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการขนส่งให้กับผู้ส่งหรือผู้รับสินค้า เช่น การแจ้งเหตุเสียหายหรือการล่าช้า 4. หน้าที่ในการรับผิดชอบความเสียหาย: ผู้รับขนต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อสินค้าในระหว่างการขนส่ง ยกเว้นในกรณีที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายเกิดขึ้นจากเหตุที่ผู้รับขนไม่สามารถควบคุมได้
Freight Forwarders หรือผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ มีลักษณะดังนี้: 1. เป็นผู้ทำธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้า โดยจัดหาและว่าจ้างบริษัทเรือสำหรับขนส่งสินค้าในเส้นทางที่ต้องการ 2. บางรายทำหน้าที่เป็นคนกลางระหว่างผู้ส่งสินค้ากับผู้ขนส่ง 3. บางรายเป็น Non Vessel Operating Common Carrier (NVOCC) คือเป็นผู้ขนส่งที่ออกใบตราส่งเองได้ แต่ไม่มีเรือเป็นของตัวเอง จะว่าจ้างบริษัทเรืออื่นๆ ต่อไป 4. มักจองพื้นที่ระวางเรือในปริมาณมาก แล้วนำมาแบ่งขายให้ผู้ส่งสินค้ารายย่อย 5. รวบรวมสินค้าจากผู้ส่งรายย่อยเพื่อบรรจุในตู้คอนเทนเนอร์แบบ LCL 6. ออกใบตราส่งให้ผู้ว่าจ้างหรือผู้ส่งของ และมีฐานะเป็นคู่สัญญารับขนของทางทะเล 7. บางรายทำหน้าที่เป็นผู้ประกอบการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบด้วย 8. มักมีเครือข่ายในต่างประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกในการติดตามสินค้า 9. ให้บริการเพิ่มเติมอื่นๆ เช่น การขนส่งทางบก การจัดหาประกันภัย การดำเนินพิธีการศุลกากรแทนลูกค้า โดยสรุป Freight Forwarders คือผู้ประกอบการที่ให้บริการจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศแบบครบวงจร โดยไม่จำเป็นต้องมีเรือหรือยานพาหนะเป็นของตนเอง แต่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางและให้บริการด้านโลจิสติกส์แก่ผู้ส่งออกและนำเข้าสินค้า
ค่าระวาง (Freight Charged) คือ ค่าตอบแทนการบริการขนส่งของ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนในการเคลื่อนย้ายสินค้าจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง การชำระค่าระวางมีความสำคัญในการจัดการขนส่งสินค้าในธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะในการซื้อขายระหว่างประเทศ การชำระค่าระวาง การชำระค่าระวางมี 2 ลักษณะหลัก ได้แก่: ชำระเมื่อส่งมอบของที่ปลายทาง (Freight Collect): ค่าระวางจะถูกชำระโดยผู้รับสินค้าเมื่อสินค้าถูกส่งถึงปลายทาง ผู้ขายจะจัดส่งสินค้าโดยไม่ต้องชำระค่าระวางล่วงหน้า ผู้รับสินค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบการชำระค่าระวาง เหมาะสมกับเงื่อนไขการซื้อขายที่ผู้ซื้อรับผิดชอบค่าขนส่ง ชำระที่ต้นทางก่อนการขนส่ง (Freight Pre-Paid): ค่าระวางจะถูกชำระโดยผู้ขายก่อนการขนส่งสินค้า ผู้ขายจะเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดการและชำระค่าระวางทั้งหมดล่วงหน้า เหมาะสมกับเงื่อนไขการซื้อขายที่ผู้ขายรับผิดชอบค่าขนส่ง
ลักษณะทั่วไปของสัญญารับขนหรือสัญญาขนส่งทุกประเภท 1. เป็นสัญญาที่มีค่าตอบแทนเป็นค่าระวางและค่าภาระต่างๆ ที่ผู้ว่าจ้างจ่ายให้แก่ผู้ขนส่ง โดยกฎหมายไม่ได้กำหนดแบบหรือบังคับให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือในการทำสัญญา แต่มักมีการออกเอกสารการขนส่งเช่น ใบตราส่ง (Bill of Lading) หรือเอกสารการขนส่งทางอากาศ (Air Waybill) 2. เป็นสัญญาที่ช่วยให้สัญญาซื้อขายและสัญญาซื้อขายระหว่างประเทศเสร็จสมบูรณ์ด้วยการมอบสินค้าแก่ผู้ขนส่ง ซึ่งทำให้เกิดการโอนความเสี่ยง (Risk) ต่อการสูญหายหรือเสียหายของสินค้า โดยหากเกิดความสูญหายหรือเสียหาย ภาระจะตกเป็นของผู้ซื้อ 3. ตามแบบการโอนตราสารเปลี่ยนมือได้ (Negotiable Instrument) แม้สินค้าจะกำลังอยู่ระหว่างการขนส่งก็ตาม 4. มีลักษณะเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก คือ ผู้รับของหรือผู้รับตราส่ง 5. มักเกี่ยวพันกับประเด็นปัญหาเรื่องตัวการตัวแทน โดยเฉพาะกรณีตัวแทนทำสัญญากับบุคคลภายนอกตัวการที่อยู่ต่างประเทศ ซึ่งตัวแทนลักษณะนี้ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวต่อบุคคลภายนอกด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 824 6. เกี่ยวพันกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดของผู้รับประกันภัยสินค้าที่อยู่ระหว่างการขนส่ง และการรับช่วงสิทธิของผู้รับประกันภัย
แนวคิดของ "ค่าระวาง" (Freight) เป็นองค์ประกอบสำคัญในการขนส่งสินค้า สามารถอธิบายได้ดังนี้: 1. ความหมาย: - ค่าระวางคือค่าตอบแทนที่ผู้ว่าจ้าง (ผู้ส่งสินค้าหรือผู้รับสินค้า) จ่ายให้แก่ผู้ขนส่งสำหรับบริการขนส่งสินค้า - เป็นรายได้หลักของผู้ขนส่งในการดำเนินธุรกิจ 2. องค์ประกอบของค่าระวาง: - ค่าขนส่งพื้นฐาน - ค่าเชื้อเพลิง (อาจแยกเป็นส่วนเพิ่มเติม) - ค่าดำเนินการ เช่น ค่าบรรจุหีบห่อ ค่าขนถ่ายสินค้า - ค่าประกันภัย (ถ้ามี) - ภาษีและค่าธรรมเนียมต่างๆ 3. วิธีการคำนวณ: - อาจคิดตามน้ำหนัก ปริมาตร หรือจำนวนชิ้นของสินค้า - อาจคิดตามระยะทางหรือเวลาในการขนส่ง - อาจมีอัตราพิเศษสำหรับสินค้าเฉพาะประเภท เช่น สินค้าอันตราย 4. เงื่อนไขการชำระ: - Freight Prepaid: ชำระค่าระวางล่วงหน้า โดยผู้ส่งสินค้า - Freight Collect: ชำระค่าระวางเมื่อสินค้าถึงปลายทาง โดยผู้รับสินค้า 5. ผลทางกฎหมาย: - ผู้ขนส่งมีสิทธิยึดหน่วงสินค้าไว้จนกว่าจะได้รับชำระค่าระวาง - การไม่ชำระค่าระวางอาจนำไปสู่การฟ้องร้องตามสัญญา 6. ปัจจัยที่มีผลต่อค่าระวาง: - ราคาน้ำมัน - ความต้องการในการขนส่ง (Demand) - ฤดูกาล - สภาพเศรษฐกิจ 7. การเจรจาต่อรอง: - ผู้ส่งสินค้ารายใหญ่อาจได้รับส่วนลดพิเศษ - อาจมีการทำสัญญาระยะยาวเพื่อกำหนดอัตราค่าระวางคงที่ 8. ความสำคัญในโลจิสติกส์: - ค่าระวางเป็นต้นทุนสำคัญในการกำหนดราคาสินค้า - การบริหารค่าระวางที่มีประสิทธิภาพช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน 9. แนวโน้มในปัจจุบัน: - การใช้เทคโนโลยีในการคำนวณและเปรียบเทียบค่าระวาง - การพัฒนาระบบการชำระเงินแบบดิจิทัล โดยสรุป "ค่าระวาง" เป็นมากกว่าแค่ค่าตอบแทนในการขนส่ง แต่เป็นปัจจัยสำคัญในการบริหารจัดการโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทาน ที่ส่งผลต่อต้นทุน ประสิทธิภาพ และความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ
ความรับผิดชอบของผู้ขนส่งต่อสินค้าถูกกำหนดโดยสัญญาและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง สามารถอธิบายเพิ่มเติมได้ดังนี้: 1. กำหนดโดยสัญญา: - ผู้ขนส่งและผู้ว่าจ้างสามารถตกลงเงื่อนไขความรับผิดชอบในสัญญาขนส่ง - อาจระบุขอบเขตความรับผิดชอบ วงเงินชดเชยสูงสุด หรือข้อยกเว้นความรับผิด ตัวอย่าง: สัญญาระบุว่าผู้ขนส่งรับผิดชอบต่อความเสียหายสูงสุด 1 ล้านบาทต่อการขนส่งแต่ละครั้ง 2. กำหนดโดยกฎหมาย: - ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดความรับผิดพื้นฐานของผู้ขนส่ง - กฎหมายเฉพาะ เช่น พ.ร.บ.การขนส่งทางบก กำหนดความรับผิดเพิ่มเติม ตัวอย่าง: ตาม ป.พ.พ. มาตรา 616 ผู้ขนส่งต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายอันเกิดแต่การที่ของสูญหายหรือบุบสลาย เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่าเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย 3. ความรับผิดตามประเภทการขนส่ง: - การขนส่งทางทะเลมีกฎหมายเฉพาะ เช่น พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล - การขนส่งทางอากาศอาจอ้างอิงอนุสัญญาระหว่างประเทศ เช่น อนุสัญญามอนตริออล ตัวอย่าง: ในการขนส่งทางทะเล ผู้ขนส่งอาจอ้างข้อยกเว้นความรับผิดกรณีภัยทางทะเล (Perils of the sea) ตามกฎหมายเฉพาะได้ 4. ข้อจำกัดความรับผิด: - กฎหมายอาจกำหนดวงเงินความรับผิดสูงสุดของผู้ขนส่ง - อาจมีข้อยกเว้นความรับผิดในกรณีเฉพาะ ตัวอย่าง: พ.ร.บ.การรับขนของทางถนนระหว่างประเทศ กำหนดความรับผิดสูงสุดของผู้ขนส่งไว้ที่ 8.33 SDR ต่อกิโลกรัมของน้ำหนักรวมแห่งของ 5. หน้าที่ในการพิสูจน์: - ผู้ขนส่งอาจมีภาระในการพิสูจน์ว่าตนไม่ได้ประมาทเลินเล่อ - ผู้ว่าจ้างอาจต้องพิสูจน์ความเสียหายที่เกิดขึ้น ตัวอย่าง: หากสินค้าเสียหาย ผู้ขนส่งอาจต้องพิสูจน์ว่าได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้ว เพื่อให้พ้นความรับผิด โดยสรุป ความรับผิดชอบของผู้ขนส่งเป็นการผสมผสานระหว่างข้อตกลงในสัญญาและบทบัญญัติของกฎหมาย ซึ่งอาจแตกต่างกันตามประเภทของการขนส่งและลักษณะของสินค้า
#### Summary This episode of BL416 focuses on the legal aspects of transporting goods in logistics and supply chains. It covers various types of transportation contracts, the responsibilities of shippers, carriers, and consignees, and the relevant legislation in Thailand. #### Highlights - 📦 The episode discusses different types of transportation contracts, including those that involve the transfer of ownership, risk, and liability. - 📄 The episode highlights several laws that regulate transportation, including the Civil and Commercial Code and various acts related to road, air, and maritime transportation. - 🚚 The episode explains that the carrier’s responsibility for the goods is determined by the contract and the applicable laws. - 💰 The episode describes the concept of "freight" as the compensation paid to the carrier for transporting the goods. - 🤝 The episode emphasizes that transportation contracts can involve intermediaries, such as forwarders and brokers, who facilitate the transportation process.
การเปรียบเทียบระหว่างการตลาดแบบมวลชนกับการตลาดแบบแบ่งส่วน พร้อมยกตัวอย่างในบริบทของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ 1. การตลาดแบบมวลชน (Mass Marketing) ลักษณะสำคัญ: - มุ่งเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการแบบเดียวกันให้กับทุกกลุ่มลูกค้า - ใช้กลยุทธ์การตลาดและการสื่อสารแบบเดียวกันทั่วทั้งตลาด - เน้นการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ตัวอย่างในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์: - บริษัทขนส่งพัสดุที่ให้บริการจัดส่งแบบมาตรฐานในราคาเดียวกันสำหรับทุกประเภทลูกค้า - การโฆษณาบริการขนส่งผ่านสื่อมวลชนทั่วไป เช่น โทรทัศน์หรือป้ายโฆษณา ข้อดี: - ต้นทุนการดำเนินงานและการตลาดต่ำกว่า - การจัดการและการวางแผนง่ายกว่า ข้อเสีย: - อาจไม่ตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ดีพอ - อาจเสียเปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่งที่มีบริการเฉพาะทาง 2. การตลาดแบบแบ่งส่วน (Segmented Marketing) ลักษณะสำคัญ: - แบ่งตลาดออกเป็นกลุ่มย่อยตามลักษณะและความต้องการของลูกค้า - พัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย - ใช้กลยุทธ์การตลาดและการสื่อสารที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละกลุ่ม ตัวอย่างในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์: - บริษัทโลจิสติกส์ที่มีบริการแยกตามประเภทลูกค้า เช่น บริการสำหรับธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ, บริการสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์, และบริการสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร - การใช้การตลาดดิจิทัลเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าธุรกิจออนไลน์ และการใช้นิตยสารเฉพาะทางเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม ข้อดี: - สามารถตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ดีกว่า - สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันผ่านการให้บริการที่เฉพาะเจาะจง - เพิ่มโอกาสในการสร้างความภักดีของลูกค้า ข้อเสีย: - ต้นทุนการดำเนินงานและการตลาดสูงกว่า - การจัดการและการวางแผนซับซ้อนมากขึ้น การเปรียบเทียบโดยตรง: 1. ความหลากหลายของบริการ: - มวลชน: บริการมาตรฐานเดียว - แบ่งส่วน: บริการหลากหลายตามความต้องการของแต่ละกลุ่ม 2. การกำหนดราคา: - มวลชน: ราคามาตรฐานเดียว - แบ่งส่วน: ราคาแตกต่างกันตามบริการและกลุ่มลูกค้า 3. การสื่อสารการตลาด: - มวลชน: ใช้สื่อทั่วไปและข้อความเดียวกันทั้งหมด - แบ่งส่วน: ใช้สื่อเฉพาะทางและปรับข้อความตามกลุ่มเป้าหมาย 4. การพัฒนาบริการ: - มวลชน: เน้นการปรับปรุงบริการหลักเพียงอย่างเดียว - แบ่งส่วน: พัฒนาบริการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะกลุ่ม 5. การวัดผลและการวิเคราะห์: - มวลชน: วัดผลภาพรวมของตลาด - แบ่งส่วน: วิเคราะห์ผลแยกตามกลุ่มลูกค้าและปรับกลยุทธ์เฉพาะกลุ่ม ในปัจจุบัน อุตสาหกรรมโลจิสติกส์มีแนวโน้มที่จะใช้การตลาดแบบแบ่งส่วนมากขึ้น เนื่องจากความต้องการที่หลากหลายและซับซ้อนของลูกค้า ทำให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและความได้เปรียบในการแข่งขันได้ดีกว่า